ตอนที่ 5 : Lovely you : เธอน่ารัก ตอนห้า
โชรงไม่กลัวหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งความรัก บยอนแบคฮยอนอะไรนั่นไม่ใช่รายแรกที่ชอบชานยอล ตรงกันข้ามก่อนจะมาถึงรายนี้ชานยอลมีทั้งผู้ชายผู้หญิงวนเวียนเข้ามาหาไม่ซ้ำหน้า ทุกคนคอยแต่จะหาโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์และทุกคนก็มีจุดจบเหมือนกันคือท้อจนถอยไปเอง ชานยอลปฏิเสธการคบหาฉันท์ชู้สาวกับหญิงชายทุกผู้ที่เสนอมา มิหนำซ้ำถ้ารู้ว่าใครคิดเกินเลยกว่าเพื่อนแล้วควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ชานยอลจะถอยห่าง จากสุภาพก็กลายเป็นห่างเหินได้ในชั่วข้ามคืน พนักงานสาว ๆ หลายคนลาออกไปเพราะเหตุผลนี้ โชรงฉลาดพอ หล่อนเรียนรู้จากความผิดหวังของรายก่อน ๆ ไม่ผลีผลามแสดงความในใจ หล่อนปฏิบัติกับเขาเหมือนที่ทำกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น อ่อนหวานเท่ากัน มอบน้ำใจให้เท่ากัน ไม่เร่งรัดหรือแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งที่ในใจอยากประกาศให้ทุกคนรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นของหล่อน
โชรงมีความสุขกับการได้พบเขาทุกวัน ได้ทำงานร่วมกัน เดินกลับบ้านด้วยกันในระยะสั้น ๆ หล่อนมีกำลังใจไปขลุกในร้านหนังสืออันแสนน่าเบื่อเพราะที่นั่นมีชานยอลอยู่ และหล่อนก็มั่นใจว่าความใกล้ชิดจะละลายน้ำแข็งในใจผู้ชายคนนี้ได้สักวันหนึ่ง โชรงใกล้ชิดเขาที่สุด ใกล้ยิ่งกว่าคนอื่น หล่อนมั่นใจ วันที่ชานยอลมองเห็นความรักอันบริสุทธิ์นี้จะต้องมาถึง
แบคฮยอนก็ไม่ต่างจากรายอื่นหรอก เจอผู้ชายหน้าตาดีหุ่นดีเข้าหน่อยก็หลงรูป หล่อนมองตาก็รู้ไปถึงไส้ทุกขด เห็นชานยอลทำดีด้วยหน่อยก็ได้ใจ ลองเข้ามาใกล้กว่านี้สิ ได้เห็นความสนิทสนมระหว่างหล่อนกับเขาทุกวัน ไม่นานก็หน้าจ๋อย ถอยแทบไม่ทัน โชรงปัดเส้นผมจากใบหน้าแรง ๆ กระแทกลมหายใจออกแล้วก็สะดุ้งเฮือก ชานยอลมองมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
“มีอะไรหรือคะ?”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางไม่ค่อยดี” เพราะเขาแสนดีอย่างนี้สิเล่า หล่อนถึงตัดใจไม่ได้เสียที โชรงลืมสิ้นความขุ่นเคือง สลัดภาพหน่วยตาเรียวยาวออกไปจากสมอง หล่อนยิ้มบาง คลึงปลายนิ้วกับขมับเบา ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เพลียนิดหน่อย สงสัยจะดื่มมากไปแล้ว”
“ผมจะกลับแล้ว คุณจะกลับพร้อมกันเลยไหม”
“ดีเหมือนกันค่ะ อยากพักเต็มแก่แล้ว” หญิงสาวเหยียดยิ้มในเงามืด ขอเพียงได้ใช้เวลาร่วมกันในยามค่ำคืน จากนี้อะไร ๆ ก็ง่าย แค่ปล่อยไปตามครรลองของหญิงชายเท่านั้น
แต่เพียงขั้นแรกแผนของโชรงก็มีอุปสรรคเสียแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปครบชั่วโมงหล่อนกับชานยอลขอปลีกตัวกลับคนที่เหลือก็ตกลงว่าจะกลับพร้อมกันเลย ไม่ว่าโชรงจะทัดทานด้วยความเกรงใจแค่ไหนทุกคนก็ยืนยันจะกลับเพราะเริ่มฝืนสังขารไม่ไหวแล้ว สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องข่มความหงุดหงิดเดินออกมาจากร้าน ระยะทางจากร้านไปสถานีแค่ร้อยเมตรแล้วหล่อนจะเอาจังหวะไหนขอให้ชานยอลไปส่งบ้าน
“เร็วเข้าโชรง รถไฟใกล้จะหมดแล้วนะ” เพื่อนคนหนึ่งร้องเร่ง หญิงสาวสบช่องเลยร้องตอบไปว่า “เราไปคนละสายอยู่แล้วนี่นาโบมี ถึงไปพร้อมกันเดี๋ยวฉันก็ต้องเดินเข้าบ้านคนเดียวอยู่ดีหรือเธอจะอ้อมไปส่งฉันก่อนล่ะ”
