ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านลอร์ดเจ้าเกษตรกร

    ลำดับตอนที่ #2 : กลับบ้าน 2

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 67


     

    "ท่านปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้หรือ ง่าย ๆ เช่นนี้? อีกอย่างแล้ว ‘บรอม’ คนที่ท่านนำไปปล้นหมู่บ้านล่ะ?" เฮเดนผู้ติดตามของมาร์คัส เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

    "บรอม? อ้อเจ้านั่นน่ะหรือ ป่านนี้คงกำลังรูดทรัพย์อยู่กระมั้ง? ช่างมันเถอะพวกเรากลับภูเขาดีกว่า" มาร์คัสผู้มีท่วงท่าปลอดโปร่งร่างกายโยกคลอนไปมาระหว่างขี่ม้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ

    "ท่านปล่อยพวกเขาไปทั้งอย่างนี้หรือ! ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาบรอมเริ่มแข็งข้อต่อท่าน หากพวกเขาถูกจับไป ที่ตั้งค่ายของพวกเรามีหวังถูกเปิดเผยแน่!" สีหน้าเฮเดนตื่นตระหนก

    มาร์คัสโบกมือ ใบหน้าผ่อนคลาย ไม่มีความตื่นตระหนกเลยสักนิด เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย "อย่าตื่นตูมไป ไม่ต้องกังวล เจ้าพวกนั้นไม่มีทางบอกที่ตั้งของพวกเราหรอก"

    "หมายความว่าไง" เฮเดนขมวดคิ้ว

    มาร์คัสผู้มีท่วงท่าสบาย ๆ กลับเผยสีหน้าโหดเหี้ยมเป็นครั้งแรก "บรอมมีใจทะเยอทะยาน ทว่าความสามารถกลับน่าสงสาร ระหว่างที่อยู่กับพวกเราก็ลอบติดต่อกับบุคคลภายนอก เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เตรียมจะขายกองโจรของข้าแลกกับตำแหน่งอัศวินของพวกพาร์เทียร์ ภายนอกยอมสยบภายในกลับต่อต้าน ทว่ามันกลับวางตัวเป็นอย่างดีไม่เคยละเมิดกฏของพวกเราอย่างโจ่งแจ้งแม้แต่ครั้งเดียว ข้าไม่สะดวกจัดการมันอย่างเปิดเผย จนใจเพราะว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ อีกทั้งยังต้องคำนึงจิตใจของกลุ่มคนที่ตามข้ามา"

    เฮเดนไม่ใช่คนโง่เขลาที่ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น เขาย่อมคาดเดาได้แล้วว่ามาร์คัสกำลังยืมมือคนอื่นจัดการบรอม แต่ว่าเป็นใครกันล่ะ?

    เขาลอบกลืนน้ำลาย ในใจลังเลเล็กน้อย เฮเดนรู้ว่าไม่ควร แต่อดทนไม่ไหวจนเผลอถามออกไป "เช่นนั้นอย่าบอกนะว่าเป็นเจ้าเด็กนั่น?"

    หากคนในอาชาสีชาตรู้ว่ามาร์คัสสังหารพวกพ้องกันเองโดยปราศจากหลักฐาน มีหวังกองโจรบังเกิดความระส่ำระส่ายแน่

    มาร์คัสเหลือบมองเฮเดนด้วยแววตาเย็นชา

    ชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลพลันสะดุ้งเฮือก มีแต่คนใกล้ตัวมาร์คัสเท่านั้นที่จะรู้ว่าภายนอกที่เป็นมิตรและใจกว้าง จะรู้ว่าคนผู้นี้โหดเหี้ยมเลือดเย็นสักแค่ไหน ขณะจะเอ่ยขออภัย มาร์คัสกลับเผยรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา

    "ไม่ต้องกลัวไป ไม่ถือว่าเป็นความลับอันใดมากมาย ในเมื่อข้าให้เจ้าติดตามข้ามา นั่นย่อมหมายความว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ได้ไม่เป็นไร เจ้าเด็กขี้เกียจนั่น เกินครึ่งคงไม่มีทางลงมือด้วยตัวเองอย่างเด็ดขาด อันที่จริงแม้แต่ข้าก็ยังไม่มั่นใจในฝีมือของเขาเท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่ลงมือปล้น กิลเลียนเป็นคนที่มีผลงานน้อยที่สุด ทั้งยังแทบไม่มีความโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย"

