ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ความทรงจำของหัวใจดวงหนึ่ง (ต่อจนจบตอนค่ะ)
เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ ชอบเขียนสลับฉากไปมา ถ้างงๆ ก็ช่วยบอกกันหน่อยนะคะ
ตอนที่ 14 ที่จะลงให้อ่านนี้ เป็นเหตุการณ์อดีต ในความทรงจำของพ่อหนุ่มบิ๊ก ที่ไม่ค่อยมีบทบาทค่ะ
minimink
------------------------------------------------------------------
เอกบดินทร์นั่งมองหญิงสาวที่หลับสนิทอยู่บนเตียง หากแต่กลับนึกไปถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีพิมพ์หน้าเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยใจคอและความรู้สึกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง...ต่างกันโดยสิ้นเชิงงั้นเหรอ?
ไม่ใช่สิ อย่างน้อยก็มีอยู่อย่างสองอย่างล่ะ ที่ฝาแฝดคู่นี้เหมือนกัน หนึ่งก็คือรักคนๆ เดียวกัน ส่วนอย่างที่สอง ก็คือ ต่างก็รังเกียจเขาเช่นเดียวกัน!
เอกบดินทร์วางมือทาบลงบนมือบางอย่างแผ่วเบา เพราะเกรงเจ้าของมือจะรู้สึกตัวตื่น แม้แต่ก่อนเขาจะโกรธแค้นแฝดทั้งคู่นี้มากแค่ไหน พอถึงบัดนี้ เขาก็ยังรู้สึกสงสารทั้งสองจับใจ
ทำไมความรักที่ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัสเพียงนี้ ยังมีคนปรารถนาจะไขว่คว้า
เอกบดินทร์ตั้งคำถามขึ้นมาให้กับตัวเอง ก่อนจะนึกแย้งขึ้นมาได้ว่า...เขาเองก็เคยเป็นหนึ่งของคนที่พยายามไขว่คว้ามันมิใช่เหรอ?
เมื่อคราวที่เขายังเป็นเพียงเด็กตัวผอมเก้งก้างจอมเกเร ที่วิ่งวุ่นอยู่ในบ้านของแฝดทั้งสองในฐานะลูกของคนสวน
ในสายตาของเธอทั้งสองเขาเป็นเพียง เด็กรับใช้คนหนึ่ง ที่ไม่ควรเผยอหน้าไปเล่นหัวกับเธอ ฐานะของเขาผิดกับ ด.ช. อนาวิน เพื่อนของเขาโดยสิ้นเชิง
ในสายตาของเขา เธอทั้งสองเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจเอื้อม การเฝ้ามองนางฟ้าของเขายิ้มเยือนให้แก่กัน การได้เห็นไอรดาทำหน้าบึ้งให้กับเขาอย่างขัดเคือง หรือกระทั่งยามที่วาฤดีออกโรงปกป้องเขาด้วยการปรามน้องสาวตัวป่วน...ทั้งหมดนั่น ก็นับเป็นความยินดีของเขาแล้ว
ลึกๆ ลงไปแล้ว เขารู้ดีว่า เขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้น ความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่เขาใฝ่หามาตลอด
เขาโตมาพร้อมกับความรู้สึกเช่นนั้น และมันก็ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นความรู้สึกที่ติดตัวเขาจนกระทั่งโต จากเด็กชายตัวน้อย เขาพยายามถีบตัวเองให้สูงขึ้น อ่านหนังสือจนดึกจนดื่น จนกระทั่งได้รับผลเป็นสายตาที่ผิดปกติกว่าเดิมมาก
เด็กชายตัวน้อย เริ่มใส่แว่นตาเมื่อเพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่น พฤติกรรมเกเรโดนโยนทิ้งไปพร้อมกับตุ๊กตาหุ่นยนต์ตัวเก่า
เขายอมรับโดยดุษฎีเลยว่า อนาวิน พี่ชายที่แสนอ่อนโยนของเด็กหญิงทั้งสองเป็นต้นแบบของเขาเอง เป็นต้นแบบ แบบที่เขาคิดว่าวันหนึ่งจะต้องไปให้ไกลกว่านั้นให้ได้!
เขาพยายามจนสอบติดคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝัน พยายามขวนขวายเข้าทำงานในโรงพยาบาลชั้นดี แบบที่ใครๆ ก็นับหน้าถือตา พยายามเพื่อที่จะพบว่า...ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาก็ยังเป็นเพียง ไอ้บิ๊ก เด็กรับใช้คนเก่าในสายตาของเธอทั้งสองเท่านั้น
