ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชายผู้กลับมาพร้อมปัญหา
-1-
ชายผู้กลับมาพร้อมปัญหา
รถเมอร์ซิเดสสีเงินบรอนซ์วนเข้าเทียบหน้าบ้านหลังใหญ่ในซอยราชครู  ตัวบ้านที่ครึ้มไปด้วยร่มเงาต้นไม้ใหญ่ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ ในซอยแห่งนี้ ดูจะทำให้บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความลึกลับมากมายเป็นพิเศษ
เพื่อนบ้านต่างเรียกบ้านนี้ง่ายๆ ว่า บ้านแฝด เพราะไม่เพียงตัวบ้านจงใจทำให้ลักษณะคล้ายกับบ้านที่มีลักษณะเหมือนกันสองหลังที่อยู่ติดเคียงคู่กัน ราวกับว่าบ้านถูกสะท้อนเป็นเงาจากกระจก ด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง ทั้งต้นไม้ก็ปลูกเป็นคู่ รูปปั้นนางฟ้าสององค์จรดเป็นน้ำพุอยู่กลางหน้าบ้านก็เป็นรูปสะท้อนของกันและกัน และที่สำคัญเหนืออื่นใดทั้งหมด
ผู้คนในบ้านหลังนี้ มักจะให้กำเนิดฝาแฝดในแต่ละช่วงอายุคน
วาฤดีและไอรดาเป็นหนึ่งในผลของพันธุกรรมพิเศษในบ้านหลังนี้ คุณวรวรินทร์ แม่ของแฝดทั้งสองก้าวลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปในตัวบ้านด้วยลางสังหรณ์ประหลาดที่วูบวาบขึ้นในอก เธอสูญเสียแฝดผู้พี่ของตนไปเมื่อประมาณห้าปีก่อน และตามมาด้วยการจากไปของสามีในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน สิ่งที่เธอรักและหวงแหนที่สุดในยามที่ไร้ญาติอื่นใดนี้ ก็คือ ลูกสาวทั้งสองคนนั่นเอง
โชคร้าย ที่ลูกสาวคนโตของเธอ ซึ่งคือ วาฤดี ป่วยกระเสาะกระแสะมาแต่เล็ก เธอใช้ความพยายามทั้งแรงกาย แรงใจ และแรงเงินทั้งหมดบันดาลสิ่งใดก็ตามที่การแพทย์จะสามารถทำได้ ในการยื้อชีวิตลูกสาวคนนี้ หลังจากการผ่าตัดโรคหัวใจที่ผ่านพ้นไปด้วยดีเมื่อปีกลาย เธอก็ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อมีการตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณช่องท้องของลูกสาวประมาณอาทิตย์ก่อน นั่นทำให้มีการนัดผ่าตัดอีกครั้ง และเป็นเหตุแห่งการภาวนาคืนแล้วคืนเล่า ให้ก้อนเนื้อนั้นเป็นเพียงก้อนเนื้อธรรมดา
คุณวรวรินทร์เม้มริมฝีปากด้วยความกังวล อยู่ๆ เธอก็รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวขณะกำลังเจรจาเรื่องงานอยู่ต่างจังหวัด จึงต้องรีบให้คนขับรถขับกลับบ้าน คุณวรวรินทร์รีบสาวเท้ายาวๆ ไปยังบันได หวังจะขึ้นไปสำรวจความเป็นอยู่ของลูกสาวผู้ป่วยไข้ของตน แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้น
“อ้าว คุณแม่น่ะเอง แก้มก็ว่าว่าใครมาเอาเสียดึก ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้าไงคะ” คุณวรวรินทร์หันหน้าไปตามเสียงทัก ก็พบลูกสาวคนเล็กนั่งแย้มหน้าออกมาจากห้องรับแขกชั้นใน ผมซอยสั้นจนถึงปลายหูบ่งบอกได้อย่างดีถึงความร่าเริงแจ่มใสอันเป็นสัญลักษณ์ของไอรดา คุณวรวรินทร์มองอย่างแปลกใจที่วันปิดเทอมยาวอย่างนี้ลูกสาวคนเล็กไม่ได้ไปเที่ยวเถลไถลที่ไหนเหมือนเคย
“แก้ม อยู่บ้านเหรอเนี่ย ...แล้วพี่เราล่ะ เป็นยังไงบ้าง แล้วนี่อยู่ไหนกัน”
“อะไรกันคะ กลับจากไปเที่ยวมาทีก็ถามถึงพี่ก้อยก่อนเลย ไม่ไปพักซะก่อนเหรอคะ พี่ก้อยเค้าจะไปไหนได้ กินข้าวเสร็จแก้มก็ส่งเข้านอนไปตั้งแต่ทุ่มโน่นแหนะค่ะ มากับแก้มดีกว่า แก้มเพิ่งหัดทำสตอเบอรี่เค้กสุดอร่อย กำลังหาคนชิมอยู่เชียว มาค่ะ ไปในครัวกัน” หญิงสาวบอก พลางเดินเข้ามาออดอ้อนผู้เป็นมารดา กิริยานั้นทำให้คุณวรวรินทร์ต้องเดินตามไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อะไรกันเรา ธรรมดาไม่เห็นสนใจจะเข้าครัว นี่เกิดอะไรขึ้นมา”
“แหม ก็พี่วินจะกลับมาจากนอกทั้งทีนี่คะ แก้มก็ต้องทำเซอร์ไพรส์ซะหน่อย หายไปตั้งปีกว่า คิดถึงจริงๆ” คุณวรวรินทร์มองหน้าลูกแฝดคนเล็กอย่างหนักใจ จนแล้วจนรอด อนาวินหรือพี่วินของแฝดทั้งสอง ก็ยังครองใจทั้งคู่ได้อยู่เสมอ แม้กระทั่งอนาวินจะเลือกที่จะหมั้นหมายกับวาฤดีฝาแฝดผู้พี่ไปแล้วก็ตาม
“อ้าว ได้กำหนดกลับของตาวินแล้วเหรอ จบโทแล้วเหรอเนี่ย”
“อุ้ย ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่เห็นเมื่อวานพี่ก้อยบอกว่า พี่วินเขียนจดหมายมาว่าคิดถึงบ้านอยากกลับมาเมืองไทยซะหน่อยน่ะค่ะ แล้วอีกอย่างจะมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก้อยที่จะเข้าผ่าตัดอาทิตย์หน้าด้วย คุณแม่น่ะมัวแต่ไปเที่ยวเพลินเลยตกข่าว”
