นางเหม่ออีกแล้ว พอเหม่อไปเหม่อมา นางก็รู้สึกง่วงหนาวหาวนอน ขี้คร้านจะทำสิ่งใด แม้วันง่ายๆ นางก็ยังรู้สึกเบื่อหน่าย ปกตินางมักชอบดูใบไม้ แต่พักๆหลังนางเอาแต่จดจ้องกับใบหน้าของสามี จนบางครั้งเขารู้สึกเกร็ง
นางก็แค่สงสัยว่า...
หากลูกคนนี้เกิดมาแล้วหน้าตาเขาจะเหมือนนางหรือเหมือนฮุ่ยเหยียนกันนะ?
"ง่วงแล้วรึ" เสียงหวานของสตรีที่นั่งอย่ตรงข้ามนางเอ่ยเบาๆ สตรีผู้นี้คือฮูหยินเว่ย มาจากสกุลหลี่นามว่าฟางซิน เป็นสตรีผู้นี้แหละที่รักษาอาการป่วยของนางเอาไว้ด้วยยาแปลกประหลาด
"อือ..." นางตอบกลับไปเบาๆ เช่นกัน บัดนี้บรรดากาศเย็นสบายดีมาก อีกทั้งสตรีคนนี้นางค่อนข้างไว้ใจมาก การเอ่ยปากคุยสองสามประโยคนางพอทำได้
"คนท้องช่วงสองสามเดือนก็เป็นเช่นนี้ แต่เจ้าโชคดีมากเลยนะที่ไม่ค่อยมีอาการแพ้ท้องรุ่นแรงจนไม่สามารถทานอะไรได้" นางยิ้มสวยๆ อย่างสบายใจเหมือนกับว่าคนไข้ของนางผู้นี้โชคดีมาก แม้ประสบเคราะห์ร้ายมากมายก็ยังรอดผ่านมาได้
อันที่จริงก็แพ้เยอะอยู่...
แต่ฮุ่ยเหยียนนะ ให้นางลองชิมแลรับประทานทุกสิ่งที่นางน่าจะไม่แพ้ท้อง อะไรที่นางอยากแม้เพียงเล็กน้อยก็ลงทุนวิ่งเต้นไปหามาด้วยตนเอง ข้าวของเครื่องใช้ที่อันตราย ลื่นล้มง่ายเขาเปลี่ยนหมดแทบทั้งสิ้น ยาบำรุงก็รังสรรค์หามาอย่างดีให้นางดื่มทานทุกวัน
เจ้าใบไม้สามสีช่างรักนางต่อนางจริงๆ...
"เจ้านะ อยากมีบุตรบ้างรึเปล่า..." นางถามสตรีตรงหน้าที่จิบชาอยู่ พอถามไปแบบนั้นแล้วหมอสาวถึงกับร่างกระตุกไปเลยทีเดียว สตรีผู้นี้แต่งไปเป็นปีแล้วยังมิมีบุตรให้ท่านแม่ทัพเว่ย แปลก...
"ท่านแม่ทัพไม่อยากจะอยู่ร่วมกับข้า หรือแม้แต่การจะมีบุตรเลย ที่ผ่านมาเขามองเห็นข้าก็เพราะเห็นข้าเป็นตัวแทนของหญิงคนรักของเขา เขานะอยากอยู่กับหญิงคนรักและมีลูกกับหญิงที่เขารัก...ส่วนตัวข้าเองก็ไม่อยากตั้งท้องในช่วงเวลาเช่นนี้หรอก รั้งจะลำบากใจสองฝ่ายเสียเปล่าๆ" อย่างที่ฟางซินกล่าวมาก็สมเหตุสมผลแล้ว แต่นางรู้สึกแปลกๆ คำพูดของฟางซินดูเหมือนพูดจริงแต่มีบางจุดแปลกๆไป...
