คดีแรกของวายุ - คดีแรกของวายุ นิยาย คดีแรกของวายุ : Dek-D.com - Writer

    คดีแรกของวายุ

    คดี ซ่อนเงื่อน คดี ฆาตกรกรรม คดี โจรกรรม ปุจฉา : ที่กล่าวมาข้างต้นมีอะไรเหมือนกันบ้าง วิสัชนา: คดีทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นไม่มีอะไรเกินความสามารถ ของนักสืบ วายุ เลย

    ผู้เข้าชมรวม

    342

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    342

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 มี.ค. 51 / 10:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      บทที่ 1
      เปิดคดี


         ข้าพเจ้าเป็นแค่เภสัชกรธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่บ้านญาติ ได้สักพักหนึ่ง ก็ย้ายมาอยู่บ้านเพื่อน ข้าพเจ้าได้ปรึกษากับเพื่อนว่าจะหาใครสักคนมาร่วม แชร์เงินกับข้าพเจ้าเพื่อหาห้องเช่าเล็ก ๆ อยู่
         “แกไม่ต้องไปก็ได้”
         “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่อยากรบกวนแก ว่าแต่แกรู้จักใครบ้างไหมล่ะ”
         “ก็รู้จักอยู่คนหนึ่งนะ แต่เขาชอบ ทดลองอะไรแปลก ๆ อยู่แต่ในห้องน่ะ เขาก็กำลังหาใครมาร่วมแชร์ค่าห้องอยู่พอดี”
         “ว่าแต่เขาทำงานอะไรน่ะ”
         “ไม่รู้เหมือนกัน เขาทำงานอิสระของเขาไปเรื่อย ๆ ไม่เคยบอกใครว่าอาชีพที่แท้จริงของเขาคืออะไร แต่เขาเป็นคนเก่งนะ เขาเป็นทั้งนักศึกษา นักสืบ และนักมายากลด้วยนะ”
         “งั้นแกช่วยพาฉันไปพบเขาหน่อยได้ไหม”
         “เมื่อไหร่ล่ะ”
         “ว่างทุกวันแหละ กันบอกแล้วไงว่าเขาทำงานอิสระ”
         “งั้นก็วันอาทิตย์นี้แล้วกัน แกจะได้ไม่ต้องไปทำงานด้วย”
         “เออก็ดี”
         ในวันอาทิตย์ ระหว่างทางที่ข้าพเจ้ากำลังจะไปหาเพื่อนใหม่ ข้าพเจ้าคอยคิดอยู่ว่าเพื่อนข้าพเจ้าคนนี้จะมีอาชีพอะไร เป็นคนอย่างไร จะแปลกสักแค่ไหน          แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ข้าพเจ้าพยายามจะหาเหตุผลมาประกอบความคิด               ของข้าพเจ้า แต่ก็คิดไม่ออกมาตลอดทาง
         “นี่ นรากร ลงมาจากรถได้แล้ว”
         “อา! ถึงแล้วหรือนี่”
         เราเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง ที่ตกแต่งแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ ในห้องกอปรไปด้วยตู้หนังสือ แล้วก็โต๊ะ เก้าอี้ สำหรับรับแขก แล้วก็มีเด็กหนุ่มอายุประมาณ 18 เดินออกมาจากประตูห้องด้านใน
         “มีอะไรหรือ ตติเทพ มหาฉันแต่เช้าเชียว” เด็กหนุ่มคนนั้นทักทาย เพื่อนข้าพเจ้า
         “ไม่มีอะไรหรอก ฉันหาคนมาร่วมแชร์ค่าเช่ากับแกได้แล้ว”
         “ใครน่ะ” เขามองทางข้าพเจ้า “ใช่คนนี้หรือเปล่า”
         “ใช่” เพื่อนข้าพเจ้าตอบ “ทำความรู้จักกันไปก่อนก็แล้วกัน เผอิญฉันมีธุระ” เพื่อนข้าพเจ้าพูดพร้อมกับเดินออกไป
         “สวัสดีครับ ผมชื่อ นรากร ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
         “สวัสดีครับ ผมชื่อ วายุ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ตติเทพ เพื่อนผมคงเล่าอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับผมให้คุณฟังหมดแล้วสินะครับ”
         “ครับ เห็นว่าคุณได้ใบปริญญาบัตรมาตั้ง 2 ใบนี่นา เก่งน่าดูเลยนะครับ”
         “เอ่อ… เพื่อนผมคงเข้าใจอะไรผิดไปมั้งครับ นั่นน่ะพี่ชายผม ผมเพิ่งจบ        ม.6 เอง”
         “งั้นหรือครับ”
         หลังจากที่พวกเราทำความรู้จักกันนั้น เราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนถึงเวลาเที่ยงกว่า ๆ แล้ว เราก็ไปกินข้าวแกงหน้าปากซอย ด้วยกัน และเราก็กลับมาตอน บ่ายโมง กว่า ๆ ตอนนี้เราเริ่มสนิทสนมกันแล้ว เมื่อเดินเข้าไปในห้องเขาก็เปิดข่าวดู มีข่าวแปลก ๆ หลายเรื่อง แต่ที่ทำให้ข้าพเจ้าสนใจมากที่สุดคือ ข่าวการขุดพบทองในไร่ส้มแห่งหนึ่ง โดยเนื้อข่าวมีว่า
      ไร่ส้มแห่งหนึ่งซึ่งส้มไม่ออกดอกออกผลแล้ว ขาดทุนมาจนใกล้จะเลิกกิจการได้มีคนไปขุดพบทองที่เงาวับ ขึ้นมาได้ วันต่อมาเจ้าของไร่ส้มได้เดินทางมาที่ไร่ส้ม แล้วมาบอกกับประชาชนว่า มีบรรพบุรุษของตนมาเข้าฝันบอกว่ามีการฝังเครื่องเงิน เครื่องทองไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ และเมื่อให้คนงานมาขุดดูก็พบ ขันเงิน สร้อยทอง เป็นเงาสวยงามมาก แล้วเจ้าของไร่ส้มจึงกล่าวกับทุกคนว่า “มันน่าจะมีอีกนะใครจะลองไปขุดดูก็ได้ ถ้าใครขุดได้ก็เอาไปเลย แต่ผมขอเก็บเงินคนละ 100 บาท นะครับ”
         หลังจากที่ดูข่าวจบเราก็เริ่มแสดงความคิดเห็นต่อกันเกี่ยวกับข่าวนี้
         “แกคิดยังไงกับเรื่องนี้” วายุ เริ่มถามข้าพเจ้าก่อน
         “ก็น่าสนใจดีนะ”
         “ใช่ เจ้าของไร่ส้มน่ะ เขาฉลาดมากเลยล่ะ”
         “เอ๋! ยังไงหรอ”
         “เขามีคนมาช่วยพรวนดินให้ทำให้ส้มออกดอกออกผลได้ดีอีกครั้งไง แถมเขายังได้เงินจากพวกนั้นอีกคนละ 100 บาท เชียวนะ”
         “แต่คนพวกนั้นจะได้ทองที่เขาขุดได้ไปนะ เสียเงินแค่ร้อยเดียวมันก็คุ้มไม่ใช่หรอ”
         “โธ่! ขุดให้ตายก็ไม่เจอหรอก”
         “ทำไมล่ะ”
         “คิดดูนะ เจ้าของไร่ส้มน่ะบอกว่ารู้เรื่องทองจากบรรพบุรุษที่มาเข้าฝันใช่ไหม แสดงว่าทองเหล่านี้ จะต้องถูกฝังมากกว่า ร้อยปีแล้ว แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่ทองเห่านั้นจะเงาวับสวยงามได้ถึงทุกวันนี้”
         “จริงด้วยสิ ฉันเองก็ลืมคิดไป”
      หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มชื่นชมในหลักการคิดตามเหตุและผลของเขา เรื่อยมา
         เช้าวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราทำธุระส่วนตัวในตอนเช้าเสร็จเราก็ลงมาที่ห้องรับแขก มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ บนโต๊ะ ซึ่งเพื่อนข้าพเจ้าบอกว่า ส่งมาตั้งแต่เมื่อวานแต่ยังไม่ได้อ่าน ไม่เขียนชื่อผู้ส่ง ไม่ติดแสตมป์ด้วย เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า
         ถึงคุณวายะ
         อีก 5 วันให้หลังผมจะไปหาคุณ เรื่องด่วนมากนะครับ
                              10 / 1 / 06
         “ฉันคิดว่าเรื่องนี้ต้องด่วนจริง ๆ แน่ เพราะเขียนแบบรีบและหวัดมาก ๆ”
         “ใช่แถมยังต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เสียด้วยล่ะ”
         “ทำไมล่ะ”
         “ก็เขาเล่นไม่เขียนชื่อผู้ส่งมาอย่างนี้ แสดงว่า เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร”
         “จริงด้วย ว่าแต่ทำไมเขาถึงส่งมาให้แกล่ะ”
         “ตอนเด็ก ๆ แกเคยฝันอยากเป็นอะไรข้างรึเปล่า”
         “เคยสิกันเคยฝันอยากเป็นหมอ แต่กันเป็นได้แค่เภสัชกรเท่านั้นล่ะ แล้วแกล่ะ”
         “ตอนเด็ก ๆ กันอยากเป็นนักสืบแล้วตอนนี้กันก็ทำได้แล้ว”
         “งั้นเหรอ แล้วแกเป็นแบบสก๊อดแลนยาร์ด หรือเชอร์ลอค โฮล์มส์ ล่ะ”
         “ก็ต้องเชอร์ลอคโฮล์มส์ สิ กันชอบทำงานแบบอิสระนะ”
         “ถ้าอย่างนั้นเขาก็ส่งจดหมายมา เพื่อให้แก่ช่วยสืบเรื่องบางอย่างงั้นสิ”
         “ใช่”
         “แล้วทำไมเขาไม่ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจล่ะ”
         “ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้”
         ผ่านไปอีกสามวันชายผอมสูงคนหนึ่งเดินขึ้นไปยังห้องพักของเราอย่างรีบร้อย
         “ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาท เดินเขามาในห้องอย่างนี้ แต่ว่านายของผม เขา…” เขาเริ่มทักทายเราก่อนอย่างตะกุกตะกัก
         “ใจเย็น ๆ ครับคุณหมอ มีอะไร ค่อย ๆ พูดก็ได้ครับ”
         “คุณรู้หรือครับว่าผมเป็นหมอ แล้วรู้ได้ยังไงครับ”
         “ลายมือของคุณในจดหมายไงละครับ มันเป็นลักษณะเฉพาะของหมอที่ต้องรับเขียนใบสั่งยาให้คนไข้”
         “ไหนแกบอกว่าเพราะเขารีบไง” ข้าพเจ้าค้าน
         “ใช่ เขารีบ รีบมากเสียด้วย รีบจนเขียนวันที่ 8 เป็น วันที่ 10 ไปได้”
         “จริงด้วย วันนี้วันที่ 13 นี่นา”
         “เอาละครับ เล่ามาเลยครับ” วายุพูดต่อ
         “ครับ ผมจะเล่าให้คุณฟังอย่างคร่าว ๆ นะครับ”
         “ไม่ได้ครับ คุณต้องเล่าอย่างละเอียด”
         “ทำไมล่ะครับ”
         “คุณรู้ไหม ผมเคยจับคนร้ายที่สำคัญที่สุดได้จากรายละเอียดที่ปลีกย่อยที่สุด”      
         “คดีอะไรหรือ” ข้าพเจ้าถาม
         “จำคดีจอมโจรพันหน้าได้ไหม”
         “ได้สิ คดีนี้ดังจะตาย”
         
