ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ONE.. หนึ่ง [KyuMin Ft.KiHae,Etc]

    ลำดับตอนที่ #4 : `ONE ; คนสำคัญ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 55


     

     

    มันจะดีกว่านี้..

    ถ้าหากผมเลิกยึดติดกับคำว่า “เคยรัก”

     

     

     

     

     

     

                “มีอะไรจะพูดก็ว่ามา” มือเรียวยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระกับการนัดครั้งนี้มากนัก ยองอุนเมื่อมาถึงก็เอาแต่นั่งนิ่งจนเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปาก

     

    ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่เลือกมาตามนัดของเขาแต่ในเมื่อผมมีเวลาก่อนที่คยูฮยอนจะมารับถึงครึ่งชั่วโมงผมจึงตัดสินใจที่จะมาพบยองอุนเผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้นบ้างหรือ...จบๆไปเสียที

    “..........................”

     

    “..........................”

     

    อึดอัด...

     

    ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เราเริ่มออกห่างกัน ไม่มีคำว่าเหมือนเดิมอีกแล้ว ยองอุนไม่แม้จะมองหน้าผมสายตาของเขามองนิ่งอยู่ที่แก้วกาแฟ

     

    “..........................”

     

    “ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปแล้ว” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาขณะที่กำลังเดินผ่านไปก็ถูกคว้าข้อมือไว้โดยอีกคนที่เอาแต่เงียบ ใบหน้าคมเงยขึ้นมองเชิงขอร้องให้อยู่ก่อน ซองมินยอมทำตามโดยกลับมานั่งที่เดิมอย่างไม่สบอารมณ์นัก

     

    “ขอโทษ”

     

    เพียงประโยคสั้นๆเท่านั้นที่หลุดออกมา อีซองมินก็แทบอยากจะหัวเราะให้ลั่น

     

    แค่นี้เองหรอ?

               

    “ถ้าจะมาพูดแค่นี้ส่งข้อความมาก็พอ ฉันเสียเวลา”

               

    “ฉันรู้ว่านายโกรธ ฉันก็แค่อยากจะขอโทษ ถ้านายจะให้อภัยแล้วเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม...”

               

    “ไม่จำเป็น”

               

    “ซองมิน...”

               

    “ฉันคิดว่าระหว่างเรามันจบไปแล้วสิ่งที่ฉันต้องการคือคำขอเลิกจากนาย ไม่ใช่ขอคืนดี ช่วยจบเรื่องนี้ลงเถอะ พูดออกมาเลยว่าเบื่อฉันอยากเลิกกับฉันมากแค่ไหน”

               

    “......................”

     

    “แค่บอกมาแล้วฉันจะไปให้พ้นจากนายกับยัยนั่นซะ!

               

    ยองอุนมีสีหน้าตกใจ...แต่ไม่ใช่เพราะคำพูดที่ได้ยินแต่เป็นน้ำตาที่คลอหน่วงจากดวงตาคู่นั้น มือแกร่งหวังจะเช็ดมันออกจากแก้มนวลให้แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยกลับมา

               

    “ไม่ต้องมาแตะ!” มือเรียวปัดความหวังดีของอีกฝ้ายทิ้งไป ไม่อยากจะร้องไห้แสดงความอ่อนแอออกมาหรอก แต่น้ำตาเจ้ากรรมมันไม่รักดี

     

    อย่าอ่อนแอได้ไหม?

    อีซองมิน...

     

     

     

    +++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

                บรรยากาศในห้องเรียนเงียบเชียบเหมือนทุกวันสำหรับนักศึกษาวิศวกรรมเอกไฟฟ้า เนื้อหาที่เรียนไม่ได้ยากเกินสำหรับหัวกระทิแต่การเป็นผู้ฟังที่ดีก็ไม่ควรพูดแทรกในขณะที่มีคนมาพรรณาให้ความรู้อยู่หน้าจอมอนิเตอร์ ร่างสูงจดจ่ออยู่การตัวหนังสือบนสไลค์จดเล็คเชอร์ไว้บางส่วนที่สำคัญ

               