“ไม่ได้หรอก ฉันนัดแฟนมารับที่สถานีตอนนี้เขาก็มารอแล้วด้วย ถ้าต้องไปส่งเธอก่อนฉันก็พลาดรถเที่ยวกลับน่ะสิ หรือเธอจะไปค้างบ้านนาอึนก่อนล่ะ อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง” โชรงหันไปมองเพื่อนสาวอีกคน พอฝ่ายนั้นทำหน้าลำบากใจหล่อนก็เกือบถอนใจออกมาต่อหน้ากลุ่มที่เหลือ
“ขอโทษนะโชรง วันนี้พี่สาวฉันมาค้างด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเธอรีบกลับเถอะ ฉันกลับเองได้”
“เอางั้นหรือ” เอางั้นสิ พวกหล่อนรีบไปเลย ไปก่อนจะถึงสถานีแล้วชานยอลจะต้องแยกไปเอารถเค้า ฉันจะเสียโอกาสทองนี้ไม่ได้นะนางตัวประกอบทั้งหลาย เจ้าของปัญหาตีหน้ากังวลเข้ากับสถานการณ์ หากในใจนั้นลุ้นระทึกแกมยินดี ดูเหมือนอะไร ๆ ก็เป็นใจให้หล่อนไปเสียหมด ไม่ได้นัดหมาย ไม่ได้ขอให้เพื่อนฝูงช่วย เพียงแค่คาดเดาในใจก็เข้าใกล้ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว แบบนี้ไม่เรียกว่าฟ้าเป็นใจแล้วจะเรียกอะไร
“พวกคุณกลับกันเถอะ เดี๋ยวผมจะไปส่งโชรงเอง” เห็นไหม! สุภาพบุรุษคนดี ไม่มีทางปล่อยให้สุภาพสตรีกลับบ้านคนเดียวกลางดึกหรอก
“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นก็ฝากด้วยนะ พวกเราไปล่ะ” ตอนนี้ก็เหลือเพียงโชรง ชานยอลและคิมฮิมชันที่มัวแต่คุยโทรศัพท์ไม่สนใจใคร หญิงสาวไม่ได้เร่งฝีเท้าหากกลับตั้งใจผ่อนจังหวะการก้าวให้ช้าลง หล่อนจะได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์เขาแล้วนี่นา จะต้องรีบไปให้ทันรถไฟทำไมอีกล่ะ
“ขอบคุณนะคะ วันนี้เลิกดึกกว่าปกติ ฉันนึกกลัวอยู่เหมือนกันว่าจะต้องเดินเข้าบ้านคนเดียว” ชานยอลตอบว่าไม่เป็นไร เขาสุภาพและเงียบขรึมแม้ว่ายกแก้วโซจูเข้าไปในปริมาณเท่ากันกับฮิมชัน รายหลังนี้ได้แอลกอฮอล์แล้วจะพูดมากกว่าปกติเป็นสามเท่า โชรงรู้สึกเหมือนหัวใจหล่อนพองจนแน่นอก มันทำท่าจะล้นออกมาตอนลุ้นว่าคิมฮิมชันจะโบกมือลาตอนไหน
“เฮ้ย ชานยอล...” มาแล้ว ตอนนี้แหละ
“นั่นมัน คนน่ารักของกู ใช่ไหมวะ?” โชรงไม่คาดว่าจะได้ยินประโยคนี้ ตอนที่ดื่มกินกันในห้องฮิมชันเอาแต่พูดถึงคนน่ารักที่ได้พบโดยบังเอิญ พูดจนโชรงหลอกตัวเองไม่ได้ว่า หล่อนกำลังหันไปเจอแบคฮยอนอีกครั้ง “เค้าทำอะไรอยู่วะ นี่มันเกือบเที่ยงคืนแล้วนะ”
“อาจจะรอเพื่อนก็ได้มั้งคะ เราไปกันเถอะ” แต่ผลปรากฏว่า
“รอเดี๋ยวนะครับ”
บ้า!
บ้าบออะไรอย่างนี้! แค่เห็นไอ้เด็กนั่นพยายามดันฝากระโปรงรถขึ้นชานยอลก็เปลี่ยนทิศกะทันหัน เขาทิ้งหล่อนไว้แล้วก็วิ่งเข้าไปหา แถมฮิมชันยังวิ่งตามไปติด ๆ อีกด้วย โชรงนึกเกลียดความเป็นคนดีของคนตัวโตอย่างห้ามไม่อยู่ ยังไงเด็กนั่นก็เป็นผู้ชาย จะเฝ้าห่วงอะไรกันนักหนา ไม่เข้าเรื่องสักนิด
“เรื่องอะไรจะยอม” เสียงใสเค้นผ่านแนวฟัน โชรงกำมือแน่น สะบัดผมยาวแล้วก็ก้าวตามพวกผู้ชายไป เถอะน่ะ ไม่ว่ายังไงชานยอลก็รับปากไปส่งหล่อนแล้ว ถึงจะมีอุปสรรคทำให้ช้าหน่อยยังไงเขาก็ต้องไป ดีเสียอีกยิ่งเสียเวลายิ่งดึก บรรยากาศยิ่งดี
“เกิดอะไรขึ้นคะ อ้าว คุณแบคฮยอนนั่นเอง ยังไม่กลับหรือคะ?” เจ้าของชื่อทำหน้าม่อย ผายมือไปทางเครื่องยนต์ตรงหน้า ทั้งสามชีวิตมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันคนตัวเล็กเลยอธิบายทีเดียว “ยังกลับไม่ได้น่ะสิครับ เจ้ารถคู่ชีพมาเกเรเอาตอนจะเที่ยงคืนแบบนี้ ไปไหนไม่ได้เลย”
“เรียกช่างมาหรือยังคะ?”
