ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านลอร์ดเจ้าเกษตรกร

    ลำดับตอนที่ #1 : กลับบ้าน 1

    • อัปเดตล่าสุด 21 ส.ค. 67


     

    นับตั้งแต่จำความได้ มนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์ ไวรัสกลายพันธุ์ ทั้ง 3 เผ่าพันธุ์ ก็ต่อสู้เข่นฆ่ากันอย่างยาวนานกว่า 500 ปีแล้ว

    ปัญญาประดิษฐ์ครอบครองอาวุธและวิทยาการล้ำหน้า ไวรัสกลายพันธุ์ครอบครองพลังงานที่เรียกว่า 'มานา' ส่วนมนุษย์ที่ครอบครองทั้งสองอย่าง ทว่ากลับตกเป็นรองทุกทาง

    ทั้ง 3 เผ่าพันธุ์เข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีหนทางให้ถอย ไม่มีการเจรปรองดองอีกต่อไป ผู้พ่ายแพ้ย่อมหลีกหนีไม่พ้นการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์

    ท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งยุคสมัยที่กำลังโหมซัดกระหน่ำ ทหารรับจ้างผู้หนึ่งที่มีความสามารถโดดเด่น แต่กลับไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อยในห้วงของสถานการณ์ใหญ่ นอนหายใจรวยรินตรึกตรองถึงช่วงเวลาชีวิตอันแสนไร้ค่าที่ผ่านมา

    นี่คือจุดจบคนทรยศที่เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันเช่นเขางั้นหรือ?

    ชายหนุ่มคนนั้นครุ่นคิดกับตนเองภายในใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสึกเสียดาย

    จากนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็พลันดับวูบลง

    ต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหน แต่กำลังของคนผู้หนึ่งก็ย่อมมีขีดจำกัด บุคคลเพียงลำพังไม่อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ บนโลกใบนี้ทั้งสิ้น

    แต่จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?


    การเป็นทหารรับจ้างไม่ใช่งานที่เขาชื่นชอบมากนัก ไม่ใกล้เคียงกับงานในฝันเลยด้วยซ้ำ รับจ้างฆ่าคน แค่ฟังดูก็ไม่น่าเป็นมงคลแล้ว ทว่าการที่เขายอมสังหารผู้คนมาเป็นเวลาครึ่งค่อนชีวิต อันที่จริงเหตุผลก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก

    ก็แค่งานนี้มันดันเงินดีซะงั้น

    ถึงเขาจะไม่ใช่คนมีวิถีชีวิตฟุ่มเฟือยหรูหรา แถมยังประหยัดมัธยัสถ์จนเกือบเรียกได้ว่าตระหนี่ แต่ตัวเขาที่เกิดมาท่ามกลางไฟสงคราม ตอนเป็นเด็กต้องดิ้นรนลักเล็กขโมย เอาชีวิตรอดจากย่านสลัมอันเสื่อมโทรม ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่า ระหว่างมีเงินกับไม่มี ต่างกันราวฟ้ากับเหว

    เพราะเหตุนี้ต่อให้ไม่ได้ใช้เงินเหล่านั้นสักแดงเดียว ทว่าการได้กอดเงินเป็นฟ่อน ๆ นอนหลับ แค่นี้กลับทำให้เขาพอใจมากแล้ว

    "สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ใช้เงินสักเครดิตเดียว รู้งี้ก่อนตายฉันน่าจะถลุงเล่นเสียก่อน" กิลเลียนถอนหายใจด้วยความเสียดาย

    3 ปีผ่านไปหลังจากการตื่นขึ้น

    ณ หมู่บ้านเดล ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้คน เบื้องหน้าของเขาคือหมู่บ้านที่กำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิง ปรากฏชายฉกรรจ์ท่าโหดเหี้ยมจำนวนมาก ไล่สังหารปล้นชิงชาวบ้านอย่างไร้ความปราณี

    บนเนินเขาขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน มีดวงตาอันเฉยชามองนรกบนดินด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

    "นี่สินะที่เขาเรียกว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก"