    หลังหมดเวลาคลาสนี้เขาจะต้องไปขึ้นไปคุยเรื่องโปรเจ็คกลุ่มที่ต้องทำกับชางมิน มือแกร่งรวบอุปกรณ์เครื่องเขียนเก็บแล้วใส่ลงในกระเป๋า เดินออกจากห้องเรียนไปยังทางขึ้นลิฟท์ยืนรอสักพักลิฟท์ก็เคลื่อนตัวมายังชั้นที่เขาอยู่แต่โชคร้ายไปหน่อยที่คนแน่นไปหมด

     

    เข้าไปก็น้ำหนักเกินลิฟท์ไม่เดินอยู่ดีเลยยืนแห้วอยู่ตรงนั้นต่อไป

               

    ช่วงที่รอลิฟท์เดินร่างสูงคิดเรื่องต่างๆอยู่ในหัวและก็ไม่พ้นเรื่องของอีซองมิน อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่เย็นและอีกไม่นานหิมะจะร่วงลงมาเขาถึงนึกถึงคนที่เพิ่งส่งข้อความนัดไปกินมื้อเย็นด้วยกันเมื่อสองชั่วโมงก่อน

               

     

     

     

                “คยูฮยอน~ อันยอง ^^

               

    เป็นซีวอนที่ทักทายเขา คยูฮยอนเอ่ยทักทายกลับไปตามประสาคน(เพิ่ง)เป็นเพื่อนกัน ไม่รู้อะไรมันดลใจเขาให้อยากถามถึงซองมินขึ้นมา

     

                “แล้วซองมินเพื่อนนายล่ะ?”

     

                “หือ? อะ...อ๋อ หมอนั่นกลับไปแล้วล่ะ เห็นบอกว่ามีนัด แต่ก็ไมรู้หรอกนะว่าไปที่ไหนกับใคร ทำไมหรอ?” ซีวอนเลิกคิ้วอย่างสงสัย สองคนนั้นไปรู้จักมักจี่กันตอนไหนหว่า...?

     

                คำพูดของเพื่อนต่างคณะทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในสมองของเขาแต่ก็เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ขณะเดียวกันลิฟท์ตัวใหม่ก็มาร่างสูงเอ่ยลาก่อนจากเดินเข้าตัวลิฟท์ไป

     

                “ไปชั้นไหนคะ” หญิงสาวนักศึกษาที่ยืนใกล้กับปุ่มกดชั้นถามขึ้นอย่างสุภาพ

     

                “ชั้น 1 ครับ”

     

                จบคำพูของชายหนุ่มก็ทำให้คนทั้งลิฟท์งงไปตามๆกัน

     

    ก็นี่มันลิฟท์ขาขึ้นไม่ใช่ลิฟท์ขาลงซะหน่อย!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ++++++++++++++++++++

               

     

     

     

     

     

     

                คยูฮยอนพยายามติดต่อไปยังใครอีกคนแต่ก็ดูจะไม่ได้ความเลยแม้แต่นิดเดียวไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้งก็มีแต่ระบบฝากข้อความเสียง ฟังแล้วมันทำให้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

     

    ไปไหน..?

                ไปกับใคร..?

                ไปทำอะไร..?   

     

                ไม่รู้เลยสักนิด...

     

     

     

     

     

                Rrrrrrrrr!

     

     

                เสียงเรียกโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาไม่น้อยแต่พออ่านชื่อที่โทรเข้าความรู้สึกที่เหมือนโดนเอาลมออกจากลูกโป่งมันก็เข้ามาแทรก

     

     

                /คยูฮยอน~ เย็นว่างไหม? พอดีคิบอมเห็นว่าเราไม่ค่อยได้เจอกันเลยชวนไปกินข้าวน่ะ ไปด้วยกันนะ”

               

    “..........................”

     

                /นี่ ได้ยินหรือเปล่า ฮัลโหล??”

     

                “..........................”

     

                /ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย/

     

                “.........ว่าง”

     

                “จริงนะ!? ดีจังเลย งั้นเดี๋ยวเราไปเจอกันที่ร้าน Bello Chef เลยนะน้องชายคิดว่านายน่าจะรู้จัก”

     

                หลังจากคนปลายสายบอกสถานที่นัดเจอเสร็จสัพแล้วจึงตัดสายสนทนาไป ร่างสูงนั่งอยู่ในรถเปิดแอร์เย็นเฉียบ มือแกร่งโยนเครื่องมือสื่อสารไปยังเบาะด้านข้างไม่ใส่ใจว่าจะออกแรงเยอะจนมันไปกระทบกับประตูฝั่งตรงข้ามแล้วร่วงตกลงไปบนพื้น มองมันอย่างไม่ใส่ใจนักแล้วก็ถอนหายใจแรงๆออกมา...

