ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : จดหมายฉบับที่ 2
-5-
จดหมายฉบับที่ 2
หญิงสาวกลับพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ... เธอไม่สามารถข่มตานอนได้อย่างสบายเลยเมื่อรู้ดีว่า แฝดผู้พี่ของเธอน่าจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร
หลายครั้งที่เธอเคร่งเครียดเจ็บปวดขึ้นด้วยสาเหตุที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัด แต่เหตุผลหนึ่งที่เธอคาดขึ้นทันทีที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้น ก็คือ แฝดของเธอกำลังรู้สึกแบบเดียวกัน แต่หนักหนายิ่งกว่า สายใยแห่งความเป็นฝาแฝดที่แนบแน่นยิ่งกว่าพี่น้องธรรมดา ทำให้เธอมีความรู้สึกร่วมกับพี่สาวเสมอมา เธอบิดตัวไปมาด้วยความปวดระบมในช่องท้อง
ทำไมถึงปวดมากมายขนาดนี้นะ? หญิงสาวคิดคำนึงถึงอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง สองมือกดแนบลงกับท้อง หวังว่าจะช่วยให้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้น เบาบางลง เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วผิวหน้าและฝ่ามือ เธอรู้สึกหวิววูบ คล้ายจะเป็นลมไปเดี๋ยวนั้น
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ท่ามกลางความมืด ชักพาความคิดออกจากฝาแฝด
ดึกป่านนี้ ใครโทรมานะ? เธอผุดลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟหัวเตียง ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมาดู หน้าจอขึ้นว่าเป็นสายโทรเข้าจาก ‘บ้าน’ ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม
“ฮัลโหล”
“แก้ม นี่แม่เองนะ” เสียงจากปลายทางของมารดาเธอดูตื่นเต้นจนน่าแปลกใจ
“ค่ะ คุณแม่ มีอะไรเหรอคะ หรือว่า...พี่ก้อยติดต่อกลับมาแล้ว” หญิงสาวทาย ทั้งที่ใจหนึ่งก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้
“ก็ไม่เชิงหรอกลูก คือ พอแม่กลับมาถึงที่บ้าน แม่แหวนบอกว่ามีจดหมายมา ไม่มีชื่อคนส่ง ตีตราประทับที่ระยอง”
“ระยองเหรอคะ” หญิงสาวทวนชื่อสถานที่ด้วยความแปลกใจ
“ใช่ลูก ระยอง แล้วข้างในเป็นจดหมายกับรูปถ่ายจากก้อย”
“รูปถ่าย? ...รูปถ่ายอะไรเหรอคะ”
“รูปพี่เค้าน่ะสิลูก ส่งมาเป็นปึกเชียว แต่แม่ว่ารูปมันดูแปลกๆ เหมือนรูปตัดต่อน่ะ แล้วจดหมาย... ก้อยก็เขียนมาแปลกๆพิกล ไม่เหมือนฉบับแรกหรอกนะ แต่ก็แปลกอยู่ดี”
“แม่แฟกซ์จดหมายมาให้แก้มได้มั้ยคะ ถือสายรอเดี๋ยวนะคะ”
ไอรดาไม่ได้สนใจฟังคำอธิบายจากมารดาเท่าไหร่ เธอวิ่งพรวดออกจากห้องตรงไปยังล็อบบี้ของรีสอร์ท หวังว่าใครสักคนจะบอกเธอได้ว่า เบอร์โทรสารของที่นี่คืออะไร เธออยากจะเอาจดหมายบ้าๆ บอๆ ของพี่ก้อย ฟาดหน้าหล่อๆ ของพี่วินของเธอเสียจริง
เธอจะได้หัวเราะใส่หน้าเขาดังๆ ว่า เป็นไงล่ะ เจ้าตัวคนที่เฝ้าตามหา กำลังเที่ยวอยู่สบายใจเฉิบ!
เธอได้เบอร์แฟกซ์จากพนักงานกะดึกคนหนึ่งและแจ้งให้กับมารดาทราบ คุณวรวรินทร์เอ่ยท้วงอยู่ประโยคสองประโยค เกี่ยวกับความประหลาดของจดหมายจากพี่สาวเธอ หากเธอก็ไม่สนใจอะไรนอกจากการให้อนาวินได้อ่านแฟกซ์จดหมายฉบับนั้น
“แก้ม แม่ว่ามันประหลาดจริงๆ นะ แม่ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ”
“เอางี้เถอะค่ะ เดี๋ยวพี่วินดูเค้าก็รู้เองน่ะแหละ แต่ก้อยว่าไม่มีอะไรหรอก จะมีอะไรไปได้ยังไง” ไอรดาตัดบท หากแต่รู้สึกได้กระทั่งความไม่มั่นใจของตัวเอง
“ถ้าวินเค้ารู้อะไร โทรมาบอกแม่นะ”
“ค่ะ ถ้ามีอะไรสำคัญแล้วแก้มจะโทรไปบอก แม่ไปนอนเถอะนะคะ”
“จ้ะ”
หลังจากวางสายจากมารดาแล้ว เธอจึงรีบขอให้พนักงานต่อสายภายในไปยังห้องพักของชายหนุ่มที่ตอนนี้คงจะหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า
“ฮัลโหล” อนาวินส่งเสียงงัวเงียมาตามสาย
“แก้มเองนะ” เธอประกาศตัวเพราะไม่อยากให้อนาวินคิดว่า เสียงเธอเป็นเสียงพี่สาว เพราะเสียงของแฝดทั้งสองเหมือนกันมากจนกระทั่งแม้แต่มารดาเธอก็ยังจับไม่ได้หากพูดเพียงประโยคสั้นๆ
“แก้มเพิ่งได้ข่าวว่า พี่ก้อยอยู่ระยอง คุณแม่เพิ่งโทรมาบอกตะกี้” เธอพูดต่อด้วยเสียงติดจะเยาะ เธอได้ยินอนาวินส่งเสียงตอบกลับมาอย่างแปลกใจ
“ระยองงั้นเหรอ”
“ใช่ระยอง อยากอ่านจดหมายพี่ก้อยมั้ย แก้มให้คุณแม่ช่วยแฟกซ์มาที่ล็อบบี้ เป็นไงล่ะ เราตามหาแทบตายกับรหัสบ้านั่น แล้วสุดท้าย เห๊อะ พี่ก้อยกำลังอยู่ระยอง ไม่ใช่ที่นี่ซักหน่อย”
“รออยู่ที่ล็อบบี้นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปหา” อนาวินวางสายอย่างเร่งร้อน ... ระยองงั้นเหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้เลย เขาคิดว่ามันคือรหัสอีกฉบับหนึ่งต่างหาก เขาต้องได้เห็นมัน!!