บทพิสูจน์ของสิ่งนั้น คือ เรื่องราวที่แสนหอมหวานระคนปวดร้าว เรื่องราวที่เขาแม้อยากลืมแต่ก็ยังจำแน่นติดในหัวใจ...ภาพสาวแรกรุ่นที่คู้ตัวอยู่ใต้ต้นไม้ย้อนกลับมาอยู่ในมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง
“ใคร...ใครอยู่ตรงนั้น...เป็นอะไรรึป่าว” เขารีบปรี่เข้าไปประคองร่างนั้นอย่างเป็นห่วง หากแต่เธอไร้อาการตอบสนอง เด็กสาวที่เขาเพิ่งรู้ว่าคือวาฤดีนอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ตายล่ะ ก้อย” เขาอุทานด้วยความตกใจ หากเป็นคนอื่นยังพอว่า แต่ถ้าเป็นวาฤดีนี้ เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะอาการหนักกว่าการเป็นลมเป็นแล้งธรรมดา เพียงนิสิตเพิ่งเรียนจบอย่างเขาจะช่วยอะไรได้ มือไม้ของเขาสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่ เขากลัวความสูญเสียเหลือเกิน
“ก้อย ก้อย ”
“อ่ะ..อืออ” เสียงครางกึ่งๆ ไอหลุดเร้นออกจากริมฝีปากบาง ทำให้เขาเริ่มใจชื้น เขาลูบมือลงบนผิวหน้านุ่มที่เต็มไปด้วยรอยชื้นเหงื่ออย่างอ่อนโยน
“เป็นอะไรหรือเปล่า ตื่นมาคุยกับพี่สิ” เขาพยายามเรียกเธอให้ฟื้นตื่นขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะแทนตนเองว่า ‘พี่’ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ หญิงสาวในอ้อมกอดเขาสะท้านตัวขึ้นจนเหมือนกำลังชัก
“ก้อย! ใจเย็น..เย็นๆ ไว้ พี่อยู่นี่ ไม่เป็นไรนะ”
“พี่วิน...พี่วิน พี่วิน”
“วินทำไม ไอ้วินมันทำอะไร ก้อย”
“พี่วินจ๋า” วาฤดีร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่ตกอยู่ในฝันร้าย มือเธอชื้นเหงื่อเสียจนเขาตกใจ เขากอดร่างของเธอไว้ดังกลัวว่าวิญญาณเธอจะหลุดลอยหนีเขาไป ณ ช่วงเวลานั้น
หน้าผากอุ่นจะแทบร้อนของเธอซบแนบเข้ากับแผ่นอกเขา...เขารู้ดีว่าเธอกำลังทรมาน...
“เดี๋ยวพี่พาเข้าไปข้างในนะ” เขากระซิบเบาๆ ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นไว้กับอก อุ้มพาไปยังห้องนอนของเธอในตัวบ้านตากอากาศหลังใหญ่
ในบ้านไม่มีใคร...
เขาอดคิดไม่ได้ว่า คนในบ้านอาจกำลังตามหาตัวเธอให้วุ่นอยู่ตามชายหาดก็เป็นได้
เอกบดินทร์จัดแจงวางร่างเธอลงบนเตียง หญิงสาวดูช่างอ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“พี่วิน...อย่าทิ้งก้อยไปนะ อย่า...”
“เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้ ไม่ทิ้งไปไหนหรอก” เอกบดินทร์ลูบมือเธอ ขณะกล่าวปลอบโยน ก่อนจะเดินไปจัดการนำผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตัวเธอเพื่อลดอาการไข้ แต่ดูวาฤดีจะไม่ดีขึ้นเลย
มือร้อนผ่าวของเธอกระชับแน่นอยู่ที่ข้อมือของเขา ปะป่ายไปเรื่อยยามที่เขาเช็ดบรรเทาความร้อนของร่างกายเธอ นานพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าเสียงครางอืออาจะหยุดเงียบลง วาฤดีซุกหน้าลงกับมือเขานิ่งๆ แต่ยังพูดคล้ายละเมอออกมาเป็นช่วงๆ ไม่มีวี่แววจะรู้สึกตัว
“พี่วินอยู่กับก้อยนะ รักก้อยนะ”
“ครับ พี่จะอยู่กับก้อย พี่จะรักก้อย” เขาพูดตอบไปโดยไม่รู้ตัว
ภายในบ้านหลังนั้น ยังคงเงียบสงบ...แต่จิตใจของเขากลับสั่นระรัวเหมือนมีใครมาโหมตีกลองใหญ่อยู่ในนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าสมควรไขว่คว้าความรักมาเป็นรางวัลตนเอง!
   