               

                และคยูฮยอนเลือกที่จะลืมนัดของเขากับซองมินไปซะในเมื่อเจ้าตัวอีกคนไม่แม้จะสนใจเลยสักนิดและหายไปไหนกับใครก็ไม่รู้ทั้งหมดนี้มันก็เท่ากับปฏิเสธคำเชิญของเขาแล้ว ถอนหายใจแรงๆก่อนจะเข้าเกียร์แล้วขับรถออกจามหาลัยไปยังสถานที่นัดหมายตามที่พี่ชายเขาบอกไว้

               

    และก็ไม่ได้คิดที่จะใส่ใจโทรศัพท์ของตัวเองเลยสักนิด...

               

               

     

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

     

     

     

                “คิบอมครับ คุณมาทานที่นี่บ่อยหรอ?” ทงเฮถามหลังจากที่แฟนหนุ่มสั่งอาหารเสร็จแล้วคืนเมนูให้แก่บริกร

     

                “ทำไมล่ะ?”

     

                “ก็เห็นสั่งซะคร่องเชียว”

     

                “ฮ่าๆๆๆ ผมเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเองนะ เพื่อนที่โรงบาลแนะนำมาน่ะ” ตอบคำถามคนรักพร้อมกับยิ้มตาปิด

     

    อีทงเฮชอบให้คิบอมยิ้มที่สุด

               

                “ในที่สุดเราก็ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันสามคนสักที”

     

                “ช่าย~ นี่ถือเป็นปรากฎการณ์ระบบชาติเลยนะคุณหมอคิมคิบอม!

     

                “งั้นเราก็ต้องจัดมื้อหนักไปเลย ใช่ไหมว่าที่นายแพทย์อีทงเฮ?!

     

                คู่รักสองคนยิ้มใส่กันก่อนจะขำพรืดออกมาให้กำความติ๊งต๊องของกันและกัน ช่างเป็นภาพที่คยูฮยอนเห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เลย..

     

                “อารมณ์ดีเกินไปหรือเปล่าครับ?” คยูฮยอนหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับคนทั้งสองที่เป็นเจ้ามือในวันนี้ นั่งถามสารทุกข์สุขดิบกันไปสักพักอาหารชั้นดีก็มาเสิร์ฟเสียแน่นโต๊ะคนทั้งสามทานอาหารด้วยรอยยิ้ม เราเหมือนครอบครัวเล็กๆอบอุ่น ฟังดูน่ารักดี

     

                “นี่ ทำไมไม่พาแฟนนายมากินข้าวด้วยกันล่ะ”

     

                “คยูฮยอนมีแฟนแล้วหรอ?” คิบอมเอ่ยถามน้ำเสียงระคนไม่เชื่อหูตัวเอง

     

                “ก็ใช่น่ะสิครับ - นี่ ว่าไงคยูฮยอน”

     

                “ก็เขากลับบ้านไปแล้วนี่”

     

                “งั้นหรอ...งั้นวันหลังก็ชวนมากินข้าวด้วยกันนะ”

     

                คยูฮยอนพยักหน้าแทนคำตอบจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกนอกจากฟังเสียงพี่ชายคุยหยอกล้อกับคุณหมอคิบอม เฮ้อ..คิดแล้วมันชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเสียจริง

     

     

     

     

     

     

     

    +++++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

     

     

     

     

                มีคำกล่าวไว้ว่าหากเราตื่นนอนเวลาที่พระอาทิตย์โผล่พ้นท้องฟ้าขึ้นมาเป็นแสงแรกความยินดีจากธรรมชาติจะต้อนรับสิ่งดีงามเข้ามาในวันนั้น

     

    แต่ไม่ใช่สำหรับผมที่ไม่ได้หลับทั้งคืนทั้งพยายามข่มตา แต่ก็หลับไม่ลง...

               

    ผมลุกจากเตียงกำชับเสื้อเชิ้ทที่เหลือเพียงตัวเดียวไว้แล้วเดินเปิดผ้าม่านออกทอดมองแสงไฟจากทางหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่ไหน มองไปอย่างไร้จุดหมายและสมองมันก็ว่างเปล่าไปหมด จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

     

    และมันไม่ใช่ของผม...