    ต่อให้ถูกฆ่าตาย แล้วทะลุมิติมีชีวิตอีกครั้งมาเป็นตัวละครในนิยายที่เคยอ่าน ภายนอกเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน ทว่าสันดานเนื้อใน เขาก็ยังเป็นคนชั่วที่สามารถฆ่าคนไม่กระพริบตานับตั้งแต่จำความได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

    3 ปีก่อน หลังจากถูกสังหาร เขาตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตนเองอยู่ในกรงขัง กำลังถูกส่งไปขายในตลาดทาส เพื่อปลดแอกตนเองให้เป็นอิสระ เขาฆ่าคนไปจำนวนหนึ่ง ทว่าเพราะจนกำลัง แม้ตัวเขาจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่อีกฝ่ายกลับมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า ทว่าขณะคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้ว มาร์คัส หัวหน้ากองโจรกลับเห็นในตัวเขาเสียอย่างนั้น

    ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ติดสอยกลายเป็นโจรไปอย่างไม่มีทางเลือกมากนัก

    เบื้องหน้าของเขาคือหมู่บ้าน 'เดล' หมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การปกครองของนคร ‘พาร์ธีอา’ ที่กำลังถูก 'อาชาสีชาต' กองโจรที่มีชื่อเสียงที่อยู่ในดินแดนของ 'เทสซาเรีย'

    ข้างกายของกิลเลียนพลันปรากฏชายร่างสูงใหญ่กำยำก้าวย่างเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเหี้ยมโหดเต็มไปด้วยหนวดเคราและบาดแผล เขาชี้ไปทางหมู่บ้านแห่งนั้นที่เปลวเพลิงกำลังลุกโชน เอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

    "หากจำไม่ผิด นั่นคือหมู่บ้านของเจ้าไม่ใช่หรือ"

    "ก็ไม่เชิง"

    "ก็ไม่เชิง? หมายความว่าอย่างไร"

    กิลเลียนกลอกตา ไม่แยแสฐานะของอีกฝ่ายผู้ซึ่งเป็นถึงหัวหน้ากองโจรเลยแม้แต่น้อย

    กิลเลียนกำลังยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับมาร์คัส หัวหน้ากองโจรผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในภูมิภาค 'เทสซาเรีย' แห่งนี้

    108 กองโจร 12 ขุนพลผู้ใต้บังคับบัญชา โจรบนหลังม้าที่ความสามารถ ระเบียบวินัยยอดเยี่ยมไม่ด้อยไปกว่าทหารของจักรวรรดิอาร์กอนจำนวน 1421 คนล้วนอยู่ภายใต้คำบัญชาของมาร์คัส

    กิลเลียนอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น

    "เดลคือบ้านเกิดของข้า บิดาของข้าคือหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อน ดังนั้นเดลถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านของข้า ทรัพย์สินที่ตระกูล 'เบลมอร์' บุกเบิกขึ้นมานับตั้งแต่บรรพบุรุษ นับตั้งแต่ที่แห่งนี้ยังเป็นป่าเขากันดาน หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นบิดาของข้าถูกใส่ความว่าเกี่ยวข้องกับมนต์ดำ ญาติพี่น้องผู้ใหญ่ถูกประหารสิ้นทั้งตระกูล อายุน้อยหน่อยเช่นข้าก็ถูกขายไปเป็นทาส ดังนั้นที่บอกว่าไม่เชิงก็เพราะว่า ตอนนี้หมู่บ้านเดลไม่ใช่ของตระกูลเบลมอร์อีกต่อไป"

    "เช่นนั้นหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือสาเหตุที่เจ้าถูกจับไปเป็นทาส?"

    "ถูกต้อง"

    "แค่ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอแล้ว ทำไมต้องพูดอะไรให้มันเข้าใจยากด้วย" มาร์คัสบ่นงึมงำ

    กิลเลียนเงียบคร้านจะสนใจท่าทีของอีกฝ่าย

    เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัด มาร์คัสกระแอมเล็กน้อย เหลือบมองกิลเลียน เห็นใบหน้าไร้อารมณ์ตามปกติก็อดถามขึ้นมาไม่ได้

    "เจ้าดูเหมือนจะไม่เสียใจหรือรู้สึกอะไรอย่างอื่นเลย?"