เครื่องโทรสารพิมพ์สิ่งที่ส่งผ่านสัญญาณจากกรุงเทพฯ ออกมาช้าๆ อนาวินแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นมัน เขาแทบกระชากกระดาษยาวๆ นั่นออกจากเครื่องด้วยความร้อนใจ ในขณะที่ไอรดามองกิริยานั้นอย่างขมขื่น
แฟกซ์จดหมายของวาฤดีถูกหยิบออกมาอ่านทันที่ ที่เครื่องพิมพ์ออกมาเสร็จ คิ้วทั้งคู่ของอนาวินขมวดมุ่นเล็กน้อย ... ไม่ใช่รหัสแบบเดิม .. หรือว่าจะไม่ใช่รหัสเลยนะ
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + +
หนีห่าววววววววววว
\\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\
ที่บ้านเป็นยังไงบ้างคะ คงไม่ได้ไปตามก้อยที่เชียงใหม่นะ ไม่งั้น
ที่บ้านต้องไปเก้ออ่ะค่ะ เพราะตอนนี้ก้อยอยู่ระยองต่างหาก เดานะคะ
ก้อยว่าคนที่อ่านจดหมายอยู่ต้องตกใจมากๆ แน่ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ
และคงจะตาโตเป็นไข่ห่านเลยล่ะสิคะ โดนก้อยอำเข้าแล้ว หุหุ
นี่แหละน้า จุดบอดของที่บ้าน เชื่อคนง่ายกันจริง รู้มั้ยคะ ว่าต้องหัด
สังเกตบ้างนะ อ่อ ใกล้ๆนี้ ก้อยก็คงกลับแล้วล่ะ ไม่ต้องตามมานะ
อ๊ะ เชื่ออีกแล้วสิ ชั้นเชิงไม่มีกันซะเลย! หึ ล้อเล่นค่ะ ก้อยจะกลับ
จริงๆนะ ว่าแต่พี่วินเขาเป็นไงบ้างคะ เขาต้องไม่หลงกลก้อยแน่
พออยู่นี่คนเดียวนะ เหมือนก้อยสลักคำว่าโง่ไว้บนหัว เพราะโดนต้มตลอด =_=
เมื่อเช้า ก้อยก็เอาอีกแล้วไปซื้อเพชรมาจากชาวบ้านก็นึกว่าถูก แหม...
ที่ไหนได้ ปลอมซะงั้น ก้อยก็เห็นเป็นชายแก่ๆ ก็เลยประมาท ซวยเลย
พอเสียโง่ซะอย่างงี้ ก้อยก็คิดถึงคนสองคนขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
ก็พี่วินกับแก้มนั่นเอง เพราะถ้ามากันสามคนล่ะก็ไม่เป็นงี้แหง
แต่มาคนเดียวก็ดีอยู่อย่างคือ ก้อยจะได้หัดมีสมองคิดเอาเองบ้าง
คอยให้คนอื่นคิดแทนตลอดนี่ก้อยแทบอยากจะชักเอาปืนมายิงตัวตาย
เพราะรำคาญตัวเองจริงๆ ค่ะ อ่อ คุณแม่คะ ทะเลที่ระยองก็สวย
ไม่หยอกเลยนะ คุณแม่น่าจะมาดูที่ทางเอาไว้สร้างเป็นวังย่อมๆ
เหมือนบ้านที่ชะอำของเราบ้าง ก้อยนะ จะแจ้นมาเที่ยวบ่อยๆ ให้ตัวดำ
เป็นเหนี่ยงไปเลย อิอิ เอาแค่นี้ดีกว่า เขียนยาวแล้ว คิดถึงทุกคนนะ ^^
\\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\
ก้อย
ปล. T^T ก้อยเพิ่งรู้ตัวล่ะว่าลืมมือถือไว้ที่ห้อง รันทดชีวิตตัวเองซะจริง
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + +
ชายหนุ่มพิจารณาทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรของจดหมายฉบับนั้น การส่งโทรสารระยะไกลผนวกกับคุณภาพเครื่องโทรสารที่ไม่ดีนัก ทำให้ตัวอักษรที่วาฤดีเขียนพร่าเลือนและกระด่างดำเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น อนาวินก็ยังเพ่งพินิจมันอย่างสังเกตสังกา พยายามระลึกถึงรหัสเก่าๆ ที่วาฤดีเคยเขียนให้เขาทายเล่น ...