               

    ร่างของบุคคลที่นอนหลับอยู่บนเตียงของผมกดรับโทรศัพท์อย่างหัวเสียก่อนที่บทสนทนาทแสนสั้นจะจบลง

     

                “กลับไปซะ”

               

    “แต่เรา...”

     

                “ฉันบอกให้กลับไปซะ!

     

    สิ้นเสียงตะคอกยองอุนก็มีสีหน้าหมองลง ผมเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้สนใจเขาอีก ปล่อยให้น้ำที่เย็นเฉียบชะล้างความน่าสมเพชของตัวเองไป

     

    เมื่อวานเหมือนเวลาจะผ่านไปช้าแต่พอหันไปมองหน้าต่างอีกทีก็มืดเสียแล้ว เรื่องมันน่าจะจบไปนานแล้วแต่แค่คำขอร้องกับสายตาคู่นั้น มันทำให้ปฏิเสธได้ยากเหลือเกิน ปล่อยให้น้ำเมาเข้ามาทำลายความเข้มแข็งพังทลายไปหมด

     

    ทั้งที่ปากผลักไสแต่ร่างกายกลับโอนอ่อนให้

     

    กระแสน้ำเย็นเฉียบยังไหลลงมาเรื่อยๆพร้อมกับความรู้สึกที่ต้นแขนมันเจ็บแปล๊บขึ้นมา ตาเรียวมองแขนขวาตัวเองแล้วบีบคลึงนวดเบาๆ ยิ่งเห็นรอยช้ำพวกนั้นมันยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดใจตัวเอง

     

    นานเกือบชั่วโมงถึงได้ออกมาจากห้องน้ำเพราะคิดว่ายองอุนคงกลับไปแล้ว ร่างบางเดินออกมาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีผู้ชายคนนั้นอยู่อีกแล้ว จัดการแต่งตัวชุดนักศึกษาตามระเบียบ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากะจะโทรไปหาเพื่อนซี้รูมเมทที่ไม่ยอมกลับมานอนที่ห้องแต่ก็หยุดชะงักไป...

     

     

     

    You have 93 miss calls.

     

     

     

    นิ้วเรียวกดดูรายชื่อมิสคอล์มากมายที่เขาไม่ได้รับสายเพราะปิดเสียงโทรศัพท์ไว้เลยไม่ได้ยิน รายชื่อที่ปรากฏทั้งหมดไม่มีใครอื่นแต่มีอยู่คนเดียว

     

    คนที่เขาไม่ได้ไปตามนัด...

     

    กดต่อสายไปสักกี่ครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าปลายสายจะรับโทรศัพท์จากเขา เลยถอดใจไม่โทรไปอีก ร่างสูงคงจะโกรธมากที่เขาเบี้ยวนัดเมื่อวานนี้ คิดแล้วก็อยากที่จะไปเจอหน้า อยากจะขอโทษ...

     

    มือเรียวหยิบจับถืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ก่อนจะออกจากห้องพักไป ลงลิฟท์มาถึงชั้นล่างก็เจอเข้ากับเพื่อนตัวดีที่หายหัวไปทั้งคืน

     

    “ไงซองมินนี่~” ฮยอกแจทักทายด้วยน้ำเสียงมีความสุขจนติดน่าหมั่นไส้

     

    “ทำไมมึงไม่หลับห้อง” ถามด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองจนอีกคนรู้สึกได้

     

    “กูไปแดกเหล้าห้องพี่เต่าอ่ะ มึงเป็นไรป่าววะหน้าตาไม่ดีเลย” ฮยอกแจถามด้วยความเป็นห่วงพอจะเอามือไปอังหน้าผากอีกคนก็หันหน้าหนี ทำให้ฮยอกแจมองเห็นรอยสีแดงที่คอของซองมิน มันเด่นชัดจนดูออกว่าเมื่อคืนต้องมีเรื่อง

     

    “ใครทำมึง?”

     

    ฮยอกแจถามคาดคั้นเอาความจริง แต่ซองมินพยายามที่จะเดินหนีไปจากตรงนั้นฮยอกแจจึงดึงแขนเพื่อนตัวเองไว้

     

    “โอ้ย!