“เที่ยวเพลินที่ไหนกัน แม่น่ะไปคุยธุรกิจตะหาก ตกลงตาวินจะกลับมาเมื่อไหร่นะ แล้วลุงพงศ์น่ะรู้เรื่องรึป่าว”
“พรุ่งนี้แล้วค่ะ ส่วนลุงพงศ์น่ะทราบอยู่ก่อนแล้ว แหมก็พ่อลูกกันนี่คะ จะกลับมาก็ต้องส่งข่าวให้บ้านเค้าทราบก่อนเป็นธรรมดา”
“อืม แล้วนี่ใครจะไปรับบ้างล่ะ เราจะไปด้วยมั้ย”
“ไปค่ะ นี่แก้มก็โทรไปบอกลุงพงศ์แล้วว่าพรุ่งนี้จะขอติดรถไปสนามบินด้วยคน พี่ก้อยก็บอกว่าอยากจะไปด้วยนะคะ แต่แก้มเบรคไว้แน่ะค่ะ บอกว่าเจ้าสาวน่ะรออยู่ที่บ้านก็ได้” ปลายเสียงของแก้ม ดูแปร่งแปลกไปเล็กน้อยอย่างที่คนที่ไม่รู้จักเธอดีอาจจะไม่รู้สึก หากแต่แม้คุณวรวรินทร์จะรับรู้ได้ แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ
“เราน๊า ชอบไปล้อพี่เค้า”
“แหม ก็ล้อพี่ก้อยสนุกจะตาย ล้อเรื่องหมั้นกับพี่วินทีไร พี่ก้อยปั้นหน้าไม่ถูกทุกทีเลย ... นี่ค่ะ สตอเบอรี่เค้กสูตรไดเอท กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ยกเว้นจะอัดเข้าไปทั้งปอนด์” พูดจบ ไอรดาก็ตัดแบ่งเค้กของเธอ ยื่นให้ผู้เป็นมารดา
“หน้าตาดีใช้ได้ แต่รสชาติจะไหวมั้ยน้า แม่ต้องเข้าโรง’ บาลมั้ยเนี่ย”
“โธ่ คุณแม่คะ อย่าเพิ่งดูถูกมันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ชิมสิคะ” คุณวรวรินทร์ยิ้มกริ่มพลางตักเค้กของลูกสาวเป็นชิ้นเล็กขึ้นชิม
“อืม ใช้ได้ เอาไปออกร้านได้เลยนะเนี่ย แต่ถ้าจะทำเอาใจคู่หมั้นพี่เราล่ะก็ ต้องลดหวานลงนิดนึงนะ ตาวินไม่ชอบกินหวาน”
“แต่ชอบคนหวานๆ” ไอรดาต่ออย่างรู้ดี
“พี่เราก็ไม่ได้หวานซะหน่อย เค้าก็แค่ไม่ค่อยแข็งแรงเลยโลดโผนเท่าเราไม่ได้” คุณวรวรินทร์เสียงอ่อนลงเมื่อกล่าวถึงวาฤดี แฝดคนโตของเธอซึ่งอ่อนแออมโรคมาแต่เด็ก ต้องให้ยาบำรุงร่างกายมาโดยตลอด ซ้ำร้ายเมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี้ยังมาตรวจพบเนื้องอกในช่องท้องจนต้องกำหนดวันเข้ารับการผ่าตัดอย่างกะทันหัน
“ยังไงก็หวานกว่าหนูแล้วกัน อืม แก้มเบื่อเค้กบ้านี่เต็มทีแล้ว แล้วความจริงก็ไม่ใช่แก้มทำคนเดียวหรอก แก้มเป็นลูกมือพี่ก้อยน่ะ สาลวนกันตั้งแต่กลางวันโน่นน่ะค่ะ แล้วที่สำคัญ คุณแม่เดาถูกเสียด้วยว่าพี่ก้อยตั้งใจจะทำให้ตาพี่วินน่ะแหละ ... แก้มไปเที่ยวดีกว่านัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณแม่” ไอรดาพูดรัวๆ แล้วหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ก่อนจะโบกมือไหวๆ วิ่งผลุบออกไปจากห้อง
“อย่ากลับดึกนะลูก ห้ามเกิน 5 ทุ่มนะจ๊ะ”
“ค่า” ไอรดาตะโกนตอบกลับมา คุณวรวรินทร์ได้แต่ส่ายหัวให้กับความเบื่อง่ายหน่ายเร็วของลูกสาว อะไรที่ทำได้นานหน่อยก็มีอยู่อย่างเดียว ... รักผู้ชายคนเดิมตั้งแต่เด็กจนโต
คุณวรวรินทร์รู้ปัญหานี้ ตั้งแต่ลูกสาวทั้งสอง ยังอายุไม่เต็ม 15 ปี ครั้งแรกที่เด็กแฝดทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกัน ครั้งแรกที่เธอเห็นลูกสาวจอมแก่นแก้วอย่างไอรดาร้องไห้ แม้ผลสรุปของการปะทะคารมกันครั้งนั้น แฝดทั้งสองจะกอดคอปลอบใจกันกลมจนเธอโล่งใจ
แต่ 3 ปีให้หลัง เมื่ออนาวินจะแสดงการตัดสินใจด้วยการพาพร้อมพงศ์ผู้เป็นพ่อเข้ามาขอหมั้นวาฤดี แฝดผู้พี่ ก่อนที่เขาจะต้องไปศึกษาต่อปริญญาโทต่างประเทศ คุณวรวรินทร์จึงเห็นไอรดาแสดงความอ่อนแอมาอีกเป็นครั้งที่สองด้วยการหมกตัวร้องไห้อยู่ในห้องก่อนงานหมั้นเป็นเวลาเกือบสัปดาห์ และจวบจนบัดนี้ ผ่านไปอีกหนึ่งปีกว่า เธอก็ไม่เห็นน้ำตาของลูกสาวคนเล็กอีกเลย แต่ถึงกระนั้น คุณวรวรินทร์ก็รู้ดีว่า ไอรดายังไม่มีใครมาแทนที่พี่วินของเธอ
“นี่ละมั้ง .. ที่ฉันรู้สึกแปลกๆ จนต้องรีบแจ้นกลับมา” เธอสรุปกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปพักผ่อนให้พ้นจากความเหนื่อยอ่อนของการเดินทางไกล
สิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น คุณวรวรินทร์ลงมารับประทานอาหารสายกว่าปกติ แต่จนกระทั่งเธอรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของลูกสาวทั้งสองคน
“แหวน แม่แหวน”
“คะ คุณนาย” หญิงรับใช้วัยกลางคนเดินแกมวิ่งพาร่างท้วมของตัวเองเข้ามาหาตามเสียงเรียก คุณวรวรินทร์จึงถามต่อว่า
“ลูกๆ ฉันไปไหนกันหมด”
“เอ่อ คุณพงศ์มารับคุณแก้มไปตั้งแต่เช้าค่ะ เห็นว่าจะไปรับคุณอนาวินที่สนามบินไงคะ ส่วนคุณก้อยยังไม่ออกมาจากห้องเลยค่ะ แต่เมื่อวานคุณแก้มเธอสั่งไว้ว่า คุณก้อยอยากพักผ่อนมากๆ ไม่ต้องไปปลุกตอนเช้าน่ะค่ะ อิฉันก็เลย ...”