“จะดูอะไรนักหนา ไม่ต้องมาบอกเลยนะ ว่าไอ้จดหมายนี่ก็มีรหัสซ่อนอยู่อีก ... แก้มล่ะอยากจะแว่บไประยองเสียเดี๋ยวนี้เลย ไปดูว่าพี่ก้อยกำลังหัวเราะร่าแค่ไหน ... ไงคะ ไม่มีใช่ม๊า พี่ก้อยก็แค่แกล้งเราเล่นน่ะ จดหมายฉบับแรกนั่น อาจจะบังเอิญก็ได้ด้วยซ้ำ”
“แก้มจดหมายนั่นไม่ใช่ความบังเอิญ ฉบับนี้ก็ไม่ใช่ ... ก้อยซ่อนรหัสไว้อีกแล้ว” อนาวินเอ่ยเบาๆ แล้วหันไปขอดินสอจากพนักงานผู้ซึ่งมีสีหน้างงงวยไม่แพ้กับไอรดาเลยทีเดียว
“ไม่จริงอ่ะ ไม่เห็นมีอะไรสักนิด”
“แก้ม ถ้ามันไม่มีอะไรล่ะก็ ก้อยต้องติดต่อที่บ้านติดต่อพวกเราบ้างแล้ว ไม่ใช่ส่งมาแค่จดหมายพวกนี้ เหตุผลอะไรที่ทำให้ก้อยทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ถึงจะบอกว่าลืมก็โทรสาธารณะสิ ไม่ใช่หายเงียบแล้วก็ส่งมาแต่จดหมายเนี่ย ...” อนาวินกระชากเสียงถาม
“พี่ก้อยอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นก็ได้ หรืออาจจะ ” ไอรดาหยุดเถียงเสียเอง เมื่อสำนึกตัวว่าเหตุผลของเธอมันไม่เข้าท่าสักนิด แต่แล้วเธออดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อว่า
“แล้วทำไมคนร้ายถึงยอมให้พี่ก้อยเขียนอะไรแบบนี้มาล่ะคะ ถ้าพี่ก้อยโดนจับไปจริง ไอ้คนๆ นั้นมันจะต้องการอะไร”
“พี่ไม่รู้ พี่รู้แต่ว่าพี่ต้องตามหาก้อยให้พบให้ได้” อนาวินเอ่ยเสียงเครียด ก่อนจะก้มตัวลงไปพิจารณากระดาษแฟกซ์จดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง
ไอรดาเห็นอนาวินที่จดจ่ออยู่กับกระดาษในมือก็ชะโงกดูบ้าง แต่เธอก็ยังไม่เชื่อสักนิดเดียวว่าจดหมายฉบับนี้จะมีอะไรประหลาดๆ ซ่อนไว้อีก ... ก็เพียงจดหมายธรรมดาๆ หากแต่ใจของเธอเริ่มเต้นตึกตัก ... ถ้ามันไม่ใช่เพียงจดหมายธรรมดาล่ะ ถ้ามันมีอะไรอยู่ในนั้นอีกเหมือนกับที่มีมาแล้วในฉบับแรก ไอรดาคิดถึงความเป็นไปได้นั้นพร้อมกับที่รู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านน้อยๆ ที่แล่นปราดไปทั่วกาย
เธอกำลังกลัวอะไร? ไม่มีอะไรจำเป็นต้องเป็นห่วงหรอกน่า ไอรดาดุตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะหันไปตั้งใจดูอนาวินแกะรหัสจากจดหมายของแฝดผู้พี่พร้อมความกลัวที่ยังไม่จางหายไป
อีกมุมหนึ่งของเกาะช้าง ชายคนหนึ่งกำลังกดโทรศัพท์มือถือต่อสายด้วยความเคร่งเครียด เขาเหลือบตามองประตูไม้สีซีดด้านข้างอย่างพะวักพะวน หากจนแล้วจนเล่าปลายสายยังไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมา เขาสบถอย่างหัวเสีย เตะเท้าเข้ากับประตูห้องเก่านั้นดังปึง
“ทำไมถึงไม่รับสายนะ ปิดมือถือทำบ้าอะไรน่ะ ผ่าสิ”
เมื่อความพยายามไม่เป็นผล เขาจึงลดโทรศัพท์ลง เงี่ยหูฟังเสียงภายในห้อง บัดนี้ เสียงตึงตังในห้องได้เงียบลงไปแล้ว เลือดในกายเขาเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว มือสั่นเทาเคาะประตูเบาๆ
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามผู้ที่ถูกกักขังภายใน
“ยังไม่ตาย ฉันยังไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก”
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจับคุณมาทำไม ไม่เข้าใจเรื่องบ้าๆ นี่เลย” ชายหนุ่มรำพึง ราวกับพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
“ฉันรู้ และอาจจะรู้มากกว่าที่นายคิดเสียอีก” หญิงสาวในห้องตอบอย่างอาจหาญ ปราศจากเสียงครวญครางและสะอื้นไห้ที่เคยดังเมื่อเพียงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
“หายปวดท้องแล้วเหรอ ใช้ยาที่ให้ไปแล้วใช่มั้ย”
“ใช้แล้ว” เสียงตอบกลับมานั้นเข้มลึก จนไม่เหลือเค้าของความอ่อนแอ
“คุณเป็นหนักขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มเอนหลังพิงประตูอย่างเหนื่อยอ่อน เขารูดตัวนั่งลงแนบกับประตูห้อง รู้สึกราวกับว่า ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมจิตใจของเขามีน้ำหนักมากขึ้นทุกที
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่ที่คุณเพิ่งรับไปน่ะ มันแสดงว่าคุณยิ่งกว่าเป็นอะไรซะอีกนะ!” ชายหนุ่มตอบโต้กลับไป พลางคิดถึงยากดประสาทอย่างแรงที่เขาต้อไปแสวงหามาอย่างยากลำบากเพราะความที่มันจะใช้กับเฉพาะคนไข้อาการหนักที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสเท่านั้น
เขานึกแปลกใจนัก เมื่อตอนที่เธอผู้อยู่ในห้อง เรียกร้องให้เขาไปหายาตัวนี้มา เมื่อวานนี้ แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพของเธอแล้ว....เขาก็ยิ่งแปลกใจหนัก
เพียงแต่คราวนี้ เขาแปลกใจว่า หญิงสาวตัวเล็กแบบบางอมโรคเช่นเธอ ทนมันเข้าไปได้อย่างไร!
