ตอนที่ 12 : ตอนที่ ๑๒
๑๒
ผ่านมาหลายวันแล้วสำหรับการเป็นสามีภรรยาในสมัยไทโช มิซูโกะส่งพ่อสามีและน้องชายของสามีกลับบ้านประจำตระกูลเมื่อสองวันที่แล้วได้ พอไม่มีเด็กช่างพูดอย่างชินจูโร่เธอก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้เงียบเหงาไปเสียหน่อย สำหรับเธอแล้วคุณเคียวจูโร่ไม่ค่อยพูดจานัก มีแต่เธอพูดมากเสียฝ่ายเดียวมากกว่า…
แบบว่าชอบซักไซ้ถามชีวิตประจำวันของเธอว่าตอนอยู่ด้วยกันในยุคนั้น เราทำอะไรกันบ้าง ชีวิตของเธอเป็นแบบไหน ซึ่งการถามไถ่เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นอยากจะทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น
ก็นะ…
มิซูโกะโบกพัดลมไปมาสองสามครั้งก่อนจะเสียบเอาไว้ที่โอบิด้านหลัง ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อนที่จะมีพายุพัดเข้ามาระลอกหนึ่งทำให้อากาศเย็นลงและมีฝนตกไล่เลี่ยกันทั่วประเทศ ดีที่ไม่ใช่พายุฝนฟ้าที่รุนแรงมากเลยไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของเตรียมรับมือมากนัก
สายลมแรงพัดปะทะร่างของมิซูโกะ พอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เมฆหนาและรายล้อมไปด้วยบรรยากาศดำมืด เธอก็รีบสาวเท้าหอบตะกร้าไปเก็บผ้าที่ตากเอาไว้เข้ามาในบ้าน เก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทางอย่างเร่งรีบจากนั้นก็มานั่งพับผ้ามองดูฝนที่ตกโปรยปรายเม็ดใหญ่อยู่สักพัก
เสียงประตูบ้านเลื่อนเปิดและปิดขึ้น
มิซูโกะมองผ่านประตูห้องชั้นไหนออกไปยังลานห้องหน้าบ้านก็พบกับร่างสูงใหญ่ของเจ้าผลแอปริคอตเปรี้ยวหวานที่เปียกปอนเล็กน้อย มิซูโกะเห็นแบบนั้นก็เข้าไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวอีกฝ่าย แล้วชงชาร้อน ๆ มาให้เขาดื่มไล่อากาศเย็นในร่าง
“ขอบใจมากนะ” เขาว่าแล้วถอดเสื้อเครื่องแบบตัวนอกกองไว้ข้าง ๆ เหลือเสื้อเชิ้ตตัวในที่ยังไม่เปียกปอนเอาไว้ แต่จะว่าไปแล้วเครื่องแบบของกลุ่มพิฆาตอสูรเองนี่ก็หนาเหนียว ดูว่าจะตัดอย่างพิเศษโดยเฉพาะจริง ๆ
มิซูโกะคิดก่อนจะหยิบเสื้อที่เขากองเอาไว้มาพับเตรียมเก็บไปซัก จากนั้นก็เงยใบหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างหนักใจจนเขาถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“เหตุใดจึงมีสีหน้าหนักใจเช่นนั้นกัน”
มิซูโกะไม่ได้ตอบก็แค่ถอนหายใจ
“ก็…แค่รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นท่านตากฝนมาน่ะสิ” เธอว่าคล้ายกับแม่บ้านขี้บ่น
“ตากฝนแค่นี้ข้าไม่ได้ป่วยง่ายหรอกนะ” คุณเคียวจูโร่จากนั้นก็หัวเราะให้กับคำพูดของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ชอบ เธอรู้สึกว่าดูแลอีกฝ่ายได้ไม่ดีอย่างไรอย่างนั้น
“ก็แต่ก่อนถ้ามีฝนตกข้าจะเป็นคนไปรับท่านที่โรงเรียนนี่นา” เธอว่าจากนั้นก็พูดต่อ“ตั้งแต่ที่ข้าเป็นแม่บ้านเต็มตัวข้าก็ไม่ยอมให้ท่านลำบากเลย จนท่านเรียกข้าว่าแม่คนหัวแข็ง”
“หัวแข็งขนาดนั้นเชียวรึ?” เขาว่าอย่างขำขันแล้วลูบที่ศีรษะของเธอ
“ก็ข้าน่ะเวลาทำกับข้าวก็ต้องเลือกของที่ดีที่สุด เวลาข้าเลือกปลาสักตัว ข้าไม่ได้เลือกแบบขอไปทีนะ ข้าไปถึงโรงประมูลเลยเชียว หมดไปแสนเยนเพราะแค่ปลาตัวเดียว”
“แสนเยน?”