     

    เสียงร้องของซองมินทำให้ฮยอกใจตกใจพับแขนเสื้อร่างบางขึ้นก็เจอเข้ากับรอยช้ำที่แขนมันเป็นรอยฝ่ามือที่บีบอย่างแรง

     

    “ยองอุนใช่ไหม?”

     

    “ช่างเถอะ”

     

    “ทำมึงแบบนี้น่ะหรอที่ว่าช่างมัน!?

     

    “กูอยากให้เรื่องมันจบแค่นี้ กูขอร้องมึงอย่าทำเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้” ซองมินพยายามข่มความรู้สึกอัดแน่นในใจไว้ เอ่ยขอร้องฮยอกแจ “ขอร้อง”

     

    สายตาขอร้องจากซองมินทำให้ฮยอกแจยอมลดความโกรธลง ถ้าไม่เห็นว่าซองมินอยากให้เรื่องมันจบ เขานี่ล่ะจะเดินเข้าไปถีบยอดหน้าคิมยองอุนด้วยตัวเอง!

     

     

     

               

     

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

     

     

     

                ฝนหลงฤดู...

               

    ร่มสีควันจางถูกหยิบออกมาจากช่องเก็บของหน้าบ้าน โยนมันเข้าไปเบาะหลังก่อนสตาร์ทรถยนต์ไปยังมหาวิทยาลัยเช่นทุกวัน ที่ผิดปกติวันนี้คือฝนหลงฤดูที่ตกหนักเอาการจนการจราจรแน่นขนัด ไอเย็นเข้าเกาะที่หน้ากระจกบดบังทัศนียภาพให้ลดระดับลงไป และที่ผิดปกติไปอีกอย่างหนึ่งคืออาการของคนเซื่องซึมจากการนอนไม่หลับมาทั้งคืน

     

    ใจจริงเขาหวังว่าซองมินจะโทรมาบอกสักนิดว่าที่หายไปมันเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องมันไปตามเลยแบบที่เป็นออยู่

     

    กว่าจะหลุดพ้นถนนขาประจำรถติดไปร่างสูงแทบจะถอนหายใจไปเป็นครั้งที่ร้อย มาถึงมหาวิทยาลัยก็ต้องลุยฝนกว่าจะเข้าตึกได้ก็แทบเปียกไปทั้งตัว มือแกร่งสะบัดร่มให้หยดน้ำที่เกาะอยู่หลุดไปเท่าที่จะได้ ระเบียงทางเดินที่มีนักศึกษายืนพูดคุยถูกกลบด้วยเสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดในเร็วๆนี้

     

    “อยู่นี่เองนะ” ชางมินเดินเข้ามาหาสีหน้าดูไม่ยินดีนัก “เมื่อวานหายไปไหนมาวะ ทุกคนเค้ารอนายอยู่คนเดียวเลยนะเว้ย”

               

    คยูฮยอนพูดขอโทษอย่างที่ควรทำแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องเรียนในคลาสที่จะถึงซึ่งวันนี้ไม่มีการสอนนอกจากปล่อยให้นักศึกษานั่งคิดโปรเจคกันไปแต่ละกลุ่ม การคุยงานเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด นอกจากวางแพลนให้ตรงคอนเสปที่จะเสนอ

               

    มีบางจุดที่สมาชิกกลุ่มค้านบ้างในบางส่วนแต่ก็เป็นเรื่องดีที่จะเอาข้อติต่างๆมาใช้แล้วปรับแก้ไขให้ผลงานออกมาสมบูรณ์แบบ ชางมินช่วยเสนอความคิดเสริมจากที่คยูฮยอนได้เสนอมา โดยมีซูยองเห็นด้วยในครั้งคราวและหน้าที่จดบันทึกก็คือแทมิน ส่วนอีกสองคน...

     

                “ย่าห์! จะกินให้เป็นหมูเลยหรอไง? งานน่ะช่วยกันบ้างก็ดีนะครับ!” ชางมินเหน็บแนมเพื่อนในกลุ่มอย่างเสียไม่ได้

     

    ให้ตายสิ นี่มันใช่เรื่องไหมเนี่ย? - -

     

    “เครียดมากระวังจะมีริ้วรอยย่นเร็วนะยะ” -.-

     

    “ใช่ๆ จะเครียดไปทำไม เรามีคยูฮยอนอยู่ทั้งคน”

               

    ชางมินแทบจะเอามือตีหน้าผากตัวเองแรงๆสักที

     