    เฮเดนผู้กำลังใจเต้นระส่ำย่อมไม่ทันได้สังเกตุคำพูดผิดปกติของมาร์คัส เขาพยักหน้า ในฐานะเป็นคนที่ 'คนผู้นั้น' ส่งมาช่วยประสานงานกับมาร์คัสในภายหลัง จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างกองโจรในช่วงแรก ทว่าก็ติดตามมาร์คัสเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว คำพูดมาร์คัสย่อมตรงต่อความเข้าใจของเฮเดนที่มีต่อกิลเลียน

    เขาย่อมไม่คาดหวังว่าเด็กอายุ 12 ปีจะมีความสามารถอะไรได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะตัวสูงใหญ่กว่าเด็กทั่วไปก็เถอะ แต่ส่วนใหญ่แทนที่จะออกปล้น เฮเดนบ่อยครั้งเห็นกิลเลียนทำงานจิปาถะใช้ชีวิตเกียจคร้านอยู่ในค่ายโจรมากกว่า ตามความเข้าใจของเฮเดน คนที่จะจัดการบรอม คงไม่หนีพ้นกลุ่มคนที่เขาคุ้มกันตลอดทางที่ผ่านมา

    ในหมู่คนที่โดดเด่นที่สุดที่เขามองออก ก็คงไม่พ้นชายผมขาว

    "เจ้าควินทาร์คนนั้น?"

    "ถูกต้อง" มาร์คัสพยักหน้า

    เฮเดนเผยใบหน้าเคลือบแคลงสงสัย "ต่อให้เป็นควินทาร์ผู้เป็นนักรบโดยกำเนิดคนนั้น รวมถึงทหารฝีมือดีอีกราว 30 คน ก็ไม่มีทางจัดการกองโจรที่ฝึกฝนและมีวินัยอย่างดีกว่า 80 คน ได้แน่ ต่อให้เก่งสักแค่ไหน แต่จำนวนห่างชั้นมากเกินไป"

    มาร์คัสถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง "นี่คือความร้ายกาจของเจ้าเด็กนั่น เจ้าไม่เชื่อหรือว่ากิลเลียนจะจัดการกับบรอมได้?"

    ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลส่ายหัวไม่เห็นด้วย "ข้ายอมเชื่อว่ากิลเลียนร่วมมือกับบรอมจัดการท่าน ขายพวกเราให้พวกพาร์เทียร์ ยังคงเป็นไปได้มากกว่า"

    มาร์คัสสั่นศีรษะแผ่วเบา ไม่ได้เอ่ยคำดูแคลนเฮเดนที่มีสายตาแคบสั้น อันที่จริงหากเขาเป็นอีกฝ่ายเขาก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน

    "ท่านไม่เห็นด้วย?"

    ชายวัยกลางคนอธิบายอย่างใจเย็น "ความคิดของเจ้าเกิดขึ้นเพราะมองอย่างผิวเผิน ไม่เห็นเบื้องลึกมากเพียงพอ ในมุมมองทั่วไปที่เจ้าเข้าใจย่อมไม่ผิด เพียงแต่ปัญหาคือ เจ้าควินทาร์คนดันมีปัญหา"

    การจะปกครองกองโจรได้ นอกจากความโหดเหี้ยมเลือดเย็นแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความแข็งแกร่งส่วนบุคคล

    มาร์คัสปัจจุบันอายุ 46 ปี อยู่ระดับที่ 5 ในหมู่ผู้ใช้มานา ผู้ซึ่งสามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตของบานประตูของตนเอง

    อายุแค่ 46 ปี ทั้งยังอยู่ระดับที่ 5 ในหมู่ผู้ใช้มานา นับได้ว่าจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์

