ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Dairokkan} *รักวุ่นวายกับสัมผัสลี้ลับของฉันและเธอ*

    ลำดับตอนที่ #5 : {Dairokkan} : Chapter 01 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 55



    {Dairokkan} : Chapter 01

     

          ร่างบางบนเตียงปรือเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ภาพเพดานห้องสีขาวก็ค่อยๆฉายชัด นัยน์ตาหวานสีน้ำตาลกวาดไปรอบๆห้องสี่เหลี่ยมที่ดูคุ้นตา

                สิ่งที่ฉันเห็นเมื่อคืน...คงเป็นฝันสินะ

                ชาคริยามักจะพร่ำบอกกับตัวเองเวลาตื่นมาเสมอ ว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหลายที่เธอได้พบเจอนั้นล้วนแต่เป็นความฝัน

                ทั้งๆที่เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง!

                หญิงสาวปิดเปลือกตาลงพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอยันกายลุกขึ้นนั่งกอดเข่าที่ขอบปลายเตียง มือเรียวกุมขมับที่รู้สึกปวดแปลบๆ

                นี่เราเก็บเรื่องนั้นมาคิดถึงขนาดนี้เชียว...

                เมื่อคืน ชาคริยาเอาแต่คิดถึงเรื่องผู้ชายลึกลับคนนั้นจนแทบไม่เป็นอันนอน ใจหนึ่งก็อยากช่วยเหลือเขา แต่อีกใจเธอก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น...เพราะเท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ก็มากเกินพอแล้ว...

               

                “ยัยเอมตื่นหรือยังเนี่ย” เสียงใสของชนัญญาดังขึ้น เธอเปิดประตูชะโงกหน้ามองเข้ามาในห้องของน้องสาวอย่างที่ทำเป็นประจำทุกเช้า หญิงสาวร่างเล็กสูงราว 165 เซนติเมตรในชุดเสื้อกระโปรงอยู่บ้านเดินเข้ามา ใบหน้าเยาว์ที่หลายคนดูไม่ออกว่าจะมีอายุ 28 ปีดูสวยไม่สร่าง ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มเป็นการทักทาย

               

    จริงสิ...ให้พี่เอิงช่วยน่าจะดี

    “พี่เอิงคือ...” ดวงตาทั้งสองผลุบลง เธอยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี

    “เป็นอะไรน่ะ ดูแปลกๆไปนะ” แม้น้องสาวของเธอจะเป็นคนนิ่งๆ แต่ชนัญญาก็รู้นิสัยของชาคริยาดี เมื่อไหร่ที่มีเรื่องกลุ้มใจ สีหน้าและท่าทางจะออกมาเป็นคนละแบบ

    “คือ...ยังจำได้หรือเปล่าที่เมื่อวานพี่ให้ฉันไปซื้อของรอบที่สองน่ะ...”

    “จำได้ ทำไมเหรอ” ชนัญญาเอามือสางผมยาวสีน้ำตาลไปฟังน้องสาวพูดไป

    “ฉันพบผู้ชายคนหนึ่ง...เขามีความสามารถในการ เห็น เหมือนกับฉัน” ทุกครั้งที่ชาคริยาต้องพูดถึงความสามารถนั้นเธอมักจะละคำว่า วิญญาณเสมอ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าจะต้องเห็นมันในไม่ช้า ราวกับความรู้สึกที่ยากจะอธิบายนั่นจะประดังเข้ามาสู่หัวใจ

    “ห๊ะ! ว่าไงนะ!?!” ผู้เป็นพี่เบิกตาโพลง เสียงฟังดูตื่นเต้นระคนตกใจ

    ชาคริยาพยักหน้าน้อยๆ “แต่ที่สำคัญ...เขาขอให้ฉันช่วย” มือเรียวกำปลายผ้าห่มที่คลุมทั้งขาอย่างไม่รู้ตัว

    “ช่วยเรื่องอะไร?” หญิงสาวถามอย่างอยากรู้ เธอกระเถิบเข้าไปใกล้คนนั่งกอดเข่ามากขึ้นกว่าเดิม

    “ช่วยตามหาวิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งให้เขา”

     

    ทันทีที่ชาคริยาพูดจบ ชนัญญาได้แต่นิ่งอึ้งไป...หมอนี่เป็นคนประเภทไหนกันนะที่ขอให้คนอื่นช่วย ทั้งๆที่เพิ่งเจอหน้ากัน...แถมยังเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอีก...

