คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : {Dairokkan} : Chapter 01 (100%)
{Dairokkan} : Chapter 01
ร่างบางบนเตียงปรือเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ภาพเพดานห้องสีขาวก็ค่อยๆฉายชัด นัยน์ตาหวานสีน้ำตาลกวาดไปรอบๆห้องสี่เหลี่ยมที่ดูคุ้นตา
สิ่งที่ฉันเห็นเมื่อคืน...คงเป็นฝันสินะ
ชาคริยามักจะพร่ำบอกกับตัวเองเวลาตื่นมาเสมอ ว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหลายที่เธอได้พบเจอนั้นล้วนแต่เป็นความฝัน
ทั้งๆที่เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง!
หญิงสาวปิดเปลือกตาลงพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอยันกายลุกขึ้นนั่งกอดเข่าที่ขอบปลายเตียง มือเรียวกุมขมับที่รู้สึกปวดแปลบๆ
นี่เราเก็บเรื่องนั้นมาคิดถึงขนาดนี้เชียว...
เมื่อคืน ชาคริยาเอาแต่คิดถึงเรื่องผู้ชายลึกลับคนนั้นจนแทบไม่เป็นอันนอน ใจหนึ่งก็อยากช่วยเหลือเขา แต่อีกใจเธอก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น...เพราะเท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ก็มากเกินพอแล้ว...
“ยัยเอมตื่นหรือยังเนี่ย” เสียงใสของชนัญญาดังขึ้น เธอเปิดประตูชะโงกหน้ามองเข้ามาในห้องของน้องสาวอย่างที่ทำเป็นประจำทุกเช้า หญิงสาวร่างเล็กสูงราว 165 เซนติเมตรในชุดเสื้อกระโปรงอยู่บ้านเดินเข้ามา ใบหน้าเยาว์ที่หลายคนดูไม่ออกว่าจะมีอายุ 28 ปีดูสวยไม่สร่าง ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มเป็นการทักทาย
จริงสิ...ให้พี่เอิงช่วยน่าจะดี
“พี่เอิงคือ...” ดวงตาทั้งสองผลุบลง เธอยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี
“เป็นอะไรน่ะ ดูแปลกๆไปนะ” แม้น้องสาวของเธอจะเป็นคนนิ่งๆ แต่ชนัญญาก็รู้นิสัยของชาคริยาดี เมื่อไหร่ที่มีเรื่องกลุ้มใจ สีหน้าและท่าทางจะออกมาเป็นคนละแบบ
“คือ...ยังจำได้หรือเปล่าที่เมื่อวานพี่ให้ฉันไปซื้อของรอบที่สองน่ะ...”
“จำได้ ทำไมเหรอ” ชนัญญาเอามือสางผมยาวสีน้ำตาลไปฟังน้องสาวพูดไป
“ฉันพบผู้ชายคนหนึ่ง...เขามีความสามารถในการ ‘เห็น’ เหมือนกับฉัน” ทุกครั้งที่ชาคริยาต้องพูดถึงความสามารถนั้นเธอมักจะละคำว่า ‘วิญญาณ’ เสมอ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าจะต้องเห็นมันในไม่ช้า ราวกับความรู้สึกที่ยากจะอธิบายนั่นจะประดังเข้ามาสู่หัวใจ
“ห๊ะ! ว่าไงนะ!?!” ผู้เป็นพี่เบิกตาโพลง เสียงฟังดูตื่นเต้นระคนตกใจ
ชาคริยาพยักหน้าน้อยๆ “แต่ที่สำคัญ...เขาขอให้ฉันช่วย” มือเรียวกำปลายผ้าห่มที่คลุมทั้งขาอย่างไม่รู้ตัว
“ช่วยเรื่องอะไร?” หญิงสาวถามอย่างอยากรู้ เธอกระเถิบเข้าไปใกล้คนนั่งกอดเข่ามากขึ้นกว่าเดิม
“ช่วยตามหาวิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งให้เขา”
ทันทีที่ชาคริยาพูดจบ ชนัญญาได้แต่นิ่งอึ้งไป...หมอนี่เป็นคนประเภทไหนกันนะที่ขอให้คนอื่นช่วย ทั้งๆที่เพิ่งเจอหน้ากัน...แถมยังเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอีก...