“ไม่เป็นไรๆ อาจจะทานยานอนหลับไปก็ได้ละมัง” คุณวรวรินทร์ตัดบท เพราะรู้ดีว่าแหวนเป็นคนประเภทที่ชอบกล่าวอะไรยืดยาวไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อย ที่เธอฟังแล้วแทบหลับ
“อืม ถ้ายังไง คุณก้อยตื่นแล้วก็บอกเธอด้วยแล้วกันว่าฉันกลับมาแล้ว ฉันจะรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วกัน”
“ค่ะ คุณนาย”
ปี๊น ปิ๊น
“เอ๊ะ รถคุณพงศ์มาแล้วค่ะคุณนาย” คุณวรวรินทร์มองออกไปยังประตูหน้าบ้านก็เห็นรถสีเขียวเข้มจอดอยู่ นายชมคนดูแลสวนกำลังวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้อย่างกุลีกุจอ
“อ่อ บ้านโน้นคงจะพากันมาเยี่ยมยัยก้อยล่ะมั้ง ตาวินนี่น่ารักจริง กลับมาถึงก็มานี่ก่อนเลย แหวนเธอไปเตรียมของว่างไป เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปปลุกยัยก้อยให้อาบน้ำแต่งตัวซะหน่อย” กล่าวจบ หญิงต่างศักดิ์ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตน
พอรถคันสีเขียวเข้มแล่นเข้ามาจอดภายในเรียบร้อย ไอรดาก็เดินนำชายอีกสองคนเข้ามาในบ้าน พลางร้องตะโกนเรียกเสียงดัง เพราะแปลกใจที่ไม่พบแม่แหวนวิ่งมารับแขกอย่างเคย
“ฮัลโหล ... ใครอยู่บ้าง แก้มมีผู้ชายมาฝาก”
“เฮ้ย ยัยแก้มตะโกนซะน่าเกลียดลั่นบ้านเชียวนะเรา” ชายสูงวัยที่เดินตามมากล่าวกลั้วหัวเราะ มือใหญ่โคลงหัวไอรดาด้วยความเอ็นดู ผิดกับหนุ่มร่างสูงที่เดินรั้งท้ายที่กลับส่ายหน้าแสดงความระอา ไอรดาทันเห็นกิริยานั้นแต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอหันไปหาเจ้าของมือใหญ่ที่อยู่บนศีรษะเธอ พร้อมกับเอ่ยประท้วงว่า
“โธ่ ลุงพงศ์ ถ้าให้แก้มกระซิบเป็นลูกคุณหนูชาตินี้จะมีใครได้ยิน ” ไอรดาทำหน้ามู่ พลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟารับแขก ชายทั้งสองจึงแยกย้ายกันนั่งลงบ้าง ไอรดามองหน้าของชายทั้งสองคนสลับกันไปมา
พร้อมพงศ์เป็นชายวัยเกือบ 50 ปี เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมที่สุดของบิดาและมารดาของเธอ  หน้าตาที่หล่อเหลาภูมิฐานบวกกับมารยาทที่ดีพร้อมของชายที่เธอเรียกจนติดปากตั้งแต่เด็กว่า ‘ลุงพงศ์’ นี้ ถูกถ่ายทอดไปยังลูกชายเพียงคนเดียวจนหมดสิ้น
ดังนั้น ผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คืออนาวิน หรือพี่วินของเธอ แม้จะไม่ได้หล่อแบบดาราเกาหลีอย่างสมัยนิยม แต่ก็หล่อชนิดที่สาวๆ เห็นก็ต้องเหลียวมามองซ้ำอยู่ดี รูปร่างที่สูงใหญ่และผิวที่มีสีออกแทนๆ เล็กน้อย เพิ่มความเข้มแข็งให้กับใบหน้าที่ติดจะใจดีของเขาอย่างลงตัว ไอรดาอดแย้มยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นรอยเคราอ่อนๆ ที่ปลายคาง อย่างน้อยเวลาหนึ่งปีในต่างประเทศก็ทำให้พี่วินรู้จักโกนหนวดโกนเคราเสียบ้าง
สมัยก่อน อนาวินชอบปล่อยปะละเลยตัวเอง บวกกับการที่เจ้าตัวร่ำเรียนทางด้านสถาปัตย์ จึงไม่ถนัดในการทำตัวในดูเรียบร้อยนัก การทำโปรเจคในหามรุ่งหามค่ำบ่อยครั้งทำให้ไอรดาเห็นอนาวินในภาคที่มีผมเผ้ารุงรัง และหนวดเคราเต็มหน้าเสียมากกว่า ตอนนั้น แม้เธอกับพี่สาวจะชอบอนาวินเพียงใด พอเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ ที่จะเบ้หน้าและบอกให้เขาไปจัดการสารรูปตัวเองเสียบ้าง
ดังนั้น ยามที่เขาเริ่มดูแลจัดการตัวเองเช่นนี้ ไอรดาจึงพอใจนักหนา และ...เธออาจต้องให้เวลาตัวเองมากกว่าเดิมสักนิดในการตัดใจจากผู้ชายคนนี้
“พี่ไปแค่ปีเดียวจะให้เปลี่ยนอะไรมากมาย เราจะจ้องอะไรนักหนา นี่มองพี่ตั้งแต่ลงเครื่อง จนนั่งรถมาถึงบ้านแล้วยังไม่จุใจอีกเหรอ”
“แหม มองแค่นี้จะคิดตังค์รึไงล่ะ ก็เดี๋ยวนี้ พี่วินอย่างกับแปลงร่างแน่ะ” หญิงสาวเอ่ยยียวนแก้เขิน พลางกล่าวเฉไฉต่อว่า
“เอ ... ทำไมยังไม่มีใครออกมาอีกนะ เดี๋ยว แก้มไปตามดีกว่า ... พี่ก้อย คุณแม่ น้าแหวนนนน ได้ยินมั้ยยยย ลุงพงศ์กับพี่วินมาแล้ววว...โอ่ย ไปไหนกันหมดเนี่ย ตะโกนจนเหนื่อยแล้วนะ”
“เหนื่อยก็ดีแล้วค่ะ แหม ให้คนแก่วิ่งหน้าเริ่ด จากครัวมาหน้าบ้านเชียวนะคะ”
“อ้าว น้าแหวนนี่ก็ แก้มเรียกเสียงตั้งดัง จะขานรับซักคำล่ะไม่มี .. อุ้ย สตอเบอรี่เค้กของแก้มนี่” หญิงสาวหยุดบ่น เมื่อเห็นสตอเบอรี่เค้กที่ถูกตัดแบ่งใส่จานเล็กพร้อมเสิร์ฟบนถาด ในมือของแม่บ้านหญิงและเด็กรับใช้อีกคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง
“ค่ะ แหวนเห็นคุณทำไว้ ตั้งใจจะให้คุณวินทาน ก็เลยหยิบมาเสริฟเสียเลย” แหวนกล่าว พลางจัดเสิร์ฟอาหารว่างพร้อมน้ำดื่มลงบนโต๊ะ ก่อนจะโบกมือไล่เด็กรับใช้ให้หอบถาดกลับครัวไป
“ตั้งใจให้พี่วินทานน่ะใช่ แต่ไม่ใช่แก้มซะหน่อย เป็นพี่ก้อยตะหาก” ไอรดาว่า พลางหลบสายตาของชายอีกสองคนบนโต๊ะ เพราะกลัวจะโดนจับได้ว่ายังไม่เลิกรักอนาวิน ทั้งๆ ที่ฝ่ายชายมีศักดิ์เป็นว่าที่พี่เขยของตนเอง
รออีกหน่อยน่ะ เธอเกือบจะตัดใจได้อยู่แล้ว พอถึงวันแต่งงานไม่แน่ว่า เธออาจจะยิ้มรับหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวได้อย่างสบายใจด้วยซ้ำ ... ไอรดาแก้ตัวอยู่ในใจ
“เอ้อ แล้วคุณกิ่ง กับหนูก้อยล่ะ แหวน” พร้อมพงศ์เอ่ยถามถึงวรวรินทร์ หรือที่มีชื่อเล่นว่ากิ่ง กับวาฤดี ว่าที่สะใภ้ของตน
“คุณกิ่งขึ้นไปตามคุณก้อยข้างบนค่ะ หายไปตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่ลงมาก็ไม่รู้” ยังไม่ทันที่แม่แหวนจะสาธยายจบ ก็ได้ยินเสียงคุณวรวรินทร์เรียกมาแต่ไกล
“แหวนนนน แม่แหวนอยู่ไหน”
“อยู่นี่ค่ะ คุณ” แหวนขานรับ พลางเดินไปชะโงกหน้าประตูแสดงตน คุณวรวรินทร์เห็นก็ก้าวเร็วๆ เข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าวิตก