ชายหนุ่มพยายามเลิกคิดถึงอาการของเธอ ทว่า ความคิดที่แว่บเข้ามาในสมองของเขาต่อมา ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนกมากกว่าเก่า
เขารีบเค้นเสียงถามไป ด้วยความหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับการปฏิเสธ
“คุณเคยใช้มันมาก่อนใช่มั้ย” ชายหนุ่มเงี่ยงหูฟังคำตอบจากในห้อง หากเขาไม่ได้รับทั้งการตอบรับหรือการปฏิเสธ ชายหนุ่มได้ยินเพียงเสียงแค่นหัวเราะขมขื่นกลับมาเท่านั้น
“เค้ารู้มั้ย?”
“เค้า? นายหมายถึงใครล่ะ”
“ก็คนที่บอกให้ผมจับคุณมาน่ะสิ!”
“รู้ รู้เสียยิ่งกว่ารู้” เสียงนั้นผสมทั้งน้ำเสียงเสียดสีและประชดประชัน หัวใจชายหนุ่มตกวูบกับข้อความที่ได้รับรู้
“ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย คุณต้องไม่เป็นไรนะ ผมจะพาคุณออกไป ผมไม่เล่นด้วยแล้ว ผมไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว!” ชายหนุ่มตะโกนบอกคนในห้องอย่างอดรนทนไม่ได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่เขาคำนึงถึงตั้งแต่นาทีแรกที่รับงานนี้มา
ใช่...เขาไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว...
เขาผุดตัวลุกขึ้น มือคว้าลูกบิดประตู แต่แล้วก็ต้องชะงักอย่างแรง เมื่อได้ยินเสียงท้วงเย้ยหยันจากภายในห้อง
“ทำได้จริงเหรอ? เลิกงานนี้ได้แน่เหรอ? ไม่กลัวเค้าโกรธรึไง?”
“ผมไม่ได้กลัว ผมไม่...”
“หึ นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันกำลังรู้สึกดี ดีมากๆ ด้วย” สำหรับผู้ฟังแล้ว คำพูดของหญิงสาวในห้องดูเป็นคำพูดที่เย้ยหยันต่อโชคชะตามากกว่ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หากแต่เขาก็จำนนต่อเหตุผล
เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็เลิกงานนี้ไม่ได้จริงๆ เสียด้วย!