หญิงสาวใช้มือเรียวจับคางคิด เธอหันไปสบตากับผู้เป็นน้องสาวที่มองมาอย่างขอความเห็น
“แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะยัยเอม” แทนที่จะเป็นคนตอบ เธอกลับย้อนถามเจ้าตัวเสียเอง แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าใบหน้าหวานกำลังสับสนอยู่ไม่น้อย
“ฉันก็ไม่แน่ใจ...ความจริงก็อยากช่วยแต่ก็ไม่อยากจะไปพัวพันกับเรื่องพวกนั้น” คนถูกถามเบนสายตาไปด้านข้าง คิ้วเรียวเหยียดเข้าหากันด้วยความรู้สึกที่อึดอัดใจ
ชนัญญาพยักหน้าหงึกๆ “นั่นสินะ...ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอ” แต่แล้วริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้ม “แต่ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับเธอแล้วล่ะ”
“ขึ้นอยู่กับฉัน?”
หมายความว่ายังไงกัน...
“ใช่แล้วล่ะ ฉันว่า...มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอว่าเธอจะเลือกที่จะช่วยหรือไม่ช่วยผู้ชายคนนั้น”
ผู้เป็นพี่สาวเอามือแตะบ่าอีกฝ่ายแล้วบีบอย่างเบามือเพื่อให้กำลังใจ จนผู้เป็นน้องรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านมา ชนัญญาเลือกที่จะให้น้องสาวเพียงคนเดียวของตนได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวของเธอเอง
“งั้นพี่ไปก่อนนะ เธอเองก็คิดให้ดีๆล่ะ” พูดจบ ร่างของหญิงสาวก็ลุกเดินจากไปเหลือแต่เพียงอีกร่างที่ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนุ่ม
“ตัดสินใจเองงั้นเหรอ...” ริมฝีปากสีกุหลาบขยับขึ้นลงพึมพำ ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ก่อนมือเรียวจะเอื้อมไปหยิบแผ่นกระดาษที่อยู่บนหัวนอนขึ้นมาดูอย่างพิจารณา กระดาษแข็งแผ่นเล็กสีขาวนวลส่งกลิ่นหอมชวนดม ตัวอักษรภาษาไทยและภาษาอังกฤษบนนั้นพิมพ์ด้วยสีทองเด่นสะดุดตา
“ธนัน กิตไพศาลกุล”
สายลมอ่อนในยามเช้าเข้าพัดโชยสู่ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ส่งเสียงพัดหวือดังราวกับเสียงของพรายตัวน้อยที่กำลังบอกกระซิบข้างหู หญิงสาวใช้มือเรียวจับผมละเอียดสีดำสนิทของเธอก่อนที่มันจะปลิวสยายไปตามแรงลม
[โทษทีนะเอม...วันนี้ฉันมีงานด่วนเข้ามาจริงๆ]
เสียงใสจากปลายสายฟังดูรู้สึกผิดไม่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอกปลา” หญิงสาวเอ่ย ริมฝีปากบางสีกุหลาบคลี่ยิ้ม
[แกแน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้น่ะเอม]
อีกฝ่ายถาม น้ำเสียงเป็นห่วง
“อืม...ขอบใจมากปลา”
[งั้นพรุ่งนี้ค่อ่ยเจอกันนะ บ๊ายบาย]
“อืม...เจอกัน”
แล้วบทสนทนาก็จบลง นิ้วเรียวสวยสัมผัสสัญลักษณ์สีแดงบนโทรศัพท์วางสาย ชาคริยาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้าอีกฝาก ภาพท้องฟ้าที่ปกคลุมกรุงเทพมหานครในยามนี้ดูสดใสสบายตา หมู่เมฆลอยเอื่อยไปมา แสงนวลจากดวงอาทิตย์ทอทอดลงสู่เบื้องล่าง...มหานครอันวุ่นวาย
รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่งแล่นสวน ทำให้ทัศนียภาพที่มองอยู่ถูกบดบัง หญิงสาวเบนสายตาไปยังแผนผังบอกเส้นทางที่ประดับอยู่บนผนังด้านบน แสงไฟที่กระพริบบอกทำให้รู้ว่าอีกไม่กี่สถานีเท่านั้นก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
