ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านลอร์ดเจ้าเกษตรกร

    ลำดับตอนที่ #5 : ช่วยเหลือเยียวยา จบ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 67


     

    บรอม หากเจ้านั่นจัดการฆ่าชาวบ้านจนหมดสิ้นก็แล้วไปเถอะ กิลเลียนไม่รู้สึกเสียดายหรือเจ็บปวดหากจะต้องมีผู้บริสุทธิ์ต้องตาย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายขี้เรี่ยราดไม่จัดการให้เรียบร้อย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของกิลเลียนที่ต้องคอยมาตามล้างตามเช็ด

    กิลเลียนมีสีหน้าปั้นยาก อดรู้สึกขัดแย้งในใจขึ้นมาไม่ได้

    ว่ากันตามตรง กิลเลียน เบลมอร์ กับตัวเขาในปัจจุบันแม้จะมีร่างกายเดียวกัน แต่ก็นับว่าเป็นคนละคน หากเป็นไปได้กิลเลียนก็ไม่ต้องการแตะต้องชาวบ้านพวกนี้ด้วยซ้ำ เพราะทราบเป็นอย่างดีว่าหากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อไหร่ คนพวกนี้จะนำความยุ่งยากมาให้

    แต่ปัญหาคือ นอกจากร่างกายแล้ว เขาดันได้รับอิทธิพลไม่ว่าด้านความคิด จิตใจ ความชอบ ความเกลียดชัง หรือกระทั่งความทรงจำมาด้วยนี่สิ...

    มิฉะนั้นปัจจุบันเขาก็คงไม่ต้องรู้สึกหนักใจถึงขนาดนี้

    ลึก ๆ ในใจของกิลเลียนตระหนักได้เป็นอย่างดี เขายอมรับไม่ได้ที่จะได้เห็นชาวบ้านพวกนี้เจริญรุ่งเรือง มีชีวิตปกติสุข ครอบครัวอบอุ่น ส่วนตัวเขากลับต้องตกต่ำผันตัวกลายไปโจร บิดามารดาตายไปจนหมดสิ้น ครอบครัวที่เคยมีความสุขต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ

    ไม่ว่าอย่างเขาก็ยอมรับไม่ได้

    ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ควรจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย!

    กิลเลียนกัดฟันกรอด บัดซบ!

    อดีตของเจ้าเด็กนี่ เกี่ยวข้องห่าเหวอะไรกับเขาด้วย? ถือดีอะไรที่เขาจะต้องมาสนใจ?

    อาศัยร่างของอีกฝ่ายจึงต้องตอบแทนล้างแค้นให้?

    ถุ้ย! มารดามันเถอะ บิดาไม่ใช่คนดีและก็ไม่ได้มีเวลามายุ่งเรื่องชาวบ้านมากมายขนาดนั้น ใครเกลียดใคร ใครอยากฆ่าใคร คนไหนสมควรตาย เขาไม่มีความสนใจเลยสักนิด

    น่าเสียดาย แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาไม่ชอบความรู้สึกติดค้างภายในใจเลยจริง ๆ

    "เอาเถอะ ถือว่านาน ๆ ทีทำบุญเอาก็แล้วกัน" กิลเลียนพึมพำ

    ด้วยเหตุนี้กิลเลียนจึงเลือกพบกันครึ่งทาง ใช้วิธียุ่งยากและนานกว่า แต่ผลเสียน้อยที่สุด เขาตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการคนที่มีส่วนที่อยู่เบื้องหลังในการขับไล่ตระกูลเบลมอร์ โดยจำกัดความเสียหาย ไม่จัดการฆ่าชาวบ้านทั้งหมดในคราวเดียว ค่อย ๆ สืบเรื่องราวและสังหารเฉพาะผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

    เมื่อคิดถึงจุดนี้กิลเลียนรู้สึกสบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง

    ความรู้สึกยุ่งยากเช่นนี้ เขาหวังว่าตนจะสามารถสะสางได้อย่างรวดเร็ว

    "วิลเฮม"