“ไอ้บิ๊ก ไอ้ลูกระยำ เอ็งมาทำอะไรของเอ็งตรงนี้!” เสียงพ่อของเขาดังขึ้นเหนือหัว เขาสะดุ้งสุดตัว ซึ่งทำให้มึนงงไปชั่วขณะ
   
“ผม..”
   
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” เขาโดนพ่อกระชากแขนให้ยืดตัวขึ้นจากการซบหน้าลงกับเตียง มือของเขาต้องผละจากมือนุ่มของวาฤดีอย่างน่าเสียดาย
“นี่..ผมแค่เผลอหลับ..ผมไม่ได้ทำอะไรนะพ่อ” เขารีบแก้ตัวเมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงของผู้เป็นพ่อ
“ถ้าใครเห็นเขาจะว่ายังไง แกคิดบ้างมั้ยฮะ”
“ก็น้องเขาล้มอยู่ข้างนอก ผมก็พาขึ้นมา แล้วก็..ช่วยพยาบาลจนดีขึ้น ผมกำลังช่วยนะพ่อ ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”
“ยังจะมาเถียงอีก ไอ้ลูกเวร เอ็งไม่ต้องเรียกนับคุณเขาเป็นน้อง ให้มันรู้ไว้ว่าเขาเป็นเจ้านายเอ็ง”
เอกบดินทร์นิ่งงันกับคำสบประมาทของผู้เป็นพ่อ...คำบอกเล่าที่เขาไม่เคยทนรับฟังได้เลยแม้ครั้งเดียว
“เมื่อไหร่พ่อจะเลิกพูดแบบนี้ซะที”
“ก็เมื่อเอ็งเลิกวอแวกับเขาไงวะ”
“ทีพ่อยัง..”
“ไอ้บิ๊ก เอ็งอย่าพูดออกมาเชียวนะ!”
“ทีพ่อยังหลงรักน้ากิ่งได้หัวปักหัวปำเลย”
“ไอ้บิ๊ก!”
“ถ้าพ่อไม่ยอมแพ้จนต้องมาคอยเป็นคนสวนดูแลบ้านให้เขาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้หรอก!”
“เอ็งไม่เชื่อแล้วเอ็งจะรู้สึก”
“ผมไม่มีทางยอมแพ้แบบพ่อ ยอมทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สู้เพื่อตัวเองเลย” แววตาของพ่อเขาแปรเปลี่ยนไป เขารู้สึกได้เลยว่า พ่อเขาเองก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเช่นกัน
“ประเดี๋ยวคุณวินกับคุณแก้มก็จะคงกลับมาจากตามหาคุณก้อยแล้ว เอ็งรีบๆไสหัวกลับลงไปข้างล่าง ไวๆเลย” พ่อของเขาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะขมขื่น ก่อนจะหันร่างออกจากห้องไป
เขาหันกลับมามองวาฤดีที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงอีกครั้ง ความรู้สึกที่ว่าสมควรทำอะไรสักอย่าง...รุนแรงขึ้นทุกขณะ
เขาทรุดนั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง เฝ้ามองวาฤดีที่หลับใหลผ่านความมืดมิด เกล็ดน้ำตาใสๆ สะท้อนแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง
เสียงครางอือๆ ดังแผ่ว เขาวางมือลงบนมือเธอส่งผ่านความอบอุ่นที่เต็มตื้นในหัวใจเขาไปถึงเธออีกคราว วาฤดีเริ่มหายใจอย่างสม่ำเสมออีกครา
“เป็นพี่ไม่ได้เหรอ ก้อย” เขากระซิบถามเบาๆ แม้รู้ดีว่าจะไม่ได้รับคำตอบ
“เป็นพี่ได้มั้ย” เขาถามขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะสติอันน้อยนิดจะจางหายไป
จูบแรกของเขา...ต่อเธอ...เป็นจูบที่เย็นสนิทและน่าหนาวสั่น จูบที่ไร้ความรู้สึกจนน่าใจหาย
แล้วเธอก็ลืมตา
เพี๊ยะ...
   