“กิ่ง” พร้อมพงศ์ลุกขึ้นต้อนรับอย่างยินดี
“สวัสดีค่ะ พี่พงศ์” คุณวรวรินทร์ละสายตาจากแม่บ้านมายังแขกคนสำคัญทั้งสอง พลางยกมือไหว้พร้อมพงศ์ ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอหลายปี ก่อนจะหันไปรับไหว้จากหลานชาย
“สวัสดีครับ คุณน้า”
“สวัสดีจ้ะ เปลี่ยนไปเยอะเชียวนะ วิน”
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพิ่งไปแค่ปีเดียวเอง แล้วก้อยล่ะครับ” 
“ก็เนี่ยแหละ น้าก็ห่วงอยู่นี่ ...แม่แหวน ก้อยไปไหน ไหนว่าอยู่ในห้องยังไงกัน” แม่แหวนมองคุณวรวรินทร์ด้วยสายตาฉงน พลางตอบย้อนไปทันทีว่า
“ก็อิฉันยังไม่เห็นคุณก้อยลงมาเลยนี่คะ”
“ฉันขึ้นไปดูข้างบนแล้ว”
“แล้ว แล้วไม่อยู่เหรอคะ” แหวนเริ่มอึกอัก เพราะเกรงกลัวความผิด
“ก็ไม่อยู่น่ะสิ”
“อิฉันจะเรียกเด็กให้ตามคุณก้อยให้นะคะ”
“อืม วานหน่อย ไป๊” คุณวรวรินทร์โบกมือไล่แม่บ้านคนสนิทให้รีบไปตามหาลูกสาว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งออกปากถามไถ่หนุ่มนักเรียนนอกที่เดินทางมาเยี่ยมเยียน
“ทางโน้นเป็นยังไงบ้างวิน เข้าที่เข้าทางแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“ครับ ตอนนี้ซัมเมอร์พอดี ก็เลยแว่บกลับมา ว่าจะมาหาข้อมูลทีซิสด้วยน่ะครับ น้ากิ่ง”
“อืม” คุณวรวรินทร์พยักหน้ารับคำงึมงำ
“แล้ว.. หมอบอกว่าก้อยเป็นยังไงบ้างครับ ผมทราบจากก้อยว่าเค้าต้องผ่าตัด แต่ผมไม่อยากถามอะไรเค้ามาก เพราะกลัวว่าเค้าจะคิดมากน่ะครับ”
“หืมม์.. ใช่ ผ่าตัด หมอบอกน้าว่า ผ่าออกมาดู ถ้าไม่ใช่มะเร็งก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายล่ะก็ มันอาจจะลามไปถึงไหนๆ ก็ไม่รู้ น้าล่ะไม่อยากให้ก้อยเค้ามาเจอเรื่องแบบนี้เลยจริงเชียว ทั้งๆ ที่เพิ่งพักฟื้นมาแท้ๆ” พอกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของคุณวรวรินทร์ก็ปรากฏริ้วรวยความเคร่งเครียดขึ้นมากกว่าเดิม อนาวินเห็นจึงรีบปลอบใจว่า
“ผมว่าก้อยคงไม่เป็นมะเร็งหรอกครับ .. คงไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้น”
“น้าก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ ก้อยเค้ารักวินมาก วินมาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนผ่าตัดก้อยเค้าจะได้มีกำลังใจ”
“ผมก็ตั้งใจอย่างนั้นแหละครับ กำหนดนัดวันอาทิตย์หน้านี้เองใช่มั้ยครับ”
“ใช่จ้ะ น้าว่าจะพาก้อยเค้าไปเที่ยวพักผ่อนซะหน่อย น้ากลัวเค้าเครียด เออ เชิญพี่พงศ์กับวินไปด้วยเลยนะจ๊ะ”
“แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะครับ” พร้อมพงศ์ยิ้มรับคำเชิญ พลางถาม
“ก็คงไปชะอำน่ะแหละค่ะ ไม่ได้ไปเสียหลายปี” ไอรดาและอนาวินแทบจะสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน แต่คุณวรวรินทร์กลับพูดต่อราวกับว่าไม่เห็นกิริยาที่ค่อนข้างชัดแจ้งของคนทั้งสอง ไอรดายกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มกลบเกลื่อน ในขณะที่อนาวินรีบเก็บความรู้สึกตกใจ แล้วนิ่งฟังคู่สนทนาต่อ
“ที่บ้านโน้นก็ให้นายชมไปๆมาๆ ช่วยดูให้ แล้วก็ใครนะ ที่เฝ้าอยู่ทางโน้น อืม ... นายชาติ น้องชายนายชมน่ะ เห็นนายชมว่า บิ๊กเค้าก็เทียวไปเทียวมาไปเยี่ยมน้าเค้าเหมือนกัน ว่าแต่ ช่วงนี้น้าไม่ได้เห็นหน้าค่าตานายบิ๊กเลย บิ๊กเป็นไงบ้างนะ วินได้คุยกันบ้างมั้ย”
“ผมเมลคุยกับเค้าบ้างน่ะครับ บางทีบิ๊กก็ส่งจดหมายไปหา แต่ช่วงหลังๆ นี่ข่าวเงียบไปเลย ก็ตั้งแต่เข้าทำงานที่โรงพยาบาลได้น่ะครับ แถมยังปลูกบ้านปลูกช่องไว้เรียบร้อย ส่วนรายละเอียดนี่ผมไม่ทราบหรอกครับ ถามแก้มน่าจะรู้ดีกว่า” ฝ่ายที่ถูกโบ้ยแทบปล่อยแก้วน้ำที่ยกค้างไว้ตกพรวดลงกับพื้น เธอช้อนตาค้อนอีกฝ่ายอย่างเร็วๆ ก่อนจะเอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“แก้มก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ แม่ ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว พี่ก้อยแน่ะ เห็นว่ายังคุยๆ กันอยู่” ไอรดาโบ้ยต่อ ให้พ้นตัว ความสนใจของคนในห้องจึงกลับไปยังวาฤดี พี่สาวฝาแฝดของเธออีกครั้ง คุณวรวรินทร์ถึงกับขยับตัวไปมา พลางถอนใจด้วยความไม่ใคร่สบายใจนัก ก่อนจะบ่นเปรยๆ ออกมาว่า
“นี่ แม่แหวนไปตามถึงไหน ทำไมยังไม่เจออีก แม่มันว่าชักแปลกๆ แล้วนะ แก้ม แม่ไม่สบายใจเลย”
“ไม่สบายใจอะไรกันคะ คุณแม่นี่คิดมากไปได้ พี่ก้อยจะไปไหนได้ล่ะคะ คงเดินเล่นอยู่สวนด้านหลัง หรือไม่ก็หมกตัวอยู่ในห้องเพนท์ติ้งล่ะมั้ง” ไอรดาคะเน พลางยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
แต่แล้ว แม่แหวนก็วิ่งกระหืดกระหอบ พาร่างท้วมมาทรุดลงข้างๆ โซฟาของคุณวรวรินทร์ ดวงตาของแม่แหวนทอความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“คุณกิ่งคะ แย่แล้วค่ะ”
“เกิดอะไร แม่แหวน ใครเป็นอะไร หรือว่าก้อย...แม่แหวน คุณก้อยเป็นอะไร!”
“อิฉันให้เด็กวิ่งดูทั่วบ้านแล้วค่ะ ไม่พบคุณก้อยเลยค่ะ...คุณก้อยหายไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ” คุณวรวรินทร์ยอบตัวลงแนบสนิทกับโซฟา ยกมือทาบอกด้วยความขวัญเสีย หน้าตาซีดเผือดของเธอทำให้แม่บ้านแหวนยิ่งทำอะไรไม่ถูกไปกว่าเดิม
“อิฉันไปดูที่ห้องวาดรูปที่คุณก้อยชอบอยู่ก็ไม่เจอค่ะ ห้องข้างบนที่เปิดได้ก็ดูหมดแล้วไม่เห็น นอกนั้น กุญแจก็อยู่แต่ที่อิฉันกับคุณกิ่ง คุณก้อยก็ไม่น่าจะเข้าไปได้อยู่แล้ว อิฉันก็เลยเข้าไปตรวจดูในห้องคุณก้อยอีกครั้งก็ไม่พบ ถามยาม ยามก็ไม่เห็นคุณก้อยออกไปไหน ถามใคร ใครก็ไม่เห็นทั้งนั้นเลยค่ะ อิฉันเลยลองโทรตาม...”
