ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ++(The Hidden Code of Love: รหัสลับฉบับรัก)++

    ลำดับตอนที่ #5 : หัวใจที่ล็อคกุญแจไว้

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 48


    -4-

    หัวใจที่ล็อคกุญแจไว้





    ไอรดาและอนาวินมาถึงเกาะช้างได้ในที่สุด ชายหนุ่มดีใจที่อย่างน้อยรถยนต์ที่เขาอุตส่าห์ขับบึ่งมานั้นสามารถนำข้ามเรือมาใช้ประโยชน์ที่เกาะช้างได้ เพราะการเดินทางโดยรถยนต์นั้นกินเวลายาวถึง 5 ชั่วโมง ทั้งๆที่เขาไม่ได้หยุดพักที่ใดเลย



    ส่วนไอรดา แทบจะถือว่า การออกตามหาพี่สาวในครั้งนี้ เป็นการพักผ่อน เธอมองทิวทัศน์ที่จุดขึ้นเรือท่าด่านใหม่หาที่พักสายตา หากแต่ผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าการนั่งอยู่ในรถเป็นเวลาเสียอีก เฉพาะที่ท่าเรือแห่งนี้ ไอรดาก็ตระหนักแล้วว่า เกาะช้างเป็นเกาะที่ได้รับความนิยมพอตัวเลยทีเดียว เธอชักจะนับถือในความคิดของผู้ที่พาพี่สาวของเธอมาซ่อน ... ช่างเลือกสรรได้เหมาะเจาะนัก



    “อย่างนี้ เราจะมีโอกาสหาพี่ก้อยเจอมั้ยเนี่ย” เธอเปรยขึ้นมาเบาๆ พลางเหลียวมองปฏิกิริยาของชายหนุ่มข้างกาย อนาวินนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยินเสียงของเธอ หากมือที่กำพวงมาลัยอยู่กลับกดแน่น จากนั้นอีกนานทีเดียว กว่าอนาวินจะเอ่ยปากออกมา



    “พี่ว่า เราไปหาที่พักกันก่อนแล้วกัน นี่ก็เย็นมากแล้ว”



    ไอรดาพยักหน้าอย่างอึดอัด เธอกวาดสายตาออกนอกรถไปอย่างไร้จุดหมาย ... อย่างน้อย มันก็ดีกว่านั่งมองหน้าคนข้างๆ ก็แล้วกัน เจ็บปวดน้อยกว่า เสียดแทงหัวใจน้อยกว่า ...



    ไอรดาขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ เมื่อสายตาเธอปะป่ายไปพบกับชายหนุ่มร่างหนา ที่ทนยอมให้เธอโขกสับอยู่หลายปี

    “พี่วินคะ นั่นนายบิ๊กนี่”



    “บิ๊ก?”



    “ค่ะ คนที่เพิ่งลงมาจากรถสีน้ำเงินคันนั้นไงคะ” ไอรดาชี้มือไปยังชายหนุ่มที่กำลังจอดเจรจาต่อราคากับรถโดยสารอยู่ข้างหน้า พออนาวินเห็นชายที่เพิ่งก้าวลงจากรถถนัดตาก็รำพึงออกมาว่า



    “ใช่จริงๆ ซะด้วย”



    “นายนั่นเค้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ เห็นมั้ยคะพี่วิน หมอนั่นอยู่ๆ ก็มาโผล่ที่เกาะช้าง ไม่น่าไว้ใจเลย มันต้องเป็นคนที่จับพี่ก้อยมาแน่ๆ”



    “แก้ม ก็เห็นอยู่นะว่าบิ๊กก็เพิ่งออกจากท่ามาหมาดๆ เหมือนเราน่ะแหละ” อนาวินส่งเสียงปราม เขาเร่งรถไปเทียบเพื่อนชายสมัยเด็ก ก่อนจะลดกระจกลงเรียก