    "อยู่นี่แล้วนายท่าน" ชายชราผมหยักศกสีดอกเลายาวถึงแผ่นหลัง ตาเข ขากระเผลก ไหล่และใบหน้าบิดเบี้ยวไม่สมมาตร ชายชราที่ดูไม่สมประกอบผู้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบรรยากาศอึมครึมและกลิ่นยาสมุนไพรฉุนกึก บนบ่าสะพายกระเป๋าล่วมยา

    เมื่อเห็นกิลเลียน ชายชราโค้งคำนับให้เด็กหนุ่มอย่างนอบน้อมไม่ถือความเป็นผู้อาวุโสแม้แต่น้อย

    ทันทีที่วิลเฮมปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบเป็นป่าช้า

    ในใจกิลเลียนรู้สึกซับซ้อน ทว่าภายนอกกลับทำเป็นไม่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย เพียงเอ่ยตามตรง "หลังจากนี้ให้เรียกข้าว่านายน้อยก็พอ ข้าต้องการให้เจ้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น ไปดูแลรักษาเท่าที่จะทำได้"

    "ทราบแล้วนายน้อย" วิลเฮมยิ้มอย่างเป็นมิตร ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับดูบิดเบี้ยวน่าขนลุก ชายชราโค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนจะขอตัวไปทำหน้าที่ของตน

    นอกจากมาร์คัส วิลเฮมเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีภูมิหลังลึกลับที่สุด เมื่อกิลเลียนวางแผนจะปักหลักที่เดล วิลเฮมคนนี้ถึงกับเป็นผู้เสนอตัวเป็นคนแรก

    กิลเลียนในตอนนั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธได้ เนื่องจากมีคนไม่เพียงพอ

    ชายชราที่แม้แต่มาร์คัสก็ยังต้องปฏิบัติตัวด้วยอย่างท่าทีระมัดระวัง จุดประสงค์ไม่ทราบแน่ชัด แถมยังเป็นมิตรนอบน้อมต่อเขาถึงเพียงนี้ แม้แต่กิลเลียนที่เป็นคนหน้าด้านไร้ยางอายก็ยังรู้สึกวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

    เมื่อวิลเฮมเดินขากะเผลกจากไป คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นจึงค่อย ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอกกันอย่างพร้อมเพรียง

    "เอ็ดริค"

    "ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดงั้นรึ?"

    กิลเลียนมองหน้าเด็กหนุ่มที่มีอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ในหมู่คนที่เขาเรียกร้องมาเป็นการเฉพาะ เอ็ดริคนับว่าเป็นคนที่เขาสนิทสนมคุ้นเคยมากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกิลเลียนคือคนสอนการทำบัญชีให้กับเขา

    "เนื่องจากข้าไม่มีคนให้ใช้สอยมากนัก และเจ้าก็เป็นคนเดียวที่รู้วิธีการทำบัญชี ในเมื่อไม่มีทางเลือก หลังจากนี้ก็ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านพวกนี้ในด้านอาหารตามที่เจ้าเห็นว่าสมควร หากไม่รู้ขอบเขตก็จงลองไปขอคำปรึกษาจาก คริฟตันและวิลเฮมซะ"

    เด็กหนุ่มพยักหน้า

    "เวสลีย์"

    "ข้าอยู่นี่"

    เด็กหนุ่มผมทองปรากฏขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง เวสลีย์เป็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของมาร์คัส เป็นผู้ติดตามตั้งแต่ 5 ปีก่อน และเป็นคนที่พบกิลเลียนในกรงขังทาส เรียกมาร์คัสให้มาดู ว่ากันตามตรง คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางกิลเลียนมากที่สุดนอกจากมาร์คัส ก็คงเป็นคนผู้นี้

    ดังนั้นไม่แปลกที่เวสลีย์จะระแวงกิลเลียนถึงเพียงนี้

    ในสายตาของเวสลีย์ กิลเลียนที่ภายนอกดูไร้พิษภัยไม่ต่างตัวอันตรายอย่างวิลเฮมเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

    กิลเลียนลูบปลายคาง มาร์คัสส่งเวสลีย์มา เหมือนว่าจะต้องการหยั่งเชิงบางอย่าง?