“ทำอะไรน่ะ” วาฤดีกล่าวเสียงสั่น ดวงตาทอแววหวาดกลัว
   
“คือ...”
   
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
   
“ก้อย คือ ฟังพี่ก่อน”
   
“ออกไปนะ!”
   
“ก้อยฟังพี่...พี่รักก้อยนะ” เขาโพล่งออกไปเหมือนบ้าคลั่ง
   
“ฉันไม่ต้องการความรักบ้าบอของนาย! ออกไปซะ!”   
   
เขาเดินกลับมาออกจากห้องนั้นพร้อมใบหน้าที่ด้านชา ตัวตนที่เล็กจิ๋วภายในจิตใจของเขารู้สึกด้อยค่าลงกว่าเดิมไปอีก
   
นี่หรือ ผลตอบแทนแห่งรักของเขา...
ตอนที่ 14 ที่จะลงให้อ่านนี้ เป็นเหตุการณ์อดีต ในความทรงจำของพ่อหนุ่มบิ๊ก ที่ไม่ค่อยมีบทบาทค่ะ
minimink
------------------------------------------------------------------
เอกบดินทร์นั่งมองหญิงสาวที่หลับสนิทอยู่บนเตียง หากแต่กลับนึกไปถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีพิมพ์หน้าเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยใจคอและความรู้สึกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง...ต่างกันโดยสิ้นเชิงงั้นเหรอ?
ไม่ใช่สิ อย่างน้อยก็มีอยู่อย่างสองอย่างล่ะ ที่ฝาแฝดคู่นี้เหมือนกัน หนึ่งก็คือรักคนๆ เดียวกัน ส่วนอย่างที่สอง ก็คือ ต่างก็รังเกียจเขาเช่นเดียวกัน!
เอกบดินทร์วางมือทาบลงบนมือบางอย่างแผ่วเบา เพราะเกรงเจ้าของมือจะรู้สึกตัวตื่น แม้แต่ก่อนเขาจะโกรธแค้นแฝดทั้งคู่นี้มากแค่ไหน พอถึงบัดนี้ เขาก็ยังรู้สึกสงสารทั้งสองจับใจ
ทำไมความรักที่ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัสเพียงนี้ ยังมีคนปรารถนาจะไขว่คว้า
เอกบดินทร์ตั้งคำถามขึ้นมาให้กับตัวเอง ก่อนจะนึกแย้งขึ้นมาได้ว่า...เขาเองก็เคยเป็นหนึ่งของคนที่พยายามไขว่คว้ามันมิใช่เหรอ?
เมื่อคราวที่เขายังเป็นเพียงเด็กตัวผอมเก้งก้างจอมเกเร ที่วิ่งวุ่นอยู่ในบ้านของแฝดทั้งสองในฐานะลูกของคนสวน
ในสายตาของเธอทั้งสองเขาเป็นเพียง เด็กรับใช้คนหนึ่ง ที่ไม่ควรเผยอหน้าไปเล่นหัวกับเธอ ฐานะของเขาผิดกับ ด.ช. อนาวิน เพื่อนของเขาโดยสิ้นเชิง
ในสายตาของเขา เธอทั้งสองเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจเอื้อม การเฝ้ามองนางฟ้าของเขายิ้มเยือนให้แก่กัน การได้เห็นไอรดาทำหน้าบึ้งให้กับเขาอย่างขัดเคือง หรือกระทั่งยามที่วาฤดีออกโรงปกป้องเขาด้วยการปรามน้องสาวตัวป่วน...ทั้งหมดนั่น ก็นับเป็นความยินดีของเขาแล้ว
