ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ++(The Hidden Code of Love: รหัสลับฉบับรัก)++

    ลำดับตอนที่ #7 : เงื่อนคำสัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 48


    -6-

    เงื่อนคำสัญญา



    นานเพียงไม่กี่นาทีผ่านไป หากแต่ไอรดากลับตึงเครียดจนรู้สึกว่า มันผ่านไปแล้วนานนับชั่วโมง



    อนาวินไล่มือคำในแต่ละแถว นับไปได้เพียงสามแถวเขาก็เริ่มแน่ใจในความคิดตัวเอง จึงนับบรรทัดข้อความก็พบว่าการตัดคำแปลกๆ ในตอนท้ายของวรรคที่เขาสังเกตเห็นนั้น น่าเป็นเพราะต้องการให้ได้คำเฉพาะประโยคหนึ่ง ข้อความที่ก้อยเขียนไว้ในจดหมาย ซ่อนไว้ในกลุ่มข้อความขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 19 บรรทัด บรรทัดละ 19 คำ และยังใส่ตัวใบ้เป็นสัญลักษณ์ \\ ที่มีทั้งหมด 19 ตัวปิดหัวปิดท้าย เพื่อบอกใบ้ความพิเศษนี้



    แต่ทำไมต้องเป็น \\ (back slash)



    อนาวินพยายามรื้อความทรงจำไปยังรหัสแรกๆ ของเขาและวาฤดี เพราะช่วงหลังๆ วาฤดีจะให้เค้าทายรหัสสัญลักษณ์หรือข้อความที่ไม่สามารถอ่านได้ตรงๆ เสียมากกว่าการเล่นซ่อนคำในข้อความที่อ่านได้แบบนี้ ซึ่งนั่นทำให้เขาเลือนๆ กับการซ่อนคำแบบนี้ไปมากเลยทีเดียว ... ความพิเศษของตัว back slash งั้นเหรอ?



    เขาแน่ใจว่าคนส่วนใหญ่เวลาเขียนเครื่องหมาย slash ก็มักจะเขียนเป็น fore slash (/) เสมอ ... อนาวินมองตัวบอกใบ้ของวาฤดีอย่างครุ่นคิด ความลาดเอียงนั้น ... มันอาจจะเป็นไปได้กับการใส่คำตามสัญลักษณ์ แล้วยังบวกคำประหลาดๆ แบบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้นั่นอีก

    อนาวินเริ่มดูแต่ละบรรทัด ในเมื่อบรรทัดหนึ่งมีคำอยู่ 19 คำ และมีทั้งหมด 19 แถว เมื่อเลือกตามความลาดเอียง แถวที่ 1 เลือกคำที่ 1 แถวที่ 2 เลือกคำที่ 2 ไปเรื่อยๆ จนแถวที่ 19 เลือกคำที่ 19



    เขาจะได้ตัว back slash ขนาดใหญ่!!



    เมื่อคิดได้อย่างนั้น อนาวินก็รีบวงคำในแต่ละบรรทัดอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้ประโยคความยาว 19 คำที่ซ่อนไว้ออกมา เลือดในกายเขาก็เย็นเฉียบด้วยความเป็นห่วง



    ‘ที่บ้านคนตาบอดใกล้เชิงเขาสลักเพชรชายสองคนมีปืนระวังตัวนะ’



    “น้อง โทษนะ ทางจากที่นี่ไปสลักเพชรที่ใกล้ที่สุด ต้องขับตัดไปทางไหน” อนาวินรีบหันมาถามพนักงานหนุ่มประจำเคาเตอร์ ขณะพยายามคิดถึงเส้นทางไปเขาสลักเพชรคร่าวๆ



    เขาสลักเพชรอยู่ทางเกาะช้างตอนใต้ ในวันแรกที่เขา ไอรดา และเอกบดินทร์ไปตามหาวาฤดีตามท่าเรือ เขาก็ได้ไปสำรวจที่แหลมสลักเพชรมาแล้วแต่ไม่พบอะไร



    คิดไม่ถึงว่าคนร้ายที่พาตัวเธอไปอาจจะเฉียดจมูกเขาไปนิดเดียว



    “เอ่อ พี่ต้องย้อนไปวนที่หัวเกาะนะครับ เพราะถ้าขับตัดผ่านภูเขาทางจะลำบากมากเสียเวลา พี่ขับเข้าทางถนนใหญ่จะดีกว่า แต่จะไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ นี่มัน... มันจะห้าทุ่มแล้วนะครับ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” พนักงานหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ อนาวินที่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคงพอช่วยให้ข้อมูลอะไรได้บ้าง จึงรีบบอกเรื่องราวเท่าที่คิดว่าสมควรบอก