    "คอยช่วยเหลือประสานงานกับวิลเฮมและเอ็ดริค"

    "ได้เลย" กล่าวจบเวสลีย์ก็รีบไปทำหน้าที่ของตัวเองทันที ราวกับว่าหากอยู่ใกล้กิลเลียนอีกเพียงวินาทีเดียว ก็จะติดโรคห่าไปด้วย

    กิลเลียนย่อมไม่สนใจว่าจะมีคนมองตัวเองอย่างไร

    เพียงเท่านี้หมู่บ้านแห่งนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

    "ทำลายและช่วยเหลือ ข้าไม่ยักรู้เลยว่าท่านเองก็ต้องการจะเป็นวีรบุรุษ(Hero) ด้วยเหมือนกัน" เมื่อคอนราดเอ่ยถึงคำว่าวีรบุรุษ น้ำเสียงแฝงความประชดประชันอย่างชัดเจน

    คอนราดที่นิ่งเงียบถูกผู้คนเมินเฉยมาตลอดย่อมไม่พลาดโอกาสเย้ยหยันเจ้าคนหน้าไหว้หลังหลอกผู้นี้สักคำสองคำ

    กิลเลียนผู้มีจิตใจกว้างขวางดั่งผืนฟ้าและมหาสมุทรย่อมไม่นำพา มิหนำซ้ำท่าทีของเขายังคล้ายกับได้รับคำชมด้วยซ้ำ

    กิลเลียนมือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้า ทอดถอนใจหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยว ท่าทีประหนึ่งยอดฝีมือไร้พ่าย "ข้ามีมาดวีรบุรุษถึงขนาดนั้นเชียว?"

    คอนราดไม่เคยพบใครที่หน้าด้านไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

    ชายหนุ่มผมขาวอ้าปากผงาบ ทว่าก็ไม่อาจสรรหาคำพูดมาด่าทอเจ้าหน้าด้านผู้นี้ จึงได้แต่สะบัดชายเสื้อย่ำเท้าจากไปอย่างคับแค้นใจ

    "ยังอ่อนหัดนักที่คิดจะมาปะทะฝีปากกับข้า" กิลเลียนเบะปากทอแววเหยียดหยาม

    ---

    เช้าวันรุ่งขึ้น จึงให้ชาวบ้านสักคนไปแจ้ง 'เซอร์ ฮาเมล ดูวัล' อัศวินที่ได้รับหน้าที่ดูแลหมู่บ้านเดล แม้เหตุการณ์จะสงบลงแล้ว แต่คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักหากไม่แจ้งให้อีกฝ่ายรับรู้

    อีกหนึ่งเหตุผลนอกจากอยากจะทำตามกฏเกณฑ์เพื่อดูท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว กิลเลียนก็อยากจะเห็นหน้าหนึ่งในตัวตั้งตัวตีในการปลุกระดมชาวบ้านขับไล่ตระกูลเบลมอร์

    เจ้านั่นเคยเป็นเพียงแค่ยามเฝ้าประตูหมู่บ้านเท่านั้น บัดนี้ถึงกับเป็นอัศวินแล้ว เขาไม่ยักรู้เลยว่าตระกูลเบลมอร์จะมีค่าถึงขนาดนี้ ถึงกับเปลี่ยนยามธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็นอัศวินได้?

    ทว่าท่าทีของอีกฝ่ายช่างชวนรู้สึกผิดหวังนัก วันถัดมาอีกครั้ง ฮาเมลเพียงส่งผู้ส่งสารมาแสดงความขอบคุณเท่านั้น เรียกได้ว่าไม่เห็นหัวชาวบ้านพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีการปลอบขวัญ หมู่บ้านเดลจะเกิดอะไรขึ้น อัศวินผู้นั้นถึงกับไม่แยแสเลยสักนิด

    กิลเลียนกัดฟันกรอดรับจดหมายมาด้วยความเกลียดชัง เขาอุตส่าห์ฆ่าพวกโจรให้ ช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ใต้ปกครองของมันไม่น้อย ทว่ารางวัลเงินสักสลึงก็ยังไม่มี ไอชั่วนี่สมควรตายนัก!

    เขาสาบานว่าจะฆ่ามันให้จงได้!