    แม้กิลเลียนจะทำหน้าเบื่อโลกเป็นปกติ ทว่าประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การตายของครอบครัวของตน อย่างน้อยก็ควรแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา หรือรู้สีกปลดปล่อยเมื่อต้นเหตุของครอบครัวต้องถูกสังหารโดนทำลาย

    ทว่ากิลเลียนกลับสงบจนแม้แต่มาร์คัสยังรู้สึกอึดอัดแทน

    มาร์คัสคิดว่าหากเขาไปอยู่ในสถานการณ์ของอีกฝ่าย คงทำใจให้สงบนิ่งเหมือนกิลเลียนไม่ได้แน่

    ก็เพราะว่าพวกนั้นไม่ใช่พ่อแม่ของเขาไง...

    กิลเลียนคิดในใจ

    แน่นอนว่าย่อมไม่เอ่ยคำพูดเนรคุณไร้น้ำใจออกไป ต่อให้ดินแดนที่เขากำลังอาศัยอยู่ในปัจจุบันจะมีภาพสะท้อนราวกับหลุดออกมาจากยุโรปยุคกลาง สถาบันครอบครัวยืดหยุ่นแยกตัวเป็นอิสระออกจากครอบครัวหรือตระกูลใหญ่ ตรงกันข้ามกับแนวคิดทางฝั่งตะวันออก ซึ่งมักมีความเหนียวแน่นและเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้ง 

    ทว่าพวกเนรคุณทรยศหักหลัง ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี

    อันที่จริง ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีที่ยืนสำหรับคนพวกนี้

    แต่คนที่แม้แต่เผ่าพันธุ์ของตนเอง กิลเลียนก็ยังเคยทรยศ การหักหลังผู้อื่นคล้ายว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาไปแล้ว?

    "ข้าย่อมกำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่"

    มาร์คัสมองสีหน้าไร้อารมณ์ของกิลเลียน มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ!

    แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่กิลเลียนเมื่อเห็นใบหน้าของมาร์คัส ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการเอ่ยสิ่งใด

    "หรือท่านต้องการเห็นข้านอนดิ้นร้องไห้ฟูมฟาย หรือไม่ก็คุกเข่าปราบปลื้มยินดีน้ำหูน้ำตาไหลที่อีกฝ่ายพินาศไปเสียที"

    มาร์คัสกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน

    "ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้...."

    กิลเลียนถอนหายใจ

    "เอาเถอะ ตามข้อตกลงของพวกเรา ข้ายอมติดตามท่านมา 3 ปี ช่วยท่านรวบรวม 108 กองโจร สร้างอาชาสีชาต นับได้ว่าลงแรงไปไม่น้อย สิ่งที่ท่านควรได้ข้าก็มอบให้ไปแล้ว ครานี้ถึงคราวของท่านที่จะต้องมอบสิ่งที่ข้าควรได้ ตามที่ตกลงกันเอาไว้ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งพร้อมกับทองคำ 1 แสนพาร์"

    เขาหยุดไปเล็กน้อยพลางลูบปลายคาง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มครุมเครือ

    "แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องมอบให้ก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้ว่าอะไร อืม...ถึงตอนนั้นข้าเองก็คงไม่มีปัญญาไปเอาเรื่องกับท่านอยู่ดี"

    คำขอของกิลเลียน มาร์คัสไม่กล้าบิดพริ้ว เขาพลันโบกมือ

    ทันใดนั้นสุดสายตาไกลออกไปนอกหมู่บ้าน เบื้องหลังของมาร์คัสก็ปรากฏกองคาราวาน คนจำนวน 20 - 30 คน กำลังขี่ม้าที่กำลังลากเกวียนที่บรรจุด้วยทรัพย์สินของกิลเลียน นำโดย คอนราด ชายหนุ่มผมสีขาวตาสีแดง ร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาคมคาย

    ด้วยรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะเคยพบเห็นมาบ่อยครั้ง ทว่าทุกครั้งมาร์คัสก็ยังรู้สึกประหลาดใจทุกครั้ง