    “เพื่อนพี่โดน ... เอ่อ เพื่อนพี่ต้องการความช่วยเหลือด่วนน่ะ ที่นี่มีใครสักคนพอจะนำทางได้มั่งมั้ย น้องก็ได้ พี่จ่ายไม่อั้นเลย”



    “คือ ผม ... ผมก็อยากอ่ะนะพี่ แต่ เอ่อ ไม่ได้หรอก ผมต้องอยู่ดูที่นี่นะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวนายเอาตายเลย แต่ผมมีญาติอยู่ทางนั้นนะครับ ถ้าพี่ต้องการความช่วยเหลือล่ะก็…” เด็กหนุ่มอิดเอื้อนคาดหวังจะได้รับผลตอบแทนสมใจ



    “ญาติน้องชื่ออะไร มีมือถือมั้ย” อนาวินถามระรัว พลางควักธนบัตรสีม่วงออกมาให้สองใบ



    “ชื่อชัยครับ เบอร์ก็ ... ตามนี้เลยพี่” เด็กหนุ่มยิ้มแย้มดีใจเมื่อเห็นจำนวนเงินนั้น พร้อมจดเบอร์มือถือของญาติตนลงบนกระดาษโน๊ตประจำเคาเตอร์ยื่นให้แขกใจป้ำที่กำลังประสบปัญหาของเขา



    “ขอบใจ” อนาวินกล่าว แล้วจึงหันมาหาไอรดาที่ยืนละล้าละลังอยู่ข้างๆ “แก้ม... แก้มอยู่ที่นี่แล้วกัน มันอันตราย”



    “ไม่ค่ะ พี่วิน แก้มจะไปด้วย ในนั้น มันเขียนไรไว้บ้างเหรอ” หญิงสาวแจ้งเจตนารมณ์ของตนสวนกลับไปทันที อนาวินมองเธออย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง



    “ไปเก็บของ แล้วค่อยคุยกันที่รถ”



    เพียงสิบนาทีต่อมา ไอรดาก็ก้าวเร็วๆ ออกมาจากห้อง เธอพบกับอนาวินที่จัดการเรื่องเช็คเอาท์เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินนำเธอไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ด้านหน้ารีสอร์ท ทั้งสองขึ้นรถกันไปโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ



    “ตกลง ในจดหมายนั่นว่ายังไงบ้างคะ” ไอรดาเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน อนาวินจึงละสมาธิจากการเร่งความเร็วของรถมายังเธอ ก่อนจะตอบว่า



    “บอกว่าก้อยอยู่ที่สลักเพชร ที่สำคัญคนร้ายมีปืนด้วย”



    “ปืน! แน่ใจเหรอคะ งั้นแจ้งตำรวจสิคะพี่วิน เราจะไปสู้ได้ยังไงกัน”



    “มันมีปืนพี่ก็มี” อนาวินกล่าว พลางนึกถึงปืนขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักรถ



    “พี่วินเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะคะ พี่ก้อยถูกจับไปไม่พอแล้วไอ้คนร้ายนั่นยังมีปืนอีก มันจะเอายังไงกับพวกเราก็ไม่รู้”



    “ก็ใช่น่ะสิ มันจะเอาไง!! ถ้ามันจะเอาเงินมันก็ได้แน่ แค่มันโทรไปที่บ้านกรี๊งเดียวมันก็ได้แล้ว มันจะเอาอะไรก็ไม่บอกซักอย่าง ผ่าสิ” อนาวินสบถ มือใหญ่ตบพวงมาลัยรถดังปึงด้วยความหัวเสีย



    เสียงตบพวงมาลัยของอนาวินปะทะกับเสียงฟ้าคำรามที่ดังเข้ามาถึงภายในตัวรถ ฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำแบบไม่มีเค้าความมาก่อน ความตึงเครียดแผ่คลุมไปทั่วรถจนไอรดารู้สึกมวนและปวดร้าวในช่องท้องอีกครั้ง เธอขยับตัวอย่างอึดอัด



    “แก้มจะแจ้งตำรวจ” ไอรดาโพล่งขึ้น พลางคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าถือใบย่อม แต่แล้วเธอก็บ่นพลางตบโทรศัพท์มือถือตนไปมา “อ๊าย บ้าจริง นี่แบตหมดตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”