    “บิ๊ก บิ๊ก ... ทางนี้” วูบหนึ่ง อนาวินรู้สึกเหมือนกับว่าบิ๊ก หรือนายเอกบดินทร์ จะรู้ถึงการคงอยู่ของเขาแต่แรกแล้ว แต่ความรู้สึกนั้นดำรงอยู่เพียงครู่เดียว อนาวินก็สลัดมันทิ้งไป เพราะเขาคิดว่าการที่เขานึกหวาดระแวงเพื่อนคนนี้ก็เพราะความคิดที่ไอรดาพยายามยัดเยียดใส่เขาอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส



    เอกบดินทร์กระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายบนหลัง แล้วเดินตรงมายังรถที่จอดเทียบข้างถนน เขาก้มลงพินิจคนที่อยู่ภายในก็เห็นหญิงสาวในทรงผมสั้นทันสมัยนั่งหน้าบึ้งอยู่ภายใน อีกด้านหนึ่งเป็นเพื่อนที่เขาจำได้ดี



    “หวัดดี ไม่คิดเลยนะว่านายสองคนจะมาด้วยกันได้ มาทำอะไรกันที่นี่เหรอ” เอกบดินทร์ทัก



    “นายล่ะมาทำอะไรที่นี่” ไอรดาสวนทันควัน



    “พักผ่อน ลาพักร้อนไว้” เอกบดินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนจะมองเลยไปยังชายหนุ่มที่นั่งประจำที่คนขับ



    “นายพาแฝดมาผิดคนรึป่าววะ ไอ้วิน”



    “ไม่ต้องมาแกล้งถาม นายเอาพี่ก้อยไปไว้ไหนบอกมานะ” ไอรดาตวาดถามเสียงสูง เอกบดินทร์มองเธออย่างแปลกใจ ก่อนจะเลือกพูดกับอนาวินอีกว่า



    “ก้อยไปไหนเหรอ” เสียงบีบแตรจากรถคันหลัง ทำให้อนาวินยังไม่อธิบายอะไร



    “ขึ้นมาก่อนสิ” ชายหนุ่มชวนเพื่อนของเขาขึ้นรถด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่สบายใจของเขา เอกบดินทร์รู้สึกได้ถึงปัญหาหนักอกของคนทั้งสองบนรถ เขารีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะหลังทันที



    “มีอะไรวะ”



    “ก็นายทำอะไรไว้ล่ะ”



    “แก้ม เงียบน่า” อนาวินส่งเสียงขุ่น ก่อนจะไปอธิบายให้กับผู้มาใหม่ฟังคร่าวๆ ว่า



    “ก้อยหายไป เราคิดว่าก้อยถูกจับตัวไปน่ะ”



    “คิดว่า? ทำไมถึงคิดว่าอย่างนั้นล่ะ ก้อยอาจจะไปเที่ยวไหนก็ได้นี่”



    “ฉันก็อยากจะคิดอย่างนั้น แต่นายก็รู้อยู่ว่าก้อยจะต้องผ่าตัดอยู่อาทิตย์หน้าอยู่แล้ว แถมยังแทบไม่เคยออกไปไหนคนเดียวด้วย แล้วอยู่ดีๆ คนอย่างก้อยจะดอดหนีออกจากบ้านโดยไม่บอกใครน่ะเหรอ”



    “อาจเป็นไปได้ก็ได้ เค้าอาจจะเครียดที่จะต้องผ่าตัด ก็เลยอยากออกไปไหนๆ ที่โรงพยาบาลที่ฉันทำอยู่ก็มีกรณีนี้อยู่บ้างเหมือนกันนะ พอจะถึงวันผ่าตัดอยู่ๆ ญาติคนไข้ก็โทรมาขอยกเลิกเพราะคนไข้ไม่พร้อม เรามารู้อีกทีว่าคนไข้หนีหายไปซะงั้นอ่ะ” เอกบดินทร์คาดคะเน พลางสอดใส่ข้อสังเกตของศัลยแพทย์มือใหม่เข้าไปเล็กน้อย



    “ไม่หรอก ฉันแน่ใจ อีกอย่างเรานัดกันไว้ ก้อยบอกจะรอฉัน”