“เป็นยังไง?” ไอรดารีบถาม แม่แหวนที่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ก้มหน้าลงนิ่งงัน แม่แหวนเงยหน้าขึ้นมองโดยรอบอย่างรู้สึกผิด กล่าวรายงานเสียงอ่อยตัดความหวังของคนทั้งมวลว่า
“แต่คุณก้อยไม่รับโทรศัพท์ค่ะ”
คราวนี้ คุณวรวรินทร์ถึงกับสติขาดผึ่ง เป็นลมล้มตัวลงไปด้วยความเป็นห่วง
ชายผู้กลับมาพร้อมปัญหา
รถเมอร์ซิเดสสีเงินบรอนซ์วนเข้าเทียบหน้าบ้านหลังใหญ่ในซอยราชครู  ตัวบ้านที่ครึ้มไปด้วยร่มเงาต้นไม้ใหญ่ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ ในซอยแห่งนี้ ดูจะทำให้บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความลึกลับมากมายเป็นพิเศษ
เพื่อนบ้านต่างเรียกบ้านนี้ง่ายๆ ว่า บ้านแฝด เพราะไม่เพียงตัวบ้านจงใจทำให้ลักษณะคล้ายกับบ้านที่มีลักษณะเหมือนกันสองหลังที่อยู่ติดเคียงคู่กัน ราวกับว่าบ้านถูกสะท้อนเป็นเงาจากกระจก ด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง ทั้งต้นไม้ก็ปลูกเป็นคู่ รูปปั้นนางฟ้าสององค์จรดเป็นน้ำพุอยู่กลางหน้าบ้านก็เป็นรูปสะท้อนของกันและกัน และที่สำคัญเหนืออื่นใดทั้งหมด
ผู้คนในบ้านหลังนี้ มักจะให้กำเนิดฝาแฝดในแต่ละช่วงอายุคน
วาฤดีและไอรดาเป็นหนึ่งในผลของพันธุกรรมพิเศษในบ้านหลังนี้ คุณวรวรินทร์ แม่ของแฝดทั้งสองก้าวลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปในตัวบ้านด้วยลางสังหรณ์ประหลาดที่วูบวาบขึ้นในอก เธอสูญเสียแฝดผู้พี่ของตนไปเมื่อประมาณห้าปีก่อน และตามมาด้วยการจากไปของสามีในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน สิ่งที่เธอรักและหวงแหนที่สุดในยามที่ไร้ญาติอื่นใดนี้ ก็คือ ลูกสาวทั้งสองคนนั่นเอง
โชคร้าย ที่ลูกสาวคนโตของเธอ ซึ่งคือ วาฤดี ป่วยกระเสาะกระแสะมาแต่เล็ก เธอใช้ความพยายามทั้งแรงกาย แรงใจ และแรงเงินทั้งหมดบันดาลสิ่งใดก็ตามที่การแพทย์จะสามารถทำได้ ในการยื้อชีวิตลูกสาวคนนี้ หลังจากการผ่าตัดโรคหัวใจที่ผ่านพ้นไปด้วยดีเมื่อปีกลาย เธอก็ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อมีการตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณช่องท้องของลูกสาวประมาณอาทิตย์ก่อน นั่นทำให้มีการนัดผ่าตัดอีกครั้ง และเป็นเหตุแห่งการภาวนาคืนแล้วคืนเล่า ให้ก้อนเนื้อนั้นเป็นเพียงก้อนเนื้อธรรมดา
คุณวรวรินทร์เม้มริมฝีปากด้วยความกังวล อยู่ๆ เธอก็รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวขณะกำลังเจรจาเรื่องงานอยู่ต่างจังหวัด จึงต้องรีบให้คนขับรถขับกลับบ้าน คุณวรวรินทร์รีบสาวเท้ายาวๆ ไปยังบันได หวังจะขึ้นไปสำรวจความเป็นอยู่ของลูกสาวผู้ป่วยไข้ของตน แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้น
“อ้าว คุณแม่น่ะเอง แก้มก็ว่าว่าใครมาเอาเสียดึก ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้าไงคะ” คุณวรวรินทร์หันหน้าไปตามเสียงทัก ก็พบลูกสาวคนเล็กนั่งแย้มหน้าออกมาจากห้องรับแขกชั้นใน ผมซอยสั้นจนถึงปลายหูบ่งบอกได้อย่างดีถึงความร่าเริงแจ่มใสอันเป็นสัญลักษณ์ของไอรดา คุณวรวรินทร์มองอย่างแปลกใจที่วันปิดเทอมยาวอย่างนี้ลูกสาวคนเล็กไม่ได้ไปเที่ยวเถลไถลที่ไหนเหมือนเคย
“แก้ม อยู่บ้านเหรอเนี่ย ...แล้วพี่เราล่ะ เป็นยังไงบ้าง แล้วนี่อยู่ไหนกัน”
“อะไรกันคะ กลับจากไปเที่ยวมาทีก็ถามถึงพี่ก้อยก่อนเลย ไม่ไปพักซะก่อนเหรอคะ พี่ก้อยเค้าจะไปไหนได้ กินข้าวเสร็จแก้มก็ส่งเข้านอนไปตั้งแต่ทุ่มโน่นแหนะค่ะ มากับแก้มดีกว่า แก้มเพิ่งหัดทำสตอเบอรี่เค้กสุดอร่อย กำลังหาคนชิมอยู่เชียว มาค่ะ ไปในครัวกัน” หญิงสาวบอก พลางเดินเข้ามาออดอ้อนผู้เป็นมารดา กิริยานั้นทำให้คุณวรวรินทร์ต้องเดินตามไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อะไรกันเรา ธรรมดาไม่เห็นสนใจจะเข้าครัว นี่เกิดอะไรขึ้นมา”
“แหม ก็พี่วินจะกลับมาจากนอกทั้งทีนี่คะ แก้มก็ต้องทำเซอร์ไพรส์ซะหน่อย หายไปตั้งปีกว่า คิดถึงจริงๆ” คุณวรวรินทร์มองหน้าลูกแฝดคนเล็กอย่างหนักใจ จนแล้วจนรอด อนาวินหรือพี่วินของแฝดทั้งสอง ก็ยังครองใจทั้งคู่ได้อยู่เสมอ แม้กระทั่งอนาวินจะเลือกที่จะหมั้นหมายกับวาฤดีฝาแฝดผู้พี่ไปแล้วก็ตาม
“อ้าว ได้กำหนดกลับของตาวินแล้วเหรอ จบโทแล้วเหรอเนี่ย”
“อุ้ย ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่เห็นเมื่อวานพี่ก้อยบอกว่า พี่วินเขียนจดหมายมาว่าคิดถึงบ้านอยากกลับมาเมืองไทยซะหน่อยน่ะค่ะ แล้วอีกอย่างจะมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก้อยที่จะเข้าผ่าตัดอาทิตย์หน้าด้วย คุณแม่น่ะมัวแต่ไปเที่ยวเพลินเลยตกข่าว”