อีกฝ่ายตกใจ
“แน่นอนว่าข้าไม่เคยพูดว่าข้าซื้อมาแสนกว่าเยนหรอกนะ ข้าก็เงียบ ๆ แล้วก็ว่าปลาตัวนี้ลดราคาจ้างห้างมา ได้มาในราคาหมื่นเยนเท่านั้นเอง” เธอหัวเราะให้กับตัวเองที่ทำอะไรบ้าบอลงไป
“แล้วความแตกหรือไม่?”อีกฝ่ายถามต่ออย่างให้ความสนใจ
“ไม่เจ้าค่ะ ความลับนี่ท่านไม่เคยรู้หรอก ข้าน่ะมีความลับเยอะมากเรื่องการเงินของบ้าน ตอนแต่งงานท่านน่ะไม่เคยยุ่งเรื่องเงินเดือนของข้าเลย ไม่ถามว่าข้ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง ท่านน่ะวางสมุดบัญชี บัตรเครดิตแล้วก็เงินเดือนทั้งหมดให้ข้าจัดการ ท่านชอบพูดทำนองว่า ‘ฉันไม่ได้จนนะ ฉะนั้นมิซูโกะต้องใช้เงินบ้าง’ แล้วก็เรียกข้าว่าแม่บ้านจอมขี้งก”
แน่นอนว่าแม่บ้านขี้งกนะ ก็ต้องขี้งกจริง ๆ
เธอเก็บเงินและก็ทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกวัน รวบรวมเก็บเอาไว้ทุก ๆ เดือนในสมุดและไฟล์ในไอแพด ทำตารางค่าใช้จ่ายเลยว่ามีค่าอะไรบ้าง อย่างพวกภาษีที่ต้องจ่ายจิปาถะ ประกันหลาย ๆ ตัวที่เธอทำขึ้นคุ้มครองความเสี่ยงในชีวิต ไหนจะเงินเกษียณหรือเงินในระบบบำนาญแห่งชาติที่ต้องเสียอีก
คุณเคียวจูโร่ทำงานมาก่อนเธอหลายปี เงินเดือนของครูมัธยมนั้นสูงมากสำหรับญี่ปุ่นไหนมีโบนัสที่ได้สองครั้ง ดังนั้นคุณเคียวจูโร่เลยมีเงินเดือนราว ๆ หกแสนแปดหมื่นเยนได้ นี่ยังไม่รวมโบนัสสองครั้งต่อปีสำหรับการเป็นครูมัธยมอีก เธอน่ะหักจ่ายนั้นจ่ายนี่ก็เหลืออ้อมไว้เป็นเงินกองกลางของบ้านปีละราว ๆ สามล้านเยนตามค่าเฉลี่ยของบ้านที่มีการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพหรือบริหารการเงินภายในดีเลยเชี่ยว
“ตอนแรกข้าย้ายไปอยู่กับท่านที่บ้านเช่า หลัง ๆ ข้ามองว่าสิ้นเปลืองเลยย้ายมาอยู่บ้านมรดกของข้า แต่ว่ามันไม่สะดวกเราก็เลยตัดสินใจขายทิ้งแล้วซื้อหลังใหม่แทน เราคุยกันนานมากเรื่องบ้าน ท่านอยากได้บ้านแบบนี้ ข้าอยากได้อีกแบบแทน คุยไปคุยมาเราไม่ได้ซื้อบ้านแต่ไปซื้อที่มาปลูกบ้านแทน ก็เลยหมดปัญหาทะเลาะกัน”
เธอว่าจากนั้นก็นึกเรื่องบ้านที่ทะเลาะกันเพราะเธออยากได้ที่ที่มีสวน ส่วนคุณเคียวจูโร่อยากได้บ้านที่พื้นที่กว้างมากกว่า คุยไปคุยมาไม่รู้ยังไงก็ไม่ทราบที่อีกฝ่ายไปซื้อที่มาแบบงง ๆ แล้วก็หาสถาปานิกมาออกแบบบ้านจัดสรรพื้นที่ที่ทั้งเธอและเขาโอเค เลยได้บ้านในฝันของกันและกันมาในที่สุด
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงยังทำงานอยู่รึ เห็นเจ้าว่าสามปีกว่า ๆ เจ้าถึงลาออกจากที่ทำงานมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว แต่เจ้าก็ว่าบ้านเราไม่ได้มีปัญหาการเงินไม่ใช่รึ?”