    แต่ที่คาดไม่ถึงเลย แทนที่จะได้พบกับฮาเมล กิลเลียนกลับได้รับคำเชิญไปงานเลี้ยงแสดงคำความขอบคุณของ 'บารอน เคนดริก อาแดร์' บารอนแห่งพาร์ธีอาร์ ในแง่หนึ่งชายผู้นี้คือหัวหน้าของฮาเมลและ กูลอน เบลมอร์ หรือก็คือบิดาของเขานั่นเอง

    เนื่องจากความทรงจำของกิลเลียน เบลมอร์มีขีดจำกัด จึงไม่ทราบว่าเคนดริกคนนี้มีความเกี่ยวข้องในการขับไล่ตระกูลเบลมอร์หรือไม่ กิลเลียนไม่มีความรีบร้อนในการพบกับอีกฝ่าย จึงเพียงให้คริฟตันเป็นตัวแทนปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม โดยอ้างว่าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับพวกโจร นอกเหนือจากนี้ยังมอบของขวัญทักทาย และให้คริฟตันช่วยทำธุระบางอย่างให้

    ซึ่งท่าทีของอีกฝ่ายกระตือรือร้นและช่วยอำนวยความสะดวกให้ธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว จนแม้แต่กิลเลียนก็ยังประหลาดใจ

    โดยธุระนั่นก็คือซื้อบ้านและที่ดิน

    จะมีเหตุการณ์อะไรเหมาะสมไปกว่าการซื้อบ้านและที่ดินหลังจากถูกโจรปล้นมากัน?

    ชาวบ้านที่มีฐานะดีหน่อย เมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยก็จะรีบขายบ้านและที่ดินที่อยู่หมู่บ้านเดลเพื่อที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่าเช่น เมืองพาร์ธีอาร์ ส่วนทรัพย์สินของผู้ตายและไม่มีผู้สืบทอด หากมีเจ้าหนี้ ก็เป็นเจ้าหนี้ของอีกฝ่ายทำการขายทรัพย์สินทีอยู่ภายใต้การค้ำประกัน โดยมีผู้ช่วยของบารอน เคนดริก มีหน้าที่เป็นคนกลาง

    เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่เศรษฐกิจใหญ่โตเท่ากับพาร์ธีอาร์ ที่ดินของหมู่บ้านเดลที่เพิ่งมีข่าวถูกโจรปล้น จึงถูกขายในราคาถูกแสนถูก

    กิลเลียนถือโอกาสนี้ในการกว้านซื้อที่ดินจำนวนมากเป็นของตน

    เพียงการกระทำอย่างนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เขารู้สึกว่า 3 ปีที่เสียไปไม่สูญเปล่า

    เมืองพาร์ธีอาร์คือเมืองที่กำเนิดขึ้นมาจากซากปรักหักพังของป้อมปราการโบราณ เจ้าเมืองรุ่นแรกที่มีส่วนอย่างมากในการก่อตั้งก็มีพื้นเพมาจากชนชั้นพ่อค้า นโยบายดึงดูดการลงทุน ย่อมเปิดกว้างมากกว่าเมืองที่ปกครองโดยอาศัยชนชั้นศักดินาเข้มเข้นอย่าง อาร์กอน ราวฟ้ากับเหว

    หากกิลเลียนต้องการซื้อบ้านและที่ดินในที่อื่นอย่าง อาร์กอน คงไม่มีทางราบรื่นเช่นนี้แน่

    ทว่าเมืองพาร์ธีอาร์ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของทางภาคเหนือ แทบอยากจะโบกมือเรียกพ่อค้าจำนวนมากเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อลงทุนกันอย่างไม่หวาดไม่ไหวแล้ว

    นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่กิลเลียนเลือกที่จะมาปักหลักที่พาร์ธีอาร์ แทนที่จะเป็นอาร์กอน จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เรืองรองมากที่สุดบนมหาทวีปผืนนี้

    ----

    เพื่อปักหลักที่หมู่บ้านเดลให้จงได้ ที่ผ่านมากิลเลียนจึงยุ่งไม่น้อย เดินทางมานานถึงหมู่บ้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้พักสักนิดเดียว