    “ใช้ของพี่สิ” อนาวินพยักเพยิดให้ใช้โทรศัพท์ของตนที่วางอยู่หน้าคอนโซลรถ หญิงสาวจึงหยิบมากดเบอร์ฉุกเฉินถึงตำรวจทันที ก่อนจะกรอกเสียงพูดอย่างสุภาพว่า



    “สวัสดีค่ะ คือดิฉัน ชื่อ ไอรดา นะคะ เอ่อ ดิฉันมีเรื่อ... ฮัลโหล.. ฮัลโหล ได้ยินมั้ยคะ ... ไม่มีสัญญาณเลยอ่ะค่ะ พี่วิน คุยกันไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ คงเพราะฝนตกหนัก แล้ว...“



    “ช่างเถอะ ก็ดีแล้วล่ะ พี่กลัวเหมือนกันว่าก้อยจะเป็นอันตราย” ไอรดาเลิกคิ้วมองอนาวินอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูด



    “พี่วินห่วงพี่ก้อยจนเหมือนเป็นบ้า ถ้าเราไม่ตามตำรวจแล้วจะทำยังไง...พี่วินคิดว่าจะไปช่วยพี่ก้อยได้ยังไง เดินไปถึง แล้วก็บอกว่า ‘นี่ ฉันหาพวกแกเจอแล้วนะ ยอมปล่อยคนที่แกจับไปมาซะดีๆ’ งั้นเหรอ? พี่วินจะทำอย่างนั้นน่ะเหรอ”  



    “พี่ไม่รู้” หญิงสาวทวนคำ ‘ไม่รู้’ ออกมาเบาๆ ด้วยความระอา เธอผ่อนลมหายใจออกหนักๆ เหมือนจะระบายความยุ่งยากรำคาญใจออกไปจากอก ก่อนจะพูดว่า



    “แล้วอย่างนี้แล้วเราจะติดต่อกับญาติน้องคนนั้นได้ไงนะ ญาติน้องคนนั้นเค้าชื่ออะไรนะคะ”



    “ชัย”



    “นั่นแหละค่ะ เราจะติดต่อเค้าได้รึป่าวก็ไม่รู้” อนาวินถอนใจให้กับการคาดคะเนนั้น ก่อนจะพูดราวกับจะปลุกปลอบใจตัวเองว่า



    “พอถึงโน่น แล้วฝนอาจจะหยุดตกแล้วก็ได้ หรือไม่เราก็หาโทรศัพท์ตามที่พักดู มันคงโทรได้ซักที่น่ะแหละ  แก้มนอนพักไปก่อนเถอะ ใกล้ๆ ถึงแล้วพี่จะปลุก” ไอรดาทำหน้าเหมือนกับจะประท้วงแต่แล้วก็ยอมปรับเบาะลงต่ำ เพื่อเอนตัวนอน และเพียงครู่เดียวเธอก็หลับลึก...







    ฝัน...



    ไอรดาคิดว่าเธอฝันไป...



    ในฝัน เด็กผู้หญิงวัยแรกรุ่นสองคนนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนเตียงใหญ่ หน้าของพวกเธอเหมือนกันเสียจนคล้ายกับเป็นเงาสะท้อนซึ่งกันและกัน เพียงแต่เด็กคนหนึ่งเลือกที่จะผูกผมเป็นเปียไว้ที่สองข้าง เพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดู ส่วนอีกคนหนึ่งมัดผมเป็นหางม้าไว้ง่ายๆ ที่ด้านหลัง



    ไอรดารู้สึกราวกับว่าตนเป็นธาตุอากาศ เป็นผู้สังเกตการณ์ที่จับต้องไม่ได้อยู่ด้านข้าง ไม่ใช่เด็กหญิงผูกหางม้าอีกต่อไป...



    “วันนี้ทำไมดูแก้มอารมณ์ดีจังเลย” เด็กหญิงไว้เปียกล่าว



    “ไม่บอก... ความลับ” เด็กหญิงผูกหางม้าส่ายหัวไปมา สีหน้าเธอเขินอายอย่างเห็นได้ชัด



    “ไม่เอา บอกมาเลย เดี๋ยวนี้แก้มทำมามีความลับกับพี่งั้นเหรอ”



    “ไม่ได้จริงๆ เรื่องอย่างนี้เค้าไม่บอกกันหรอก”



    “อะฮ๊า พูดอย่างนี้พี่รู้แล้วว่าเรื่องอะไร .. เรื่องพี่วินใช่ม๊า”