“เที่ยวเพลินที่ไหนกัน แม่น่ะไปคุยธุรกิจตะหาก ตกลงตาวินจะกลับมาเมื่อไหร่นะ แล้วลุงพงศ์น่ะรู้เรื่องรึป่าว”
“พรุ่งนี้แล้วค่ะ ส่วนลุงพงศ์น่ะทราบอยู่ก่อนแล้ว แหมก็พ่อลูกกันนี่คะ จะกลับมาก็ต้องส่งข่าวให้บ้านเค้าทราบก่อนเป็นธรรมดา”
“อืม แล้วนี่ใครจะไปรับบ้างล่ะ เราจะไปด้วยมั้ย”
“ไปค่ะ นี่แก้มก็โทรไปบอกลุงพงศ์แล้วว่าพรุ่งนี้จะขอติดรถไปสนามบินด้วยคน พี่ก้อยก็บอกว่าอยากจะไปด้วยนะคะ แต่แก้มเบรคไว้แน่ะค่ะ บอกว่าเจ้าสาวน่ะรออยู่ที่บ้านก็ได้” ปลายเสียงของแก้ม ดูแปร่งแปลกไปเล็กน้อยอย่างที่คนที่ไม่รู้จักเธอดีอาจจะไม่รู้สึก หากแต่แม้คุณวรวรินทร์จะรับรู้ได้ แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ
“เราน๊า ชอบไปล้อพี่เค้า”
“แหม ก็ล้อพี่ก้อยสนุกจะตาย ล้อเรื่องหมั้นกับพี่วินทีไร พี่ก้อยปั้นหน้าไม่ถูกทุกทีเลย ... นี่ค่ะ สตอเบอรี่เค้กสูตรไดเอท กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ยกเว้นจะอัดเข้าไปทั้งปอนด์” พูดจบ ไอรดาก็ตัดแบ่งเค้กของเธอ ยื่นให้ผู้เป็นมารดา
“หน้าตาดีใช้ได้ แต่รสชาติจะไหวมั้ยน้า แม่ต้องเข้าโรง’ บาลมั้ยเนี่ย”
“โธ่ คุณแม่คะ อย่าเพิ่งดูถูกมันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ชิมสิคะ” คุณวรวรินทร์ยิ้มกริ่มพลางตักเค้กของลูกสาวเป็นชิ้นเล็กขึ้นชิม
“อืม ใช้ได้ เอาไปออกร้านได้เลยนะเนี่ย แต่ถ้าจะทำเอาใจคู่หมั้นพี่เราล่ะก็ ต้องลดหวานลงนิดนึงนะ ตาวินไม่ชอบกินหวาน”
“แต่ชอบคนหวานๆ” ไอรดาต่ออย่างรู้ดี
“พี่เราก็ไม่ได้หวานซะหน่อย เค้าก็แค่ไม่ค่อยแข็งแรงเลยโลดโผนเท่าเราไม่ได้” คุณวรวรินทร์เสียงอ่อนลงเมื่อกล่าวถึงวาฤดี แฝดคนโตของเธอซึ่งอ่อนแออมโรคมาแต่เด็ก ต้องให้ยาบำรุงร่างกายมาโดยตลอด ซ้ำร้ายเมื่อไม่กี่อาทิตย์มานี้ยังมาตรวจพบเนื้องอกในช่องท้องจนต้องกำหนดวันเข้ารับการผ่าตัดอย่างกะทันหัน
“ยังไงก็หวานกว่าหนูแล้วกัน อืม แก้มเบื่อเค้กบ้านี่เต็มทีแล้ว แล้วความจริงก็ไม่ใช่แก้มทำคนเดียวหรอก แก้มเป็นลูกมือพี่ก้อยน่ะ สาลวนกันตั้งแต่กลางวันโน่นน่ะค่ะ แล้วที่สำคัญ คุณแม่เดาถูกเสียด้วยว่าพี่ก้อยตั้งใจจะทำให้ตาพี่วินน่ะแหละ ... แก้มไปเที่ยวดีกว่านัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณแม่” ไอรดาพูดรัวๆ แล้วหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ก่อนจะโบกมือไหวๆ วิ่งผลุบออกไปจากห้อง
“อย่ากลับดึกนะลูก ห้ามเกิน 5 ทุ่มนะจ๊ะ”
“ค่า” ไอรดาตะโกนตอบกลับมา คุณวรวรินทร์ได้แต่ส่ายหัวให้กับความเบื่อง่ายหน่ายเร็วของลูกสาว อะไรที่ทำได้นานหน่อยก็มีอยู่อย่างเดียว ... รักผู้ชายคนเดิมตั้งแต่เด็กจนโต
คุณวรวรินทร์รู้ปัญหานี้ ตั้งแต่ลูกสาวทั้งสอง ยังอายุไม่เต็ม 15 ปี ครั้งแรกที่เด็กแฝดทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกัน ครั้งแรกที่เธอเห็นลูกสาวจอมแก่นแก้วอย่างไอรดาร้องไห้ แม้ผลสรุปของการปะทะคารมกันครั้งนั้น แฝดทั้งสองจะกอดคอปลอบใจกันกลมจนเธอโล่งใจ
แต่ 3 ปีให้หลัง เมื่ออนาวินจะแสดงการตัดสินใจด้วยการพาพร้อมพงศ์ผู้เป็นพ่อเข้ามาขอหมั้นวาฤดี แฝดผู้พี่ ก่อนที่เขาจะต้องไปศึกษาต่อปริญญาโทต่างประเทศ คุณวรวรินทร์จึงเห็นไอรดาแสดงความอ่อนแอมาอีกเป็นครั้งที่สองด้วยการหมกตัวร้องไห้อยู่ในห้องก่อนงานหมั้นเป็นเวลาเกือบสัปดาห์ และจวบจนบัดนี้ ผ่านไปอีกหนึ่งปีกว่า เธอก็ไม่เห็นน้ำตาของลูกสาวคนเล็กอีกเลย แต่ถึงกระนั้น คุณวรวรินทร์ก็รู้ดีว่า ไอรดายังไม่มีใครมาแทนที่พี่วินของเธอ
“นี่ละมั้ง .. ที่ฉันรู้สึกแปลกๆ จนต้องรีบแจ้นกลับมา” เธอสรุปกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปพักผ่อนให้พ้นจากความเหนื่อยอ่อนของการเดินทางไกล
สิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น คุณวรวรินทร์ลงมารับประทานอาหารสายกว่าปกติ แต่จนกระทั่งเธอรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของลูกสาวทั้งสองคน
“แหวน แม่แหวน”
“คะ คุณนาย” หญิงรับใช้วัยกลางคนเดินแกมวิ่งพาร่างท้วมของตัวเองเข้ามาหาตามเสียงเรียก คุณวรวรินทร์จึงถามต่อว่า
“ลูกๆ ฉันไปไหนกันหมด”
“เอ่อ คุณพงศ์มารับคุณแก้มไปตั้งแต่เช้าค่ะ เห็นว่าจะไปรับคุณอนาวินที่สนามบินไงคะ ส่วนคุณก้อยยังไม่ออกมาจากห้องเลยค่ะ แต่เมื่อวานคุณแก้มเธอสั่งไว้ว่า คุณก้อยอยากพักผ่อนมากๆ ไม่ต้องไปปลุกตอนเช้าน่ะค่ะ อิฉันก็เลย ...”