“ข้าเป็นทนายที่รับว่าความให้กับคดีด้านการเงินที่มีชื่อเสียง ก็ต้องขยันหาเงินเข้าบ้านให้มาก ๆ ก่อนน่ะ ข้าน่ะเงินเดือนมากกว่าท่านเท่าตัวเลย ตอนนั้นเสียดายถ้าต้องออกจากงานที่มีรายได้ดี ก็เลยคิดว่าทำ ๆ ไปก่อนเก็บเงินได้ก้อนใหญ่ค่อยออกก็ยังไม่สายที่จะคิด” เธออธิบายให้อีกฝ่ายฟัง เพราะเงินเดือนของเธอน่ะตอนแรกสตาร์ถที่แปดแสนเยนสำหรับทนายหน้าใหม่ที่มีความสามารถ จนกระทั่งทำงานไปได้ปีกว่าก็ไปแตะที่หลักล้านเพราะว่าความชนะคดีใหญ่ได้ พวกบริษัทด้านการเงินเลยยอมจ่ายให้ไม่อั้นตลอด เธอจึงทำงานเก็บเงินมาได้ราวก้อนใหญ่มาก!
นั่นเป็นเงินสำหรับลูกอีกสองสามคนที่วางแผนจะมีเลยน่ะนั้น!
แบบว่า…สบายใจเรื่องฐานะทางครอบครัวแล้วก็เลยพร้อมจะมีน่ะสิ!
อีกอย่างเธอไม่อยากให้การเงินครอบครัวมีปัญหาก็เลยยังทำงานต่อ อีกทั้งการที่สร้างชื่อเสียงในฐานะทนายนั้นมีค่ามาก ยิ่งเก็บเคสใหญ่ ๆ ได้มากยิ่งเป็นที่ต้องการ ต่อให้เป็นแม่บ้านที่มีลูกแล้ว แค่รอลูกโตสักวัยประถมค่อยกลับไปทำงานหาเงินก็ยังไม่สายเลยด้วยซ้ำ มีบริษัทมากมายพร้อมจะจ้างอยู่แล้วถ้าคุณมีชื่อเสียงในวงการน่ะ
“ข้าคุยกับท่านเรื่องแผนของครอบครัวเรา ท่านว่าท่านอยากมีลูกสักสองสามคน แต่วัยเด็กของข้าที่บ้านเราแตกเพราะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ข้ากลัวเลยไม่อยากให้เรื่องนี้มามีปัญหากัน แล้วท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านบอกว่าไว้เบื่อก็ลาออกมาเถอะ ข้าก็เลยทำงานอยู่สามปีกว่าน่ะเจ้าค่ะ”
“แล้วตอนนี้เจ้าอยากมีลูกหรือไม่”
เอ๊ะ?
มิซูโกะทำหน้าฉงนเล็กน้อย เธอมองอีกฝ่ายที่จู่ ๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ อย่างมีนัยสำคัญ เธอลอบคิดในใจสักพักยังไม่กล้าตอบในทันที การที่จู่ ๆ อีกฝ่ายถามอะไรทำนองนี้มันก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะสมัยนี้ผู้หญิงมีหน้าที่ให้กำเนิดบุตรธิดานี่นา ดังนั้นเขาจะถามเธอซึ่งเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลย
“ท่านอยากมีหรือ?” มิซูโกะถามอีกฝ่ายกลับ ตอนนี้เธอมองใบหน้าของคุณเคียวจูโร่ที่ยิ้มกว้างและจ้องมาที่ตัวเธอแทบจะไม่กะพริบตาเลยเชียว
“ผู้ชายถ้าไม่ไร้น้ำยาปีแรกก็สมควรจะฝากเด็กไว้ในท้องเมียให้ได้สักคน” เขาว่าพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์เจ้ากลพร้อมรอคอยคำตอบดี ๆ จากปากของเธอ
ก็แบบว่า…ที่คนแก่ชอบพูดว่าสมัยก่อนสามีภรรยาหลังทำงานเสร็จ พออยู่บ้านว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็จิ๊จ๊ะกันจนมีลูกมีคนหัวปีท้ายปีอะไรทำนองนี้ มันฟังดูแล้วจะไม่ผิดไปจากที่เธอกำลังจะเจอสักนิด ตอนดึกที่ไม่มีละครหลังข่าวฉายก็มีแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เข้ามาแทนที่โดยเฉพาะจริง ๆ
หรือว่าคุณเคียวจูโร่อยากจะ…เธอน่ะรึ?