แต่...น่าสงสารจัง
นางกับฮุ่ยเหยียนเคยไปร่วมงานแต่งของทั้งสองคนมาแล้ว หากนางจำไม่ผิดละก็ ตอนนั้นแววตาของท่านแม่ทัพดูอ่อนโยนมากเวลามองไปที่ฟางซิน ส่วนเวลานั้นฟางซินก็เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อท่านแม่ทัพ ทั้งสองคนนั้นดูเต็มไปด้วยวันเวลาแห่งความสุข นางได้พูดคุยติดต่อกับฟางซินมาตลอดช่วงที่ทำการรักษาและหลังจากที่หายดีแล้ว ฟางซินเล่าว่า ได้มีโอกาสรักษาดูแลอาการบาดเจ็บของแม่ทัพเว่ยที่ชายแดนและแล้วมันก็กลายเป็นความรักระหว่างหมอกับคนไข้
ทว่าพักหลังๆ นางคงวุ่นวายรักษาทหารในค่ายจนไม่มีเวลาตอบนางเลยเกือบหลายเดือน จนกระทั่งนางแต่งกับฮุ่ยเหยียนแล้วจึงได้ส่งจดหมายไปมาหาสู่ติดต่อกัน ฟางซินก็มักจะเป็นตอบกลับมาเรื่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องของนางเสียส่วนใหญ่แลเรื่องทั่วไปๆ หากเป็นดังที่ฟางซินกล่าวมานั้น....นางคงทรมาณหัวใจน่าดู
"เช่นนั้นก็เลิกรากันสิ หากเจ้าทนไม่ไหวแล้ว..." นางเอ่ยออกไป การหย่าอย่างน้อยนางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับท่านแม่ทัพให้ทรมาณใจ อีกทั้งสินเดิมของนางก็พอทำให้สุขสบายไปตลอดชีวิตหากไม่สิ้นเปลืองแล้วละก็ อีกทั้งไม่กี่ปีมานี้ฮ่องเต้ได้มีการเปลี่ยนแปลงค่านิยมบางอย่างเกี่ยวกับสตรี การหย่าจึงไม่ใช่เรื่องน่าอาย
"ท่านแม่ทัพไม่ยอมนะสิ" ฟางซินยิ้มอย่างข่มขื่น "เขากลัวข้าหย่าออกไปแล้วจะลำบาก...บิดาของข้าครอบครัวเดิมเองก็สิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าตัวคนเดียว ยังคงรู้สึกมืดแปดด้าน" ฟางซินเอ่ยปากบอกนาง เท่าๆที่นางรู้ ฟางซินเป็นผู้ที่ขออาสามาดูแลนางในทุกๆวันที่ผ่านมา โดยที่ท่านแม่ทัพก็อนุญาตเพียงแต่ว่าส่งทหารมาคุมเอาไว้เสมอ
คงกลัวจะหนีไปสินะ...
ท่านแม่ทัพผู้นี้นี่กระไรกัน?
"เช่นนั้นมีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่" นางเอ่ยปากบอก ในใจอยากช่วยสหายผู้นี้มาก อยากจะทดแทนบุญคุณในครั้งที่ฟางซินช่วยชีวิตนางเอาไว้
"ข้ามีทางออกแล้วมิต้องกังวลไปเพียงแต่อยากให้เจ้าช่วยพิสูจน์ให้ข้าเรื่องหนึ่ง"
"กระไรหรือ?" นางเอ่ยอย่างสงสัยดวงตาหลี่ลงอย่างง่วงนอน
"ก็..."
!?
นางช่วยแน่นอน ฮุ่ยเหยียน เจ้าใบไม้สามสีสามีผู้น่ารักไม่ปฎิเสธนางหรอก
................................................................