    “นัด?” ไอรดาทวนคำของอนาวินอย่างเจ็บปวด แต่น้ำเสียงไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ นอกเหนือจากความแปลกใจ เธอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างหนักเพื่อเก็บคำต่อว่าที่คิดไว้อยู่แต่ในใจเท่านั้น ... ก็เธอจะน้อยใจอะไรได้ ในเมื่อเธอเป็นเพียง ’คนอื่น’



    “มีเหตุผลอีกอย่างเหรอที่ทำให้นายมั่นใจว่าก้อยถูกจับไปน่ะ หรือว่าคนร้ายติดต่อมา?”  เอกบดินทร์พูดสิ่งที่ตัวเองรู้สึกโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของหญิงสาวคนเดียวในรถ



    “ก้อยบอกกับฉัน ก้อยทิ้งจดหมายไว้ และในนั้นบอกชัดว่า เธอถูกจับไป” อนาวินพูดพลางควักจดหมายออกจากอกยื่นให้เพื่อนดู



    เอกบดินทร์มองจดหมายอย่างงุนงง ถ้าไม่ใช่รอยวงดินสอจางๆ ในบางคำของจดหมาย เขาไม่มีทางคาดคิดเด็ดขาดว่าจดหมายธรรมดาๆ ในมือเขานี้ จะบอกความนัยแบบนั้น



    “ที่นี่งั้นเหรอ แล้วนายจะเริ่มต้นยังไง”



    “ไม่รู้สิ”



    “หา นี่นายแจ้นมาถึงเกาะช้างโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ .. นี่จัดการแจ้งตำรวจรึยังเนี่ย”



    “นายคิดว่าตำรวจจะเชื่อไอ้จดหมายที่นายถืออยู่รึป่าวล่ะ” อนาวินเหลือบตามองเพื่อนตัวหนาที่ปั้นหน้าพิกลจากกระจกมองหลัง ก่อนจะพูดต่อว่า



    “นั่นแหละ เหตุผลที่ฉันยังไม่แจ้งตำรวจล่ะ”



    “นี่ ขอเวลานอกนะ ... พี่วินจะขับไปถึงไหนคะเนี่ย เราจะหาที่พักกันไม่ใช่เหรอ”



    “อ่อ ใช่สินะ ... งั้นเราก็พักที่นี่เลยแล้วกัน” อนาวินสรุปเบาๆ เมื่อหันไปมองนอกตัวรถแล้วพบรีสอร์ทเก่าๆ ริมทาง



    รีสอร์ทที่คนทั้งสามเข้าพักนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่รีสอร์ตที่อยู่ในเขตอ่าวสับปะรดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือนัก อนาวินจอดรถที่ด้านหน้าล็อบบี้ แล้วเดินนำไอรดาและเอกบดินทร์เข้าไปภายใน ตัวรีสอร์ทกลางเก่ากลางใหม่แห่งนี้แฝงกลิ่นอายชนบทอยู่มาก ที่พักเป็นบ้านไม้ง่ายๆ และมีอยู่เพียงไม่กี่หลัง



    โชคดีของทั้งสามคน ที่รีสอร์ทมีห้องว่างพอ  อนาวินจัดการให้ตัวเองนอนห้องเดียวกับเอกบดินทร์ และให้ไอรดานอนแยกอยู่ต่างหาก

    กว่าทั้งสามจะจัดการเก็บข้าวของและจัดการธุระส่วนตัวของตนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปาไปเกือบทุ่ม อนาวินและเอกบดินทร์เดินไปเรียกไอรดาที่ห้องพักซึ่งเป็นบ้านขนาดเล็กที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านของชายหนุ่มทั้งสองนัก เพื่อไปทานอาหารค่ำด้วยกัน



    อาหารมื้อนั้น ช่างเป็นมื้อที่แสนอึดอัดของไอรดา ไม่เพียงเธอต้องทนทานอาหารร่วมโต๊ะกับอริเก่าแก่ แล้วยังต้องมานั่งประจันหน้ากับหนุ่มเจ้าของหัวใจเธอ ผู้ชายที่เธอรู้ดีว่า ไม่มีทางได้มาครอบครอง