เวลาผ่านไป ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก คนจำนวนมากรีบเดินเบียดเสียดแทรกเข้ามา จากรถไฟซึ่งเคยมีที่นั่งว่างเหลือเฟือ กลับแออัดไปด้วยผู้คนวัยทำงานและเหล่าวัยรุ่น บางคนยืนจับห่วงที่โอนเอนไปมา บางคนจับไม่ถึงก็เกาะเสาเหล็กสีเงินแวววับแทน ส่วนบางคนที่โชคดีเข้ามาก่อนได้นั่งอย่างสบาย
ชาคริยาจับกระเป๋าของตนขยับมาไว้ที่ตักเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมานั่งข้างๆเธอ ผมย้อมสีขาวเหลือบเงินของเขาเป็นที่สะดุดตาของคนทั้งรถไฟฟ้า รวมถึงชุดเสื้อคลุมหนังสีดำและกางเกงสีดำของเขาที่ดูเหมือนกับชุดคลอสเพลย์ที่ตัดกันทำให้โดดเด่นขึ้นมาทันใด
“ขอโทษครับ...ตรงนี้มีที่คนนั่งรึเปล่าครับ” เขาถามสุภาพ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนด้วยคอนแทกเลนส์มองมายังร่างบางตรงหน้า
“ไม่มี” ชาคริยาเอ่ยเสียงเรียบ พลางเบนสายตาไปยังด้านข้างแทน
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้ามานั่ง มือหนาหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่านอย่างสบายใจ
“สถานีต่อไปช่องนนทรี...Next station Chong Nonsi”
ชาคริยาเตรียมตัว เธอรอให้รถไฟฟ้าจอดเทียบสถานีเรียบร้อย ประตูรถไฟฟ้าเปิดผางอีกครั้งก่อนร่างระหงจะก้าวเดินไปตามทางออก แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดกึกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครตามมา...
เสียงก้าวหนักๆหยุดลง ดวงหน้าขาวของหญิงสาวหันไปประจันกับชายแปลกหน้าเมื่อครู่ เขาเดินตามเธอมา หรือว่าเธอคิดไปเอง
ชายหนุ่มผมสีแปลกประหลาดยืนยิ้ม มือหนายกขึ้นโบกไปมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้ตามคุณมา...ผมแค่บังเอิญไปทางนี้เหมือนกัน”
ชาคริยาหันกลับ ความจริงเธอก็แค่ระวังตัวก็เท่านั้น ร่างบางลงบันไดอย่างระวังแล้วมุ่งหน้าเดินเลียบไปตามฟุตบาตตรงไปยังสำนักงานสามชั้นที่อยู่เลยไปอีกสองหัวมุม
“กรุ๊งกริ๊ง”
เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่หน้าประตูดังขึ้น มือเรียวออกแรงผลักบานประตูกระจกสีชาออกโดยที่ไม่ได้สนใจป้ายสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งผนึกอยู่เหนือทางเข้า ‘Tour Travel’ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ร่างสูงก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
“คุณ...”
“นึกว่าจะมาเร็วกว่านี้” เขาเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟัง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของธุรกิจนำเที่ยวในชุดสูทสีดำยามนี้ดูภูมิฐาน
“ฉันเพิ่งตัดสินใจ” เธอตอบตามความจริง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปยังบุรุษเบื้องหน้า
เขาจ้องเธอตอบ “อืม...เข้ามาสิ” พูดเสียงเรียบ พลางถอดเสื้อนอกออกเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดประดับด้วยเนคไทสีดำสนิท เขาเดินนำเธอขึ้นไปยังชั้นสองผ่านโต๊ะทำงานหลายตัวซึ่งถูกกั้นด้วยฉากขนาดใหญ่ทำเป็นห้องเทียม แต่ที่น่าแปลกกลับไม่มีคนทำงานอยู่เลยซักคน
“ทำไมวันนี้ไม่มีคนทำงาน?” ชาคริยาถามขณะเดินขึ้นบันได
“ฉันสั่งปิดออฟฟิศเอง...วันนี้จะนัดคุย” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระและไม่ห่วงงาน
ถึงขั้นปิดออฟฟิศ เพียงเพราะนัดคุยกับเธออย่างนั้นเหรอ? หรือว่ามีคนอื่นอีก?...