ลึกๆ ลงไปแล้ว เขารู้ดีว่า เขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้น ความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่เขาใฝ่หามาตลอด
เขาโตมาพร้อมกับความรู้สึกเช่นนั้น และมันก็ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นความรู้สึกที่ติดตัวเขาจนกระทั่งโต จากเด็กชายตัวน้อย เขาพยายามถีบตัวเองให้สูงขึ้น อ่านหนังสือจนดึกจนดื่น จนกระทั่งได้รับผลเป็นสายตาที่ผิดปกติกว่าเดิมมาก
เด็กชายตัวน้อย เริ่มใส่แว่นตาเมื่อเพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่น พฤติกรรมเกเรโดนโยนทิ้งไปพร้อมกับตุ๊กตาหุ่นยนต์ตัวเก่า
เขายอมรับโดยดุษฎีเลยว่า อนาวิน พี่ชายที่แสนอ่อนโยนของเด็กหญิงทั้งสองเป็นต้นแบบของเขาเอง เป็นต้นแบบ แบบที่เขาคิดว่าวันหนึ่งจะต้องไปให้ไกลกว่านั้นให้ได้!
เขาพยายามจนสอบติดคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝัน พยายามขวนขวายเข้าทำงานในโรงพยาบาลชั้นดี แบบที่ใครๆ ก็นับหน้าถือตา พยายามเพื่อที่จะพบว่า...ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาก็ยังเป็นเพียง ไอ้บิ๊ก เด็กรับใช้คนเก่าในสายตาของเธอทั้งสองเท่านั้น
บทพิสูจน์ของสิ่งนั้น คือ เรื่องราวที่แสนหอมหวานระคนปวดร้าว เรื่องราวที่เขาแม้อยากลืมแต่ก็ยังจำแน่นติดในหัวใจ...ภาพสาวแรกรุ่นที่คู้ตัวอยู่ใต้ต้นไม้ย้อนกลับมาอยู่ในมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง
“ใคร...ใครอยู่ตรงนั้น...เป็นอะไรรึป่าว” เขารีบปรี่เข้าไปประคองร่างนั้นอย่างเป็นห่วง หากแต่เธอไร้อาการตอบสนอง เด็กสาวที่เขาเพิ่งรู้ว่าคือวาฤดีนอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมกอดเขา
“ตายล่ะ ก้อย” เขาอุทานด้วยความตกใจ หากเป็นคนอื่นยังพอว่า แต่ถ้าเป็นวาฤดีนี้ เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะอาการหนักกว่าการเป็นลมเป็นแล้งธรรมดา เพียงนิสิตเพิ่งเรียนจบอย่างเขาจะช่วยอะไรได้ มือไม้ของเขาสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่ เขากลัวความสูญเสียเหลือเกิน
“ก้อย ก้อย ”