    โว๊ะ เพื่อนกูนี่จะรอรับ A+ อย่างเดียวเลยสินะ orz…

               

    “คุณเพื่อนแทยอนครับ ผมยังหนุ่ม ลั้นลาได้อีกนานรอยย่นไม่มี ส่วนคุณเพื่อนมินโฮครับช่วยงานกันบ้างเดี๋ยวจะให้ออกไปอยู่เดี่ยว”

     

                หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความโกลาหลของสามคนนั้น ทั้งคยูฮยอนและซูยองหันมามองหน้ากันอย่างเอือมๆ  เหมือนกับเด็กประถมทะเลาะกันเรื่องไม่ช่วยทำงาน ถ้าคิดในแง่ร้ายหน่อยแทยอนกับมินโฮก็เอาแต่กินตั้งแต่เขาเข้ามาแต่ถ้าคิดในแง่ดี งานก็วางแพลนแทบจะเสร็จหมดแล้ว

     

                สรุปโดยรวมคือ.. ทำเองหมดแล้ว -.-

     

     

     

                “เออนี่ คยูฮยอน เมื่อวานชางมินโทรฯไปทำไมไม่รับสายเลย” ซูยองถามข้อสงสัยตั้งแต่เมื่อวาน โดยนิสัยคยูฮยอนแล้วถ้ามีใครโทรมาจะต้องรีบรับสายทันที

     

                “หรอ? แต่ฉันไม่ได้ยินเลยนะ” คยูฮยอนขมวดคิ้วสงสัยล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ตทุกมุม กระเป๋ากางเกงรวมทั้งหาในกระเป๋าเป้และก็นึกอ๋อทันที

     

                “อา..อยู่ในรถน่ะ ฉันลืม”

     

     

     

     

                “คยูฮยอนอยู่ไหนหรอ?” ร่างสูงหันไปตามเสียงนักศึกษาชายคนหนึ่งกำลังถามหาเขาจากเพื่อนในคลาสเลยเดินออกจากวงสนทนางานเข้าไปแสดงตัว

     

                “คยูฮยอนครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

     

                “มีคนมาหาน่ะ เหมือนจะเป็นเด็กศิลป์ฯ”

     

     

     

     

     

     

     

     

    +++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความห่วงใยจากบางคน

    ก็ทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสำคัญ

     

     

     

     

     

     

     

                อีกไม่นานผมคงจะต้องเป็นปอดชื้นแน่ถ้ายังไม่รีบทำตัวให้แห้งหรือหาชุดมาเปลี่ยนแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการมาขอโทษร่างสูง ยืนรออยู่สักพักคนที่อยากเจอหน้าก็มายืนอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว ด้วยระห่างที่พอสมควร แต่ช่างดูห่างไกล...

     

                เงียบ

     

                พอจะมาขอโทษกลับพูดไม่ออกเสียดื้อๆ ยิ่งเห็นสายตานิ่งที่อ่านไม่ออกแล้วมันทำให้รู้สึกอึดอัดจนไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ซองมินสูดหายใจเข้าก่อนจะพูดออกมาเป็นประโยคแรกแต่ก็ถูกขัดไว้ด้วยความเป็นห่วงแทน

     

                “คุณไม่กลัวจะเป็นหวัดหรือไง?” ถอดเสื้อโค้ตตัวเก่งออกก่อนจะสวมทับให้ร่างบางที่มีแต่หยดน้ำฝนเกาะตามเสื้อผ้าและร่างกาย ชั่วแว้บหนึ่งที่หัวใจของคยูฮยอนวูบไหวกับกลิ่นอ่อนๆจากตัวของร่างบางตรงหน้าแต่มันเร็วมากจนซองมินเองก็ไม่รู้ตัว

     

                มีเพียงคำขอบคุณที่มาจากซองมิน ไม่มีการพูดคุยนอกจากการก้มหน้า หลบสายตา ทั้งที่จะมาขอโทษแต่พอเอาเข้าจริงมันยากกว่าเป็นไหนๆ กับการเอาใจใส่ของคยูฮยอนมันทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องเบี้ยวนัด เรื่องของยองอุนก็เหมือนกัน..