    แต่ทว่าเขากลับไม่สามารถมองเห็นขอบเขตของเจ้าควินทาร์คนนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นั่นหมายความว่าอย่างน้อยเจ้าควินทาร์คนนั้นก็ต้องอยู่ระดับผู้ใช้มานาเช่นเดียวกับเขาเป็นอย่างน้อย

    แต่เรื่องนี้กลับผิดปกติ

    ควินทาร์นั้นเป็นนักรบโดยกำเนิด เรื่องนี้ไม่ผิด เนื่องจากสามารถสัมผัสพลังเวทย์ได้นับตั้งแต่ลืมตามองดูโลก ต่างจากมนุษย์ที่มีบางส่วนเท่านั้นที่มีความสามารถนี้ แม้มาร์คัสจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะเทียบเคียงได้กับคนกลุ่มนั้น คนที่สามารถรับรู้มานาได้โดยกำเนิด ในความคิดมาร์คัส พวกนั้นจัดอยู่ในกลุ่มคนที่อยู่นอกเหนือผู้มีพรสวรรค์ไปแล้ว เป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกับความเป็นเทพมากที่สุด นับเป็นเรื่องมงคลที่นาน ๆ ทีจะเกิด

    แต่ควินทาร์ที่ทุกคนสามารถใช้เวทย์มนต์ได้ กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อพวกเขายิ่งมีขอบเขตสูงมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ อายุขัยของพวกเขาก็จะยิ่งลดทอนลงเป็นเงาตามตัว

    ระดับ 9 จะมีอายุขัยอยู่ที่เฉลี่ย 30 ปี มีส่วนน้อยที่จะอายุถึง 40 ปี ถือเป็นชาวควินทาร์ที่พบได้โดยทั่วไป มีความแข็งแกร่งเหนือกว่า 9 ทั่วไปมาก ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้สบาย

    ระดับ 8 จะมีอายุขัยสูงสุดอยู่ที่ 25 ปี เป็นชาวควินทาร์ที่พบเห็นได้ยากมากขึ้น ไม่ได้เห็นทุกวัน แต่ก็ยังพบเห็นอยู่บ่อยครั้ง

    ระดับ 7 จะมีอายุขัยสูงสุดอยู่ที่ 20 ปี เป็นชาวควินทาร์ที่ชีวิตหากโชคดีนึงอาจได้พบเห็นแค่ครั้งเดียว เพราะคนพวกนี้เฉิดฉายและเสียชีวิตรวดเร็วเกินไป

    ระดับ 6 ถือว่าเป็นตำนานแม้แต่ในหมู่ของชาวควินทาร์ ในเอกสารลับที่มาร์คัสเคยอ่าน อีกฝ่ายมีอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น โดยบันทึกเล่าว่าอีกฝ่ายก้าวสู่ระดับ 6 เป็นระยะเวลา 1 วันก่อนที่ร่างกายจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ก่อนตายยังลากคนไปตายด้วยกว่านับหมื่นคน เรื่องนี้สร้างความปั่นป่วนสั่นสะท้านให้แก่มาร์คัสอย่างมาก

    ส่วนเจ้าคอนราดคนนั้นมีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะมีระดับ 5 ซึ่งหากเป็นไปตามเกณฑ์อายุขัยของชาวควินทาร์ เจ้านั่นควรตายตั้งแต่อายุ 10 ขวบแล้ว ไม่มีทางเอ้อระเหยลอยชายอยู่แถวนี้แน่ ๆ แต่ปัญหาอยู่ที่เจ้านั่นดันมีชีวิตอยู่นี่สิ!

    มาร์คัสแนะนำกิลเลียนอย่างหวังดีเป็นเรื่องจริง มาร์คัสไม่ต้องการใช้งานคอนราดก็นับว่าเป็นเรื่องจริงแท้เหมือนกัน

    เนื่องจากเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะสามารถควบคุมคอนราดได้ อีกฝ่ายเองก็แทบไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง และไม่รู้ว่าจะเบิดเมื่อไหร่ อาจเป็นวันพรุ่งนี้? มะรืนนี้? หรืออาจเป็นสัปดาห์หน้า?