ค่ำแล้วนางสั่งให้สาวใช้เริ่มตระเตรียมมื้อค่ำพร้อมตั้งโต๊ะรอรับประทาน ตอนนี้นางเพียงรอฮุ่ยเหยียนกลับมาเหมือนทุกๆวัน หลังจากที่ฟางซินกลับไป นางก็เริ่มทำตามแผนของตนอย่างที่คิดเอาไว้ในใจ แผนพิสูจน์หัวใจของท่านแม่ทัพเว่ยที่ฟางซินเสนอต่อนาง
นางก็แค่ชวนฟางซินออกไปไหว้พระที่วัดนอกเมืองก็แค่นั้น แล้วฟางซินก็จะแกล้งล้มจากบันได้ ทำเป็นความทรงจำเสื่อม นางเองก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมฟางซินถึงอยากทำเช่นนั้น นางได้ยินข่าวคราวมาว่า ฟางซินเคยล้มบันไดทางขึ้นของวัดมาแล้วครั้งหนึ่งจนนิสัยเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่รู้หรอกนะว่านิสัยแต่ก่อนของฟางซินเป็นเช่นไร
แปลก...แต่ถึงกระนั้นนางก็จะให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ รับเอาไว้ ไม่ให้หัวไปกระแทง ไม่ยอมให้เกดอันตรายหรอก จังหวะที่หัวของฟางซินต้องไปโขกกับราวบันไดนางจะให้สาวใช้หาบางสิ่งมารองรับเอาไว้...
คงต้องคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้...
แต่นางรู้สึกสังหรใจแปลกๆ...
กึก...
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นมา นางรู้สึกได้ว่าฮุ่ยเหยียนนั่งลงตรงหน้านางแล้วละ ทำให้นางเริ่มค่อยๆปรับระดับสายตาให้มีคนตรงหน้าเข้ามาในการรับรู้ของตน
"วันนี้ทานอะไรได้บ้างหรือไหม" ฮุ่ยเหยียนถาม เขาจ้องมองนางอย่างเป็นห่วง
"ได้มากเลยทีเดียว" นางตอบกลับไป
"เช่นนั้นรีบทานเถอะ เจ้าตัวน้อยคงหิวแย่" ฮุ่ยเหยียนตอบนาง แลเมื่อเห็นว่าเขาจับตะเกียบแล้วนางจึงเริ่มลงมือจับตะเกียบทานบ้าง อันที่จริงนางก็หิวหน่อยๆ แต่นางอยากรอเขามากกว่า นางค่อยๆทานไปเรื่อยๆ รอจังหวะที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วนางก็มักจะลุกขึ้นไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้หน้าจวนและให้บ่าวไพร่ยกพิณจัดเตรียมเอาไว้ ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางมักจะดีดพิณบ่อยๆ หมอสาวบอกกับนางว่าจะทำให้เด็กในท้องอารมณ์ดี ถึงจะบอกว่าต้องเป็นช่วงครรภ์หกเดือนขึ้นไปก็ตาม นางก็เล่นมันตั้งแต่เดือนที่สองแล้ว นางดีดพิณจนกระทั่งฮุ่ยเหยียนเดินมาหยุดข้างๆนาง และนั่งลงเก้าอี้ตัวข้างๆ พร้อมทั้งวางมือบนสายพิณร่วมบรรเลงกับนางอย่างช้าๆ
เสียงเพลงไพเราะ ท่วงทำนองสนุกสนาน ผ่อนคลาย....