“โทรไปแล้วแต่ไม่ติดครับ ตอนนี้ก็พยายามโทรเป็นระยะ” แบคฮยอนว่าแล้วก็เงยหน้ามองใบหน้าหล่อจัด นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ปีสองรับไฟฉายอันเล็กมาจากมือขาว บอกเสียงทุ้ม “ขอผมดูหน่อย เผื่อจะไม่ต้องตามช่าง”
“ขอบใจนะ แต่ชานยอลไม่รีบหรือ เรานึกว่ากำลังจะกลับบ้านกันเสียอีก” โชรงเผยอปากจะบอกตามจริงแต่คนที่โน้มตัวเหนือเครื่องยนต์ดันยืดตัวขึ้นมองมาทางหล่อนเสียก่อน ชานยอลยังไม่ลืมว่ายังมีหญิงสาวที่รอให้เขาพากลับบ้านอยู่ตรงนี้ด้วย
“ฮิมชัน ไปส่งคุณโชรงหน่อยได้ไหม ฉันต้องอยู่ช่วยตรงนี้”
“ไม่ต้องให้ช่วยหรือวะ” ชานยอลตอบว่าไม่ นักศึกษาศิลปกรรมศาสตร์เลยได้แต่ทำหน้าหมอง มองเจ้าของรถเบนซ์สีขาวอย่างเสียดายสุดซึ้ง แต่โชรงไม่เสียสติซึ้งด้วย หล่อนขยับเข้าใกล้ ล้วงเอาโทรศัพท์มาเปิดไฟช่วยส่องให้อีกทาง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณซ่อมรถให้คุณแบคฮยอนก่อนเถอะ ฉันรอได้”
“อย่าดีกว่าครับ ดึกกว่านี้คงไม่ดี ถ้ารอคงจะไม่ทันรถไฟด้วย”
“อ้าว คุณไม่ได้เอารถมาหรือคะ ฉันคิดว่า...”
“ผมตั้งใจจะนั่งรถไฟไปส่งคุณแต่ตอนนี้คงต้องวานฮิมชันทำแทน ไหวหรือเปล่าฮิมชัน ยังไม่เมาใช่ไหม” ฮิมชันผู้หมดความหวังกับทุกสิ่งในคืนนี้แล้วโบกมือไปมา
“สบายมาก มึงอยู่ดูทางนี้เถอะ ซ่อมได้ไม่ได้ยังไงก็จะได้อยู่รอช่างเป็นเพื่อนคุณแบคฮยอนด้วย”
“ไม่ให้รอเป็นเพื่อนแน่หรือคะชานยอล อยู่กันหลายคนน่าจะปลอดภัยกว่านะ” ชายหนุ่มคาบไฟฉายอันจิ๋วไว้เขาจึงทำได้แค่สั่นหน้า มือหนารับกล่องเครื่องมือใหม่เอี่ยมมาจากแบคฮยอน มุ่งมั่นกับงานถนัดจนไม่สังเกตรอยยิ้มซาตานบนเรียวปากบาง
“เราส่องไฟให้ดีกว่า ชานยอลจะได้ทำงานสะดวก...ปล่อยซี นี่มันของเรานะ...” ปลายเสียงคุณหนูทำเสียงเหมือนขู่ พอได้ของที่ต้องการจากชานยอลแล้วก็หันมายิ้มใส่ตาโชรง
“กลับบ้านดี ๆ นะครับ คุณโชรง”
โชรงเดินหน้าเชิดเข้าสถานีไปแล้ว แบคฮยอนดึงสมุดเล่มบางออกมาจากเป้ก่อนจะเริ่มพัดคลายร้อน กลีบปากสีอ่อนกดยิ้มเหยียด ไม่ได้ลำพองกับชัยชนะหรอก แค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้ลงแรงอะไรมากมายด้วยซ้ำก็เขี่ยผู้หญิงคนนั้นออกไปพ้นทางได้ แค่เห็นเดินรั้งท้ายเกาะอยู่กับสองหนุ่มก็ประกาศความในใจไปถึงอนุพันธุ์เซล อยากเป็นคู่แข่งฉันเธอต้องฝึกอีกอย่างน้อยสิบปีนะปาร์คโชรง ไอ้มุขกลับดึกแล้วรอให้สุภาพบุรุษไปส่งถึงหน้าบ้าน คุณแบคฮยอนอ่านเจอในหนังสือตั้งแต่ยังไม่จบมอต้นแล้วเถอะ!