“เมื่อไหร่เรื่องนี้มันจะจบๆ ลงไปซะที”
“ใกล้แล้วล่ะ ฉันภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้นทุกวัน”
“ผมก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้น คุณต้องรีบกลับไปผ่าตัดนะ”
หญิงสาวภายในห้องไม่สนใจจะต่อความมากขึ้นไปอีก เธอส่งเสียงเนือยๆ บอกความประสงค์ของตนว่า
“ฉันอยากได้ปากกากับกระดาษ”
“ผมไม่ยอมให้คุณเขียนจดหมายอีกแล้วนะ”
“อื้มมม...รู้แล้วสินะ”
“ผมไม่ได้โง่นี่ ไอ้จดหมายบ้าๆ ที่คุณเขียนส่งไปน่ะ คุณไม่มีวันได้เขียนมันอีกแล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้ว่านายโง่ซะหน่อย แต่ฉันแค่อยากวาดรูปเล่น แค่วาดรูปเล่นคงไม่เป็นไรละมั้ง ความสุขเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ นายก็ให้ฉันไม่ได้เหรอ”
เธอรู้ดีว่าเพราะประโยคสุดท้ายนั่นเอง ที่ทำให้เธอได้ตามต้องการ  เธอหยุดเล็กน้อยให้บุคคลที่ยืนอยู่หน้าห้องตัดสินใจ ก่อนจะเสริมว่า
“และถ้ามันไม่ยากไป ฉันอยากได้สีมาระบายด้วยนะ ห้องนี้มันดูจืดๆ ไปหน่อย”
จดหมายฉบับที่ 2
หญิงสาวกลับพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ... เธอไม่สามารถข่มตานอนได้อย่างสบายเลยเมื่อรู้ดีว่า แฝดผู้พี่ของเธอน่าจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร
หลายครั้งที่เธอเคร่งเครียดเจ็บปวดขึ้นด้วยสาเหตุที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัด แต่เหตุผลหนึ่งที่เธอคาดขึ้นทันทีที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้น ก็คือ แฝดของเธอกำลังรู้สึกแบบเดียวกัน แต่หนักหนายิ่งกว่า สายใยแห่งความเป็นฝาแฝดที่แนบแน่นยิ่งกว่าพี่น้องธรรมดา ทำให้เธอมีความรู้สึกร่วมกับพี่สาวเสมอมา เธอบิดตัวไปมาด้วยความปวดระบมในช่องท้อง
ทำไมถึงปวดมากมายขนาดนี้นะ? หญิงสาวคิดคำนึงถึงอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง สองมือกดแนบลงกับท้อง หวังว่าจะช่วยให้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้น เบาบางลง เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วผิวหน้าและฝ่ามือ เธอรู้สึกหวิววูบ คล้ายจะเป็นลมไปเดี๋ยวนั้น
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ท่ามกลางความมืด ชักพาความคิดออกจากฝาแฝด
ดึกป่านนี้ ใครโทรมานะ? เธอผุดลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟหัวเตียง ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมาดู หน้าจอขึ้นว่าเป็นสายโทรเข้าจาก ‘บ้าน’ ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม
“ฮัลโหล”
“แก้ม นี่แม่เองนะ” เสียงจากปลายทางของมารดาเธอดูตื่นเต้นจนน่าแปลกใจ
“ค่ะ คุณแม่ มีอะไรเหรอคะ หรือว่า...พี่ก้อยติดต่อกลับมาแล้ว” หญิงสาวทาย ทั้งที่ใจหนึ่งก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้
“ก็ไม่เชิงหรอกลูก คือ พอแม่กลับมาถึงที่บ้าน แม่แหวนบอกว่ามีจดหมายมา ไม่มีชื่อคนส่ง ตีตราประทับที่ระยอง”
“ระยองเหรอคะ” หญิงสาวทวนชื่อสถานที่ด้วยความแปลกใจ
“ใช่ลูก ระยอง แล้วข้างในเป็นจดหมายกับรูปถ่ายจากก้อย”
“รูปถ่าย? ...รูปถ่ายอะไรเหรอคะ”
“รูปพี่เค้าน่ะสิลูก ส่งมาเป็นปึกเชียว แต่แม่ว่ารูปมันดูแปลกๆ เหมือนรูปตัดต่อน่ะ แล้วจดหมาย... ก้อยก็เขียนมาแปลกๆพิกล ไม่เหมือนฉบับแรกหรอกนะ แต่ก็แปลกอยู่ดี”
“แม่แฟกซ์จดหมายมาให้แก้มได้มั้ยคะ ถือสายรอเดี๋ยวนะคะ”
ไอรดาไม่ได้สนใจฟังคำอธิบายจากมารดาเท่าไหร่ เธอวิ่งพรวดออกจากห้องตรงไปยังล็อบบี้ของรีสอร์ท หวังว่าใครสักคนจะบอกเธอได้ว่า เบอร์โทรสารของที่นี่คืออะไร เธออยากจะเอาจดหมายบ้าๆ บอๆ ของพี่ก้อย ฟาดหน้าหล่อๆ ของพี่วินของเธอเสียจริง
เธอจะได้หัวเราะใส่หน้าเขาดังๆ ว่า เป็นไงล่ะ เจ้าตัวคนที่เฝ้าตามหา กำลังเที่ยวอยู่สบายใจเฉิบ!
เธอได้เบอร์แฟกซ์จากพนักงานกะดึกคนหนึ่งและแจ้งให้กับมารดาทราบ คุณวรวรินทร์เอ่ยท้วงอยู่ประโยคสองประโยค เกี่ยวกับความประหลาดของจดหมายจากพี่สาวเธอ หากเธอก็ไม่สนใจอะไรนอกจากการให้อนาวินได้อ่านแฟกซ์จดหมายฉบับนั้น
“แก้ม แม่ว่ามันประหลาดจริงๆ นะ แม่ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ”
“เอางี้เถอะค่ะ เดี๋ยวพี่วินดูเค้าก็รู้เองน่ะแหละ แต่ก้อยว่าไม่มีอะไรหรอก จะมีอะไรไปได้ยังไง” ไอรดาตัดบท หากแต่รู้สึกได้กระทั่งความไม่มั่นใจของตัวเอง
“ถ้าวินเค้ารู้อะไร โทรมาบอกแม่นะ”
“ค่ะ ถ้ามีอะไรสำคัญแล้วแก้มจะโทรไปบอก แม่ไปนอนเถอะนะคะ”
“จ้ะ”
หลังจากวางสายจากมารดาแล้ว เธอจึงรีบขอให้พนักงานต่อสายภายในไปยังห้องพักของชายหนุ่มที่ตอนนี้คงจะหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า
“ฮัลโหล” อนาวินส่งเสียงงัวเงียมาตามสาย
“แก้มเองนะ” เธอประกาศตัวเพราะไม่อยากให้อนาวินคิดว่า เสียงเธอเป็นเสียงพี่สาว เพราะเสียงของแฝดทั้งสองเหมือนกันมากจนกระทั่งแม้แต่มารดาเธอก็ยังจับไม่ได้หากพูดเพียงประโยคสั้นๆ
“แก้มเพิ่งได้ข่าวว่า พี่ก้อยอยู่ระยอง คุณแม่เพิ่งโทรมาบอกตะกี้” เธอพูดต่อด้วยเสียงติดจะเยาะ เธอได้ยินอนาวินส่งเสียงตอบกลับมาอย่างแปลกใจ
“ระยองงั้นเหรอ”
“ใช่ระยอง อยากอ่านจดหมายพี่ก้อยมั้ย แก้มให้คุณแม่ช่วยแฟกซ์มาที่ล็อบบี้ เป็นไงล่ะ เราตามหาแทบตายกับรหัสบ้านั่น แล้วสุดท้าย เห๊อะ พี่ก้อยกำลังอยู่ระยอง ไม่ใช่ที่นี่ซักหน่อย”
“รออยู่ที่ล็อบบี้นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปหา” อนาวินวางสายอย่างเร่งร้อน ... ระยองงั้นเหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้เลย เขาคิดว่ามันคือรหัสอีกฉบับหนึ่งต่างหาก เขาต้องได้เห็นมัน!!