มิซูโกะแอบหน้าแดงเล็กน้อย
“ท่านอยาก…รึ?”เธอถามกลับไม่ยอมตอบ
“?” อีกฝ่ายไม่เข้าใจคำพูดของเธอเท่าไหร่ คุณเคียวจูโร่เอาแต่จ้องเธอด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตสีเพลิงของเขากะพริบสองสามครั้ง ซึ่งตามสัญชาตญาณของมิซูโกะแล้ว เธอเข้าใจเลยล่ะว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่เพราะเธอเคยเผชิญหน้ากับสายตาเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“ปกติเจ้าถามข้าเช่นนี้รึ?”
มิซูโกะส่ายหัวปฏิเสธเธอขยับตัวเข้าไปใกล้คุณเคียวจูโร่มากขึ้น เราอยู่ตรงข้ามและห่างกันไม่กี่คืบนิ้ว แต่อาจเพราะว่าร่างของเธอเล็กกว่าตามขนาดตัวสาวญี่ปุ่นยุคโบราณ เธอก็เลยรู้สึกว่าอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่ามาก
“ปกติแล้วถ้าท่านปรารถนาท่านจะไม่ถามข้าสักคำ ท่านจะลงมือทำอย่างฉับไวโดยที่ข้าไม่ทันตั้งตัวให้ดีนัก แต่ถ้าท่านมองข้าแล้วกะพริบตาเช่นนี้แปลว่าท่านอยากให้ข้าเป็นคนเริ่มก่อน”
เธอว่าและดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะแอบกะพริบตาสองสามอีกครั้งให้เธอเห็นด้วยนะ!
มิซูโกะมองฟ้าฝนที่ยังไม่โปรยปรายไม่หยุดในใจคิดว่าตอนนี้มันก็ได้อยู่หรอก…
“แต่ถ้าวันไหนข้าไม่อยาก ข้าจะขอเป่ายิ้งฉุบแข่งแพ้ชนะกันก่อน ถ้าท่านแพ้เราก็แค่นอนหลับไปเหมือนคืนธรรมดา แต่หากว่าท่านชนะข้าจะตามใจท่าน” เธอว่าจากนั้นก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง อีกมือจับชายแขนเสื้อกิโมโนเอาไว้
คุณเคียวจูโร่นำมืออีกข้างออกมาเตรียมแข่งเป่ายิ้งฉุบกับเธอ
“เป้ายิ้ง-ฉุบ!”เธอให้สัญญาณจากนั้นเกมก็เริ่มขึ้นอย่างว่องไว
มิซูโกะออกค้อน!
ส่วนคุณเคียวจูโร่ออก…กระดาษ!