    “พรุ่งนี้จะเริ่มต้นตามหาก้อยกันยังไง” อนาวินเริ่มเรื่อง เมื่อจานของหวานถูกยกออกจากโต๊ะ



    “อย่าหาว่าฉันถามอะไรโง่ๆ เลยนะ นายได้ลองโทรหาก้อยบ้างรึป่าว”



    “โง่จริงๆ ซะด้วย” ไอรดาพึมพำ แต่ชายหนุ่มทั้งสองไม่สนใจ เพราะคนหนึ่งนั้นรู้ดีว่าไอรดาไม่เคยที่จะพลาดโอกาสแขวะกัดเขา ส่วนอีกคนหนึ่งก็เคยชินต่อปฏิกิริยาต่อต้านที่ไอรดามีต่อเพื่อนเขาเสมอ



    “โทรแล้วสิ แต่ก้อยทิ้งมือถือไว้ที่บ้านน่ะแหละ”



    “กรรม” เอกบดินทร์งืมงำในคอเบาๆ ใบหน้าหยาบกร้านในแว่นตากรอบดำหนาครุ่นคิด ก่อนจะออกความเห็นคิดว่า



    “ถ้าอย่างนั้น ฉันว่าพรุ่งนี้เราคอยเดินหาร่องรอยตามท่าเรือก่อนดีกว่า เผื่อว่ามีใครสักคนจำก้อยได้”



    “เชื่อคำพูดคนร้ายก็คงจะเจอหรอกนะ” ไอรดาอดไม่ได้ที่จะค้านขึ้นมา แม้ว่าจะเห็นพ้องกับความคิดนั้นเช่นกัน



    “ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะลองไปถามๆ คนที่นี่ดูว่า พอจะมีแผนที่ หรือว่าคำแนะนำอะไรบ้างมั้ย ถ้ายังไงเราแยกย้ายกันไปพักก่อนแล้วกันพรุ่งนี้เจอกัน 6 โมงนะ” อนาวินสรุป







    วันรุ่งขึ้นของอนาวินเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่จวบจนพระอาทิตย์จะตกดิน ความหวังของเขาก็ยังคงไม่เห็นผล ไม่มีแม้วี่แววการระลึกได้จากแววตาของคนทุกคนที่ทำงานประจำอยู่ในแต่ละท่าที่เขาเที่ยวตามสอบถาม ไล่ตั้งแต่ท่าเรือบนอ่าวสับปะรด ลงไปจนจรดถึงอ่าวสลักเพชร



    พวกเขาตามหาวาฤดีมาเกือบจะครบทุกท่าเรือแล้ว ... แต่ยังไม่พบ ทั้งสามกลับที่พักพร้อมความเหนื่อยอ่อนและผิดหวัง



    “พรุ่งนี้เช็คเอาท์จากที่นี่ แล้วไปลองหาก้อยที่ทางอีกฝั่งของเกาะแล้วกัน ก้อยอาจจะอยู่ทางนั้นก็ได้” เอกบดินทร์พยายามปลุกปลอบความหวังให้แก่อนาวินที่เคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ



    “อีกฝั่ง? นายคิดว่า คนร้ายจะพาพี่ก้อยนั่งอ้อมไปอีกฝั่งทำไม ในเมื่อขึ้นท่าที่ด้านนี้มันไวกว่าน่ะ” ไอรดาขัด



    “คนร้ายอาจจะเอาก้อยไปแอบไว้ฝั่งนั้นก็ได้นี่ องค์หญิง” เอกบดินทร์สวนกลับไปทันควัน



    “เลิกเรียกฉันอย่างนั้นได้มั้ย นั่นมันฉายาตั้งแต่สมัยประถม แล้วอีกอย่างนะ ไอ้ฝั่งด้านโน้นน่ะ คนพลุ่กพล่านจะตายไป นักท่องเที่ยวเอย รีสอร์ทเอย เต็มไปหมด ฉันไม่คิดว่ามันจะบ้าพาไปด้านนั้นหรอกนะ” ไอรดาเอ่ยถึงอีกด้านหนึ่งของเกาะซึ่งพวกเขายังไม่ได้ตระเวนไปถึง เพราะเป็นฝั่งที่มีท่าเรือน้อยกว่า ซ้ำยังเต็มไปด้วยรีสอร์ทท่องเที่ยว