    หญิงสาวใช้มือเรียวจับคางคิด เธอหันไปสบตากับผู้เป็นน้องสาวที่มองมาอย่างขอความเห็น

    “แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะยัยเอม” แทนที่จะเป็นคนตอบ เธอกลับย้อนถามเจ้าตัวเสียเอง แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าใบหน้าหวานกำลังสับสนอยู่ไม่น้อย

    “ฉันก็ไม่แน่ใจ...ความจริงก็อยากช่วยแต่ก็ไม่อยากจะไปพัวพันกับเรื่องพวกนั้น” คนถูกถามเบนสายตาไปด้านข้าง คิ้วเรียวเหยียดเข้าหากันด้วยความรู้สึกที่อึดอัดใจ

    ชนัญญาพยักหน้าหงึกๆ “นั่นสินะ...ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอ” แต่แล้วริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้ม “แต่ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับเธอแล้วล่ะ”

    “ขึ้นอยู่กับฉัน?”

    หมายความว่ายังไงกัน...

    “ใช่แล้วล่ะ ฉันว่า...มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอว่าเธอจะเลือกที่จะช่วยหรือไม่ช่วยผู้ชายคนนั้น”

    ผู้เป็นพี่สาวเอามือแตะบ่าอีกฝ่ายแล้วบีบอย่างเบามือเพื่อให้กำลังใจ จนผู้เป็นน้องรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านมา ชนัญญาเลือกที่จะให้น้องสาวเพียงคนเดียวของตนได้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวของเธอเอง

    “งั้นพี่ไปก่อนนะ เธอเองก็คิดให้ดีๆล่ะ” พูดจบ ร่างของหญิงสาวก็ลุกเดินจากไปเหลือแต่เพียงอีกร่างที่ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนุ่ม

    “ตัดสินใจเองงั้นเหรอ...” ริมฝีปากสีกุหลาบขยับขึ้นลงพึมพำ ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ก่อนมือเรียวจะเอื้อมไปหยิบแผ่นกระดาษที่อยู่บนหัวนอนขึ้นมาดูอย่างพิจารณา กระดาษแข็งแผ่นเล็กสีขาวนวลส่งกลิ่นหอมชวนดม ตัวอักษรภาษาไทยและภาษาอังกฤษบนนั้นพิมพ์ด้วยสีทองเด่นสะดุดตา

    “ธนัน กิตไพศาลกุล”

    สายลมอ่อนในยามเช้าเข้าพัดโชยสู่ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ส่งเสียงพัดหวือดังราวกับเสียงของพรายตัวน้อยที่กำลังบอกกระซิบข้างหู หญิงสาวใช้มือเรียวจับผมละเอียดสีดำสนิทของเธอก่อนที่มันจะปลิวสยายไปตามแรงลม



    [โทษทีนะเอม...วันนี้ฉันมีงานด่วนเข้ามาจริงๆ]

    เสียงใสจากปลายสายฟังดูรู้สึกผิดไม่น้อย

    “ไม่เป็นไรหรอกปลา” หญิงสาวเอ่ย ริมฝีปากบางสีกุหลาบคลี่ยิ้ม

    [แกแน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้น่ะเอม]

    อีกฝ่ายถาม น้ำเสียงเป็นห่วง

    “อืม...ขอบใจมากปลา”

    [งั้นพรุ่งนี้ค่อ่ยเจอกันนะ บ๊ายบาย]

    “อืม...เจอกัน”

     

    แล้วบทสนทนาก็จบลง นิ้วเรียวสวยสัมผัสสัญลักษณ์สีแดงบนโทรศัพท์วางสาย  ชาคริยาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้าอีกฝาก ภาพท้องฟ้าที่ปกคลุมกรุงเทพมหานครในยามนี้ดูสดใสสบายตา หมู่เมฆลอยเอื่อยไปมา แสงนวลจากดวงอาทิตย์ทอทอดลงสู่เบื้องล่าง...มหานครอันวุ่นวาย

    รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่งแล่นสวน ทำให้ทัศนียภาพที่มองอยู่ถูกบดบัง หญิงสาวเบนสายตาไปยังแผนผังบอกเส้นทางที่ประดับอยู่บนผนังด้านบน แสงไฟที่กระพริบบอกทำให้รู้ว่าอีกไม่กี่สถานีเท่านั้นก็จะถึงจุดหมายปลายทาง

    เวลาผ่านไป ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก คนจำนวนมากรีบเดินเบียดเสียดแทรกเข้ามา จากรถไฟซึ่งเคยมีที่นั่งว่างเหลือเฟือ กลับแออัดไปด้วยผู้คนวัยทำงานและเหล่าวัยรุ่น บางคนยืนจับห่วงที่โอนเอนไปมา บางคนจับไม่ถึงก็เกาะเสาเหล็กสีเงินแวววับแทน ส่วนบางคนที่โชคดีเข้ามาก่อนได้นั่งอย่างสบาย

    ชาคริยาจับกระเป๋าของตนขยับมาไว้ที่ตักเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมานั่งข้างๆเธอ ผมย้อมสีขาวเหลือบเงินของเขาเป็นที่สะดุดตาของคนทั้งรถไฟฟ้า รวมถึงชุดเสื้อคลุมหนังสีดำและกางเกงสีดำของเขาที่ดูเหมือนกับชุดคลอสเพลย์ที่ตัดกันทำให้โดดเด่นขึ้นมาทันใด

    “ขอโทษครับ...ตรงนี้มีที่คนนั่งรึเปล่าครับ” เขาถามสุภาพ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนด้วยคอนแทกเลนส์มองมายังร่างบางตรงหน้า

    “ไม่มี” ชาคริยาเอ่ยเสียงเรียบ พลางเบนสายตาไปยังด้านข้างแทน

    ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้ามานั่ง มือหนาหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่านอย่างสบายใจ

     

    “สถานีต่อไปช่องนนทรี...Next station Chong Nonsi

    ชาคริยาเตรียมตัว เธอรอให้รถไฟฟ้าจอดเทียบสถานีเรียบร้อย ประตูรถไฟฟ้าเปิดผางอีกครั้งก่อนร่างระหงจะก้าวเดินไปตามทางออก แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดกึกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครตามมา...

    เสียงก้าวหนักๆหยุดลง ดวงหน้าขาวของหญิงสาวหันไปประจันกับชายแปลกหน้าเมื่อครู่ เขาเดินตามเธอมา หรือว่าเธอคิดไปเอง

    ชายหนุ่มผมสีแปลกประหลาดยืนยิ้ม มือหนายกขึ้นโบกไปมา

    “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้ตามคุณมา...ผมแค่บังเอิญไปทางนี้เหมือนกัน”

    ชาคริยาหันกลับ ความจริงเธอก็แค่ระวังตัวก็เท่านั้น ร่างบางลงบันไดอย่างระวังแล้วมุ่งหน้าเดินเลียบไปตามฟุตบาตตรงไปยังสำนักงานสามชั้นที่อยู่เลยไปอีกสองหัวมุม

     

    “กรุ๊งกริ๊ง”   

    เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่หน้าประตูดังขึ้น มือเรียวออกแรงผลักบานประตูกระจกสีชาออกโดยที่ไม่ได้สนใจป้ายสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งผนึกอยู่เหนือทางเข้า ‘Tour Travel’ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ร่างสูงก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

    “คุณ...”

    “นึกว่าจะมาเร็วกว่านี้” เขาเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟัง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของธุรกิจนำเที่ยวในชุดสูทสีดำยามนี้ดูภูมิฐาน

    “ฉันเพิ่งตัดสินใจ” เธอตอบตามความจริง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปยังบุรุษเบื้องหน้า

    เขาจ้องเธอตอบ “อืม...เข้ามาสิ” พูดเสียงเรียบ พลางถอดเสื้อนอกออกเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดประดับด้วยเนคไทสีดำสนิท เขาเดินนำเธอขึ้นไปยังชั้นสองผ่านโต๊ะทำงานหลายตัวซึ่งถูกกั้นด้วยฉากขนาดใหญ่ทำเป็นห้องเทียม แต่ที่น่าแปลกกลับไม่มีคนทำงานอยู่เลยซักคน

    “ทำไมวันนี้ไม่มีคนทำงาน?” ชาคริยาถามขณะเดินขึ้นบันได

    “ฉันสั่งปิดออฟฟิศเอง...วันนี้จะนัดคุย” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระและไม่ห่วงงาน

    ถึงขั้นปิดออฟฟิศ เพียงเพราะนัดคุยกับเธออย่างนั้นเหรอ? หรือว่ามีคนอื่นอีก?...