      “ใช่เป็นคดีที่ดังมาก แล้วก็ง่ายมากด้วย แกรู้มั้ย กันสามารถจับมันได้ในค่ายลูกเสือ เพียงแค่มันจับมือด้วยมือขวาเท่านั้น”
         “ก็ได้ครับ ผมจะเล่าอย่างละเอียด” ลูกความของเราพูดต่อ “เมื่อวานผม          กับนาย แยกกันที่ร้านอาหาร ประมาณสามทุ่ม เมื่อเช้าเรานัดเจอกันอีกครั้ง แต่เมื่อผมมาถึงเขาก็…เสียชีวิตเสียแล้วในห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือหายไป           ในกระเป๋าเงิน มีเงินเป็นฟ่อน แต่คนร้ายไม่เอาไป บนเตียงมีน้ำหกแฉะไปหมด หมอบอกว่าท่านตายเพราะยาพิษ”
         “ที่บ้านมีคนรับใช้ไหมครับ”
         “อ๋อ ! มีครับ เป็นผู้ชายอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ปู่เขา มาพ่อของเขา แล้วก็มาเขา เขาซื่อสัตย์มาก
         “เขามีหน้าที่อะไรบ้างครับ”
         “ทำงานบ้านแล้วก็ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านครับ”
         “แล้วอาชีพเก่าของเจ้านายคุณล่ะครับ”
         “นักเขียนครับ”
         “ช่วยเล่าอย่างละเอียดด้วยครับ”
         “ครับ เขาเป็นนักเขียนนวนิยายสืบสวน ตอนแรกเขาเป็นหมอหนุ่มที่รายได้ไม่ค่อยจะดี เขาจึงใช้เวลาในช่วงที่ไม่มีคนไข้ในการเขียนนิยาย ในตอนแรก ๆ ที่เขาเขียนไม่มีใครรับผลงานของเขาไปพิมพ์ แต่สุดท้ายนิตยสารโลกวรรณกรรมก็รับผลงานของเขาไปพิมพ์ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เขาจึงเลิกอาชีพหมอ           มาเป็นนักเขียนเต็มตัว วันหนึ่งเขาได้รับเชิญไปงานรวมตัวนักเรียน ทำให้เขาได้พูดคุยกับบรรดานักเขียนที่มีชื่อเสี่ยงหลายคน ทำให้เขาได้ปรับปรุงหลายอย่างเกี่ยวกับงานเขียนของเขา รวมทั้งเขาได้เพิ่มข้อเสียให้ตัวเอกของเขาด้วย” เขาหยุดพูด
      “แล้วงานเขียนเรื่องแรกของเขาคือเรื่องอะไรหรือครับ” วายุถาม“ปริศนายมทูตครับ”
         “ใครเป็นตัวเอกครับ”
         “นักสืบ จักรกฤษณ์ครับ”
         “ขอบคุณครับ เชิญเล่าต่อเลยครับ”
         “ครับ หลังจากนั้นเขาได้ถูกว่าจ้างให้เขียนเรื่องอีกหนึ่งเรื่อง เขาจึงเขียนการผจญภัยครั้งที่ 2 ของ จักรกฤษณ์ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ปริศนาลายเซ็น และ…”
         “และเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนรู้จักชื่อนักสืบจักรกฤษณ์และ ปวิธ นักเขียนชื่อดังคนนั้นใช่ไหมครับ” เพื่อนบ้านข้าพเจ้าแทรก
         “คุณรู้” ลูกความของเราพูดอย่างแปลกใจ
         “ครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่าน นวนิยายสืบสวนสอบสวนเป็นอย่างมาก แล้วผมก็ชอบศึกษาประวัตินักเขียนด้วยไม่ว่าจะเป็น อกธา คริสตี้ อาเธอร์ โคแนน คอยส์ โมริช  เลอบลัง หรือจะเป็นฆาตกร บางคนเช่น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วย”
         “อย่างนั้นหรือครับ” ลูกความของเราพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้น่ะสิว่าผมเป็นใคร”
         “ครับ นายแพทย์ สุรวุฒิ”
         “ใช่ครับ”
         “หลังจากที่คุณปวิธ มีชื่อเสียงแล้ว เขาก็ต้องเขียนเรื่องส่งให้นิตยสารโลกวรรณกรรมทุก ๆ เดือน จนเขาคิดว่าการเขียนเรื่องยาว เรื่องเดียวหลาย ๆ ตอนจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของนิตยสาร เพราะถ้าหากใครซื้อนิตยสารฉบับหนึ่งไม่ทัน คนก็จะไม่ซื้อต่อ เพราะเนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่อง เขาจึงหันมาเขียนเรื่องสั้นแทน แล้วต่อมาเขาเริ่มคิดว่า การคิดพล็อตเรื่อง หนึ่งเรื่องใดหนึ่งเดือน เป็นเรื่องลำบากมาก