“นัดคุย? มีคนอื่นอีกรึเปล่า?”
“เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง”
ธนันพูดโดยไม่หันมามอง ใบหน้าหล่อคมของเขานิ่งจนแทบจะเป็นบุคลิกเย็นชา สองขาวยาวๆก้าวถึงชั้นสอง มือแกร่งเลื่อนเปิดบานประตูอย่างรวดเร็ว
“อ้าว! มาแล้วเหรอไอ้ไทม์” เสียงทักอย่างคุ้นเคยดังมาจาก ‘เกียรติภูมิ วาริพัตไพบูรณ์’ หรือ ‘บอส’ ตำรวจหนุ่มร่างสูงหุ่นนักกีฬาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้เบาะสีเทา เขามีผมทรงสั้นสีดำสนิท ผิวขาวค่อนข้างคล่ำแดด บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มร่าเริง ข้างๆกันนั้นมีโต๊ะไม้เนื้อดีซึ่งมีเอกสารมากมายถูกจัดอย่างเป็นระเบียบวางอยู่
“ไปประชุมมาเรียบร้อยดีสินะ”
‘อนาคิน ศศิวัฒนา’ หรือ ‘เพ้นท์’ ช่างภาพอิสระเอ่ย เขาเป็นหนุ่มหน้าหวาน เรือนผมสีน้ำตาลสว่างซอยรากไทร นัยน์ตากลมโตสีดำสนิทรักสนุก รอยยิ้มบนริมฝีปากดูขี้เล่น
“อืม...ก็ดี” ว่าพลางโยนเสื้อสูทสีดำราคาแพงลงโซฟาหนังที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
“แล้วนั่น....” เกียรติภูมิหันความสนใจมาที่หญิงสาวที่ยังคงยืนเงียบอยู่หน้าประตูห้อง
“ออ...ฉันขอให้มาช่วยเองแหละ นั่งสิ” ธนันจัดการดึงเก้าอี้อีกตัวเลื่อนส่งให้หญิงสาวแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา โน้มตัวลง มือทั้งสองประสานกันระหว่างขา โดยมีเพื่อนคู่หูปาท่องโก๋นั่งอยู่ข้างๆ
ชาคริยานั่งลงอย่างสุขุม ท่ามกลางสายตาของชายหนุ่มทั้งสาม ความรู้สึกอึดอัดของคนที่เป็นผู้หญิงคนเดียวเริ่มเกิดขึ้น
แต่ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร บานประตูกระจกสีชาก็ถูกเลื่อนเปิดออก พร้อมๆกับร่างของทนายหนุ่มผมสีเงินโดดเด่นก็เดินเข้ามา สร้างความแปลกใจให้กับชาคริยาไม่น้อย
“สวัสดีทุกคน!”
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้วนะ ไอ้อิช” เกียรติภูมิแขวะ แต่ดูเหมือนคนที่พึ่งเข้ามาจะไม่ใส่ใจ
“ฉันแวะซื้อขนมมาฝากทุกคนด้วย” อิชลาน วัตสัน วิทยาสกุลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ยกมือที่ถือห่อขนมพะรุงพะรังขึ้นโชว์
“คุณ...” เสียงหวานเรียกให้อิชลานหันไปสังเกต
“อ้าว! คุณที่เจอบนรถไฟฟ้านี่ สวัสดีครับ” ริมฝีปากหนายิ้มอบอุ่น ชายหนุ่มวางกล่องขนมที่ถืออยู่แล้วนั่งลงข้างๆกับอนาคิน
“เธอคนนี้จะมาช่วยเราตามหาวิญญาณของทรายแก้ว” ธนันเอ่ยเสียงเรียบ
“แสดงว่าเธอก็มีสัมผัสพิเศษเหมือนไอ้ไทม์งั้นเหรอ!?!” เกียรติภูมิโพล่งออกมาอย่างตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“ใช่” ชาคริยาพยักหน้าน้อยๆ
“หยึย~ ขนลุกเลยแฮะ” ตำรวจหนุ่มทำท่ากอดอกเอามือจับลูบแขนตัวเองอย่างขนลุกขนพอง
“นั่นสิ ไม่คิดว่าจะมีคนแปลกเหมือนไอ้ไทม์ได้เลยนะ ฮะฮะ” คราวนี้เป็นช่างภาพหนุ่ม เขาหัวเราะแหย่เล่น น้ำเสียงติดตลก
“แล้ว...เธอชื่ออะไร?” ตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก เขาก็ไม่เคยทำความรู้จักเธอเลย