“ไม่เป็นไรๆ อาจจะทานยานอนหลับไปก็ได้ละมัง” คุณวรวรินทร์ตัดบท เพราะรู้ดีว่าแหวนเป็นคนประเภทที่ชอบกล่าวอะไรยืดยาวไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อย ที่เธอฟังแล้วแทบหลับ
“อืม ถ้ายังไง คุณก้อยตื่นแล้วก็บอกเธอด้วยแล้วกันว่าฉันกลับมาแล้ว ฉันจะรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วกัน”
“ค่ะ คุณนาย”
ปี๊น ปิ๊น
“เอ๊ะ รถคุณพงศ์มาแล้วค่ะคุณนาย” คุณวรวรินทร์มองออกไปยังประตูหน้าบ้านก็เห็นรถสีเขียวเข้มจอดอยู่ นายชมคนดูแลสวนกำลังวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้อย่างกุลีกุจอ
“อ่อ บ้านโน้นคงจะพากันมาเยี่ยมยัยก้อยล่ะมั้ง ตาวินนี่น่ารักจริง กลับมาถึงก็มานี่ก่อนเลย แหวนเธอไปเตรียมของว่างไป เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปปลุกยัยก้อยให้อาบน้ำแต่งตัวซะหน่อย” กล่าวจบ หญิงต่างศักดิ์ทั้งสองก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตน
พอรถคันสีเขียวเข้มแล่นเข้ามาจอดภายในเรียบร้อย ไอรดาก็เดินนำชายอีกสองคนเข้ามาในบ้าน พลางร้องตะโกนเรียกเสียงดัง เพราะแปลกใจที่ไม่พบแม่แหวนวิ่งมารับแขกอย่างเคย
“ฮัลโหล ... ใครอยู่บ้าง แก้มมีผู้ชายมาฝาก”
“เฮ้ย ยัยแก้มตะโกนซะน่าเกลียดลั่นบ้านเชียวนะเรา” ชายสูงวัยที่เดินตามมากล่าวกลั้วหัวเราะ มือใหญ่โคลงหัวไอรดาด้วยความเอ็นดู ผิดกับหนุ่มร่างสูงที่เดินรั้งท้ายที่กลับส่ายหน้าแสดงความระอา ไอรดาทันเห็นกิริยานั้นแต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอหันไปหาเจ้าของมือใหญ่ที่อยู่บนศีรษะเธอ พร้อมกับเอ่ยประท้วงว่า
“โธ่ ลุงพงศ์ ถ้าให้แก้มกระซิบเป็นลูกคุณหนูชาตินี้จะมีใครได้ยิน ” ไอรดาทำหน้ามู่ พลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟารับแขก ชายทั้งสองจึงแยกย้ายกันนั่งลงบ้าง ไอรดามองหน้าของชายทั้งสองคนสลับกันไปมา
พร้อมพงศ์เป็นชายวัยเกือบ 50 ปี เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมที่สุดของบิดาและมารดาของเธอ  หน้าตาที่หล่อเหลาภูมิฐานบวกกับมารยาทที่ดีพร้อมของชายที่เธอเรียกจนติดปากตั้งแต่เด็กว่า ‘ลุงพงศ์’ นี้ ถูกถ่ายทอดไปยังลูกชายเพียงคนเดียวจนหมดสิ้น
ดังนั้น ผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คืออนาวิน หรือพี่วินของเธอ แม้จะไม่ได้หล่อแบบดาราเกาหลีอย่างสมัยนิยม แต่ก็หล่อชนิดที่สาวๆ เห็นก็ต้องเหลียวมามองซ้ำอยู่ดี รูปร่างที่สูงใหญ่และผิวที่มีสีออกแทนๆ เล็กน้อย เพิ่มความเข้มแข็งให้กับใบหน้าที่ติดจะใจดีของเขาอย่างลงตัว ไอรดาอดแย้มยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นรอยเคราอ่อนๆ ที่ปลายคาง อย่างน้อยเวลาหนึ่งปีในต่างประเทศก็ทำให้พี่วินรู้จักโกนหนวดโกนเคราเสียบ้าง
สมัยก่อน อนาวินชอบปล่อยปะละเลยตัวเอง บวกกับการที่เจ้าตัวร่ำเรียนทางด้านสถาปัตย์ จึงไม่ถนัดในการทำตัวในดูเรียบร้อยนัก การทำโปรเจคในหามรุ่งหามค่ำบ่อยครั้งทำให้ไอรดาเห็นอนาวินในภาคที่มีผมเผ้ารุงรัง และหนวดเคราเต็มหน้าเสียมากกว่า ตอนนั้น แม้เธอกับพี่สาวจะชอบอนาวินเพียงใด พอเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ ที่จะเบ้หน้าและบอกให้เขาไปจัดการสารรูปตัวเองเสียบ้าง
ดังนั้น ยามที่เขาเริ่มดูแลจัดการตัวเองเช่นนี้ ไอรดาจึงพอใจนักหนา และ...เธออาจต้องให้เวลาตัวเองมากกว่าเดิมสักนิดในการตัดใจจากผู้ชายคนนี้
“พี่ไปแค่ปีเดียวจะให้เปลี่ยนอะไรมากมาย เราจะจ้องอะไรนักหนา นี่มองพี่ตั้งแต่ลงเครื่อง จนนั่งรถมาถึงบ้านแล้วยังไม่จุใจอีกเหรอ”
“แหม มองแค่นี้จะคิดตังค์รึไงล่ะ ก็เดี๋ยวนี้ พี่วินอย่างกับแปลงร่างแน่ะ” หญิงสาวเอ่ยยียวนแก้เขิน พลางกล่าวเฉไฉต่อว่า
“เอ ... ทำไมยังไม่มีใครออกมาอีกนะ เดี๋ยว แก้มไปตามดีกว่า ... พี่ก้อย คุณแม่ น้าแหวนนนน ได้ยินมั้ยยยย ลุงพงศ์กับพี่วินมาแล้ววว...โอ่ย ไปไหนกันหมดเนี่ย ตะโกนจนเหนื่อยแล้วนะ”
“เหนื่อยก็ดีแล้วค่ะ แหม ให้คนแก่วิ่งหน้าเริ่ด จากครัวมาหน้าบ้านเชียวนะคะ”
“อ้าว น้าแหวนนี่ก็ แก้มเรียกเสียงตั้งดัง จะขานรับซักคำล่ะไม่มี .. อุ้ย สตอเบอรี่เค้กของแก้มนี่” หญิงสาวหยุดบ่น เมื่อเห็นสตอเบอรี่เค้กที่ถูกตัดแบ่งใส่จานเล็กพร้อมเสิร์ฟบนถาด ในมือของแม่บ้านหญิงและเด็กรับใช้อีกคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง
“ค่ะ แหวนเห็นคุณทำไว้ ตั้งใจจะให้คุณวินทาน ก็เลยหยิบมาเสริฟเสียเลย” แหวนกล่าว พลางจัดเสิร์ฟอาหารว่างพร้อมน้ำดื่มลงบนโต๊ะ ก่อนจะโบกมือไล่เด็กรับใช้ให้หอบถาดกลับครัวไป
“ตั้งใจให้พี่วินทานน่ะใช่ แต่ไม่ใช่แก้มซะหน่อย เป็นพี่ก้อยตะหาก” ไอรดาว่า พลางหลบสายตาของชายอีกสองคนบนโต๊ะ เพราะกลัวจะโดนจับได้ว่ายังไม่เลิกรักอนาวิน ทั้งๆ ที่ฝ่ายชายมีศักดิ์เป็นว่าที่พี่เขยของตนเอง
รออีกหน่อยน่ะ เธอเกือบจะตัดใจได้อยู่แล้ว พอถึงวันแต่งงานไม่แน่ว่า เธออาจจะยิ้มรับหน้าที่เพื่อนเจ้าสาวได้อย่างสบายใจด้วยซ้ำ ... ไอรดาแก้ตัวอยู่ในใจ
“เอ้อ แล้วคุณกิ่ง กับหนูก้อยล่ะ แหวน” พร้อมพงศ์เอ่ยถามถึงวรวรินทร์ หรือที่มีชื่อเล่นว่ากิ่ง กับวาฤดี ว่าที่สะใภ้ของตน
“คุณกิ่งขึ้นไปตามคุณก้อยข้างบนค่ะ หายไปตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่ลงมาก็ไม่รู้” ยังไม่ทันที่แม่แหวนจะสาธยายจบ ก็ได้ยินเสียงคุณวรวรินทร์เรียกมาแต่ไกล
“แหวนนนน แม่แหวนอยู่ไหน”
“อยู่นี่ค่ะ คุณ” แหวนขานรับ พลางเดินไปชะโงกหน้าประตูแสดงตน คุณวรวรินทร์เห็นก็ก้าวเร็วๆ เข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าวิตก
“กิ่ง” พร้อมพงศ์ลุกขึ้นต้อนรับอย่างยินดี
“สวัสดีค่ะ พี่พงศ์” คุณวรวรินทร์ละสายตาจากแม่บ้านมายังแขกคนสำคัญทั้งสอง พลางยกมือไหว้พร้อมพงศ์ ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอหลายปี ก่อนจะหันไปรับไหว้จากหลานชาย