"เจ้าดีดพลาดแล้วนะ" เขาเอ่ยเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของนางอย่างรักใคร่ ตอนนี้นางเริ่มง่วงหน่อยๆ สติไม่มั่นคงเอาเสียเลย ทำให้ดีดพลาดไปสามสายเชียว
"ข้า..." นางยังไม่ทันเอ่ยจบฮุ่ยเหยียนก็จัดท่าให้นางซบกับไหล่กว้าง อย่างสบาย มือยาวดีดพิณต่อไป เสียงเพลงเริ่มชับกล่อมนางให้หลงในภวังค์ ปัดเป่าความเครียด ความกังวลของคนท้องอ่อนๆหายไป
"เจ้าหลับตาฟังก็พอ ให้ข้าทำอะไรเพื่อเจ้าเถอะ" เขาเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
"...ได้สิ" นางหลับตาแอบอิงไหล่กว้างอย่างสบายใจ
เสียงเพลงนุ่มนวล ทำนองไพเราะ ฝีมือดีดพิณของเขายังคงเป็นเลิศโดยเฉพาะเพลง 'สวรรค์อธิษฐาน' นางจำได้ตอนที่นางป่วยอาการปางตาย ตอนนั้น...เป็นตอนที่นางรู้ใจตัวเองที่สุดว่าหลงรักเขา...
ใบหน้างามซีดเผือก ร่างกายไร้เรี่ยวแรงดูอ่อนแอ ริมฝีปากสั่นระริก สักพักนางก็เริ่มไออย่างรุนแรง นางในตอนนี้เหนื่อยเกินกว่าที่จะรั้งตัวเองเอาไว้แล้ว...ตอนนี้นางมิมีสิ่งใดต้องกังวล น้องชาย บ่าวรับใช้ตอนนี้พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับโลกนี้แม้จะไม่มีนางคอยชี้นำก็ตาม...
นางพอใจแล้ว...
เสียงพิณ...
ใครกันที่บรรเลงเพลงพิณนี้กัน...เพลงที่กล่าวถึงสาวคนรักผู้ซึ่งกำลังจะตายจากไปด้วยโรคร้าย ทว่าจากความพากเพียรพยายามของชายหนุ่มผู้ซึ่งทำทุกอย่างให้นางหายดี สุดท้ายก็ไม่อาจเยื้อไว้ได้ชายหนุ่มจึงบรรเลงเพลงนี้ระบายความในใจ คล้ายอธิษฐานวิงวอนให้นางหายดี ดังนั้นเมื่อสวรรค์ได้ยินจึงร่วมอธิษฐานให้นางหายดีและกลับมาครองรักกันอย่างเดิม
ใครที่กำลังอธิษฐานให้นางหายดี...นางพยายามเบนสายไปข้างๆ มองเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าคุ้นเคยอย่างยิ่ง นางจำได้ดี ฮุ่ยเหยียนนี่น่า...คนที่คอยมาหานางบ่อยๆ ชวนนางคุย เป็นห่วงใยนาง คอยดูแลตั้งแต่ที่นางยังเริ่มป่วย และยังหาใบไม้แปลกๆมาให้นางดู นางเรียกเขาว่าเจ้าใบไม้สามสีเพราะใบไม้สามสีของเขาสวยมาก และเขาก็เป็นเจ้าของต้นใบไม้สามสี ที่ใบมีสีสวยอีกด้วย
ฮุ่ยเหยียน...
ชื่อนี้ทำให้นางรู้สึกดี หากนางตายไปแล้วเขาจะเป็นอย่างไรกันนะ... นางอยากอยู่กับเขาไม่อยากตายจากไปไหนเลย หญิงสาวหลับตาลง หยาดน้ำตาเริ่มไหลริน สองมือเอื้อมไปหยิบใบไม้สามสีที่บัดนี้เริ่มกรอบแล้วขึ้นมา ลูบมันสัมผัสมันราวกับคิดถึง...
สวรรค์หากนางหายดีนางจะขอแต่งกับเขา...
นางรักเขามาตั้งนานแล้ว...และนางเพิ่งรู้ตัวตอนที่กำลังจะสายไป...
"ฮุ่ยเหยียน..." นางพยายามเอ่ยชื่อนี้ ทว่าเสียงมันกลับเบาหวิวเอามากๆ คล้ายคนพึมพำ ทว่าเขากลับละจากการดีดพิณรีบวิ่งมาหานางอย่างรวดเร็ว เขายังคงดูนางอยู่เสมอ...