“ชาคริยา เหมอัมภร”
“ชื่อเล่นล่ะ”
“เอม”
“ทำงานอะไร”
“เภสัช...เจ้าของร้านขายยา”
สามหนุ่มฟังการสนทนาของทั้งคู่ไปพลางยิ้มไป บางทีก็หันไปกระซิบกระซาบกันทำทีเป็นไม่ให้เพื่อนชายของตนรู้
“นินทาอะไรกัน?” เจ้าของธุรกิจทัวร์ถาม คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน
“ฮะๆ พวกเราก็แค่คิดว่านายสองคนน่ะเหมือนกันชะมัดเลยน่ะ” เกียรติภูมิไม่วายหัวเราะต่อ ทำเอาคนถูกนินทาสงสัย
“เหมือนตรงไหน?” ทั้งสองพูดพร้อมกันจนแทบจะประสานเสียง ยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานมีน้ำหนักขึ้นไปใหญ่
“ก็ทั้งวิธีการพูด นิสัยต่างๆ ท่าทาง แล้วก็การมีพลังเหมือนกันไงล่ะ” อิชลานอธิบาย
“พวกนายรู้มั้ยว่าเมื่อกี๊น่ะ พวกนายเหมือนกำลังสอบปากคำหรือไม่ก็กำลังสัมภาษณ์รับสมัครงานกันอยู่เลย ฮะฮะ” อนาคินหัวเราะ ดวงตาสีดำสนิทหยีจนเกือบเป็นเส้นตรง
สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากัน นัยน์ตาสีน้ำตาลของหญิงสาวสบกับนัยน์ตาสีดำนิ่ง ชายหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว และขึ้นสีแดงเรื่ออย่างไม่เคยเป็น ธนันรีบพูดเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนก่อนเพื่อนตัวดีทั้งหลายจะสังเกตเห็น
“ช่างฉันเถอะ...พวกนายรีบแนะนำตัวเร็วๆดีกว่า”
“จริงสินะ...ผมเกียรติภูมิ วาริพัตไพบูรณ์ เรียกสั้นๆว่าบอสก็ได้ครับ ผมเป็นตำรวจ”พูดพลางทำทีจะเดินเข้ามาใกล้ แต่ก็โดนเสียงเข้มอันดุดันของธนันขัดเข้าเสียก่อน
“ไม่ต้องเดินมาหรอก เสียเวลา”
“แหม...คุณธนัน ทำอย่างกับเป็นเจ้าของเธอซะอย่างงั้น” เพื่อนหนุ่มได้ทีแหย่เล่น อย่างที่มักจะทำเป็นประจำ
“ผมเพ้นท์ อนาคิน ศศิวัฒนาครับ เป็นช่างภาพอิสระ...ว่างๆก็เชิญมาที่ห้องแกลลอรี่ผมก็ได้นะครับ” หนุ่มหน้าหวานคลี่ยิ้ม
“ส่วนผม อิชลาน วัตสัน วิทยาสกุลครับ เรียกอิชลานก็ได้...เป็นทนายความ” คนสุดท้ายพูดจบ ธนันก็เปิดประเด็นขึ้น
“รู้จักกันหมดแล้วสินะ...ฉันจะพูดถึงเรื่องรายละเอียดให้เธอฟัง”
หญิงสาวพยักหน้ารับ
“คนที่จะให้เธอช่วยตามหามีชื่อว่า ‘ทรายแก้ว’ หรือ ‘ธนัชพร’ ตอนนี้เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เพราะวิญญาณหลุดจากร่าง”
ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเนิบนาบราวกับเป็นผู้ประกาศข่าว ใบหน้าหล่อคมของเขามีร่องรอยแห่งความเศร้ายามเมื่อต้องพูดถึงชื่อของผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงคนที่เขารักมากที่สุดรองลงมาจากแม่ก็ไม่ปาน
“แล้ว...จะให้ฉันช่วยยังไง?” ชาคริยาถามหลังจากเงียบมานาน
“จากที่ฟังมา...เธอเป็นเภสัชที่ทำงานอยู่ที่ร้านยาของตัวเองสินะ” เขาเอ่ย มือหนาจับคางเรียวได้รูป
“ใช่”
“เพราะฉะนั้น...เธอก็สามารถออกไปไหนมาไหนกับฉัน โดยที่ไม่มีปัญหาเรื่องงานล่ะสินะ”
อะไรกัน...ผู้ชายคนนี้ อยู่ดีๆก็มาบอกให้คนอื่นเลิกทำงานที่ร้านยา แล้วให้ไปไหนมาไหนกับตัวเอง!?!