“อ่ะ..อืออ” เสียงครางกึ่งๆ ไอหลุดเร้นออกจากริมฝีปากบาง ทำให้เขาเริ่มใจชื้น เขาลูบมือลงบนผิวหน้านุ่มที่เต็มไปด้วยรอยชื้นเหงื่ออย่างอ่อนโยน
“เป็นอะไรหรือเปล่า ตื่นมาคุยกับพี่สิ” เขาพยายามเรียกเธอให้ฟื้นตื่นขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะแทนตนเองว่า ‘พี่’ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ หญิงสาวในอ้อมกอดเขาสะท้านตัวขึ้นจนเหมือนกำลังชัก
“ก้อย! ใจเย็น..เย็นๆ ไว้ พี่อยู่นี่ ไม่เป็นไรนะ”
“พี่วิน...พี่วิน พี่วิน”
“วินทำไม ไอ้วินมันทำอะไร ก้อย”
“พี่วินจ๋า” วาฤดีร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่ตกอยู่ในฝันร้าย มือเธอชื้นเหงื่อเสียจนเขาตกใจ เขากอดร่างของเธอไว้ดังกลัวว่าวิญญาณเธอจะหลุดลอยหนีเขาไป ณ ช่วงเวลานั้น
หน้าผากอุ่นจะแทบร้อนของเธอซบแนบเข้ากับแผ่นอกเขา...เขารู้ดีว่าเธอกำลังทรมาน...
“เดี๋ยวพี่พาเข้าไปข้างในนะ” เขากระซิบเบาๆ ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นไว้กับอก อุ้มพาไปยังห้องนอนของเธอในตัวบ้านตากอากาศหลังใหญ่
ในบ้านไม่มีใคร...
เขาอดคิดไม่ได้ว่า คนในบ้านอาจกำลังตามหาตัวเธอให้วุ่นอยู่ตามชายหาดก็เป็นได้
เอกบดินทร์จัดแจงวางร่างเธอลงบนเตียง หญิงสาวดูช่างอ่อนแอและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“พี่วิน...อย่าทิ้งก้อยไปนะ อย่า...”
“เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้ ไม่ทิ้งไปไหนหรอก” เอกบดินทร์ลูบมือเธอ ขณะกล่าวปลอบโยน ก่อนจะเดินไปจัดการนำผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตัวเธอเพื่อลดอาการไข้ แต่ดูวาฤดีจะไม่ดีขึ้นเลย
มือร้อนผ่าวของเธอกระชับแน่นอยู่ที่ข้อมือของเขา ปะป่ายไปเรื่อยยามที่เขาเช็ดบรรเทาความร้อนของร่างกายเธอ นานพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าเสียงครางอืออาจะหยุดเงียบลง วาฤดีซุกหน้าลงกับมือเขานิ่งๆ แต่ยังพูดคล้ายละเมอออกมาเป็นช่วงๆ ไม่มีวี่แววจะรู้สึกตัว
“พี่วินอยู่กับก้อยนะ รักก้อยนะ”
“ครับ พี่จะอยู่กับก้อย พี่จะรักก้อย” เขาพูดตอบไปโดยไม่รู้ตัว
ภายในบ้านหลังนั้น ยังคงเงียบสงบ...แต่จิตใจของเขากลับสั่นระรัวเหมือนมีใครมาโหมตีกลองใหญ่อยู่ในนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าสมควรไขว่คว้าความรักมาเป็นรางวัลตนเอง!
   