    กฏเหล็กสำคัญในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ห้ามละเมิดและถือเป็นขั้นตอนแรก นั่นคือลงพื้นที่สำรวจและรวบรวมข้อมูล แม้หมู่บ้านเดลจะไม่ใช่ทำเลเศรษฐกิจ ทว่าจะทำการใหญ่ได้หรือไม่ ล้วนไม่อาจมองข้ามเรื่องข้อมูลและรายละเอียดปลีกย่อย

    ดังนั้นนอกจากการดำเนินเรื่องย้ายสํามะโนครัว ขึ้นทะเบียนเป็นพลเมืองของนครพาร์ธีอาร์อย่างถูกกฏหมาย หลายวันที่ผ่านมากิลเลียนจึงวิ่งวุ่นไปสำรวจพื้นที่ที่ต้องการซื้อมาเป็นของตัวเอง จนมาถึงสถานที่สุดท้าย

    บ้านของตระกูลเบลมอร์...

    กิลเลียนมองซากปรักหักพัง ซึ่งต่างจากซากปรักหักพังที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานในหมู่บ้านเดล ซากปรักหักพังของบ้านตระกูลเบลมอร์เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว สังเกตุได้จากการมีวัชพืชจำนวนมากเข้าปกคลุม

    ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่เขาต้องการซื้อมากที่สุดกลับดันมีราคาถูกที่สุดเสียอย่างนั้น

    "พื้นที่ขนาดใหญ่ถึงขนาดนี้ ทำไมถึงมีราคาถูกที่สุดกันล่ะ?" กิลเลียนถามเอ็ดริคที่มีสีหน้าหม่นหมองราวกับพ่อแม่เพิ่งถูกฆ่าตาย

    เอ็ดริคที่มองตัวเลขในบัญชีค่อย ๆ ร่อยหรออย่างรวดเร็ว ข่มกลั้นความรู้สึกอยากจะบีบคอไอเวรตรงหน้าที่ใช้จ่ายเงินทองราวกับผลิตเองได้ ตอบอย่างใจเย็น

    "จากข้อมูลที่รวบรวมมา เจ้าของคนก่อนของบ้านหลังนี้เพราะเกี่ยวข้องกับมนต์ดำ หมู่บ้านเดลปกติก็ใช่ว่าจะมีผู้ต้องการอาศัยจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้จากเดิมที่ที่ดินของหมู่บ้านเดลก็ไม่ได้มากมายอะไรอยู่ เมื่อรวมกับข่าวการถูกโจรปล้นและข่าวการเกี่ยวข้องกับมนต์ดำ ทำให้บ้านหลังนี้แต่เดิมถูกอยู่แล้ว ก็ยิ่งถูกราวกับให้ฟรี"

    กิลเลียนพยักหน้า เหตุผลถือว่ายอมรับได้ ในยุคของเขาที่เทคโนโลยีก้าวหน้าถึงขีดสุด แต่ทว่าแค่รู้ว่าห้องเช่านี้เคยมีคนตาย ก็ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เจ้าของจึงจำต้องยอมลดราคาค่าเช่าอย่างไม่เต็มใจ

    นี่คงเป็นเหตุผลเดียวกันกระมั้ง?

    ในเมื่อที่ดินผืนถูกราวกับให้ฟรีกิลเลียนจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจาก

    "ซื้อ!"

    "ต...แต่เงินพวกเราเหลือไม่มากแล้วนะ!"

    "หุบปาก! บิดาบอกว่าซื้อ ก็ซื้อสิฟระ!"

    "อย่าลืมนะว่าต้องเหลือเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย พวกเราไม่มีรายได้ คนพวกนั้นที่ท่านนำมาด้วย ท่านรู้หรือไม่ค่าใช้จ่ายแต่ละวันของพวกเขาเท่าไหร่ ค่าอาหาร น้ำดื่ม ไหนจะเงินที่ท่านเพิ่งช่วยชาวบ้านพวกนั้นอีก! คริฟตัน วิลเฮม เวสลีย์ ท่านกะไม่เหลือไว้ให้จ่ายเงินค่าจ้างของพวกเขาเลยงั้นหรือ?" สีหน้าเอ็ดริคราวกับใกล้จะร้องไห้

    กิลเลียนถลึงตามอง "บิดาซื้อที่ดินหนึ่งที่ เจ้าก็พูดเช่นนี้ตลอด"

    ก็เพราะตังมันจะหมดแล้วไงเล่า!!! แกหาเงินมาชดเชยได้ไหมล่ะ!!!