“สวัสดีครับ คุณน้า”
“สวัสดีจ้ะ เปลี่ยนไปเยอะเชียวนะ วิน”
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพิ่งไปแค่ปีเดียวเอง แล้วก้อยล่ะครับ” 
“ก็เนี่ยแหละ น้าก็ห่วงอยู่นี่ ...แม่แหวน ก้อยไปไหน ไหนว่าอยู่ในห้องยังไงกัน” แม่แหวนมองคุณวรวรินทร์ด้วยสายตาฉงน พลางตอบย้อนไปทันทีว่า
“ก็อิฉันยังไม่เห็นคุณก้อยลงมาเลยนี่คะ”
“ฉันขึ้นไปดูข้างบนแล้ว”
“แล้ว แล้วไม่อยู่เหรอคะ” แหวนเริ่มอึกอัก เพราะเกรงกลัวความผิด
“ก็ไม่อยู่น่ะสิ”
“อิฉันจะเรียกเด็กให้ตามคุณก้อยให้นะคะ”
“อืม วานหน่อย ไป๊” คุณวรวรินทร์โบกมือไล่แม่บ้านคนสนิทให้รีบไปตามหาลูกสาว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งออกปากถามไถ่หนุ่มนักเรียนนอกที่เดินทางมาเยี่ยมเยียน
“ทางโน้นเป็นยังไงบ้างวิน เข้าที่เข้าทางแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“ครับ ตอนนี้ซัมเมอร์พอดี ก็เลยแว่บกลับมา ว่าจะมาหาข้อมูลทีซิสด้วยน่ะครับ น้ากิ่ง”
“อืม” คุณวรวรินทร์พยักหน้ารับคำงึมงำ
“แล้ว.. หมอบอกว่าก้อยเป็นยังไงบ้างครับ ผมทราบจากก้อยว่าเค้าต้องผ่าตัด แต่ผมไม่อยากถามอะไรเค้ามาก เพราะกลัวว่าเค้าจะคิดมากน่ะครับ”
“หืมม์.. ใช่ ผ่าตัด หมอบอกน้าว่า ผ่าออกมาดู ถ้าไม่ใช่มะเร็งก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเนื้อร้ายล่ะก็ มันอาจจะลามไปถึงไหนๆ ก็ไม่รู้ น้าล่ะไม่อยากให้ก้อยเค้ามาเจอเรื่องแบบนี้เลยจริงเชียว ทั้งๆ ที่เพิ่งพักฟื้นมาแท้ๆ” พอกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของคุณวรวรินทร์ก็ปรากฏริ้วรวยความเคร่งเครียดขึ้นมากกว่าเดิม อนาวินเห็นจึงรีบปลอบใจว่า
“ผมว่าก้อยคงไม่เป็นมะเร็งหรอกครับ .. คงไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้น”
“น้าก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ ก้อยเค้ารักวินมาก วินมาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนผ่าตัดก้อยเค้าจะได้มีกำลังใจ”
“ผมก็ตั้งใจอย่างนั้นแหละครับ กำหนดนัดวันอาทิตย์หน้านี้เองใช่มั้ยครับ”
“ใช่จ้ะ น้าว่าจะพาก้อยเค้าไปเที่ยวพักผ่อนซะหน่อย น้ากลัวเค้าเครียด เออ เชิญพี่พงศ์กับวินไปด้วยเลยนะจ๊ะ”
“แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะครับ” พร้อมพงศ์ยิ้มรับคำเชิญ พลางถาม
“ก็คงไปชะอำน่ะแหละค่ะ ไม่ได้ไปเสียหลายปี” ไอรดาและอนาวินแทบจะสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน แต่คุณวรวรินทร์กลับพูดต่อราวกับว่าไม่เห็นกิริยาที่ค่อนข้างชัดแจ้งของคนทั้งสอง ไอรดายกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มกลบเกลื่อน ในขณะที่อนาวินรีบเก็บความรู้สึกตกใจ แล้วนิ่งฟังคู่สนทนาต่อ
“ที่บ้านโน้นก็ให้นายชมไปๆมาๆ ช่วยดูให้ แล้วก็ใครนะ ที่เฝ้าอยู่ทางโน้น อืม ... นายชาติ น้องชายนายชมน่ะ เห็นนายชมว่า บิ๊กเค้าก็เทียวไปเทียวมาไปเยี่ยมน้าเค้าเหมือนกัน ว่าแต่ ช่วงนี้น้าไม่ได้เห็นหน้าค่าตานายบิ๊กเลย บิ๊กเป็นไงบ้างนะ วินได้คุยกันบ้างมั้ย”
“ผมเมลคุยกับเค้าบ้างน่ะครับ บางทีบิ๊กก็ส่งจดหมายไปหา แต่ช่วงหลังๆ นี่ข่าวเงียบไปเลย ก็ตั้งแต่เข้าทำงานที่โรงพยาบาลได้น่ะครับ แถมยังปลูกบ้านปลูกช่องไว้เรียบร้อย ส่วนรายละเอียดนี่ผมไม่ทราบหรอกครับ ถามแก้มน่าจะรู้ดีกว่า” ฝ่ายที่ถูกโบ้ยแทบปล่อยแก้วน้ำที่ยกค้างไว้ตกพรวดลงกับพื้น เธอช้อนตาค้อนอีกฝ่ายอย่างเร็วๆ ก่อนจะเอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“แก้มก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ แม่ ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว พี่ก้อยแน่ะ เห็นว่ายังคุยๆ กันอยู่” ไอรดาโบ้ยต่อ ให้พ้นตัว ความสนใจของคนในห้องจึงกลับไปยังวาฤดี พี่สาวฝาแฝดของเธออีกครั้ง คุณวรวรินทร์ถึงกับขยับตัวไปมา พลางถอนใจด้วยความไม่ใคร่สบายใจนัก ก่อนจะบ่นเปรยๆ ออกมาว่า
“นี่ แม่แหวนไปตามถึงไหน ทำไมยังไม่เจออีก แม่มันว่าชักแปลกๆ แล้วนะ แก้ม แม่ไม่สบายใจเลย”
“ไม่สบายใจอะไรกันคะ คุณแม่นี่คิดมากไปได้ พี่ก้อยจะไปไหนได้ล่ะคะ คงเดินเล่นอยู่สวนด้านหลัง หรือไม่ก็หมกตัวอยู่ในห้องเพนท์ติ้งล่ะมั้ง” ไอรดาคะเน พลางยักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
แต่แล้ว แม่แหวนก็วิ่งกระหืดกระหอบ พาร่างท้วมมาทรุดลงข้างๆ โซฟาของคุณวรวรินทร์ ดวงตาของแม่แหวนทอความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“คุณกิ่งคะ แย่แล้วค่ะ”
“เกิดอะไร แม่แหวน ใครเป็นอะไร หรือว่าก้อย...แม่แหวน คุณก้อยเป็นอะไร!”
“อิฉันให้เด็กวิ่งดูทั่วบ้านแล้วค่ะ ไม่พบคุณก้อยเลยค่ะ...คุณก้อยหายไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ” คุณวรวรินทร์ยอบตัวลงแนบสนิทกับโซฟา ยกมือทาบอกด้วยความขวัญเสีย หน้าตาซีดเผือดของเธอทำให้แม่บ้านแหวนยิ่งทำอะไรไม่ถูกไปกว่าเดิม
“อิฉันไปดูที่ห้องวาดรูปที่คุณก้อยชอบอยู่ก็ไม่เจอค่ะ ห้องข้างบนที่เปิดได้ก็ดูหมดแล้วไม่เห็น นอกนั้น กุญแจก็อยู่แต่ที่อิฉันกับคุณกิ่ง คุณก้อยก็ไม่น่าจะเข้าไปได้อยู่แล้ว อิฉันก็เลยเข้าไปตรวจดูในห้องคุณก้อยอีกครั้งก็ไม่พบ ถามยาม ยามก็ไม่เห็นคุณก้อยออกไปไหน ถามใคร ใครก็ไม่เห็นทั้งนั้นเลยค่ะ อิฉันเลยลองโทรตาม...”
“เป็นยังไง?” ไอรดารีบถาม แม่แหวนที่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ก้มหน้าลงนิ่งงัน แม่แหวนเงยหน้าขึ้นมองโดยรอบอย่างรู้สึกผิด กล่าวรายงานเสียงอ่อยตัดความหวังของคนทั้งมวลว่า
“แต่คุณก้อยไม่รับโทรศัพท์ค่ะ”
คราวนี้ คุณวรวรินทร์ถึงกับสติขาดผึ่ง เป็นลมล้มตัวลงไปด้วยความเป็นห่วง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น