     

                คยูฮยอนจับมือเย็นเฉียบของซองมินเดินพาไปยังห้องพยาบาลโดยที่ไม่มีคำพูดใดอีก สิ่งที่ซองมินรับรู้คือมือของคยูฮยอนอุ่น.. ความอบอุ่นนั้นกำลังซึมเข้าหัวใจของซองมินอย่างช้าๆและในสักวันหนึ่งความอบอุ่นจากผู้ชายคนนี้จะมาแทนความว่างเปล่าที่เย็นเฉียบ

     

                กลิ่นยาอ่อนๆในห้องพยาบาลเป็นอะไรที่ไม่น่าพิสมัยเลยสักนิดแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทนอยู่เป็นเพื่อนร่างบาง ไม่สิ.. เป็นห่วงต่างหากล่ะ

     

                บังเอิญพอดีที่วันนี้หน้าที่ดูแลห้องพยาบาลตกมาอยู่ที่อีทงเฮ คยูฮยอนนั่งมองพี่ชายต่างมารดาหยิบหายามาให้ร่างบางกินกันไข้ขึ้นอย่างชำนาญงาน มีถามอาการบ้างครั้งคราว ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีนอกจากเสื้อผ้าที่ชื้นน้ำฝน

     

                “รอเดี๋ยวนะ อย่าเพิ่งไป” ทงเฮสั่งผู้ป่วยไว้ เดินเข้าไปหยิบชุดนักศึกษาในลิ้นชักที่ห้องพยาบาลมีเผื่อไว้สำหรับผู้ป่วยที่เปียกฝนแล้วชุดแห้งไม่ทัน “เอาไปเปลี่ยนนะเดี๋ยวปอดบวมจะถามหา”

     

                ซองมินรับชุดมาจากนักศึกษาหมอที่มีแต่รอยยิ้มบนใบหน้า เห็นแล้วทำให้สบายใจอย่างบอกไม่ถูก นี่หรือเปล่าที่เรียกว่าอิทธิพลจากดวงคนจะเป็นหมอ?

     

                “ขอบคุณนะ”

     

                “นั่นมันหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว ขอบคุณทำไมกัน” ทงเฮยิ้นขัน อะไรกันวันนี้มาแปลกมวลรังสีไม่ระบุชนิดลอยมาแต่ไกลเชียว “เมื่อไหร่จะพาแฟนมาให้ฉันเจอซะทีล่ะ”

     

                “ก็เจอแล้วไม่ใช่หรือไง” คยูฮยอนมองไปทางห้องน้ำที่ร่างบางเดินเอาชุดไปเปลี่ยนได้สักพักแล้ว

     

                “เห?” ทงเฮทำหน้าสงสัยอยู่นาน พอมองไปตามสายตาของน้องชายก็ถึงบางอ้อทันใด “บทจะมาก็ไม่บอกไม่กล่าวเลยนะแล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า”

     

                “ยังไม่ชัดเจนน่ะ”

     

                ทงเฮพอเข้าใจดีเลยไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ หยิบขวดยาเข้าไปเก็บที่แล้วลงบันทึกการป่วยของเด็กคนนั้นไว้ พอจะหันมาคุยด้วยอีกทีน้องชายของเขาก็เดินออกจากห้องไปพอดี แล้วก็ดันมาพอดีกับที่คนในห้องน้ำเดินออกมา..

     

                นัดกันไว้หรอ? - -‘’

     

                ซองมินเดินออกมาก็มองหาใครอีกคนแต่ว่าก็ไม่พอแล้ว

     

    ทงเฮรับชุดที่ชื้นน้ำฝนมาไว้ที่ตัวเองแล้วให้ร่างบางอีกคนไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม

     

                “ชุดนายเอาไว้นี่ก่อนเดี๋ยวจะให้แม่บ้านเอาไปซักให้ อ้อ เซ็นต์ตรงนี้นิดนึงก็เรียบร้อยแล้ว” ยื่นสมุดบันทึกการป่วยให้ร่างบางเขียนชื่อ

     

                “ยังไงก็นอนพักสักตื่นนึงก่อน ยาจะได้ประสิทธิภาพมากกว่า”

     

                “แต่ว่า..”