      เขาจึงปรึกษากับแม่ว่าเขาจะฆ่าจักรกฤษณ์ เสีย เพื่อจะได้เขียนเรื่องใหม่ แม่ของเขาจึงแนะนำให้สร้างตัวละครขึ้นมาอีกตัวหนึ่งเพราะการจะฆ่าคนฉลาดอย่างจักรกฤษณ์ จำเป็นจะต้องใช้คนที่มีปัญญาพอ ๆ กันเท่านั้น ปวิธ จึงสร้างจอมโจรณัฐพร ขึ้นและเขียนเรื่อง ปัญหาสุดท้ายขึ้นจนได้ จนคนทั่วบ้านทั่วเมืองใส่ชุดดำเพื่อไว้อาลัยให้จักรกฤษณ์”
         “ถูกต้องทั้งหมดครับ แต่ยังมีอีกนะครับ” สุรวุฒิ พูดต่อ
         “ยังมีอีกหรือครับ” ข้าพเจ้าถาม
         “ใช่ยังมีอีก” เพื่อนข้าพเจ้าตอบ “แต่ให้คุณสุรวุฒิเล่าจะได้ข้อมูลมากกว่าและถูกต้องกว่านะ รบกวนหน่อยนะครับ”
         “ได้ครับ หลังจากนั้น เขาได้พบกับเพื่อน ที่เป็นนักริปเปอร์วิทยา และเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และในที่สุดเขาก็ได้พล็อตเรื่องใหม่ขึ้นมาโดยจะให้ ยอดนักสืบคนหนึ่งร่วมมือกับเชอร์ลอค โฮล์มส์ เพือ่ไขปริศนาแจ๊คเดอะ        ริปเปอร์ ที่เขตไวท์แชพเพิล และเขาไม่จำเป็นจะต้องสร้างตัวละครตัวใหม่ขึ้นมาในเมื่อเขามีตัวละครยอดนักสืบ ยอดนิยมอยู่ในกำมืออยู่แล้ว ซึ่งก็คือจักรกฤษณ์               เมื่อหนังสือถูกเปิดตัว เขาบอกกับสื่อมวลชนว่า นี่ไม่ใช่การฟื้นคืนชีพอย่างถาวรของนักสืบจักรกฤษณ์ โดยให้เหตุผลว่า คดีนี้ เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดคดีจอมโจรณัฐพร แต่ถึงอย่างไรก็ตามหนังสือก็ยังได้รับความนิยมอยู่ดี”
         “แล้วเรื่องที่เขา แต่งหลังจากนั้นล่ะครับ” ข้าพเจ้าถาม
         “เขาได้รับการว่าจ้างให้เขียนโดยได้ค่าจ้างเรื่องละ 15,000 บาท เขาจึงยอมใจอ่อนแต่งให้ จักรกฤษณ์ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยให้เหตุผลที่ไม่น่าเชื่อถือ เท่าไร ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วเขาก็แต่งเรื่องต่อมาเรื่อย ๆ จนเขาสามารถเขียนได้ทั้งหมด 60 คดี ครับ”
         “เราขอไปสำรวจที่เกิดเหตุได้ไหมครับ” วายุถาม   “ตามสบายครับ”
      “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเป็นพรุ่งนี้ 9 โมงเช้าก็แล้วกันครับ”
         “ตกลงครับ พรุ่งนี้ผมจะมารับ”
         วันรุ่งขึ้นเราก็ได้ไปถึงที่เกิดเหตุ วายุและข้าพเจ้าตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวัง ไม่พบอะไรต่างจากที่ คุณหมอสุรวุฒิบอก เราเลย นอกจากลายเซ็น เขียนด้วยเลือดบนฝ่าผนัง ข้างลายเซ็น นี้มีรูปโพธิ์ดำของไพ่อยู่
         “หมายความว่ายังไง” ข้าพเจ้าถามวายุ
         “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลายเซ็นนี้ มันคืออะไรแต่ตามที่ฉันคิดนะ มันเป็นสิ่งที่คนร้ายทำเอาไว้ โดยใช้ความหมายแฝงของไพ่”
         “ความหมายแฝงของไพ่” ข้าพเจ้าย้ำ
         “ใช่ความหมายแฝงของไพ่”
         “มันคืออะไรล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
         “โพธิ์ แดง หมายถึงความรัก โพธิ์ดำหมายถึง ความตาย ดอกจิกหมายถึง โชคลาภ ข้างหลามตัดหมายถึง ทรัพย์สิน”
         “งั้นหรือ”
         หลังจากเราคุยกันได้สักครูมีชายรูปร่างล้ำสัน หน้าตาไม่ค่อยจะเป็นมิตร สักเท่าไร เดินเข้ามาหาเรา”
         “สวัสดีครับ คุณวายุใช่ไหมครับ ผมชื่อวัชระ เป็นคนรับใช้ของบ้านนี้ครับ”
         หลังจากที่เราคุยกับคุณวัชระอยู่ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง เป็นเสียงของหมอสุรวุฒิ
         “นี่ วัชระ ลงมานี่หน่อย
         “ครับ” วัชระขานรับ พร้อมกับที่เราทั้ง 3คน เดินลงไปชั้นล่าง
         “ทำไมคุณไม่เปลี่ยนดอกไม้ล่ะ ถ้าพรุ่งนี้คุณ ปวเวศร์ มาแล้วเห็นดอกไม้อย่างนี้คงไม่ดีแน่” สุรวุฒิ ถาม
      “แต่ ผมเพิ่งเปลี่ยนเมื่อวานนี้เองนะครับ” วัชระตอบ
         “ก็มันเหี่ยวแล้วนี่นาไปซื้อมาเปลี่ยนใหม่สิ”
         “เดี๋ยวครับ คุณแน่ใจหรือครับว่าคุณเพิ่งเปลี่ยนดอกไม้” เพื่อนข้าพเจ้าถาม
         “แน่ใจสิครับ”
         “ขอบคุณครับ คุณไปซื้อดอกไม้มาเปลี่ยนเถอะครับ”
         หลังจากวัชระออกไปแล้ว เราก็ไปคุยกันในห้องรับแขก
         “ขอโทษนะครับ คุณปวเรศว์ เป็นใครหรือครับ วายุ เป็นผู้เปิดการสนทนา
         “เป็นทายาทเพียงคนเดียวของคุณปวิชครับ”  สุรวุฒิตอบ
         วันต่อมา ขณะที่ ข้าพเจ้า วายุ สุรวุฒิ และวัชระ กำลังนั่งคุยกันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตู ตามด้วยการปรากฏตัวของชายหนุ่มรูปร่างบอบบาง ผิวขาวซีด ตาโต  คนหนึ่ง
         “สวัสดีครับ คุณปวเวศร์” วัชระ และ สุรวุฒิอุทานขึ้นพร้อมกัน
         “สวัสดีครับ คุณคือวายุ ผู้มีมันสมองปราดเปรื่องประดุจ ปัวโรต์ คนนั้นใช่ไหมครับ” เขาชื่นชมเพื่อนข้าพเจ้าพร้อมกับทักทาย
         “ใช่ครับ คุณปวเรศว์ แต่จริง ๆ แล้วผมไม่ค่อยชอบปัวโรต์สักเท่าไรนะครับ ก็ชอบนะครับแต่ไม่ได้ใช้วิธีการของเขาในการสืบสวนหรอกนะครับ” เพื่อนข้าพเจ้าตอบ
         “อ้าว ! คุณไม่ได้ชอบคนเก่งอย่างปัวโรต์หรือครับ”
         “ครับ ผมชอบคนที่เก่งกว่าปัวโรต์ ต่างหาก”
         “ใครหรือครับ”
         “คุณคงเคยได้ยินชื่อ เชอร์ลอค โฮล์มส์ นะครับ
         “ครับ แต่ผมไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไรหรอกครับ”