    ชาว'ควินทาร์'

    นักรบโดยกำเนิด นักรบคลั่งนับว่าเป็นชื่อเสียงที่ควบคู่มาพร้อมกับชาวควินทาร์

    "คำขอเล็กน้อยแค่นี้ของเจ้า หากแม้แต่ข้ายังทำให้ไม่ได้ เช่นนั้นอย่าว่าแต่เป็นหัวหน้ากองโจรของอาชาสีชาตเลย แม้แต่เป็นคนก็ยังไม่คู่ควร"

    "ขอบคุณท่านมาก ส่วนคำพูดใหญ่โตพรรคนั้นท่านเก็บไว้ แค่ฟังก็รู้สึกขนลุกแล้ว" เขายิ้มเอ่ยหยอกล้อ

    "เจ้าเด็กไร้ความอภิรมย์" มาร์คัสยิ้มแห้ง เขาตบบ่ากิลเลียนก่อนจะโน้มน้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    "เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการคนพวกนี้ หากเจ้าต้องการคนมีฝีมือ ความจริงแล้วข้าสามารถหาคนแทนที่ได้ไม่น้อย ถึงอย่างไรพวกควินทาร์ต่อให้เก่งสักแค่ไหน พวกมันก็ยังมีข้อเสียร้ายแรงอยู่"

    ข้อเสียนั้นก็คืออายุขัย

    กิลเลียนต้องการนับรบมีฝีมือ สำหรับมาร์คัสแล้วเขาไม่แปลกใจ ใครล่ะที่ไม่ต้องการข้ารับใช้เก่งกาจต่อสู้เป็นบ้าง? ทว่าชาวควินทาร์แม้จะเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงมากน้อยสักแค่ไหน แต่อีกฝ่ายกลับมีข้อเสียร้ายแรงมากที่สุด นั่นก็คืออายุขัยสูงสุดของพวกเขาส่วนใหญ่มีแค่ 30 ปี น้อยนักที่จะมีอายุถึง 40 ปี

    เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านธรรมดาจะตายก่อนวัยอันควร ทว่าอายุขัยเฉลี่ยของพวกเขาก็เฉลี่ยยังมากถึง 30 - 40 ปี หากปราศจากตัวเลขนี้ ชาวบ้านสักคนจะมีอายุขัยมากถึง 50 - 70 ปี ก็ยังได้ ยิ่งหากเป็นผู้ใช้มานา การที่มีอายุนับร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

    ทว่าชาวควินทาร์ที่เป็นผู้ใช้มานาโดยกำเนิด ส่วนใหญ่กลับมีอายุขัยสูงสุดแค่ 30 ปีเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องราวลึกลับในกลุ่มผู้ใช้มานา

    "ดูหน้าของเจ้านั่นสิ ผิวซีดไร้เลือดฝาดอมโรคไม่พอ ยังมีเส้นเลือดฝอยสีดำผุดเต็มใบหน้าไปหมด แค่หายใจก็ยังรู้สึกทรมานแล้ว อีกทั้งเขายังอายุ 20 ปีแล้ว อย่างต่ำอาจอยู่ได้อีกราว ๆ 2 - 3 ปี หากโชคดีหน่อยก็จะมีชีวิตอยู่อีก 6 ปี ต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหน แต่สามารถใช้งานได้แค่นี้จะไปมีประโยชน์อะไร? เชื่อข้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะ ข้าสามารถมอบผู้ใช้มานาให้เจ้าได้ 50 คน เป็นอย่างไร?" มาร์คัสกล่าวอย่างจริงใจ

    คำพูดของมาร์คัสย่อมไม่มีสิ่งแปลกปลอมและไม่มีสิ่งใดแอบแฝง หรือกระทั่งอยากเก็บคอนราดไว้ใช้งานเอง กิลเลียนย่อมมีสติปัญญาเพียงพอที่จะแยกแยะได้ อีกฝ่ายเรียกได้ว่าจริงใจจนไม่อาจจริงใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