คุณหนูปัดเรื่องโชรงทิ้งหันมาพัดเรียกลมให้นายช่างใหญ่อย่างเอาใจ เสียดายที่มีแค่สองมือ ถ้าไม่ติดว่าต้องถือทั้งไฟฉายทั้งพัดแบคฮยอนจะซับเหงื่อจากขมับหล่อ ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มของซัลวาโด เฟอรากาโม อีกอย่าง คนหล่อจะได้ทำงานไปหอม(แก้ม)ไป >.<
“น่าจะใช้ได้แล้ว” ชานยอลเชี่ยวชาญเรื่องเครื่องยนต์ในระดับดีทีเดียว แค่แตะตรงนั้นตรงนี้ไม่นานก็บอกให้คนตัวเล็กลองสตาร์ทรถ แบคฮยอนนั้นภาวนาให้จุดอื่นมันเสียนอกจากขั้วแบตเตอรี่ที่ถูกคลายน็อตเอาไว้ แต่คงหวังมากเกินไป แค่บิดกุญแจเสียงเครื่องยนต์ก็กระหึ่มเต็มอัตรา คุณหนูแอบจิ๊ปากในเงามืด ลงรถไปพร้อมกระดาษชำระแบบเปียก(แน่นอนว่าต้องเป็นยี่ห้อที่เลิศทั้งคุณสมบัติและบรรจุภัณฑ์) ส่งให้นายช่างเช็ดมือทีละแผ่น
“ตกลงว่ามันเป็นอะไรหรือ ทำไมชานยอลซ่อมแป๊บเดียวเอง”
“ขั้วแบตเตอรี่หลวมครับ ขันนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากเพราะถ้ายากเกินความรู้ผมเราคงต้องรอช่างจนถึงเช้า” แบคฮยอนเอียงหัวไปมา ก่อนจะหันขวับไปมองคนตัวโตกว่า
“เห? อะไรน่ะ เมื่อกี้นี้แอบประชดใช่ไหม”
“ล้อเล่นครับ” คุณหนูหัวเราะลงคอ เงยหน้ารับลมเย็น สบายอารมณ์อย่างที่สุด “แต่ก็จริง สงสัยต้องเปลี่ยนช่างแล้วล่ะ ดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมงอะไรกัน เพิ่งจะห้าทุ่มครึ่งโทรไปก็ปิดเครื่องเสียแล้ว โทรไปที่ศูนย์ก็เป็นระบบอัตโนมัติ รอสายพนักงานก็ไม่มีใครมารับ นี่ถ้าไม่เจอชานยอลเสียก่อนเราคงได้เรียกแท็กซี่กลับบ้าน” ชานยอลแค่ยิ้ม
“ดึกแล้ว คุณกลับบ้านเถอะ”
“แล้วชานยอลจะกลับยังไง ไม่ได้เอารถมาไม่ใช่หรือ ตอนนี้รถไฟคงหมดแล้วด้วย” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว หัวเราะอีกครั้ง ดวงตาเรียวกว้างมองย้อนกลับไปทางร้านหนังสือ แบคฮยอนเห็นรถประจำทางคันหนึ่งเพิ่งเคลื่อนตัวออกไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมกลับได้”
“กลับกับเราเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เอา กลับกับเรา”
“ผม...”
“นี่ เราทำให้นายพลาดรถไฟนะ เพราะนายก็มีน้ำใจซ่อมรถให้เราถึงกลับบ้านได้ จะให้ขับรถกลับแล้วทิ้งนายขึ้นรถเมล์ คืนนี้ทั้งคืนเราคงนอนไม่หลับแน่” คำพูดน่ารักสมตัว แต่สิ่งที่ทำให้ชานยอลใจอ่อนคงเป็นประกายจริงจังในหน่วยตาเรียวและความจริงใจในน้ำเสียงนั้นต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอติดรถไปลงระหว่างทางก็แล้วกัน” ก็ไม่ขัด คนอย่างชานยอลตื้อมากไม่ได้ แบคฮยอนเห็นตัวอย่างของจริงมาสด ๆ ร้อน ๆ ปาร์คโชรงพยายามอย่างเหลือเกินที่จะชิงตัวชานยอลกลับพร้อมกันแต่เมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่ นั่นก็คือคำตอบเดียว แค่ยอมเปลี่ยนใจนั่งรถไปด้วยกันแบคฮยอนก็คิดว่าเป็นกำไรชีวิตมากแล้ว แม้จะหวังมากกว่านี้แต่ก็ต้องยั้งใจ รุกหนักไปเกิดเจ้าตัวเขาไม่พร้อมจะกลายเป็นยิ่งรุกยิ่งห่าง
คนโลภมากลาภมักหลุดลอย ถึงเกิดมาเป็นคนฉลาดนำสมัยแต่ก็ต้องเชื่อคำโบราณอย่างคุณแบคฮยอนนะ ไม่เสียหายหรอก
พอนั่งด้วยกันสองต่อสองในรถคันงาม แบคฮยอนก็สั่งตัวเองให้จดจ่ออยู่กับเส้นทางการจราจร คุณหนูเปิดเพลงจากปุ่มตรงพวงมาลัย ท่วงทำนองหวานซึ้งขับกล่อมคลอไปกับกลิ่นสดชื่นของน้ำหอมปรับอากาศ แบคฮยอนทุ่มเทสมาธิทั้งหมดกับการควบคุมรถปล่อยให้ผู้ชายตัวโตปรับเบาะเองตามสะดวก ชานยอลเหยียดขายาว ขยับจนได้ท่าที่สบายที่สุด แล้วแบคฮยอนก็ดันหันไปเจอตอนคนหล่อพิงศีรษะกับพนักด้านหลัง เปลือกตาคมปรือมองเส้นทางข้างหน้า สองแขนยกขึ้นกอดอก คุณหนูเกือบทุบพวงมาลัยแหลกคามือ
หล่ออ่ะ T^T
ตอนขับมอเตอร์ไซค์ว่าหล่อแล้ว ตอนนั่งเอน ๆ ในรถเก๋งยิ่งหล่อหนัก
เอร๊ยยยยย! เมื่อไหร่จะมีสิทธิ์พูดออกไปได้ว่าเธอหล่ออออออ!
“คุณอ่านหนังสือจบหรือยัง?”