      ขณะที่เรา 5 คน พูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ก็มีจดหมายส่งมาถึงคุณปวเรศว์ โดยมีเนื้อความว่า
         “อย่าเข้าไปในห้องเก็บของคนเดียวยามวิกาล”
         หลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้วายุ เริ่มทำงานอย่างเอาจริงเอาจังขึ้น
         เขาเข้าไปสำรวจอย่างละเอียด กระทั่งถ้วยกาแฟหรือ เศษกาแฟที่ติดอยู่ที่แก้ว
         “แกจะไปสนใจกับอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
         “ฉันบอกแล้วไงว่าเราอาจพบอะไรที่สำคัญจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
         “แล้วถ้ามันไม่มีเบาะแสให้พบล่ะ”
         “ถ้าไม่มีเราก็ตัดประเด็นนี้ทิ้งสิ”
         “เพื่ออะไรน่ะ”
         “หากตัดทอนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป สิ่งใดใดที่เหลืออยู่แม้มันจะไม่น่าเป็นไปได้เพียงใดก็ตาม แต่มันก็เป็นความจริง”
         “แล้วแกได้อะไรไหมล่ะ” ข้าพเจ้าพูดด้วยความฉุน
         “ได้สิ ฉันรู้แล้วว่าคนร้ายเอายาพิษให้คุณปริธกินได้ยังไง” เขาตอบด้วยความภูมิใจ
         “ยังไงล่ะ” ข้าพเจ้าถามด้วยความตื่นเต้น
         “ใส่ในกาแฟยังไงล่ะ”
         “แล้วรู้อะไรอีกละ”
         “รู้ว่ายาพิษที่ใช้คืออะไรด้วยล่ะ”
         ข้าพเจ้าลองคิดถึงยาพิษชนิดต่าง ๆ ที่สามารถออกฤทธิ์ได้เร็ว แต่ก็คิด      ไม่ออก จึงต้องจำใจถามเขา
         