    “ไม่แน่นะก้อย มันอาจจะพาไปในที่ๆ เราคาดไม่ถึง” อนาวินเอ่ยท้วง เพราะเขาไม่อยากละทิ้งหนทางใดๆ แม้ทางเดียว ถึงแม้ว่าทางนั้นจะมีความเป็นไปได้น้อยนิดแค่ไหน



    “ก้อยถามหน่อยเถอะ ถ้ามันเอาไปพี่ก้อยไปขังไว้กลางป่า เราจะมีปัญญาหาพี่ก้อยพบเหรอ” ไอรดาถามคำถามที่เหมือนตีแสกหน้าอนาวินเข้าอย่างจัง



    “ยังไงเราก็จะตามหาต่อไป” อนาวินประกาศ ก่อนจะผละออกจากกลุ่มไปด้วยความอ่อนล้าที่แผ่คลุมเต็มหัวใจ



    “องค์หญิง อยากให้ไอ้วินมันคลั่งตายรึไง ความหวังนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ให้มันไม่ได้รึไงกัน”



    “ฉันไม่ได้อยากให้เค้าคลั่งตาย ฉันไม่เคยต้องการอย่างนั้น แล้วฉันบอกเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้งว่าเลิกเรียกฉันว่าองค์หญิงเสียที”



    “สุดแต่องค์หญิงจะบัญชา” ชายหนุ่มกล่าวพลางค้อมหัวล้อเลียน



    “นายบิ๊ก!!” หญิงสาวตวาดด้วยความไม่ได้ดั่งใจ เอกบดินทร์ยังคงค้อมตัวไว้เช่นนั้น จนกระทั่งเธอสะบัดหน้าพรึดกลับไปยังห้องพัก เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง



    “ผมตามใจคุณทุกอย่างนะ ต้องการอะไร สั่งอะไรผมก็ทำทั้งนั้น คุณเถอะ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร คุณต้องการอะไรกันแน่ ....องค์หญิง”







    เวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆ ต่อมานั้นถูกอุทิศไปกับการตามหาตามหาดต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในเช้าของวันที่สามบนเกาะช้าง อนาวิน เอกบดินทร์และไอรดา นั่งพักอยู่ในโรงแรมที่พักแห่งใหม่ ในอีกฟากของเกาะ



    พอพวกเขาตั้งท่าว่าจะออกตามหาวาฤดี ไอรดาก็รับโทรศัพท์จากคุณวรวรินทร์ที่ไปตามตัวพี่สาวของเธอที่เชียงใหม่ว่าไม่พบเห็นร่องรอยจากที่ใดทั้งสิ้น นั่นทำให้คุณวรวรินทร์แทบจะแจ้งตำรวจทันที หากแต่ไอรดาพยายามปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับบ้าน ทีแรกไอรดาแทบจะบอกไปว่าเธอกำลังอยู่ที่ใดและทำอะไรอยู่ แต่อนาวินก็สั่นหน้าห้ามเธอไว้ทัน



    ใช่ล่ะ คุณแม่เธอไม่ควรเป็นห่วงเป็นใยพี่ก้อยไปมากกว่านี้



    “แม่กลับไปเถอะนะคะ แก้มจะพยายามตามหาพี่ก้อยให้ได้” ไอรดากรอกเสียงลงในโทรศัพท์มือถือ ตาเหลือบดูพี่วินกับนายบิ๊กของเธอเป็นระยะๆ หวังว่าปากเสียๆ ของตนจะไม่พูดอะไรโพล่งออกไปจนเป็นการทำร้ายจิตใจมารดา



    “นี่ตกลงแก้มอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย เราไม่ได้อยู่บ้านหรอกเหรอ”