“ครับ?” กะพริบตาใส่คนถามก่อนจะร้องอ๋อ “จบแล้วครับ เอ๊ย! จบแล้ว ซื้อมาวันนั้นก็อ่านจนจบหมดเลย สนุกดีโดยเฉพาะเล่มที่เป็นความหมายของดอกไม้ อ่านได้แป๊บ ๆ จบเล่ม”
“หนังสือที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ส่วนใหญ่จะเน้นรูปประกอบทำให้ดูเพลิน”
“ใช่ แต่เราว่ารูปประกอบนี่แหละสำคัญ ขาดไม่ได้พอ ๆ กับส่วนที่เป็นคำอธิบายเลย บางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดอกไม้ที่เราเจออยู่ทุกวันนั้นชื่ออะไรจนได้เห็นภาพถึงรู้”
“ต่อไปเวลาเห็นไม้ประดับพวกนี้คุณอาจเผลอหยุดนึกชื่อของมันโดยไม่รู้ตัว”
“เป็นตั้งแต่เช้าวันถัดมาเลยล่ะ...” แบคฮยอนซึมซับเสียงหัวเราะทุ้มต่ำไว้ในใจอย่างประณีต ชานยอลพูดถึงตัวเล่มหนังสือแต่ไม่ถามสักคำว่าทำไมเขาถึงสนใจเรื่องพันธุ์ไม้ดอกพวกนั้น ผู้ชายคนนี้เป็นคนแปลกไม่น้อย จำกัดความสนใจของตัวเองให้อยู่ในกรอบได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สามารถถามได้แต่ก็ไม่เอ่ยถึง ไม่แสดงกริยาอยากรู้ จะว่าชานยอลเคารพในสิทธิ์ส่วนบุคคลของคู่สนทนาหรือชานยอลไม่สนใจเรื่องของคุณแบคฮยอนดีนะ แต่ไม่ว่ายังไง ก็เป็นเรื่องน่าประทับใจ
“แล้วอย่างชานยอลล่ะ ทำงานกับดอกไม้ ต้องอ่านหนังสือพวกนี้หรือเปล่า”
“เคยเปิดดูบ้างบางเล่มแต่ไม่ได้อ่านจริงจัง ผมไม่ได้ทำงานที่ร้านนั้นเต็มเวลา” ใช่ ๆ ที่รักของคุณแบคฮยอนทำงานที่ร้านดอกไม้แค่ช่วงค่ำวันหยุดเท่านั้น แบคฮยอนรู้แต่ชานยอลไม่รู้ว่าเขารู้ เพราะฉะนั้นคุณแบคฮยอนจะทำหน้าแปลกใจเหมือนไม่รู้มาก่อนก็แล้วกันนะครับ “ส่วนใหญ่จะรับผิดชอบเรื่องดูแลดอกไม้มากกว่ารับงานลูกค้า อย่างหลังนี่ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ถึงจะทำ”
“คุณจุนมยอนเก่ง เป็นผู้ชายแต่ทำงานละเอียดอ่อนแบบนั้นได้” หัวเราะอีกแล้ว เสียงทุ่มสั่นเป็นคลื่นความพอใจแทรกลึกเข้ามาในอกคนฟัง อารมณ์ดีอะไรนักหนาน้า คุณแบคฮยอนก็ไม่ได้พูดเรื่องตลกเสียหน่อย ทำไมต้องหัวเราะให้ใจหวิวกันบ่อย ๆ ด้วย
“ถ้าคุณสนใจเรื่องดอกไม้ แวะไปหาพี่เค้าที่ร้านได้นะ พี่จุนมยอนคงยินดีถ้ามีคนชอบดอกไม้เพิ่มมาอีกคน”
“ก็ไม่เชิงว่าชอบหรอกเรียกว่าเริ่มสนใจจะเหมาะกว่า เรากำลังหาข้อมูลไปเขียนบทความส่งอาจารย์น่ะ เทอมนี้เรียนวิชาการทำนิตยสาร ต้องเมคขึ้นมาว่าเราเป็นบรรณาธิการของนิตยสารฉบับหนึ่งแล้วต้องทำเองทั้งหมดตั้งแต่ออกแบบปกไปจนถึงเขียนคอลัมน์”
“คุณจะทำนิตยสารเกี่ยวกับดอกไม้หรือ?” เดาผิดแต่ไม่ใช่ความผิด คุณหนูสั่นหน้าเร็ว ๆ “ไม่ ๆ ๆ ทำนิตยสารเฉพาะทางมันหนักไป ที่เสนออาจารย์ไปคือจะทำแบบฟิวชั่น มีหมดทั้งเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องช็อปปิ้ง แล้วจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับดอกไม้สักสองหน้าแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นเรื่องไหน”
“ถ้าเขียนแค่สองหน้ากระดาษทำไมต้องซื้อหนังสือมาตั้งสามเล่ม ถามผู้รู้เอาก็ได้”
“ก็ได้ แต่จะเขียนทั้งทีก็ต้องรู้จริง ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับคนอ่าน ข้อมูลที่เชื่อถือได้ต้องมาจากหลายทาง มีข้อมูลบรรณานุกรมหรือที่มายืนยันแน่ชัด เราต้องศึกษาข้อมูลเหล่านั้นแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นสำนวนภาษาของเราเอง เพราะฉะนั้นหนังสือแค่หนึ่งเล่มหรือความเห็นของผู้รู้เพียงคนเดียวไม่พอหรอก มันมีผลกับความน่าเชื่อถือ”
“วิชาสายศิลป์ก็มีความยากในแบบของศิลปินสินะ”
“ไม่เท่าสายวิทย์หรอก สมองเรามืดบอดกับฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันด้วยซ้ำ คนที่เรียนได้เนี่ยเรานับถือจากใจเลย”
“สองในสามวิชาเน้นการคำนวณ ถ้าเรารู้วิธีทำมันจะนำไปสู่คำตอบที่ถูกต้องเอง ไม่เหมือนวิชาสายศิลป์เขียนคำตอบกันได้เป็นเล่ม ๆ ทั้งที่มีโจทก์แค่บรรทัดเดียว ทำได้ยังไง” โอ๊ย ชำเลืองมองมาด้วย คุณแบคฮยอนทำข้อสอบแบบนั้นได้ดีแต่พอโดนคนหล่อถามก็เกือบจะคล้อยตามแน่ะ!