      “อะไรล่ะยาพิษที่ว่า”
         “สตริกนิน”
         “เป็นไปไม่ได้ สตริกนิน ก็ต้องมีกกลิ่นสิ”
         “ถ้าใส่ในกาแฟ ก็มีกลิ่นของกาแฟใช่ไหมล่ะ”
         “จริงด้วย”




      บทที่ 2
      ฆาตกรรมต่อเนื่อง

         หลังจากที่เรากลับจากที่นั่นแล้ว วายุก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานทั้งวัน บางทีก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมา บางทีก็นั่งนิ้วประสานกันแล้วท้าวคาง
         หนึ่งวันผ่านไป เราไม่ได้ข่าวคราวหรือเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลย กระทั่งเช้าวันถัดมา หมอสุรวุฒิ ขับรถมาถึงหน้าบ้านเช่าของเรา แล้วเข้ามารับเราไปที่บ้านนั้นอีกครั้ง
         “มีอะไรหรือครับ” เพื่อนข้าพเจ้าถามอย่างตื่นเต้น
         “คุณ – คุณ…ปวเรศว์ ฆ่าตัวตายครับ” เขาพูดอย่าง ตะกุกตะกัก
         “ที่ห้องเก็บของรึเปล่าครับ”
         “ครับ”
         เขาพาเราไปที่ห้องเก็บของทันที ห้องเก็บของ ของบ้านนี้อยู่บนชั้น 2
         เมื่อเราเข้าไปพบ มีด 1 เล่มวางอยู่หน้าประตูด้านใน พร้อมกับร่างไร้วิญญาณของปวเรศว์ ที่ถูกแขวนคออยู่บนขื่อในห้องเก็บของ ที่ข้อมือข้างซ้ายมีรอยถูกกรีดด้วยมีด บนฝาผนังมีลายเซ็นด้วยเลือด และโพธิ์ดำอยู่
         “คุณหมอครับ คุณช่วยตรวจสารพิษในร่างกายคุณปววิธหน่อยได้ไหมครับ” วายุ กล่าวกับสุรวุฒิ
         “ครับ”
         “แล้วคุณแจ้งตำรวจ”
         เขายังไม่ทันพูดจบตำรวจก็โผล่เข้ามาในห้องประมาณ 7 คน ทุกคนเริ่มรื้อค้นและตรวจสภาพศพทันที
      “คุณคิดว่ายังไงครับสารวัตร” ข้าพเจ้าแกล้งถาม
         “เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเขาพยายามฆ่าตัวตายด้วยการใช้มีดกรีดที่ข้อมือ             แต่ไม่สำเร็จจึงผูกคอตาย
         จากนั้นข้าพเจ้าและวายุก็ไปหาหมอสุรวุฒิ หมอสุรวุฒิ ซึ่งตรวจสภาพศพเสร็จแล้วบอกเราว่า
         “เป็นสตริกนินครับ”
         “ปริมาณล่ะ” วายุถาม
         “ไม่ถึงครึ่งเกรนครับ”
         “คิดว่ายังไง” เขาหันมาทางข้าพเจ้า คงเป็นเพราะข้าพเจ้าเป็นเภสัชกร
         “เป็นปริมาณที่ไม่มากเท่าไร ผมว่ามันน่าจะเป็นส่วนผสมเล็ก ๆ น้อย ๆ           ที่ผสมอยู่ในยาที่เขากินมากกว่านะครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างภูมิใจ
         หลังจากนั้นในจิตใจของข้าพเจ้าก็มีแต่เรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่ง วายุบอกว่าเขานำทั้ง 2 ศพไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว
         “ได้ผลเป็นยังไงบ้าง” ข้าพเจ้าถาม
         “ปวิธ ตายเพราะหัวใจวาย”
         “ถ้าอย่างนั้นทั้งสองคนไม่ได้ตายเพราะฆาตกรรมนน่ะสิ”
         “ยังไม่แน่หรอก”
         “ทำไมล่ะ”
         “เรายังไม่มีข้อพิสูจน์อยู่เรื่องหนึ่งนะ”
         “อะไรหรือ”
         “เมื่อวานมีคนเห็นคนใส่ชุดดำเหมือนยมทูต หน้าสีทอง มีแสงเรือง ๆ  สีเขียวออกจากร่าง”
         “แล้วแกรู้รึยังว่ามันเป็นใคร”
      “อาจเป็นยมทูตจริง ๆ ก็ได้นะ” เขาพูดติดตลก
         “แล้วมีอะไรอีกไหม”
         “มีสิทั้งสองคนตายตอนเที่ยงคืน”
         พวกเราเดินสำรวจไปรอบ ๆ บ้าน และเดินไปดูที่เกิดเหตุทั้งสองที่ จากนั้น วายุ ก็บันทึกอะไรบางอย่างลงไปในสมุดบันทึก
         หมอสุรวุฒิ พักอยู่ในห้องส่วนตัวของเรา พวกเราจึงเดินเข้าไปทักทายและสอบถามอะไรบางอย่าง
         “หมอครับที่นี่มีบันไดไหมครับ” วายุถาม
         “มีครับ รู้สึกจะอยู่ในโรงรถ”
         “ยาวเท่าไรครับ”
         “ประมาณ 6 เมตรครับ”
         วันต่อมาตำรวจสรุปว่า ปวเรศว์ แอบปีนบันไดขึ้นมาทางหน้าต่าง แล้วพยายามจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีอะไรสักอย่าง
         แต่วายุไม่คิดเหมือนตำรวจ เดินไปหาวัชระ แล้วถามถึงทายาทคนอื่นของคุณปวิธ
         “ก็มีอยู่นะครับเป็นลูกสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่กับแม่ตั้งแต่ยังเล็ก” วัชระตอบ
         “แล้วคุณปวิธมีทนายประจำตัวหรือเปล่าครับ”
         “มีครับพรุ่งนี้เขาจะมาพอดี”
         “ขอบคุณครับ”
         ข้าพเจ้าและวายุเข้าไปพักในห้องที่ถูกจัดไว้ให้ แล้วข้าพเจ้าจึงถามวายุ
         “ทำไม่แกไม่คิดเหมือนตำรวจล่ะ”
         “เพราะเขาถูกฆาตกรรมต่างหากล่ะ”
         “แกรู้ได้ยังไง”
      “แกเห็นกองเลือดแล้วก็เลือดที่แห้งติดอยู่ที่รอยกรีดที่ข้อมือหรือเปล่า”
         “ไม่เห็น” ข้าพเจ้าตอบห้วน ๆ
         “ใช่ เพราะมันไม่มีไงล่ะ” เขาพูดแบบจริงจังจนข้าพเจ้าขำไม่ออก “ใช่แล้วนั่นแหละหลักฐานการฆาตกรรม ไม่มีเลือดไหล บาดแผลแข็งและด้าน เป็นอย่างนั้นใช่ไหม”
         ข้าพเจ้าได้แต่ทำหน้าตกใจ แล้วพยักหน้าช้า ๆ ข้าพเจ้ากำลังจะอ้าปากพูด เขาก็เอามือจุ๊ปาก
         “ฟังกันก่อนสิ” เขาพูด “เห็นได้ชัดว่ามีคนฆ่าเขาแล้วจังอำพรางโดยการเอาขึ้นแขวนให้ดูคล้ายแขวนคอตาย จากนั้นจึงใช้มีดกรีดที่ข้อมือ เพื่อให้ดูประหนึ่งว่าเขาพยายามฆ่าตัวตายด้วยวิธีอื่นก่อนแล้วโดยฆาตกรไม่รู้ว่าบาดแผลก่อนตายกับหลังตาย ต่างกันยังไง แต่ผู้เชี่ยวชาญสามารถแยกแยะได้”
         เขาหยุดและทำให้ข้าพเจ้างงเป็นครั้งที่สอง
         “แล้วผลการพิสูจน์ศพอย่างละเอียดที่แกได้มาเป็นอย่างไร บ้างล่ะ” ข้าพเจ้าเริ่มพูดออก
         “เป็นอย่างที่คิด” เขาตอบ “ไม่พบรอยแตกของเส้นเลือดแคโรติค ซึ่งถ้า        ผูกคอตายเส้นเลือดแคโรติก จะต้องแตก แล้วยังพบรอยหักของกระดูกไฮออยด์หัก อันเป็นผลมาจากการถูกเค้นคออย่างแรง แสดงว่าเขาถูกบีบคอตายแล้วอำพรางโดยการเอาศพขึ้นแขวน เขาพูดอย่างนักวิชาการ
         เย็นวันเดียวกันนี้เอง ปวีณา ลูกสาวที่ถูกทิ้งของคุณปวิธ ก็กลับมาถึงบ้าน หน้าของเธอนิ่ง ซ่อนปริศนาไว้มากมายราวกับสฟิงซ์
         คืนวันเดียวกันข้าพเจ้าเข้าไปพักผ่อนในห้อง แล้วจึงถามวายุเล่น ๆ ว่า เขาคิดยังไงกับคดีต่าง ๆ แต่กลับได้คำตอบงง ๆ กลับมา