    ต่อให้เขาเป็นโจร ทั้งยังมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองไม่น้อย ทว่ามาร์คัสก็ยังไม่มีความกล้ามากถึงขนาดนั้น

    ขณะกำลังจะอธิบายต่อ มาร์คัสลังเลเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ "ลืมไปเถอะเจ้าไม่ควรรู้เรื่องนี้ เรื่องราวในวันนี้เกี่ยวควินทาร์คนนั้นก็ลืมมันไปซะ ห้ามพูด และไม่ต้องรายงานใครทั้งนั้น เก็บไว้ในใจจนวันตาย"

    หากควินทาร์คนนั้นตาย มาร์คัสอาจลังเลอยู่บ้างหากจะเปิดเผยข้อมูลออกไป แต่ถ้าไม่ตายล่ะ? ในเมื่ออีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ทั้งที่ควรตายไปเป็น 10 ปีแล้ว ไม่แน่ว่าควินทาร์คนนั้นอาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้ ถึงตอนนั้นหากเขาถูกคิดบัญชีภายหลังเนื่องจากเปิดเผยข้อมูลอีกฝ่ายล่ะ? สร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น ถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี

    ด้วยเหตุนี้ปิดเรื่องเงียบนับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด เขายังมีลางสังหรณ์อีกว่า ควินทาร์คนนั้นเหมือนจะไม่มีทางตายง่าย ๆ อย่างแน่นอน

    เฮเดนที่ได้ฟังเผยสีหน้าตกตะลึง ในใจตระหนักได้ว่าเรื่องนี้เหมือนจะมีความเป็นมาไม่ธรรมดาเสียแล้ว คำถามมากมายที่ยังค้างคาเอาไว้เขาพลันเก็บลงท้องไปในทันที ไม่กล้าสืบสาวเรื่องราวต่ออีก

    "ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าควินทาร์คนนั้นไม่ปกติ...?" มาร์คัสบ่นงึมงำ เขามีระดับ 5 จึงพอทราบเบาะแสบ้าง แต่เจ้ากิลเลียนนั่น เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นแค่คนธรรมดา แม้แต่ผู้ใช้มานาระดับ 9 ก็ยังไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

    เอ่ยถึงเรื่องนี้ มาร์คัสพลันไพล่ไปนึกเรื่องราวที่เขาพบกับกิลเลียนเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นกองโจรของเขายังมีคนแค่ไม่กี่คนเอง

    วันนั้นเขาจำได้ว่าตัวเองกำลังจะไปปล้นคาราวานสินค้า หนึ่งในนั้นขนทาสที่กระทำความผิดร้ายแรงอยู่

    หลังสังหารผู้คุ้มกัน เตรียมขนย้ายทรัพย์สินมีค่า ในตอนนั้นลูกน้องคนสนิทของเขาเรียกไปจัดการกลุ่มของพวกทาสด้วยใบหน้าซีดขาว มาร์คัสที่ตอนนั้นหงุดหงิดที่ลูกน้องไม่ได้ความ กะอีเรื่องแค่นี้ที่พวกเขาทำมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังเรียกเขาไปจัดการเรื่องเล็กน้อยอีกหรือ

    ทว่าเมื่อเดินไปถึงตรงกรงขัง เขากลับพบกับภาพอันน่าสยดสยองชวนคลื่นเหียน

    เขาเคยเห็นภาพโหดร้ายมามาก เหตุการณ์คลื่นไส้ชวนแหวะก็พบมาไม่น้อย ทว่ากลับไม่เคยเห็นเด็กอายุ 9 ขวบ สังหารทาสคนอื่น ๆ ในกรงขังจนชิ้นส่วนศีรษะแขนขาเครื่องในกระจัดกระจายมาก่อน

    นั่นมันเกิดบ้าอะไรขึ้น? เขาคิดในใจ

    ณ เวลานั้นคล้ายว่าจะคาดเดาความคิดมาร์คัสออก กิลเลียนในตอนนั้นอธิบายด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน

    "คนพวกนั้นไม่ได้ล็อคกุญแจมือพวกของทาสเอาไว้ คาดว่าอีกฝ่ายเหมือนต้องการที่จะจัดการข้า คงคิดว่าหากข้ารอดไปพวกนั้นก็คงไม่วางใจ เรื่องดีก็คือพวกเขาก็ไม่ล็อคกุญแจมือข้าเหมือนกัน คงเพราะคิดว่าข้าเป็นเด็กสินะ อืม...ไม่แปลก" กิลเลียนถอนหายใจ ก่อนพึมพำเสียงแผ่วเบา ทว่ามาร์คัสก็ยังได้ยิน

    "หากพวกมันไม่คิดหยามข้าโดยการคิดข่มขืนข้า ข้าก็คงให้พวกมันตายอย่างสบาย แต่ทำไงได้ อุตสาห์เตือนไปแล้วก็ไม่ฟัง แถมยังมาหัวเราะเยาะอีก อันที่จริงข้าเองก็คงตลกเหมือนกันที่มีเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำมันมาพูดจาใหญ่โตแบบนั้น"

    ดวงตาเรียบเฉยของกิลเลียนพลันมองเข้ามาในดวงตาของมาร์คัสอย่างไม่หวั่นเกรง

    มาร์คัสที่ในตอนนั้นที่เป็นถึงผู้ใช้มานาระดับ 5 แล้ว ทว่าก็ยังอดสั่นสะท้านขึ้นมาในใจไม่ได้

    "ในเมื่อท่านเป็นโจร ข้าเองก็ไม่มีที่ไป ข้าจะยอมติดตามท่านไปเป็นโจรก็ได้" กล่าวจบคล้ายว่าคำพูดฟังดูไม่เหมาะสม กิลเลียนขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง

    "เอาใหม่ เมื่อกี้คำพูดฟังดูจองหองอวดดีไปหน่อย ท่านไม่ต้องรีบตกลงก็ได้ ลองฟังข้อเสนอดูก่อนก็ได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าจะช่วยท่านสร้างกองโจรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเป็นไง? อืม...ยังฟังอวดดีเหมือนเดิม ช่างมันเถอะตามนั้นแล้วกัน ถ้าไม่ไม่ได้ข้าค่อยไปเร่ร่อนเอาก็ได้..."

    ในตอนนั้นมาร์คัสจำได้ว่าตนเองตอบกลับว่า 'อา' ด้วยใบหน้าสับสนหัวสมองว่างเปล่า

    คิดถึงเรื่องนี้เจ้าควินทาร์คนนั้นที่ว่าไม่ปกติแล้ว เจ้าเด็กนั่นกลับยิ่งผิดปกติยิ่งกว่า

    ตอนเขาอายุ 9 ขวบ ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหน ก็ยังเล่นสนุกตามประสาเด็กทั่วไปอยู่เลย จะมีเด็กเวรที่ไหนฆ่าคนด้วยท่าทีเรียบเฉยกัน? เหตุการณ์ในครั้งทำให้มาร์คัสมั่นใจว่ากิลเลียนจะต้องไม่มีทางเป็นคนธรรมดา แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ เขาสามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าเป็นเพียงสามัญชนทั่วไปเท่านั้น ทว่าเด็กทั่วไปจะทำแบบนั้นได้หรือ?

    จนถึงตอนนี้มาร์คัสก็ยังไม่กล้าวู่วามลงมือกับอีกฝ่าย อย่างมากก็แค่หยั่งเชิงโดยการให้เข้าร่วมกองโจรไปออกปล้น ทว่าผลลัพธ์กลับชวนน่าผิดหวังนัก เพราะว่าไม่สามารถหาข้อมูลสำคัญอันใดเพิ่มเติมได้เลย กิลเลียนกลับมาพร้อมกับอาการบัดเจ็บเหมือน 'คนธรรมดา'

    ขณะเดินกลับค่ายโจร มาร์คัสสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว แม้ครั้งนี้จะถือว่าเป็นการแยกทางกันอย่างสันติ ทว่าเขาสังหรณ์ใจว่าจะได้พบอีกฝ่ายอีกครั้งในไม่นานต่อจากนี้....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×