    “นัดคุย? มีคนอื่นอีกรึเปล่า?”

    “เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง”

                ธนันพูดโดยไม่หันมามอง ใบหน้าหล่อคมของเขานิ่งจนแทบจะเป็นบุคลิกเย็นชา สองขาวยาวๆก้าวถึงชั้นสอง มือแกร่งเลื่อนเปิดบานประตูอย่างรวดเร็ว

               

                “อ้าว! มาแล้วเหรอไอ้ไทม์” เสียงทักอย่างคุ้นเคยดังมาจาก เกียรติภูมิ วาริพัตไพบูรณ์ หรือ บอสตำรวจหนุ่มร่างสูงหุ่นนักกีฬาที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้เบาะสีเทา เขามีผมทรงสั้นสีดำสนิท ผิวขาวค่อนข้างคล่ำแดด บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มร่าเริง ข้างๆกันนั้นมีโต๊ะไม้เนื้อดีซึ่งมีเอกสารมากมายถูกจัดอย่างเป็นระเบียบวางอยู่

                “ไปประชุมมาเรียบร้อยดีสินะ”

    อนาคิน ศศิวัฒนา หรือ เพ้นท์ ช่างภาพอิสระเอ่ย เขาเป็นหนุ่มหน้าหวาน เรือนผมสีน้ำตาลสว่างซอยรากไทร นัยน์ตากลมโตสีดำสนิทรักสนุก รอยยิ้มบนริมฝีปากดูขี้เล่น

    “อืม...ก็ดี” ว่าพลางโยนเสื้อสูทสีดำราคาแพงลงโซฟาหนังที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน

    “แล้วนั่น....” เกียรติภูมิหันความสนใจมาที่หญิงสาวที่ยังคงยืนเงียบอยู่หน้าประตูห้อง

    “ออ...ฉันขอให้มาช่วยเองแหละ นั่งสิ” ธนันจัดการดึงเก้าอี้อีกตัวเลื่อนส่งให้หญิงสาวแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา โน้มตัวลง มือทั้งสองประสานกันระหว่างขา โดยมีเพื่อนคู่หูปาท่องโก๋นั่งอยู่ข้างๆ

    ชาคริยานั่งลงอย่างสุขุม ท่ามกลางสายตาของชายหนุ่มทั้งสาม ความรู้สึกอึดอัดของคนที่เป็นผู้หญิงคนเดียวเริ่มเกิดขึ้น

    แต่ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร บานประตูกระจกสีชาก็ถูกเลื่อนเปิดออก พร้อมๆกับร่างของทนายหนุ่มผมสีเงินโดดเด่นก็เดินเข้ามา สร้างความแปลกใจให้กับชาคริยาไม่น้อย

     

    “สวัสดีทุกคน!

    “นึกว่าจะไม่มาซะแล้วนะ ไอ้อิช” เกียรติภูมิแขวะ แต่ดูเหมือนคนที่พึ่งเข้ามาจะไม่ใส่ใจ

    “ฉันแวะซื้อขนมมาฝากทุกคนด้วย” อิชลาน วัตสัน วิทยาสกุลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ยกมือที่ถือห่อขนมพะรุงพะรังขึ้นโชว์

    “คุณ...” เสียงหวานเรียกให้อิชลานหันไปสังเกต

    “อ้าว! คุณที่เจอบนรถไฟฟ้านี่ สวัสดีครับ” ริมฝีปากหนายิ้มอบอุ่น ชายหนุ่มวางกล่องขนมที่ถืออยู่แล้วนั่งลงข้างๆกับอนาคิน

    “เธอคนนี้จะมาช่วยเราตามหาวิญญาณของทรายแก้ว” ธนันเอ่ยเสียงเรียบ

    “แสดงว่าเธอก็มีสัมผัสพิเศษเหมือนไอ้ไทม์งั้นเหรอ!?!” เกียรติภูมิโพล่งออกมาอย่างตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง

    “ใช่” ชาคริยาพยักหน้าน้อยๆ

    “หยึย~ ขนลุกเลยแฮะ” ตำรวจหนุ่มทำท่ากอดอกเอามือจับลูบแขนตัวเองอย่างขนลุกขนพอง

    “นั่นสิ ไม่คิดว่าจะมีคนแปลกเหมือนไอ้ไทม์ได้เลยนะ ฮะฮะ” คราวนี้เป็นช่างภาพหนุ่ม เขาหัวเราะแหย่เล่น น้ำเสียงติดตลก

    “แล้ว...เธอชื่ออะไร?” ตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก เขาก็ไม่เคยทำความรู้จักเธอเลย

    “ชาคริยา เหมอัมภร”

    “ชื่อเล่นล่ะ”                                                   

    “เอม”

    “ทำงานอะไร”

    “เภสัช...เจ้าของร้านขายยา”

     

    สามหนุ่มฟังการสนทนาของทั้งคู่ไปพลางยิ้มไป บางทีก็หันไปกระซิบกระซาบกันทำทีเป็นไม่ให้เพื่อนชายของตนรู้

    “นินทาอะไรกัน?” เจ้าของธุรกิจทัวร์ถาม คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน

    “ฮะๆ พวกเราก็แค่คิดว่านายสองคนน่ะเหมือนกันชะมัดเลยน่ะ” เกียรติภูมิไม่วายหัวเราะต่อ ทำเอาคนถูกนินทาสงสัย

    “เหมือนตรงไหน?” ทั้งสองพูดพร้อมกันจนแทบจะประสานเสียง ยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานมีน้ำหนักขึ้นไปใหญ่

    “ก็ทั้งวิธีการพูด นิสัยต่างๆ ท่าทาง แล้วก็การมีพลังเหมือนกันไงล่ะ” อิชลานอธิบาย

    “พวกนายรู้มั้ยว่าเมื่อกี๊น่ะ พวกนายเหมือนกำลังสอบปากคำหรือไม่ก็กำลังสัมภาษณ์รับสมัครงานกันอยู่เลย ฮะฮะ” อนาคินหัวเราะ ดวงตาสีดำสนิทหยีจนเกือบเป็นเส้นตรง

    สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากัน นัยน์ตาสีน้ำตาลของหญิงสาวสบกับนัยน์ตาสีดำนิ่ง ชายหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว และขึ้นสีแดงเรื่ออย่างไม่เคยเป็น ธนันรีบพูดเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนก่อนเพื่อนตัวดีทั้งหลายจะสังเกตเห็น

    “ช่างฉันเถอะ...พวกนายรีบแนะนำตัวเร็วๆดีกว่า”

    “จริงสินะ...ผมเกียรติภูมิ วาริพัตไพบูรณ์ เรียกสั้นๆว่าบอสก็ได้ครับ ผมเป็นตำรวจ”พูดพลางทำทีจะเดินเข้ามาใกล้ แต่ก็โดนเสียงเข้มอันดุดันของธนันขัดเข้าเสียก่อน

    “ไม่ต้องเดินมาหรอก เสียเวลา”

    “แหม...คุณธนัน ทำอย่างกับเป็นเจ้าของเธอซะอย่างงั้น” เพื่อนหนุ่มได้ทีแหย่เล่น อย่างที่มักจะทำเป็นประจำ

    “ผมเพ้นท์ อนาคิน ศศิวัฒนาครับ เป็นช่างภาพอิสระ...ว่างๆก็เชิญมาที่ห้องแกลลอรี่ผมก็ได้นะครับ” หนุ่มหน้าหวานคลี่ยิ้ม

    “ส่วนผม อิชลาน วัตสัน วิทยาสกุลครับ เรียกอิชลานก็ได้...เป็นทนายความ” คนสุดท้ายพูดจบ ธนันก็เปิดประเด็นขึ้น

    “รู้จักกันหมดแล้วสินะ...ฉันจะพูดถึงเรื่องรายละเอียดให้เธอฟัง”

    หญิงสาวพยักหน้ารับ

    “คนที่จะให้เธอช่วยตามหามีชื่อว่า ทรายแก้วหรือ ธนัชพร ตอนนี้เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เพราะวิญญาณหลุดจากร่าง”

    ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเนิบนาบราวกับเป็นผู้ประกาศข่าว ใบหน้าหล่อคมของเขามีร่องรอยแห่งความเศร้ายามเมื่อต้องพูดถึงชื่อของผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงคนที่เขารักมากที่สุดรองลงมาจากแม่ก็ไม่ปาน

    “แล้ว...จะให้ฉันช่วยยังไง?” ชาคริยาถามหลังจากเงียบมานาน

    “จากที่ฟังมา...เธอเป็นเภสัชที่ทำงานอยู่ที่ร้านยาของตัวเองสินะ” เขาเอ่ย มือหนาจับคางเรียวได้รูป

    “ใช่”

    “เพราะฉะนั้น...เธอก็สามารถออกไปไหนมาไหนกับฉัน โดยที่ไม่มีปัญหาเรื่องงานล่ะสินะ”

    อะไรกัน...ผู้ชายคนนี้ อยู่ดีๆก็มาบอกให้คนอื่นเลิกทำงานที่ร้านยา แล้วให้ไปไหนมาไหนกับตัวเอง!?!

    “นี่คุณ! แล้วร้านยาของฉันล่ะ!” ชาคริยาเริ่มขึ้น ปกติเธอเป็นคนโกรธยาก ผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกที่ดูเหมือนจะ ยั่ว ให้เธออารมณ์ขึ้นได้ขนาดนี้

    “ก็ไปหาใครมาทำแทนสิ...แค่หยิบยาไม่จำเป็นต้องให้เภสัชหยิบให้อย่างเดียวไม่ใช่หรือไง” ธนันพูดแบบไม่ใส่ใจ แต่ในทางตรงกันข้ามหญิงสาวกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นจอมเผด็จการฮิตเลอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่

    ชาคริยานั่งนิ่ง เรียกว่าเธอรู้สึกโกรธได้อย่างเต็มปาก มือเรียวของหญิงสาวกำแน่น หลังจากได้ยินคำพูดไร้สาระจากปากของผู้ชายคนนี้

    “คุณมันจอมเผด็จการ...” ในที่สุด หญิงสาวก็เลือกที่จะพูดความในใจของตนให้เขาได้รับรู้

    “หืม? ว่าไงนะ?”

    “คุณคิดว่าการที่คนมาซื้อยารักษา จะมาซื้อกับใครก็ได้อย่างงั้นเหรอ...” ชาคริยาเว้นช่วง เธอจ้องหน้าเขาเขม็ง “คุณคิดว่าชีวิตคนไม่สำคัญสินะ ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา!

    เป็นครั้งแรกที่ชาคริยาโพล่งออกไปเสียงดังต่อหน้าคนอื่น ที่ผ่านมาเธอได้แต่เก็บอารมณ์ความรู้สึกมาตลอด แต่พอได้มาเจอเขา...ได้เจอกับธนัน กิตไพศาลกุล เขื่อนที่กั้นความรู้สึกก็ดูเหมือนจะพังลง...

    เฉพาะกับเขา!

    หญิงสาวรีบพาตัวเองออกจากสำนักงานให้เร็วที่สุด เธอเรียกแท็กซี่สีเหลืองเขียวคันหนึ่งแล้วตรงกลับบ้านในทันที โดยไม่ฟังเสียงเรียกโหวกเหวกของเหล่าชายหนุ่มที่ตามมา

     

    “เฮ่ย! ขึ้นแท็กซี่ไปไหนแล้ว!?!

    เกียรติภูมิหอบฮัก หลังจากวิ่งจากชั้นสองลงมาตามเธอ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...

    “จะให้ตามไปมั้ย?” อิชลานถาม  นัยน์ตาสีอ่อนมองไปที่เพื่อนของตนอย่างเห็นใจ

    “ไม่ต้องหรอก...” ธนันเอ่ยเสียงเบาราวกับจะกลืนไปกับเสียงรถยนต์ที่แล่นผ่าน เขาหยุดยืนมองตามรถแท็กซี่คันสีเหลืองเขียวที่พึ่งจะออกไปเมื่อครู่ ในใจนึกทบทวนถึงสิ่งที่หญิงสาวได้พูดมา

     

     

    ชีวิตคนน่ะสำคัญสิ...เพราะถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่ออกตามหาวิญญาณเพื่อช่วยชีวิตคนหรอกนะ....

     

    ------100%-----

     

                cinna mon

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×