"ข้ารักท่าน..." นางเอ่ยละเอ่ยย้ำอยู่อย่างนั้น "ข้า...รัก...ท่าน" จนกระทั่งนางเริ่มไม่มีเสียงและเรี่ยวแรงใดๆ หลังจากนั้นทุกย่างก็จ่มสู่ความมืดมิด อ้างว้าง หนาวเหน็บ...
การที่นางไม่มีเขาทำให้นางรู้สึกเหงายิ่งนัก...
จากนั้นนางก็ฟื้นหลังจากหมดสติไปถึงสามวันสามคืน ตอนนั้นในคืนที่สองฟางซินเข้ามาดูแลนาง รักษานางด้วยยาแปลกๆ นั้น จนกระทั่งนางฟื้นอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่สวรรค์ร่วมอธิษฐานเอาไว้ ส่วนฮุ่ยเหยียนเองก็มาเยี่ยมนางทุกวัน ดีดพิณ แถมยังสวรรหาดอกไม้ ใบไม้รูปทรงสวยๆบ้าง ประหลาดๆบ้างมาให้นางดูทุกวัน จนกระทั่งอาการของนางหายดี นางก็เริ่มเปิดใจให้เขามากขึ้นเริ่มกล้าที่จะเอ่ยปากคุยกับเขา...จนกระทั่งยอมรับแม้กระสมรสพระราชทาน ยอมแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา
เพลงพิณบรรเลงจบลง...นางลืมตาขึ้นมองฮุ่ยเหยียน
"ข้ารักท่าน..." นางเอ่ยเบาๆ คล้ายกระซิบ แต่ด้วยความหูดีของฮุ่ยเหยียนเขาจึงได้ยินและมอบจุมพิตให้นางอย่างอ่อนโยน เราสองคนบัดนี้ใกล้ชิดกันจนนางสามารถมองใบหน้าของเขาได้อย่างชัดๆ ลูกของนางคงเหมือนเขามาก หากเป็นหญิงก็คงเหมือนนาง...
"ข้าว่าลูกสาวคงข้าอยากให้งดงามเหมือนเจ้า" เขายิ้มอบอุ่น มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของนางอย่างทะนุถนอม
"หากเป็นลูกชายข้าอยากให้หล่อเหลาเหมือนท่าน" นางเอ่ยไปดังที่นางอยาก เขายิ้มอย่างเข้าใจ ใบหน้าของเขา ฮุ่ยเหยียนนั้นดูเปี่ยมไปด้วยวันเวลาแห่งความสุข
"ข้าฝัน...ฝันว่า...อยากไปไหว้พระพุทธองค์กับท่านสักครั้งหนึ่ง...หากว่าท่านว่าง" นางค่อยๆเอ่ยที่ละประโยค ทีละคำสั้นๆ อย่างไม่รีบร้อน
"เช่นนั้นข้าจะรีบหาเวลาไปกับเจ้า" เขาเอ่ยคล้ายรับปากแน่นอน
"ข้าอยาก...ทำบุญ แจกข้าวต้ม บริจาคของ อยากทำร่วมกับท่าน" วันนี้นางพูดมากจริงๆ...แต่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางอยาก และพอเป็นไปตามแผนของฟางซินได้ ประเดี๋ยวใกล้ๆ แล้วนางจะชวนคนสนิทมาร่วมด้วยเช่นฟางซินเป็นต้น ยังไงไอการทำทานบริจาคของนาง ยิ่งมากคนยิ่งสนุก กุศลยิ่งแรง และก็เป็นความผลที่ดีต่อสกุลต้านไถอีกด้วย
"เอาสิ ข้าว่าอีกสักสัปดาห์ให้พ้นช่วงหน้าฝนไปก่อนนะ"
นางพยักหน้าอย่างดีใจ แววตาเต็มไปด้วยความสุข...
ละมุนมาก
ทำไมคิดว่ารักคนอื่นหว่า??