เครื่องโทรสารพิมพ์สิ่งที่ส่งผ่านสัญญาณจากกรุงเทพฯ ออกมาช้าๆ อนาวินแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นมัน เขาแทบกระชากกระดาษยาวๆ นั่นออกจากเครื่องด้วยความร้อนใจ ในขณะที่ไอรดามองกิริยานั้นอย่างขมขื่น
แฟกซ์จดหมายของวาฤดีถูกหยิบออกมาอ่านทันที่ ที่เครื่องพิมพ์ออกมาเสร็จ คิ้วทั้งคู่ของอนาวินขมวดมุ่นเล็กน้อย ... ไม่ใช่รหัสแบบเดิม .. หรือว่าจะไม่ใช่รหัสเลยนะ
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + +
หนีห่าววววววววววว
\\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\
ที่บ้านเป็นยังไงบ้างคะ คงไม่ได้ไปตามก้อยที่เชียงใหม่นะ ไม่งั้น
ที่บ้านต้องไปเก้ออ่ะค่ะ เพราะตอนนี้ก้อยอยู่ระยองต่างหาก เดานะคะ
ก้อยว่าคนที่อ่านจดหมายอยู่ต้องตกใจมากๆ แน่ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ
และคงจะตาโตเป็นไข่ห่านเลยล่ะสิคะ โดนก้อยอำเข้าแล้ว หุหุ
นี่แหละน้า จุดบอดของที่บ้าน เชื่อคนง่ายกันจริง รู้มั้ยคะ ว่าต้องหัด
สังเกตบ้างนะ อ่อ ใกล้ๆนี้ ก้อยก็คงกลับแล้วล่ะ ไม่ต้องตามมานะ
อ๊ะ เชื่ออีกแล้วสิ ชั้นเชิงไม่มีกันซะเลย! หึ ล้อเล่นค่ะ ก้อยจะกลับ
จริงๆนะ ว่าแต่พี่วินเขาเป็นไงบ้างคะ เขาต้องไม่หลงกลก้อยแน่
พออยู่นี่คนเดียวนะ เหมือนก้อยสลักคำว่าโง่ไว้บนหัว เพราะโดนต้มตลอด =_=
เมื่อเช้า ก้อยก็เอาอีกแล้วไปซื้อเพชรมาจากชาวบ้านก็นึกว่าถูก แหม...
ที่ไหนได้ ปลอมซะงั้น ก้อยก็เห็นเป็นชายแก่ๆ ก็เลยประมาท ซวยเลย
พอเสียโง่ซะอย่างงี้ ก้อยก็คิดถึงคนสองคนขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
ก็พี่วินกับแก้มนั่นเอง เพราะถ้ามากันสามคนล่ะก็ไม่เป็นงี้แหง
แต่มาคนเดียวก็ดีอยู่อย่างคือ ก้อยจะได้หัดมีสมองคิดเอาเองบ้าง
คอยให้คนอื่นคิดแทนตลอดนี่ก้อยแทบอยากจะชักเอาปืนมายิงตัวตาย
เพราะรำคาญตัวเองจริงๆ ค่ะ อ่อ คุณแม่คะ ทะเลที่ระยองก็สวย
ไม่หยอกเลยนะ คุณแม่น่าจะมาดูที่ทางเอาไว้สร้างเป็นวังย่อมๆ
เหมือนบ้านที่ชะอำของเราบ้าง ก้อยนะ จะแจ้นมาเที่ยวบ่อยๆ ให้ตัวดำ
เป็นเหนี่ยงไปเลย อิอิ เอาแค่นี้ดีกว่า เขียนยาวแล้ว คิดถึงทุกคนนะ ^^
\\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\ \\
ก้อย
ปล. T^T ก้อยเพิ่งรู้ตัวล่ะว่าลืมมือถือไว้ที่ห้อง รันทดชีวิตตัวเองซะจริง
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + +
ชายหนุ่มพิจารณาทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรของจดหมายฉบับนั้น การส่งโทรสารระยะไกลผนวกกับคุณภาพเครื่องโทรสารที่ไม่ดีนัก ทำให้ตัวอักษรที่วาฤดีเขียนพร่าเลือนและกระด่างดำเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น อนาวินก็ยังเพ่งพินิจมันอย่างสังเกตสังกา พยายามระลึกถึงรหัสเก่าๆ ที่วาฤดีเคยเขียนให้เขาทายเล่น ...