    “เฮ้ย พี่ก้อยรู้ได้ไง แกล้งเดาล่ะสิ หลอกล้วงความลับเราอีกแล้ว” ยิ่งเด็กหญิงผูกหางม้าหน้าแดงเท่าไรก็ดูเหมือนจะถูกใจเด็กอีกคนยิ่งขึ้น เธอชะโงกตัวมาลอยหน้าลอยตาล้อเลียนอยู่ด้านหน้าเด็กหญิงผูกหางม้า พลางกล่าวเสียงทะเล้นว่า



    “ถ้าพี่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องพี่วิน จะเป็นพี่เราได้เหรอ ไหนบอกมาซิ ว่าแอบมีความลับอะไรเรื่องพี่วิน”



    “ก็ ... อ๊า ไม่อยากบอกเลย ไม่บอกไม่ได้เหรอ เดี๋ยวพี่ก้อยก็รู้เองแหละ”



    “ไม่บอกจะจี๋ให้ตาย จี๋ๆๆๆ” เด็กหญิงผูกเปีย แกล้งจี๋เอวอีกฝ่ายจนล้มหัวเราะงอหายกันไปทั้งคู่ ทั้งสองล้มคลุกกันไปมาอยู่บนเตียง ประสานเสียงหัวเราะกันดังลั่น แต่แล้วด้วยความที่เด็กหญิงผูกหางม้าแข็งแรงกว่า ในที่สุดเด็กหญิงผูกเปียเลยต้องเอ่ยปากยอมแพ้



    “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว สู้นี่นา แล้วงี้พี่จะชนะได้ไง เหนื่อยจะแย่” เธอพูดปนหอบ ท้ายเสียงดูสั่นเล็กน้อย



    “ก็แหม แก้มไม่อยากบอกจริงๆ นี่” เด็กหญิงผูกหางม้าแก้ตัว พลางพลิกตัวลงจากอีกฝ่าย ล้มนอนแผ่ไปกับเตียงอีกด้าน เด็กหญิงไว้ผมเปียจึงชันตัวขึ้นมาด้วยศอกทั้งสองข้าง ปากก็คาดคั้นต่อว่า



    “ไม่รู้ล่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้เลย พี่ไม่ยอมจริงๆ ด้วย ถ้าเธอไม่ยอมบอกนะ พี่จะ ... จะไม่ยอมให้ลอกการบ้าน!”



    “ว๊าย ไหงพูดงั้นล่ะ”



    “จะบอกไม่บอก” เด็กหญิงผูกเปียเอ่ยอย่างเป็นต่อ จนอีกฝ่ายยกมือยอมจำนน



    “’งื้อ ไม่ยุติธรรมเลย เอาเรื่องนี้มาขู่ได้ไงอ่ะ ...โอเคๆ ยอมแล้วก็ได้ ...ก็แก้มคิดไว้ว่า งานเลี้ยงวันเกิดครบ 15 ปีของเราอ่ะ...” ท้ายประโยคเด็กหญิงที่โดนไล่เบี้ยซุกหน้าลงกับเตียงด้วยความเขินอาย กล่าวอ้อมแอ้มแทบฟังไม่ได้ศัพท์



    “ไม่เอาๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลย เงยหน้ามาพูดดีๆ เดี๋ยวนี้นะ”



    “ก็ได้ คือ..แก้ม...แก้มคิดว่า...แก้มจะบอกรักพี่วินล่ะ”



    “ฮ๊ะ จริงเหรอ เหมือนกันเลย”



    “หมายความว่ายังไง เหมือนกันเลย?” เด็กหญิงผูกหางม้า ขมวดคิ้วแปลกใจ เธอผุดขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม



    “ก็หมายความว่าอย่างนั้นน่ะแหละ พี่ก็คิดไว้เหมือนกันเลยว่าสักวันพี่จะบอกรักพี่วิน”



    “อะไรกัน เมื่อไหร่พี่ก้อยจะเลิกทำแบบนี้!”