      “อาชญากรคือผู้สร้างสรรค์ผลงาน ส่วนนักสืบเป็นเพียงผู้วิจารณ์ผลงานเท่านั้น”
         เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเปิดพินัยกรรมของคุณปวิธ ก่อนที่ทนายจะมาถึง ทุกคนนั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
         ครึ่งชั่วโมงต่อมาปรากฏร่างชายผอมสูงผมสีแดงเลือด ออกมาจากหน้าประตู และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยจุดเด่นหลาย ๆ อย่างของเขาทำให้วายุและข้าพเจ้าจำเขาได้และตกใจเล็กน้อย
         “ตติเทพ !” วายุและข้าพเจ้าอุทานพร้อมกัน
         “อ้าวแกมาสืบคดีที่นี่หรือ” ตติเทพกล่าว
         หลังจบการสนทนาบรรยากาศในห้องก็เริ่มเงียบเหมือนเดิม ทุกคนรอให้มีใครคนใดคนหนึ่งเริ่มพูดก่อน
         ข้าพเจ้าเพิ่งได้รู้ว่าวันนี้ เป็นวันเปิดพินัยกรรมของนายปวิธ จากเพื่อนข้าพเจ้า
         ตามพินัยกรรมบอกว่าทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกยกให้เป็นของคุณปวเรศว์ ครึ่งหนึ่ง และของปวีณา ลูกสาว อีกครึ่งหนึ่ง แต่ในกรณีที่ใครไม่ยอมรับทรัพย์สิน ที่ได้ หรือเกิดเสียชีวิต ทรัพย์สินส่วนนั้นจะถูกหารสองให้คุณหมอสุรวุฒิ และ            นายวัชระ
         ทุกคนนั่งมองหน้ากันแบบอึ้ง ๆ ส่วนปวีณายังนั่งทำหน้านิ่งทิ้งปริศนาแบบสฟิงซ์อยู่ 


      บทที่ 3
      ยมทูต

         วันต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืนมีคนพบศพปวีณา และมีคนบันทึกภาพได้ ไม่ใช่ใครอื่นหมอสุรวุฒิ ของเรานั่นเอง เป็นภาพยมทูตหน้าสีทองแสงเรือง ๆ                 สีเขียว ท่าทางน่ากลัว คลุมผ้าสีดำ ดูมีอำนาจน่าเกรงขาม มือซ้ายถือมีดสั้นคมกริบ
         “แกคิดยังไง” ข้าพเจ้าถามวายุ “มันน่าจะเกี่ยวกับพินัยกรรมไหม”
         “อาจใช่ก็ได้”
         “วายุ มานี่หน่อยสิ” ตติเทพเรียกวายุ
         ทั้งสองเข้าไปคุยกันในห้องที่ไม่มีคนอยู่
         “อาจเป็นความผิดของฉันก็ได้ที่เป็นผลต่อเนื่องมาให้เกิดคดีชวนสยองนี้” ตติเทพพูด
         “มีอะไรก็พูดมาเถอะ” วายุกล่าว
         “ก่อนที่จะถึงวันนี้” ตติเทพอึกอักเล็กน้อย” มีคนมาเปิดดูพินัยกรรมก่อนหน้าพวกเรา”
         “แกรู้ได้ยังไง”
         “ก็ฉันปิดผนึกไว้อย่างดี แล้วเมื่อเช้ามันเปิดอยู่น่ะสิ”
         “ถ้าอย่างนั้นผู้ต้องสงสัยก็เหลือสองคน”
         “คุณสุรวุฒิ และ คุณวัชระ”
         “ใช่”


      เราไปนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องรับแขก คุณหมอสุรวุฒินั่งคุยโทรศัพท์อยู่อย่าง ยุ่ง ๆ มือซ้ายถือโทรศัพท์มือขวาถือปากกาคอยจดอะไรบางอย่างลงในสมุด ข้าพเจ้า วายุ และตติเทพ นั่งคุยกันอยู่ส่วน วัชระ ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกห้อง มือซ้ายถือบุหรี่ มือขวาถือผ้าทำความสะอาดกระจกอยู่ท่าทางเงอะ ๆ งะ ๆ น่าตลก แต่พวกเราก็หัวเราะกันไม่ออก
         วายุเดินสำรวจจนทั่วห้อง และสังเกตพฤติกรรมทั้งของ สุรวุฒิ และวัชระ และเขาก็เดินออกจากห้องไป
         วายุ กลับมาพร้อม น้ำห้าแก้ว ของเขาเองหนึ่งแก้ว ของข้าพเจ้าและตติเทพสองแก้ว อีกสองแก้วเป็นของสุรวุฒิ และ วัชระ เมื่อเขาส่งแก้วให้สุรวุฒิ สุรวุฒิ        จึงต้องวางปากกา แล้วรับแก้วน้ำจากเขา ส่วนวัชระก็ต้องดับบุหรี่ แล้วรับแก้วมา
         ข้าพเจ้า และวายุกลับมาที่บ้านพักของเรา แล้ววายุ ก็พูดคำที่ทำให้ข้าพเจ้าอึ้งขึ้นมา
         “ฉันรู้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนร้าย”
         “จริงหรือ” ข้าพเจ้าถามอย่างตื่นเต้น
         “อืม ! แต่ยังไม่มีหลักฐาน” วายุตอบ
         “ว่าแต่ ตอนนั้นแกถามเรื่องบันไดทำไมล่ะ”
         “มันมีรอยบันไดที่พื้นห่างจากตัวบ้านมาประมาณสี่เมตร น่ะสิ แล้วความสูงจากพื้นบ้านถึงหน้าต่างห้องเก็บของก็สามเมตร แล้วความยาวของบันไดเท่ากับหกเมตร ซึ่งถ้าคำนวณโดยใช้หลักการของพีทาโกรัส แล้วละก็ความยาวของบันไดจะต้องเป็น ห้าเมตร ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คนร้ายต้องการจัดฉากให้ตำรวจคิดว่า              ตัวของคุณปวเรศว์ เป็นคนปีนบันไดขึ้นไปบนห้อง เก็บของ แล้วก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย”

      “แล้วนักสืบอย่างแกคิดอย่างไร กับการฆาตกรรม” ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัยมาตั้งแต่ต้น
         “มันก็เหมือนเส้นด้ายนั่นแหละ”
         “ยังไงล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
         “เส้นด้ายเล็ก ๆ ที่ไร้สีสันที่เรียกว่าชีวิตนั้นมันกำลังเข้าไปพัวพันกับเส้นด้ายสีแดงฉานที่เรียกว่า ฆาตกรรม การแก้ปมนั้นออกก็คืองานของเราไงล่ะ”
         “แกหมายความว่าแกจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคดีที่ได้รับมอบหมายกระจ่างขึ้นมางั้นสิ” ข้าพเจ้าถาม
         “แม้ต้องแลกด้วยชีวิต” เขาตอบอย่างจริงจัง” แกรู้ไหมในเรื่อง เชอร์ลอคโฮล์มส์ มีอยู่ฉากหนึ่งที่กันชอบมากในตอนปัญหาสุดท้ายนะ โฮล์มส์ ได้พูดกับศาสตราจารย์มอริอาร์ตี ด้วยนะ รู้ไหมเขาพูดว่าอย่างไร”
         ข้าพเจ้าก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมากมายเกี่ยวกับเชอร์ลอค โฮล์มส์ หรือว่า นวนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องอื่น ๆ หรอก เพราะโดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าชอบเรื่องแนวแฟนตาซีมากกว่า ข้าพเจ้ารู้แค่ว่าโฮล์มส์ กับ มอริดาร์ตี เป็นศัตรูกันแต่ก็ต้องตอบเขาไป
         “ไม่รู้”
         “เขาพูดว่า ถ้าหากสามารถกำจัดนายได้อย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ เพื่อปวงชนแล้วฉันจะยอมรับความตายด้วยความยินดียิ่ง”
         วายุหาหลักฐานจนทั่วแต่ก็ไม่พบอะไรเลย
         “นรากร” วายุพูด “ช่วยเตรียมของให้กันหน่อยสิ เราจะเผยตัวยมทูตกัน”
         “ได้สิ มีอะไรบ้างล่ะ”