“ทำได้สิ ข้อสอบแบบนี้ดีนะ เราไม่จำเป็นต้องตอบเหมือนใครก็ได้ แค่มีเหตุผลสนับสนุนความคิดของตัวเอง ถ้ามันน่าเชื่อถือได้อาจารย์ก็จ่ายคะแนนให้ได้...แต่ต้องมั่นใจว่าไม่ได้อ้างอิงจากทฤษฎีลอยลมหรือจินตนาการเอาเองว่ามันมีอยู่น่ะ...” เว้นจังหวะปล่อยให้รถทางขวาแซงไปก่อน เมื่อคนหล่อยังรอฟังอย่างตั้งใจจึงปิดไปเบา ๆ ว่า “ไม่เหมือนวิชาคำนวณ คำตอบที่ถูกต้องมีแค่หนึ่งเดียว ผิดก็คือผิด” แต่คนเรียนคำนวณในวิศวะไม่ผิดน้าาา
“จอดข้างหน้านี้ก็ได้ครับ”
“เอ๋? ถึงแล้วหรือ” ยังนี่นา อีกตั้งไกลกว่าจะถึงอพาร์ตเม้นต์ที่ชานยอลเช่าอยู่ ทำไมรีบลงล่ะ หรือเบื่อที่แบคฮยอนชวนคุยเรื่องมีสาระมากเกินไป โหย รู้อย่างนี้ชวนคุยเรื่องไอดอลเกาหลีบุกตลาดอเมริกาก็ดีหรอก
“ยังหรอกครับแต่ก็ใกล้แล้ว เดินต่อไปอีกนิดเดียว” นิดเดียวอะไร ตั้งสี่ห้าช่วงตึก ถึงจะบอกว่าไม่ไกลแต่คุณหนูก็ไม่อยากให้แฟนต้องเดินเหนื่อยนะ “ผมจะแวะทำธุระก่อน คุณส่งแค่นี้ก็พอ ขอบคุณมาก” อ่า ก็ได้ แยกกันเร็ว ๆ จะได้รีบกลับบ้านไปคิดถึงกันเร็ว ๆ คนขับรถจอดตรงตำแหน่งที่ชานยอลชี้บอก ปลดล็อคให้พร้อม
“ขอบคุณชานยอลอีกครั้งนะ” และเขาก็ยิ้มอย่างสุภาพตอบกลับเช่นเคย
“ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะครับ” ชานยอลถอยมายืนบนทางเท้า มองรถเบนซ์สีขาวแล่นลับไปแล้วจึงเดินวิ่งข้ามถนนไปยังป้ายรถประจำทาง ชายหนุ่มขึ้นรถคันแรกที่มาถึง นั่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิมก่อนจะลงป้ายใกล้ร้านหนังสือในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา ร่างสูงเดินแกมวิ่งเข้าไปในตรอกข้างร้าน มือล้วงไปในเป้ ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นลอยไปในอากาศเมื่อเห็นว่าของรักยังปลอดภัยอยู่ตรงจุดเดิม
เช้าวันหยุดที่ฝนโปรยลงมาไม่ขาด ฟ้าครึ้ม อากาศเย็นลงเล็กน้อย คนส่วนใหญ่คงเลือกนอนกลิ้งอยู่บ้านมากกว่าจะออกไปเจอกับความชื้นแฉะด้านนอก จงอินเองก็ควรจะทำเช่นนั้นแต่เขากลับต้องรีบรุดออกจากบ้านทั้งที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า เรื่องบางเรื่องรบกวนหัวใจจนทนนิ่งไม่ไหว ชายหนุ่มลืมสภาพดินฟ้าอากาศบึ่งรถออกจากบ้านไปด้วยใจร้อนรน ข่าวที่ได้ยินมาไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดจะไม่ใช่ไอ้เพื่อนหน้าหล่ออีกต่อไป พี่ชายเขาจะรับข่าวนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน จะมีปฏิกิริยาอย่างไร จงอินเป็นห่วงจิตใจแบคฮยอน...พอ ๆ กับความปลอดภัยของตัวเอง ว่าที่ทนายความฝีปากกล้าเคาะปลายนิ้วระหว่างรอสัญญาณไฟ คิดไปด้วยว่าจะใช้เส้นทางไหนให้ไปถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดแต่มนุษย์อย่างปาร์คชานยอลไม่มีทางพักอยู่บ้านแน่นอน