“ไอ้บิ๊ก ไอ้ลูกระยำ เอ็งมาทำอะไรของเอ็งตรงนี้!” เสียงพ่อของเขาดังขึ้นเหนือหัว เขาสะดุ้งสุดตัว ซึ่งทำให้มึนงงไปชั่วขณะ
   
“ผม..”
   
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” เขาโดนพ่อกระชากแขนให้ยืดตัวขึ้นจากการซบหน้าลงกับเตียง มือของเขาต้องผละจากมือนุ่มของวาฤดีอย่างน่าเสียดาย
“นี่..ผมแค่เผลอหลับ..ผมไม่ได้ทำอะไรนะพ่อ” เขารีบแก้ตัวเมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงของผู้เป็นพ่อ
“ถ้าใครเห็นเขาจะว่ายังไง แกคิดบ้างมั้ยฮะ”
“ก็น้องเขาล้มอยู่ข้างนอก ผมก็พาขึ้นมา แล้วก็..ช่วยพยาบาลจนดีขึ้น ผมกำลังช่วยนะพ่อ ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”
“ยังจะมาเถียงอีก ไอ้ลูกเวร เอ็งไม่ต้องเรียกนับคุณเขาเป็นน้อง ให้มันรู้ไว้ว่าเขาเป็นเจ้านายเอ็ง”
เอกบดินทร์นิ่งงันกับคำสบประมาทของผู้เป็นพ่อ...คำบอกเล่าที่เขาไม่เคยทนรับฟังได้เลยแม้ครั้งเดียว
“เมื่อไหร่พ่อจะเลิกพูดแบบนี้ซะที”
“ก็เมื่อเอ็งเลิกวอแวกับเขาไงวะ”
“ทีพ่อยัง..”
“ไอ้บิ๊ก เอ็งอย่าพูดออกมาเชียวนะ!”
“ทีพ่อยังหลงรักน้ากิ่งได้หัวปักหัวปำเลย”
“ไอ้บิ๊ก!”
“ถ้าพ่อไม่ยอมแพ้จนต้องมาคอยเป็นคนสวนดูแลบ้านให้เขาจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้หรอก!”
“เอ็งไม่เชื่อแล้วเอ็งจะรู้สึก”
“ผมไม่มีทางยอมแพ้แบบพ่อ ยอมทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สู้เพื่อตัวเองเลย” แววตาของพ่อเขาแปรเปลี่ยนไป เขารู้สึกได้เลยว่า พ่อเขาเองก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเช่นกัน
“ประเดี๋ยวคุณวินกับคุณแก้มก็จะคงกลับมาจากตามหาคุณก้อยแล้ว เอ็งรีบๆไสหัวกลับลงไปข้างล่าง ไวๆเลย” พ่อของเขาพูดด้วยน้ำเสียงติดจะขมขื่น ก่อนจะหันร่างออกจากห้องไป
เขาหันกลับมามองวาฤดีที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงอีกครั้ง ความรู้สึกที่ว่าสมควรทำอะไรสักอย่าง...รุนแรงขึ้นทุกขณะ
เขาทรุดนั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง เฝ้ามองวาฤดีที่หลับใหลผ่านความมืดมิด เกล็ดน้ำตาใสๆ สะท้อนแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง
เสียงครางอือๆ ดังแผ่ว เขาวางมือลงบนมือเธอส่งผ่านความอบอุ่นที่เต็มตื้นในหัวใจเขาไปถึงเธออีกคราว วาฤดีเริ่มหายใจอย่างสม่ำเสมออีกครา
“เป็นพี่ไม่ได้เหรอ ก้อย” เขากระซิบถามเบาๆ แม้รู้ดีว่าจะไม่ได้รับคำตอบ
“เป็นพี่ได้มั้ย” เขาถามขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะสติอันน้อยนิดจะจางหายไป
จูบแรกของเขา...ต่อเธอ...เป็นจูบที่เย็นสนิทและน่าหนาวสั่น จูบที่ไร้ความรู้สึกจนน่าใจหาย
แล้วเธอก็ลืมตา
เพี๊ยะ...
   
“ทำอะไรน่ะ” วาฤดีกล่าวเสียงสั่น ดวงตาทอแววหวาดกลัว
   
“คือ...”
   
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
   
“ก้อย คือ ฟังพี่ก่อน”
   
“ออกไปนะ!”
   
“ก้อยฟังพี่...พี่รักก้อยนะ” เขาโพล่งออกไปเหมือนบ้าคลั่ง
   
“ฉันไม่ต้องการความรักบ้าบอของนาย! ออกไปซะ!”   
   
เขาเดินกลับมาออกจากห้องนั้นพร้อมใบหน้าที่ด้านชา ตัวตนที่เล็กจิ๋วภายในจิตใจของเขารู้สึกด้อยค่าลงกว่าเดิมไปอีก
   
นี่หรือ ผลตอบแทนแห่งรักของเขา...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น