“จะดูอะไรนักหนา ไม่ต้องมาบอกเลยนะ ว่าไอ้จดหมายนี่ก็มีรหัสซ่อนอยู่อีก ... แก้มล่ะอยากจะแว่บไประยองเสียเดี๋ยวนี้เลย ไปดูว่าพี่ก้อยกำลังหัวเราะร่าแค่ไหน ... ไงคะ ไม่มีใช่ม๊า พี่ก้อยก็แค่แกล้งเราเล่นน่ะ จดหมายฉบับแรกนั่น อาจจะบังเอิญก็ได้ด้วยซ้ำ”
“แก้มจดหมายนั่นไม่ใช่ความบังเอิญ ฉบับนี้ก็ไม่ใช่ ... ก้อยซ่อนรหัสไว้อีกแล้ว” อนาวินเอ่ยเบาๆ แล้วหันไปขอดินสอจากพนักงานผู้ซึ่งมีสีหน้างงงวยไม่แพ้กับไอรดาเลยทีเดียว
“ไม่จริงอ่ะ ไม่เห็นมีอะไรสักนิด”
“แก้ม ถ้ามันไม่มีอะไรล่ะก็ ก้อยต้องติดต่อที่บ้านติดต่อพวกเราบ้างแล้ว ไม่ใช่ส่งมาแค่จดหมายพวกนี้ เหตุผลอะไรที่ทำให้ก้อยทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ถึงจะบอกว่าลืมก็โทรสาธารณะสิ ไม่ใช่หายเงียบแล้วก็ส่งมาแต่จดหมายเนี่ย ...” อนาวินกระชากเสียงถาม
“พี่ก้อยอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นก็ได้ หรืออาจจะ ” ไอรดาหยุดเถียงเสียเอง เมื่อสำนึกตัวว่าเหตุผลของเธอมันไม่เข้าท่าสักนิด แต่แล้วเธออดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อว่า
“แล้วทำไมคนร้ายถึงยอมให้พี่ก้อยเขียนอะไรแบบนี้มาล่ะคะ ถ้าพี่ก้อยโดนจับไปจริง ไอ้คนๆ นั้นมันจะต้องการอะไร”
“พี่ไม่รู้ พี่รู้แต่ว่าพี่ต้องตามหาก้อยให้พบให้ได้” อนาวินเอ่ยเสียงเครียด ก่อนจะก้มตัวลงไปพิจารณากระดาษแฟกซ์จดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง
ไอรดาเห็นอนาวินที่จดจ่ออยู่กับกระดาษในมือก็ชะโงกดูบ้าง แต่เธอก็ยังไม่เชื่อสักนิดเดียวว่าจดหมายฉบับนี้จะมีอะไรประหลาดๆ ซ่อนไว้อีก ... ก็เพียงจดหมายธรรมดาๆ หากแต่ใจของเธอเริ่มเต้นตึกตัก ... ถ้ามันไม่ใช่เพียงจดหมายธรรมดาล่ะ ถ้ามันมีอะไรอยู่ในนั้นอีกเหมือนกับที่มีมาแล้วในฉบับแรก ไอรดาคิดถึงความเป็นไปได้นั้นพร้อมกับที่รู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านน้อยๆ ที่แล่นปราดไปทั่วกาย
เธอกำลังกลัวอะไร? ไม่มีอะไรจำเป็นต้องเป็นห่วงหรอกน่า ไอรดาดุตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะหันไปตั้งใจดูอนาวินแกะรหัสจากจดหมายของแฝดผู้พี่พร้อมความกลัวที่ยังไม่จางหายไป
อีกมุมหนึ่งของเกาะช้าง ชายคนหนึ่งกำลังกดโทรศัพท์มือถือต่อสายด้วยความเคร่งเครียด เขาเหลือบตามองประตูไม้สีซีดด้านข้างอย่างพะวักพะวน หากจนแล้วจนเล่าปลายสายยังไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมา เขาสบถอย่างหัวเสีย เตะเท้าเข้ากับประตูห้องเก่านั้นดังปึง
“ทำไมถึงไม่รับสายนะ ปิดมือถือทำบ้าอะไรน่ะ ผ่าสิ”
เมื่อความพยายามไม่เป็นผล เขาจึงลดโทรศัพท์ลง เงี่ยหูฟังเสียงภายในห้อง บัดนี้ เสียงตึงตังในห้องได้เงียบลงไปแล้ว เลือดในกายเขาเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว มือสั่นเทาเคาะประตูเบาๆ
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามผู้ที่ถูกกักขังภายใน
“ยังไม่ตาย ฉันยังไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก”
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจับคุณมาทำไม ไม่เข้าใจเรื่องบ้าๆ นี่เลย” ชายหนุ่มรำพึง ราวกับพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
“ฉันรู้ และอาจจะรู้มากกว่าที่นายคิดเสียอีก” หญิงสาวในห้องตอบอย่างอาจหาญ ปราศจากเสียงครวญครางและสะอื้นไห้ที่เคยดังเมื่อเพียงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
“หายปวดท้องแล้วเหรอ ใช้ยาที่ให้ไปแล้วใช่มั้ย”
“ใช้แล้ว” เสียงตอบกลับมานั้นเข้มลึก จนไม่เหลือเค้าของความอ่อนแอ
“คุณเป็นหนักขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มเอนหลังพิงประตูอย่างเหนื่อยอ่อน เขารูดตัวนั่งลงแนบกับประตูห้อง รู้สึกราวกับว่า ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมจิตใจของเขามีน้ำหนักมากขึ้นทุกที
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่ที่คุณเพิ่งรับไปน่ะ มันแสดงว่าคุณยิ่งกว่าเป็นอะไรซะอีกนะ!” ชายหนุ่มตอบโต้กลับไป พลางคิดถึงยากดประสาทอย่างแรงที่เขาต้อไปแสวงหามาอย่างยากลำบากเพราะความที่มันจะใช้กับเฉพาะคนไข้อาการหนักที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสเท่านั้น
เขานึกแปลกใจนัก เมื่อตอนที่เธอผู้อยู่ในห้อง เรียกร้องให้เขาไปหายาตัวนี้มา เมื่อวานนี้ แต่เมื่อได้มาเห็นสภาพของเธอแล้ว....เขาก็ยิ่งแปลกใจหนัก
เพียงแต่คราวนี้ เขาแปลกใจว่า หญิงสาวตัวเล็กแบบบางอมโรคเช่นเธอ ทนมันเข้าไปได้อย่างไร!