“ข้าชนะแล้ว!” เขาว่าเสียงดังจากนั้นก็มองมาที่เธอ มิซูโกะยิ้มบาง ๆ เธอไม่ได้พูดอะไรให้กับความพ่ายแพ้ของตนเอง ทำเพียงขยับตัวไปเลื่อนบานประตูด้านฝากของห้องให้ปิดสนิท ตอนนี้ในห้องมีแค่แสงไฟสลัว ๆ เบาบาง แม้ไม่มืดมากแต่ก็ไม่สว่างจนชัดเจนตามชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเมฆสีเทา
มิซูโกะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนังเด็กยั่วสวาท เป็นตัวดาวร้ายในละครอย่างไรอย่างนั้น ร่างนี้ของเธอเพิ่งจะสิบหกเอง เป็นแค่เด็กมัธยมปลายปีหนึ่งแต่ทว่าในร่างมีผีนางแมวยั่วสวาทวัยยี่สิบห้ามาหลอกล่อพ่อหนุ่มนักดาบอายุสิบแปดตรงหน้าให้หลงกลในวิชามาร
สองมือปลดสายโอบิและเชือกรั้งกิโมโนของตนเองอย่างไม่รีบร้อนพลางขยับร่างเข้าทาบทามอีกฝ่าย ชายกิโมโนถูกถลกขึ้นเผยเห็นข้าอ่อนนุ่มนิ่มที่แนบอยู่ช่วงข้าของคนด้านล่างพร้อมสองมือที่ปลดเครื่องแบบในการทำงานของเขากองไว้ข้าง ๆ ให้กลายเป็นคนตัวเปล่าเปลือยเหมือน ๆ กัน
มิซูโกะมอบจูบหวาน ๆ สัมผัสที่เรือนร่างของอีกฝ่าย
เธอขยับให้ถูกจุด สัมผัสประสานร่างของกันและกันอย่างแนบแน่น ค่อย ๆ ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายที่ร้อนผ่าวพลางขยับร่างกายไปตามจังหวะรักที่เกิดขึ้น มิซูโกะรู้สึกว่าห้องนี้ที่เมื่อครู่ยังเย็นเพราะลมฝน แต่ทว่าขณะนี้มันกลับร้อนอบอ้าวขึ้นเพราะกิจกรรมวาบหวามเสียแล้ว
เสียงครวญครางของเธอแผ่วเบาอย่างซาบซ่าน อารมณ์วาบหวามแล่นไปทั่วร่างไม่ต่างจากคนที่เธอกำลังเล่นพิศวาสด้วย เนื้อกระทบเนื้อเสียดสีกันอยู่เนิ่นนานจนสุขสมอารมณ์หมาย ทว่าแรงปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นมาแล้วไม่อาจมอดได้โดยง่าย
กองเพลิงจะไม่ยอมดับลงจนกว่าเชื้อฟืนที่ถูกเติมจะมอดดับไปพร้อมกัน…
ร่างของมิซูโกะถูกพลิกคร่อมแทนกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างยาวนานตราบจนกระทั่งฟ้าฝนเงียบสงบก็ไม่ยอมจบสิ้น…
. . .
พายุในห้องสงบลมแล้ว กองเพลิงใหญ่มอดดับไปพร้อมกับฟืนกองน้อยที่หมดเรี่ยวแรง ตัวมิซูโกะอยู่ด้วยเสื้อเชิ้ตตัวยักษ์ของอีกฝ่าย ร่างของเธอถูกเขานอนกอดเอาไว้ท่ามกลางบรรยากาศที่กลับมาเย็นชื้นด้วยหยาดฝนที่หยุดสาดเท่ไปก่อนหน้านั้น
เธอรู้สึกล้าเล็กน้อย…
พ่อหนุ่มนักดาบแรงม้าคนนี้มันทึกทนจริง ๆ ไม่ต่างไปจากครูหนุ่มจอมเผด็จการ หรือนักเคนโด้ไฟแรงคนนั้นเลย ก็น่ะ…ทั้งสองคนคือคน ๆ เดียวไม่ใช่หรือยัยมิซูโกะจอมสับสนเอ้ย!
“เจ้าเป็นอะไรไป เหนื่อยรึเมียข้า?” เขากระซิบที่ข้างใบหูของเธออย่างรู้สึกพึงพอใจ แต่ทว่ามิซูโกะก็เอาแต่นิ่งเธอขดตัวเองด้วยความอ่อนล้า ชีวิตเซ็กส์สนุกน่ะมันก็ดีสำหรับคู่รัก แต่มันไม่ได้ง่ายดายแบบที่คุณ ๆ ดูกันในหนังผู้ใหญ่สักนิด จริง ๆ มันมีมากกว่านั้นและเหมือนกิจกรรมที่สนุกสนานซึ่งต้องแลกกับการสูญเสียพลังงานมหาศาลเลยเชียวล่ะ!
“…ข้าเหนื่อยเหลือเกินเจ้าค่ะ” เธอบอกอีกฝ่ายเสียงเบา ๆ
“อื้ม!” เขาว่าเสียงดังดูเหมือนจะภาคภูมิใจที่ทำให้ภรรยาของตนเองไร้เรี่ยวแรงได้ตามแบบฉบับที่พวกผู้ชายชอบไปโม้ในวงเหล้าว่าตัวเองน่ะลีลาเด็ดจนทำเอาเมียต้องหมดแรง
ก็หมดแรงจริง ๆ นั่นแหละ…
มิซูโกะคิดก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า…
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่งงานเนี่ย~จะมีฉากเด็ดให้ดูเยอะนะคะ~