     

                “ไม่แต่ว่าอ่ะ ถึงวันนี้นายจะไปเรียนไหวแต่พรุ่งนี้ไข้จับก็ได้ ทีนี้ได้นอนพักยาวเลย ดังนั้นเชื่อฉันแล้วไปนอนพักซะนะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงไปฉันไม่รบกวนหรอกวันนี้ก็ไม่มีใครมานอนด้วย ตามสบายนะ”

     

                ซองมินพูดขอบคุณแล้วตรงไปยังเตียงด้านในสุด นอนลงพร้อมกับผ้าห่มที่ปิดถึงอก ด้วยยาที่เริ่มออกฤทธิ์ทำให้เข้สู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว

     

                ส่วนนักศึกษาแพทย์เมื่อเห็นว่าที่แฟนน้องชายหลับไปก็หันกลับมาทำงานของตัวเองต่อไป

     

     

              เป็นเด็กที่...น่ารักจริงๆนะ อีซองมิน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

     

     

     

    คนเรามักจะแคร์คนที่รักเสมอ

     

     

     

     

     

     

                ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาหรือความเหนื่อยล้ากันแน่เขาถึงได้หลับข้ามวันขนาดนี้ ตื่นมาอีกทีฟ้าก็เริ่มมืดและฝนที่หยุดตกไปเรียบร้อย ซองมินได้รับการดูแลอย่างดีจากรุ่นพี่ทงเฮ รู้จักชื่อกันก็ตอนที่รุ่นพี่มาปลุกให้ลุกไปทานข้าวมื้อก่อนกลับบ้าน เป็นอาหารคนป่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีแค่โจ๊กกับผักเท่านั้น

               

    หลังเสร็จสิ้นเรื่องทุกอย่างแล้วซองมินจึงขอตัวกลับ

     

                “ขอบคุณครับ ผมต้องขอตัวก่อน” ซองมินโค้งตัวขอบคุณ

     

                “เดี๋ยวสิ ขอคุยด้วยอีกนิดนึง ซองมิน” คำขอจากนักศึกษาแพทย์ทำให้ซองมินนั่งลงที่เดิมอีกครั้ง

     

                “งอนกันหรอ?”

     

                “ครับ?”

     

                “ซองมินกับคยูฮยอนงอนกันอยู่หรอ?”

     

                “ทำไมหรือครับ?” แทนที่จะตอบคำถามแต่เป็นการถามแทนคำตอบ

     

                “ก็หมอนั่นน่ะ เวลาน้อยใจหรืองอนใครก็จะมีอาการแบบนี้แหละ” ทงเฮลอบมองสีหน้าของซองมินอยู่ตลอด นี่ถ้าไม่ใช่น้อง ฉันไม่ช่วยหรอกนะคยูฮยอน ^.^

     

    “แสดงว่าซองมินต้องสำคัญกับคยูฮยอนมากนะ ไม่งั้นหมอนั่นคงไม่แคร์ซองมินขนาดนี้หรอก”

     

    “...................”

     

    “มีเท่านี้แหละที่ฉันอยากบอก นายกลับได้แล้วล่ะ”

     

    ซองมินโค้งตัวอีกครั้ง หยิบข้าวของออกมาก่อนจะเดินออกมาจากเขตห้องพยาบาล คำพูดของรุ่นพี่ดังก้องอยู่ในความคิดของเขา ซ้ำไปซ้ำมา

     

    ความหมายนั่นหมายถึงเขาสำคัญต่อคยูฮยอนใช่ไหม?

     

    มือเรียวรีบคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้กดไปยังเบอร์ของใครคนหนึ่ง รอเสียงสัญญาณอยู่นานจนเกือบจะหมดหวัง เมื่อเช้าก็เหมือนกันที่ไม่รับสายของเขาเลย แต่มันก็เข้ากับสำนวนที่ว่า

     

    ไม่มีใครโชคร้ายได้ตลอด..

     

    “ขอโทษที่รับช้านะ ผมหาโทรศัพท์อยู่น่ะ”

     

    เพียงแค่ปลายสายรับซองมินแทบจะยิ้มแก้มปวม หัวใจชื้นขึ้นจนแทบจะพองโต

     

    คยูฮยอนรับสายเขาแล้ว...

     

     

     

     

     

    “......................................”

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไปทานมื้อเย็นกันไหมครับ?”

     

     

     

     

     

     

    +++++++++++++++++++++++++++

     

     

     

     

     

     

    Talk with (k)yu

    อิมะขูบจะน้ำลายฟูมปาก (อ่อค!)

    งานยุ่งๆเลยไม่ได้มาแต่งต่อ orz

     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×