    “แก้ม ... แก้มอยู่กับพี่วินแล้วก็นายบิ๊กน่ะค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ แก้มอยากให้แม่กลับไปรอพี่ก้อยที่บ้าน เผื่อว่าพี่ก้อยเค้าจะติดต่อกลับมา”



    “ได้แม่จะกลับไปรอที่บ้าน” คุณวรวรินทร์รับคำในที่สุด



    “ค่ะ พี่ก้อยปลอดภัยแน่ๆ ค่ะแม่” ไอรดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะกดวางสาย



    “เอาล่ะค่ะ วันนี้ เราจะไปหาพี่ก้อยที่ไหนดีคะ”







    เช่นเดิมกับเมื่อสองคืนก่อน การตามหาวาฤดีจบลงที่การทะเลาะเบาะแว้ง ความคิดเห็นไม่ลงรอยกันของเธอกับอริเก่า เพียงแต่ครั้งนี้ นายบิ๊กถึงขนาดเปิดหนีกลับกรุงเทพฯ ด้วยข้ออ้างว่าหมดเวลาพักร้อนของเขาแล้ว



    “ฉันล่ะเบื่อกับการทะเลาะกับท่านจริงๆว่ะ วิน อีกอย่าง ฉันลางานมาไม่กี่วัน นี่ก็หยุดจนเต็มแม็คแล้ว คงต้องกลับก่อน ถ้ามีอะไรให้ช่วยทางโน้นก็บอกแล้วกัน” เอกบดินทร์กล่าวหลังจากเพิ่งปะทะคารมกับหญิงสาวปากกล้ามาสดๆ ร้อนๆ น้ำเสียงเหน็บแหนมเมื่อครั้งที่เรียกเธอว่า ‘ท่าน’ แทบจะทำให้หญิงสาวปรี่เข้าไปเตะหน้าแข้งแข็งๆ ของเขา



    “ขอบใจมาก แล้วก็อย่าถือสาแก้มเลย ยังไงก็ หึ คู่แกนี่แปลกดีนะ” อนาวินบอกเรียบๆ ขณะตบมือลงบนบ่าของเพื่อนชายตัวหนา เอกบดินทร์เหล่ตามามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งเปรยออกมาดังๆ เหมือนกลัวเธอไม่ได้ยิน ว่า



    “โอ้ย ใครจะกล้าไปถือสาองค์หญิง ขอแค่ท่านไม่สั่งกุดหัวฉันทิ้งอีกคนก็เป็นพระกรุณาแล้ว” หญิงสาวได้แต่ถลึงตามองเงาร่างของชายหนุ่มคนนั้น ขณะที่เขาขึ้นเรือไป



    ความเหนื่อยอ่อนที่สั่งสมมาตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเกาะช้าง บวกกับความหงุดหงิดที่มาจากชายหนุ่มที่ชอบทำท่ากวนโมโหเหมือนยอมศิโรราบต่อองค์จักรพรรดินีอย่างเธอทุกครั้งที่เห็นหน้า ทำให้เธอระเบิดอารมณ์ใส่อนาวิน ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว



    “พี่วินดูไอ้พี่บิ๊กนะ กัดซ้ายกัดขวาอยู่ได้ แล้วพี่วินยังมาบอกให้มันไม่ต้องมาถือสาแก้มอีก”



    “ก็เราเป็นซะอย่างเนี้ย” อนาวินเอ่ยด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่แพ้กัน



    “เป็นยังไง แก้มทนกะมันมาสองวันนี่ก็เต็มกลืนจะแย่อยู่แล้ว พี่วินไปฟังมันอยู่ได้ แก้มก็บอกแล้วว่าถ้าจะมีใครเจ็บแค้นเราสองพี่น้องที่สุดก็เป็นอีตานี่นั่นแหละ พี่วินน่ะปกป้องมันแต่เด็กจนโต”



    “หยุดเดี๋ยวนี้นะแก้ม เลิกใส่ร้ายไอ้บิ๊กมันซะที แก้มไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหนนะ ตอนเด็กๆ แก้มไม่เคยเกเรหนักขนาดนี้ซักหน่อย ทำตัวให้มันน่ารักหน่อยสิ พี่ล่ะ ไม่เข้าใจเราเลยจริงๆ”