    เอ็ดริคก่นด่าสาปแช่งในใจ

    ในเมื่อเขาไม่ทางเลือก เอ็ดริคจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย หวังว่าจะหยุดความคิดของไอเวรนี่ที่จ้องแต่จะล้างผลาญ

    เอ็ดริคปั้นสีหน้าเป็นปกติ กระแอมกลั้วลำคอ ก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น "อันที่จริง ที่ดินผืนนี้ที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่มีคนต้องการซื้อ ชาวบ้านเคยล่ำลือกันว่าคนตระกูลเบลมอร์อาจซ่อนสมบัติในซากของบ้านหลังนี้เอาไว้ไม่น้อย ทว่าเมื่อมีคนที่กำลังซื้อที่ดินผืนนี้ ก็พบว่าคนผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป เป็นตายอย่างไร้สาเหตุ หรือต่อให้ซื้อมาได้ก็ต้องมีเหตุผลมากมายต้องขายไปอย่างรวดเร็ว คาดว่าเป็นเพราะคำสาปที่เกี่ยวข้องกับมนต์ดำอะไรเทือกนั้น"

    กล่าวจบเอ็ดริคลอบสังเกตุสีหน้าของกิลเลียน พบว่าอีกฝ่ายเพียงมองมาพร้อมมุมปากแสยะยิ้ม จึงทราบในทันทีว่าไม้ตายของตนเองไม่ได้ผล

    "บิดาปล้นฆ่าผู้คนมามาก เรื่องแค่นี้คิดว่าข้ากลัวงั้นเรอะ?"

    "ปกติท่านก็แค่ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวเองไม่ใช่รึไง ปล้นฆ่าอะไรเคยมีที่ไหน" เอ็ดริคบ่นงึมงำ

    "หุบปาก! ไปจัดการได้แล้ว!"

    ด้วยเหตุนี้เอ็ดริคจึงได้แต่ไปจัดการซื้อที่ดินด้วยท่าทางเซื่องซึมซังกะตาย

    กิลเลียนส่ายหัว ดูเหมือนว่าเขาจะสอนหมอนี่มาดีเกินไปสักหน่อย ถึงกับปีกกล้าขาแข็งกับเขาเสียแล้ว

    คำสาป? มนต์ดำ? เขาไม่เชื่อเรื่องพรรคนี้แม้แต่สักนิดเดียว ในความทรงจำของกิลเลียน ตระกูลเบลมอร์มีห้องลับใต้ดินที่ถูกซ่อนไว้อยู่ ซึ่งเป็นกูลอนเองที่เป็นคนพากิลเลียนที่ยังตัวเล็ก ๆ เข้าไป

    เขาเชื่อว่าข่าวลือของมนต์ดำที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติที่ตระกูลเบลมอร์ ย่อมไม่ได้เกิดจากตัวทรัพย์สมบัติ แต่เกิดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการขับไล่ตระกูลเบลมอร์ ที่ต้องการทรัพย์สมบัติเหล่านั้นต่างหาก

    กูลอน บิดาในความทรงจำของเขาเป็นเพียงชายวัย 20 ต้น ๆ เก็บตัว ร่างกายผอมบางท่าทางอ่อนแอแต่กลับดูเป็นมิตร สวมกรอบแว่นหนาเตอะ พูดน้อย แทนที่จะบอกว่าเป็นผู้ใช้มนต์ดำ เรียกว่าเป็นพวกนักวิชาการทรงคุณวุฒิที่ดูเป็นพวกมีความรู้หรือพวกเนิร์ดคงจะเหมาะสมเสียมากกว่า

    ตอนที่เขาลองเข้าไปสำรวจในห้องลับใต้ดิน แม้ความทรงจำจะเลือนลางไปมาก แต่รู้ว่าข้างในนั้นก็มีเพียงหนังสือจำนวนมากเท่านั้น

    กิลเลียนลูบปลายคาง เขาอยากจะรู้เสียจริงว่า หากเขาซื้อที่ดินผืนนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ จะมีอะไรเกิดขึ้น จะมีคนมาฆ่าเขาหรือไม่?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×