“นี่คุณ! แล้วร้านยาของฉันล่ะ!” ชาคริยาเริ่มขึ้น ปกติเธอเป็นคนโกรธยาก ผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกที่ดูเหมือนจะ ‘ยั่ว’ ให้เธออารมณ์ขึ้นได้ขนาดนี้
“ก็ไปหาใครมาทำแทนสิ...แค่หยิบยาไม่จำเป็นต้องให้เภสัชหยิบให้อย่างเดียวไม่ใช่หรือไง” ธนันพูดแบบไม่ใส่ใจ แต่ในทางตรงกันข้ามหญิงสาวกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นจอมเผด็จการฮิตเลอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ชาคริยานั่งนิ่ง เรียกว่าเธอรู้สึกโกรธได้อย่างเต็มปาก มือเรียวของหญิงสาวกำแน่น หลังจากได้ยินคำพูดไร้สาระจากปากของผู้ชายคนนี้
“คุณมันจอมเผด็จการ...” ในที่สุด หญิงสาวก็เลือกที่จะพูดความในใจของตนให้เขาได้รับรู้
“หืม? ว่าไงนะ?”
“คุณคิดว่าการที่คนมาซื้อยารักษา จะมาซื้อกับใครก็ได้อย่างงั้นเหรอ...” ชาคริยาเว้นช่วง เธอจ้องหน้าเขาเขม็ง “คุณคิดว่าชีวิตคนไม่สำคัญสินะ ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา!”
เป็นครั้งแรกที่ชาคริยาโพล่งออกไปเสียงดังต่อหน้าคนอื่น ที่ผ่านมาเธอได้แต่เก็บอารมณ์ความรู้สึกมาตลอด แต่พอได้มาเจอเขา...ได้เจอกับธนัน กิตไพศาลกุล เขื่อนที่กั้นความรู้สึกก็ดูเหมือนจะพังลง...
เฉพาะกับเขา!
หญิงสาวรีบพาตัวเองออกจากสำนักงานให้เร็วที่สุด เธอเรียกแท็กซี่สีเหลืองเขียวคันหนึ่งแล้วตรงกลับบ้านในทันที โดยไม่ฟังเสียงเรียกโหวกเหวกของเหล่าชายหนุ่มที่ตามมา
“เฮ่ย! ขึ้นแท็กซี่ไปไหนแล้ว!?!”
เกียรติภูมิหอบฮัก หลังจากวิ่งจากชั้นสองลงมาตามเธอ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...
“จะให้ตามไปมั้ย?” อิชลานถาม นัยน์ตาสีอ่อนมองไปที่เพื่อนของตนอย่างเห็นใจ
“ไม่ต้องหรอก...” ธนันเอ่ยเสียงเบาราวกับจะกลืนไปกับเสียงรถยนต์ที่แล่นผ่าน เขาหยุดยืนมองตามรถแท็กซี่คันสีเหลืองเขียวที่พึ่งจะออกไปเมื่อครู่ ในใจนึกทบทวนถึงสิ่งที่หญิงสาวได้พูดมา
ชีวิตคนน่ะสำคัญสิ...เพราะถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่ออกตามหาวิญญาณเพื่อช่วยชีวิตคนหรอกนะ....
------100%-----
cinna mon
ความคิดเห็น