    “แก้มไม่ได้หวังให้ใครมารักนี่ จะได้ต้องปั้นหน้าทำตัวแสนดีน่ะ ถ้าอยากได้คนดีอย่างนั้น ก็โน่น พี่ก้อยโน่น” ไอรดาสาดคำพูดใส่อนาวินไม่ยั้ง อนาวินชะงักงันกับประโยคในตอนท้ายของเธอ ก่อนจะเค้นเสียงตอบกลับไปอย่างแรงพอกันว่า



    “ถ้าพี่เจอก้อย พี่ก็ไม่อยู่กับเธออยู่แล้ว!”



    “พี่วิน!!” ไอรดาตวาดก้องด้วยความรวดร้าว ชายหนุ่มมองไอรดาด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกัน



    “พี่จะไปนอนแล้ว พรุ่งนี้พี่จะลองขอให้ชาวบ้านพาเข้าไปหาในป่า อาจลองขอให้ตำรวจที่นี่ออกตรวจดู” ไอรดาแค่นหัวเราะให้กับความคิดของอนาวิน พร้อมกับกล่าวว่า



    “พี่วินก็ดีแต่เป็นห่วงพี่ก้อยนั่นแหละ แล้วไง เจอตัวมั้ย เผลอๆ เขาก็แค่หนีเที่ยว ปั่นหัวพวกเราไปวันๆ”



    “พูดให้มันดีๆ นะแก้ม ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยมีความอดทนนักหรอก” จบประโยค อนาวินก็เดินหนีหน้าไปยังห้องพักของตนทันที



    อดทนงั้นเหรอ?...ไอรดามองเงาร่างสูงใหญ่นั้นจนลับตา ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอนาวินเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ...หญิงสาวเดินระเท้าไปตามชายหาด ท้องทะเลคืนนี้ช่างมืดมิด แต่เธอรู้สึกราวกับว่า เงามืดในหัวใจของเธอมืดสนิทยิ่งกว่านี้ กว้างใหญ่ยิ่งกว่านี้ ความทรงจำเก่าๆ ที่เธอพยายามลบเลือนไปจากหัวใจวิ่งย้อนเข้ามาหลอกหลอนสำนึกในใจเธอ





    คืนนั้นก็เกิดขึ้นที่ชายหาด เพียงแต่ว่าลมเบาบางกว่านี้ ท้องฟ้ามีดาวมากกว่าคืนนี้ ชายหนุ่มกำลังคุกเข่าอยู่หน้าเธอ เหมือนเลียนแบบฉากรักโรเมนติก แบบที่เธอคิดว่ามันจะไม่มีผู้ชายคนไหนทำอะไรได้อย่างนั้นอีกแล้ว



    เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอพร้อมรอยยิ้มจริงใจและมีความสุข ดวงตาของเขาระยับยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้า และนั่นเป็นดวงตาที่เธอหลงรัก ชายหนุ่มเอื้อมมือมาดึงมือเธอไปกุมแนบแก้มนุ่ม ไล้มือเธอไปกับความสากบางๆ ที่ปลายคาง ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนปลายนิ้ว พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหลือเกินว่า



    “พี่รักแก้ม”





    ไอรดาปิดกั้นความทรงจำนั้นอย่างรวดเร็ว ยกมือป้ายน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาลวกๆ ความสุขสำหรับเธอมันหมดลงไปแล้ว ความสุขสำหรับเธอไม่มีอีกแล้ว



    “เราจะมีโอกาสกลับมาเหมือนเดิมมั้ยคะ ... ถ้านี่คือโอกาสที่เราได้อยู่ด้วยกันสองคน ... เราจะมีทางกลับมาเหมือนเดิมมั้ย” ไอรดาเดินกลับที่พัก ทอดทิ้งคำพูดนั้นไว้เบื้องหลัง ปล่อยปลิวไปกับสายลม ให้จมดิ่งลงในทะเลอันมืดมิด…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×