ชายหนุ่มพยายามเลิกคิดถึงอาการของเธอ ทว่า ความคิดที่แว่บเข้ามาในสมองของเขาต่อมา ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนกมากกว่าเก่า
เขารีบเค้นเสียงถามไป ด้วยความหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับการปฏิเสธ
“คุณเคยใช้มันมาก่อนใช่มั้ย” ชายหนุ่มเงี่ยงหูฟังคำตอบจากในห้อง หากเขาไม่ได้รับทั้งการตอบรับหรือการปฏิเสธ ชายหนุ่มได้ยินเพียงเสียงแค่นหัวเราะขมขื่นกลับมาเท่านั้น
“เค้ารู้มั้ย?”
“เค้า? นายหมายถึงใครล่ะ”
“ก็คนที่บอกให้ผมจับคุณมาน่ะสิ!”
“รู้ รู้เสียยิ่งกว่ารู้” เสียงนั้นผสมทั้งน้ำเสียงเสียดสีและประชดประชัน หัวใจชายหนุ่มตกวูบกับข้อความที่ได้รับรู้
“ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย คุณต้องไม่เป็นไรนะ ผมจะพาคุณออกไป ผมไม่เล่นด้วยแล้ว ผมไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว!” ชายหนุ่มตะโกนบอกคนในห้องอย่างอดรนทนไม่ได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่เขาคำนึงถึงตั้งแต่นาทีแรกที่รับงานนี้มา
ใช่...เขาไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว...
เขาผุดตัวลุกขึ้น มือคว้าลูกบิดประตู แต่แล้วก็ต้องชะงักอย่างแรง เมื่อได้ยินเสียงท้วงเย้ยหยันจากภายในห้อง
“ทำได้จริงเหรอ? เลิกงานนี้ได้แน่เหรอ? ไม่กลัวเค้าโกรธรึไง?”
“ผมไม่ได้กลัว ผมไม่...”
“หึ นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันกำลังรู้สึกดี ดีมากๆ ด้วย” สำหรับผู้ฟังแล้ว คำพูดของหญิงสาวในห้องดูเป็นคำพูดที่เย้ยหยันต่อโชคชะตามากกว่ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หากแต่เขาก็จำนนต่อเหตุผล
เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็เลิกงานนี้ไม่ได้จริงๆ เสียด้วย!
“เมื่อไหร่เรื่องนี้มันจะจบๆ ลงไปซะที”
“ใกล้แล้วล่ะ ฉันภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้นทุกวัน”
“ผมก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้น คุณต้องรีบกลับไปผ่าตัดนะ”
หญิงสาวภายในห้องไม่สนใจจะต่อความมากขึ้นไปอีก เธอส่งเสียงเนือยๆ บอกความประสงค์ของตนว่า
“ฉันอยากได้ปากกากับกระดาษ”
“ผมไม่ยอมให้คุณเขียนจดหมายอีกแล้วนะ”
“อื้มมม...รู้แล้วสินะ”
“ผมไม่ได้โง่นี่ ไอ้จดหมายบ้าๆ ที่คุณเขียนส่งไปน่ะ คุณไม่มีวันได้เขียนมันอีกแล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้ว่านายโง่ซะหน่อย แต่ฉันแค่อยากวาดรูปเล่น แค่วาดรูปเล่นคงไม่เป็นไรละมั้ง ความสุขเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ นายก็ให้ฉันไม่ได้เหรอ”
เธอรู้ดีว่าเพราะประโยคสุดท้ายนั่นเอง ที่ทำให้เธอได้ตามต้องการ  เธอหยุดเล็กน้อยให้บุคคลที่ยืนอยู่หน้าห้องตัดสินใจ ก่อนจะเสริมว่า
“และถ้ามันไม่ยากไป ฉันอยากได้สีมาระบายด้วยนะ ห้องนี้มันดูจืดๆ ไปหน่อย”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น