จุดหมายของจงอินคือโกดังแห่งหนึ่ง เจ้ากล่องสี่เหลี่ยมนั้นตั้งอยู่กลางที่ว่างขนาดสองไร่ ลานด้านหน้าโรยด้วยหินกรวด อีกด้านลาดซีเมนต์ยกเป็นเนินสูงจากพื้นเล็กน้อย ผู้ชายสองคนกำลังช่วยกันล้างสีบนกำแพงมีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ จงอินหรี่ตามองผ่านแว่นกันแดดยี่ห้อหรู(ของขวัญจากลูกพี่อีกเช่นเคย) แน่ใจแล้วว่าไม่มีชานยอลอยู่ในกลุ่มนั้นจึงก้าวเข้าไปในด้านใน
กล่องสี่เหลี่ยมที่เหมือนตู้คอนเทรนเนอร์ขนาดใหญ่ที่จริงแล้วคืออู่ซ่อมรถนั่นเอง รถยนต์เก่าใหม่หลายคันจอดเรียงราย บางคันประตูหาย บางคันถูกยกหน้าสูงมีช่างกำลังตรวจเช็คอยู่ข้างใต้ บางคันเหมือนมีแต่โครงขณะที่บางคันใหม่เอี่ยมประหนึ่งเพิ่งถอยมาจากโชว์รูม คุณชายคิมมองไปทั่วทิศ เห็นใบหน้าคุ้นตาผ่านไปมาหลายรายแต่ก็ยังไม่เจอเป้าหมายสักที
“มันไปมุดหัวอยู่ไหนวะ”
“เฮ้ย เกะกะ คนจะทำงาน”
“อ้าว ห่า กำลังมองหาอยู่พอดี นอนอยู่ใต้ท้องรถก็ไม่บอก” คุณชายทักทายด้วยการใช้เท้าเขี่ยแล้วก็ชักเท้าหลบมือเปื้อนน้ำมันได้อย่างหวุดหวิด ร่างสูงในชุดหมีสีน้ำเงินเก่า ๆ เลื่อนตัวกลับเข้าไปใต้ท้องรถอีกครั้ง เสียงขันน็อตดังขึ้นราวกับไม่เคยมีคุณชายเจ้าสำอางมาขัดจังหวะการทำงาน
“กูมีเรื่องจะคุยด้วย”
“รอถึงเวลาพักก่อนได้ไหม ตอนนี้กูยุ่งอยู่”
“มึงจะพักตอนไหน กี่โมง”
“บ่ายโมง” ห่า นี่เพิ่งเก้าโมงกว่า ให้กูรอถึงบ่ายโดยที่ข้าวเช้ายังไม่ได้แดกสักคำนี่นะ “นานไป กูรอไม่ได้หรอก มึงขอเฮียพักสักสิบห้านาทีได้ไหม กูร้อนใจจริง ๆ นะชานยอล”
“ร้อนใจก็พูดมาตอนนี้เลย กูพักไม่ได้ งานเร่ง อีกอย่างวันนี้เฮียคังอินอารมณ์ไม่ดี มึงเห็นแดฮยอนกับยองแจข้างนอกนั่นไหม มันเมาแล้วมือบอนเอาสีไปพ่นลายศิลปะกันเล่น เช้านี้เลยระเบิดลงตั้งแต่อู่ยังไม่เปิด เฮียสั่งมันขัดออกให้หมดถ้าไม่หมดห้ามใครกินข้าว” จงอินไม่เห็นว่าไอ้สองคนนั่นมันจะเหมือนคนโดนลงโทษตรงไหน ก็ยังหัวเราะกันสนุกสนาน ใจคงอยากขัดกำแพงกลางฝนทั้งวันเลยมั้ง ชายหนุ่มถอนใจหนักอก อยากให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สงบกว่านี้ ให้มีเวลาเลียบเคียงถามเรื่องสำคัญ ถ้าได้กาแฟเย็น ๆ สักแก้วชานยอลมันอาจยอมเฉลยเรื่องที่เขาอยากรู้ก็ได้
“มีอะไรก็พูดมาเถอะน่า ทุกคนกำลังทำงาน ไม่มีใครสนใจเรื่องของมึงหรอก” เหอะ คนอื่นไม่สนใจกูหาได้แคร์ไม่ กูแคร์แค่สวัสดิภาพตัวเองเท่านั้นแหละเวลานี้
“เค้าว่ากันว่า....”
“กูไม่เอาข่าวลือนะ เสียเวลา”
“เออ บ็อบบี้มันเล่าให้กูฟังว่าไอ้ฮันบินมันเห็นมึงควงเด็กไปคาราโอเกะ จริงหรือวะ?” เสียงก่อกแก่กจากใต้ท้องรถหยุดลง จงอินหยิบแม่ประแจอันหนึ่งเขี่ยช่วงขายาวเป็นการเร่ง “มันเห็นตอนดึกด้วย มึงไปกับใครหรือชานยอล”
“.................”
“ตกลงมึงมีแฟนแล้วหรือวะ”
“แหกตามาหากูตั้งแต่เช้าเพราะเรื่องแค่นี้หรือคิมจงอิน” มันไม่ใช่แค่นี้นะไอ้หล่อ มันคือชีวิต คือความปลอดภัยของทายาทบิดากู!