    ทว่าเขาเองก็มีแผนการอยู่ในใจเหมือนกัน

    มาร์คัสคิดเช่นนั้นไม่ถือว่าผิด

    ถ้าหากกิลเลียนไม่ได้เคยอ่าน 'ดินแดนพระเจ้าทอดทิ้ง' เขาก็คงมีความคิดคล้ายกัน

    มีแต่กิลเลียนผู้เคยอ่านนิยายดินแดนพระเจ้าทอดทิ้ง จึงจะมีความคิดแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

    คอนราด ในปัจจุบันอาจเป็นเพียงชาวควินทาร์ที่โดดเด่นในหมู่ชาวควินทาร์ทั่วไป ในสายตาคนนอก

    ทว่าในสายตาของกิลเลียน ผู้ที่เคยอ่านในนิยายดินแดนพระเจ้าทอดทิ้งไปกว่าครึ่ง คอนราด กลับเป็นบุคคลสำคัญ นอกจากจะเป็นเชื้อพระวงศ์ในหมู่ของชาวควินทาร์ที่เชื่อว่าสิ้นตระกูลไปหมดแล้ว เขายังเป็นผู้ปลดปล่อยคำสาปอายุขัยของชาวควินทาร์อีกด้วย ทั้งยังเป็นตัวละครหลักที่ช่วยสร้างกองกำลังพิเศษที่มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากสำหรับพระเอกของเรื่อง

    ถ้าไม่รู้เรื่องราวในนิยายก็แล้วไปเถอะ แต่หากรู้แล้วแต่ยังปล่อยโอกาสในการกระทบไหล่บุคคลสำคัญในอนาคตไปอย่างสูญเปล่า ก็คงโง่เขลาเกินเยียวยาแล้ว

    กิลเลียนย่อมไม่ตั้งความหวังว่าจะรับสมัครคอนราดเป็นพรรคพวกได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญ แต่หากสร้างบุญต่อคอนราด เขาเชื่อว่าแค่นี้ตัวเองยังพอมีปัญญาอยู่

    เขาพบกับคอนราดในตอนออกปล้นถือเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่าการที่คอนราดปรากฏขึ้นในเทสซาเรีย หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเช่นเดียวกัน ตีให้ตายกิลเลียนก็ไม่มีทางเชื่อ เนื่องจากเขาทราบว่าบ้านเกิดของคอนราดอยู่ที่ 'โครินทอส'

    นอกเหนือจากนี้ หากเดาไม่ผิด การที่คอนราดกลายมาเป็นโจรในเทสซาเรีย แถมอยู่ใกล้กับเมืองพาร์ธีอาร์ เกินครึ่งคงเกี่ยวข้องกับนครที่สาปสูญและเป็นที่ตั้งของพระราชวังของพวกควินทาร์

    พาร์ธีอาร์จะกลายเป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญในอนาคต เขาผู้ที่ตื่นขึ้นมาเป็นกิลเลียน ตัวประกอบผู้มีบทบาทเป็นภาชนะเครื่องสังเวย จะต้องฉวยโอกาสนี้เอาชีวิตรอดให้จงได้!

    กองคาราวานที่เดินทางเชื่องช้าราวกับเต่าคลาน คอนราดจึงขี่ม้าแยกตัวออกมาเพียงลำพัง ขณะใกล้เข้ามา แน่นอนว่าย่อมได้ยินวาจาที่อาบไว้ด้วยยาพิษที่กล่าวอย่างเปิดเผยของมาร์คัส แต่ไม่รู้ว่ายอมรับชะตากรรมหรือชินชาต่อคำพูดทำนองนี้ที่ได้ฟังมาทั้งชีวิตแล้วหรือไม่ คอนราดคล้ายไม่ถือสายังคงมีสีหน้าเฉยเมย

    เขายืนประจำที่ห่างจากกิลเลียนไม่ไกล เขาได้รับคำสั่งจากมาร์คัสมาแล้ว จึงเพียงรอคอยคำสั่งของเด็กหนุ่มอย่างเงียบงันเท่านั้น