    “อะไร? แก้มหมายถึงอะไรเหรอ” เด็กหญิงไว้เปียกล่าว ด้วยสีหน้างงงวย



    “จะมาถามอีก ก็ทำไมต้องคอยทำตามแก้มไปซะทุกอย่าง ไอ้โน่นก็ตาม ไอ้นี่ก็ด้วย นี่จะมารักคนๆ เดียวกัน มันเกินไปแล้วนะ!!” พอโดนเด็กอีกฝ่ายตะคอกใส่ เด็กหญิงไว้เปียก็เริ่มแบะปากจะร้องไห้ ไอรดาแทบอยากจะเอื้อมมือไปโอบกอดปลอบประโลม เพราะอาการกลั้นสะอื้นจนตัวโยนนั้นน่าสงสารจับใจ หากแต่สำหรับเด็กหญิงที่ผูกผมเป็นหางม้าในฝันนั้น กลับไม่รู้สึกเช่นเดียวกันแม้แต่น้อย



    “จะร้องไห้ทำไม แก้มไม่เข้าใจเลยว่าพี่ก้อยคิดอะไรอยู่ พี่ก้อยไม่เคยแสดงออกอะไรสักนิดว่าชอบพี่วิน พอแก้มพูดตรงๆ ว่าชอบเค้าเท่านั้นแหละ ก็...ฮ๊ะ จริงเหรอ เหมือนกันเลย...คิดว่ามันตลกนักรึไง”



    “พี่เปล่าคิดอย่างนั้นนะ แก้ม พี่ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเลย พี่ก็แค่ ... พี่ก็แค่ชอบพี่วินเหมือนกัน ทำไมล่ะ เราสองคนก็ชอบพี่วินเหมือนกันตั้งนานแล้วนี่ ... ทำไมก้อยต้องว่าพี่ด้วย” เด็กหญิงผมเปียกล่าวเสียงอ่อน



    “มันไม่เหมือนเดิมซักหน่อย แก้มชอบแบบจริงจังนะ ชอบแบบที่ผู้หญิงคนนึงจะชอบผู้ชายคนนึง ไม่ได้ชอบแบบพี่ชายอ่ะ”



    “พี่ก็ชอบพี่วินแบบนั้น..” เด็กหญิงผู้พี่พูดอ้อมแอ้ม



    “พี่ก้อย!!”



    “ไม่เห็นเป็นไรนี่ แก้ม ก็...ก็เราจะอยู่ด้วยกันสามคนตลอดไป...ไง”



    “มันไม่ใช่แบบนี้ พี่ก้อยก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” เด็กหญิงผูกหางม้ากล่าวพึมพำด้วยความตื่นตะลึงจนทำตัวไม่ถูก แม้ว่าเธอจะรู้อยู่นานแล้วว่า เธอสองคนพี่น้องต่างก็ชอบ ‘พี่วิน’ แต่เธอไม่คิดเลยว่าทั้งเธอและพี่สาวต่างคิดเกินเลยความเป็นพี่เป็นน้องธรรมดา



    “แล้วจะให้พี่ทำยังไง ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้นี่ พี่ขาดแก้มไม่ได้ แล้วพี่ก็ขาดพี่วินไม่ได้ จะให้พี่อยู่โดยไม่มีพวกเธอคนใดคนหนึ่งน่ะเหรอ พี่ทำไม่ได้หรอก แก้มไม่รู้หรอกว่าพี่รู้สึกยังไง พี่ไปไหนแทบไม่ได้ อยู่อย่างกับไข่ในหิน แค่พี่นั่งรถไปโรงเรียน แม่ก็กลัวว่าพี่จะกลับมาเป็นศพแล้วมั้ง ชีวิตแบบนี้มันก็เหมือนอยู่รอความตายดีๆ นี่เอง … พี่มีแค่พวกเธอนะ เราจะอยู่ด้วยกันไง” เด็กหญิงไว้เปียเว้าวอนอย่างทุกข์ทน มือหนึ่งเธอเอื้อมไปแตะตัวน้องสาวเบาๆ ก่อนจะดึงตัวมากอดไว้อย่างหวงแหน ประหนึ่งเป็นของรักที่ไม่อาจสูญเสียตามทุกคำพูดของเธอ



    “ทำไม...ฮือ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมอ่า..” เด็กหญิงผูกหางม้ากล่าวพลางสะอื้น เธอปาดน้ำตาตัวเองแรงๆ อยู่ในอ้อมกอดของพี่สาว ก่อนจะเอ่ยอย่างลุแก่โทษว่า



    “แก้มขอโทษนะพี่ก้อย แก้มขอโทษ”



    “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เราจะอยู่ด้วยกันสามคนตลอดไป” เด็กสาวไว้เปีย ยิ้มดีใจทั้งน้ำตา





    .....เราจะอยู่ด้วยกันสามคนตลอดไป......



    ...........เราจะอยู่ด้วยกันสามคนตลอดไป.........





    คำพูดประโยคเดียวนี้ผูกพันเธอไว้ นานแสนนานเหลือเกิน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×