      “มีดสั้น ผ้าคลุมสีดำ หน้ากากรูปหน้าคนสีทอง และที่สำคัญสารละลายฟอสฟอรัสสีเขียว แกช่วยเอาของพวกนี้ไป ยัดไว้ใต้เตียงของวัชระซะ เราจะสร้างหลักฐานหลอมกัน”
         “แกหมายความว่า คุณวัชระคือคนร้าย” ข้าพเจ้าพูดอย่างตกใจ
         “ใช่”
         ข้าพเจ้าทำตามที่เขาสั่งทุกประการ แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น      เที่ยงคืนวันเดียวกัน มีคนพบยมทูตพร้อมกับศพของวัชระ เขาบอกว่าเป็นยมทูตที่น่ากลัวมาก
         “มีเลือดติดที่ผ้าคลุมไหมครับ” วายุถามผู้เห็นเหตุการณ์
         “ถ้าหมายถึง ยมทูตล่ะก็ไม่มีครับ” ผู้เห็นเหตุการณ์ตอบอย่างมั่นใจ
         “อาวุธล่ะ อาวุธที่มันใช้ล่ะ”
         “เห็นไม่ชัดนะครับ แต่รู้สึกจะเป็นมีดนะครับ”
         สภาพศพถูกปาดคอจนเส้นเลือดใหญ่ข้างซ้ายขาด น่าจะเป็นมีดที่บางและคมมาก
         “แกถามเรื่องเลือดที่ผ้าคลุมทำไม” ข้าพเจ้าถาม
         “ถ้ามีคราบเลือดเราก็ตามหาเจ้าของผ้าคลุมได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือไง”
         “ก็ใช่ แต่ในเมื่อมันไม่มีจะทำยังไงล่ะ”
         “พรุ่งนี้เช้าช่วยเรียกทุกคนรวมทั้งตำรวจด้วยนะ มารวมกันที่ห้องรับแขกด้วยนะ
         เมื่อทุกคนมารวมกันที่ห้องรับแขกแล้ว วายุก็เดินนำทุกคนไปดูที่เกิดเหตุ แต่ละที่ พร้อมอธิบาย และสาเหตุการตายของแต่ละศพ ด้วยชุดสูทสีขาว และที่สุดท้ายคือห้องของ หมอสุรวุฒิ ซึ่งทุกคนคาดว่าน่าจะเป็นรายต่อไป ที่จะถูกฆาตกรรม
      “ทุกคนครับ” วายุพูด “ผม ขอแนะนำให้รู้จักกับฆาตกรรมไม่สิ ยมทูตต่างหาก คุณหมอสุรวุฒิครับ”
         คุณหมออึ้งไปสักพักหนึ่งก่อนพูดว่า “คุณมีหลักฐานรึเปล่าครับ”
         วายุหันมาทางข้าพเจ้าพลางพยักหน้า เหมือนส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
         “นรากร เอาหลักฐานมาซิ”
         ข้าพเจ้าหยิบ ผ้าคลุม หน้ากาก สารละลายฟอสฟอรัสออกมาจากใต้เตียงของเขา
         “เป็นไปไม่ได้ ของพวกนั้นมันอยู่ในตู้เซฟนี่น่า” หมอสุรวุฒิกล่าว
         “งั้นหรือครับในที่สุดคุณก็สารภาพ ของพวกนี้มันของปลอม” วายุพูด  “จริงอยู่ที่ผมไม่มีหลักฐาน แต่ตอนนี้คุณสารภาพมาแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นหลักฐาน ชิ้นสำคัญเลยล่ะ”
         “คุณไม่มีหลักฐาน แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม” สุรวุฒิถามอย่างแปลกใจ
         “บาดแผลที่เกิดจากมีดที่คมและบางมากจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก           มีดผ่าตัด แล้วใครล่ะที่มีมีดผ่าตัดถ้าไม่ใช่หมอ”
         “สุรวุฒิเขาเป็นคนบันทึกภาพยมทูตที่ฆ่าปวีณาไม่ใช่รึ” ผู้กองหนุ่มแย้ง
         “ใช่ครับ เพราะสามคดีแรกคนร้ายก็คือ วัชระ
         “คุณรู้ได้ยังไง” ผู้กองถาม
         “เพราะคนที่ก่อคดีทั้งสามน่าจะเป็นคนเดียวกันและในคดีที่สามยมทูต           ถือมีดด้วยมือซ้าย แสดงว่าคนร้ายต้องถนัดซ้าย แต่คดีนี้ วัชระถูกปาดคอด้านซ้าย แถมไม่มีเลือดติดที่คนร้าย แสดงว่าคนร้ายต้องถือมีดด้วยมือขวา” วายุตอบ
         “แล้วคุณรู้ได้ยังไง ว่าวัชระถนัดซ้าย”
         “เพราะเขาสูบบุหรี่ด้วยมือซ้ายแล้วเขาก็รับแก้วน้ำจากผมด้วยมือซ้าย
         “แล้วมูลเหตุจูงใจล่ะ” ผู้กองถามอีก
         “วัชระคงไปแอบเปิดพินัยกรรม และด้วยความโลภอยากได้สมบัติ จึงฆ่าคนทั้งสามซะ เมื่อสุรวุฒิ บังเอิญทราบเรื่องเข้า เพื่อแก้แค้นให้เจ้านายเขาก็เลยฆ่าวัชระเสีย”
         “แล้วในกรณีของคุณปวิธล่ะ ตกลงว่าเขาตายเพราะสตริกนิน หรือหัวใจวายกันแน่” ผู้กองหนุ่มถามอย่างสงสัย
         “หัวใจวายแน่นอนครับ”
         “แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าเป็นฆาตกรรมล่ะครับ”
         “ครับมีสองอย่างที่คาใจผมมาตั้งแต่แรก คือ หนึ่งน้ำที่เลอะอยู่ที่เตียงแต่ไม่มีแก้วน้ำ สองคือดอกไม้ที่เหี่ยวทั้ง ๆ ที่เพิ่งเปลี่ยน ซึ่งตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วถึงวิธีการของคนร้าย”
         ระหว่างที่เราคุยกันอยู่ สุรวุฒิ ก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พลางพูดไปด้วย
         “ดูดต่อสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาทำยังไร”
         “ครับ คนร้ายซึ่งก็คือวัชระ รู้ว่าคุณปวิธ เป็นโรคหัวใจและเขามีหน้าที่ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ฉะนั้น ในตอนกลางคืน ถ้าหากเขาปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้น ดอกไม้ก็จะเหี่ยว คุณปวิธก็จะมีเหงื่อออก และเมื่อปรับอุณหภูมิให้ลดลงอย่างรวดเร็ว คุณปวิธก็จะหัวใจวาย เนื่องจากร่างกายปรับตัวไม่ทัน ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี ส่วนลายเซ็นบนฝาผนัง ถ้าเอามาส่องกับกระจก ก็จะเป็นลายเซ็นของคุณวัชระ สรุปว่า คดีนี้ถูกปิดอย่างสมบูรณ์”
         ผู้กองหนุ่มจึงเข้าจับกุมคุณสุรวุฒิ  ทันที จากนั้นไม่นานคุณสุรวุฒิ ก็จากไปอย่างสงบ ด้วยพิษที่ก้นบุหรี่ อย่างไม่มีใครคาดคิด วายุบอกว่าน่าจะเป็นฝีมือของวัชระ 
         

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×