    "ไม่เป็นไร อย่างไรข้าก็มีทรัพย์สินไม่มาก คนที่เสนอมาระยะสั้นพอว่า แต่ระยะยาวข้าคงมีปัญญาเลี้ยงไม่ไหว ลำพังเลี้ยงคนแค่นี้ข้าก็รู้สึกเจ็บปวดใจแล้ว" กิลเลียนเอ่ยข้ออ้างที่เตรียมตัวมาแล้วกับมาร์คัส

    วาจาที่กิลเลียนกล่าวออกไป เกินครึ่งล้วนเป็นความจริง การที่ครอบครองกองกำลังที่มีเป็นจำนวนมาก ย่อมหมายถึงต้นทุนที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

    ในดินแดนที่ราวกับอยู่ในยุคกลาง นอกเหนือจากความแตกต่างของสิ่งที่เรียกว่า 'มานา' อันที่จริง โลกที่กิลเลียนอาศัยอยู่ในปัจจุบันแทบไม่แตกต่างจากยุคกลางในประวัติศาสตร์ของโลกที่เขาเคยอยู่มากเท่าไหร่นัก

    ยกตัวอย่างที่เหมือนกัน เช่นเมืองส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงทหารจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน ทหารส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์เข้ามายามจำเป็น สิ้นสงครามก็ถูกปลดไปทำไร่ไถนา ทหารอาชีพจึงมีเพียงชนชั้นอัศวิน ในส่วนของทหารรับจ้างก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าทหารได้อย่างเต็มปากนัก น้อยนักที่จะมีทหารรับจ้างที่มีทั้งระเบียบวินัยและความน่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่แท้จริงแล้วก็แค่แหล่งรวมตัวของพวกกเฬวราก ในมุมหนึ่งคนกลุ่มนี้แทบไม่ต่างจากโจรเลยด้วยซ้ำ หากไม่มีสงครามหล่อเลี้ยงพวกเขา คาดว่าชะตากรรมคงไม่ต่างจากมาร์คัส คงไม่พ้นผันตัวเองกลายเป็นโจรปล้นชิงเพื่ออยู่รอด

    ดังนั้นคำพูดของกิลเลียน มาร์คัสในฐานะหัวหน้ากองโจรย่อมเข้าใจแจ่มแจ้งรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ในแง่หนึ่งการที่เขาออกปล้น เหตุผลอย่างหนึ่งก็เพื่อประคับประคองกองโจรที่รวบรวมฝึกฝนมาอย่างยากลำบากแห่งนี้ ไม่ให้สลายหายไปในพริบตา

    เขารู้ว่าเพราะว่าหากหยุดปล้นเมื่อไหร่ กองโจรที่เขาทุ่มเทมาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี คงแตกกระสานซ่านเซ็นภายในพริบตา

    ในแง่หนึ่ง มาร์คัสขึ้นหลังเสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางถอยสำหรับเขาอีกต่อไป

    มาร์คัสฝืนยิ้ม

    "เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็ดีแล้ว เอาเถอะในนามของตรีเทพ ข้าขออวยพรให้เจ้าโชคดี หากว่าเจ้าไม่มีที่ไป จงจำเอาไว้ว่าข้ายินดีต้อนรับเจ้าเสมอ"

    ช่างย้อนแย้งนักที่กลุ่มโจรเข่นฆ่าปล้นชิงผู้คนจะเอ่ยถึงทวยเทพ

    "ขอบคุณท่านมาก แน่นอนว่าหากถึงตอนนั้นจริง ข้าคงไม่เกรงใจท่าน" กิลเลียนเผยรอยยิ้ม

    "ดี!" มาร์คัสหัวเราะก่อนจะเดินจากไปด้วยความปิติยินดี

    มาร์คัสที่กระโดดขึ้นขี่ม้าเตรียมจากไป ระหว่างนั้นสายตาเหลือบไปเห็นผู้ติดตามที่สนิทระดับหนึ่งควบม้าเข้ามา


    ถ้าเจอคำผิด ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป สามารถแจ้งผมได้นะครับ ด่าในคอมเม้นก็ได้ ผมตรวจจนแทบจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำละ :D

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×