“บอกมาเถอะน่า กูแค่อยากรู้ความเป็นไปของเพื่อน สายข่าวรายงานว่ามึงนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้คนนั้นด้วย จริงเท็จแค่ไหนวะ”
“ก็ทั้งจริงทั้งเท็จ” คุณชายแทบหมดแรงยืน รีบวางแท่งเหล็กลง
“สรุปมึงยอมรับว่ามีแฟนแล้ว”
“คนที่ไอ้ฮันบินมันเห็นคือคุณปาร์คโชรง เพื่อนที่ทำงานกู พวกกูไปกินเลี้ยงวันเงินเดือนออกแล้วก็ไม่ได้ไปกันแค่สองคน ไปกับเพื่อนที่ทำงานอีกเกือบสิบ คิมฮิมชัน เด็กศิลปกรรมก็ไป ตอนกลับฮิมชันเป็นคนไปส่งคุณโชรง ส่วนกูเจอคนรู้จักรถเสียเลยช่วยซ่อมให้แล้วเค้าก็ไปส่งกู ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” จงอินพอใจกับคำตอบ(ที่ต้องการ)จนไม่สนใจประเด็นถัดมา ใบหน้าหล่อเหลาพราวยิ้มโล่งใจ ตบไปบนตัวถึงรถสีดำแรง ๆ
“แล้วไป ที่แท้ก็เพื่อนที่ทำงานพิเศษของมึงนั่นเอง”
“มึงเป็นอะไรไปหรือเปล่าจงอิน ทำเสียงเหมือนดีใจที่กูไม่ได้ไปเดทกับใคร หรือมึงหึง คิดอะไรกับกูหรือเปล่าเนี่ย” ถ้าไม่ติดว่าไอ้คนพูดมันเพิ่งลุกมาจากพื้น หน้าไม่ได้มันเหงื่อมันไคล มือไม่เปื้อนทั้งน้ำมันทั้งฝุ่น จงอินก็อยากจะกอดแรง ๆ ให้สักทีแหละ
“กูขอร้องเถอะนะชานยอล อย่าเพิ่งคิดมีแฟนตอนนี้เลย”
“เฮ้ย มึงเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“นะ เชื่อกูเถอะ”
“กูขนลุกแล้วนะ”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แบบ คือ แบบว่า ไอ้ฮุนก็มีแฟนไปแล้ว เหลือแค่มึงที่ยังโสดเป็นเพื่อนกูอยู่ ถึงมึงมีอีกคนกูก็ต้องกลายเป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารักสิวะ ไม่ไหวว่ะ กูยังไม่พร้อมกับความเหงา นะ กูขอร้องล่ะ โสดเป็นเพื่อนกูก่อน อย่าเพิ่งคิดเรื่องมีเมียเลย” ชานยอลใช้หลังมือป้ายหยดเหงื่อจากขมับ ยกยิ้มไม่ถือสาแม้ว่าเหตุผลนั้นจะไร้น้ำหนักจนเกินเชื่อ บางที...อาการทุกข์ร้อนของจงอินอาจจะเกี่ยวข้องกับคนรู้จักที่มันเคยเล่าให้เขาฟัง ชานยอลติดใจอยู่เรื่องเดียว ถ้าแค่คนรู้จักทำไมถึงได้แคร์เรื่องของฝ่ายนั้นนัก มึงกลัวกูมีแฟนแทนใครหรือเปล่า
“กูก็เคยบอกแล้วไง ยังไม่คิดเรื่องนั้น”
“แน่ใจนะ?”
“แน่”
“แล้ว...แล้วเด็กน่ารัก ๆ คนที่มึงจี๋จ๋ากับเค้าในห้องสมุดอักษรฯ ล่ะ” รอยยิ้มเลือนหายไปจากดวงตา คนตัวสูงโยนแม่ประแจลงในกล่องดังโครม เสียงทุ้มกดต่ำ
“อย่าให้กูรู้นะว่าใครมันปากหมาเรื่องนี้” จงอินกระถดออกห่าง
“กูแค่ฟังเค้ามาาา”
“ไม่ใช่เด็ก นั่นน่ะรุ่นพี่ กูไปหาหนังสือแล้วเค้าก็ช่วยหา ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่กิ๊ก แค่คนรู้จัก เลิกถามได้แล้วจงอิน เก็บปากไปด่าไอ้ฮันบินดีกว่า บอกมันด้วยว่าถ้าเอาเรื่องกูไปลือผิด ๆ อีก จะไม่ตายดี” เออ ๆ แค่ฮันบินนะ ไม่เกี่ยวกับกู
“ตกลงคนนี้ก็ไม่ใช่สินะ เถอะ มึงอย่าไปโกรธไอ้หอกนั่นเลย มันก็พูดไปตามที่เห็นแปลก กูกับเซฮุนยังคิดเลยว่าแปลก ปกติมึงเก็บตัวจะตายห่า อยู่ ๆ ก็มีข่าวว่าไปเดทตอนดึก ๆ ไปนั่งรถเล่น แถมยังไปหวานกับใครก็ไม่รู้ในห้องสมุด ใครมันจะไม่แปลกใจ” ผู้ที่ตกเป็นข่าวโดยไม่ตั้งใจเสยผมอย่างหงุดหงิด นี่แหละข่าวลือ ความจริงมีหนึ่งส่วนอีกเก้าส่วนคือความลวง
“เค้าก็แค่มีน้ำใจ”
“ใครวะ...”
“คนที่ช่วยกูหาหนังสือคือเจ้าของรถที่กูช่วยซ่อมให้คืนก่อน” คนฟังร้องอ๋อ น่าเสียดาย เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนเลยมีเวลาหารายละเอียดข่าวได้น้อย พอเพื่อนอีกคนโทรมาเล่าให้ฟัง จงอินก็รีบบึ่งมาหาเจ้าตัวทันที
“บอกฮันบินกับบ็อบบี้ด้วยว่าหยุดสร้างข่าวได้แล้ว” ชานยอลระบายลมหายใจออกช้า ๆ ดวงตาคู่คมมองผ่านเพื่อนสนิทไปยังแสงสว่างด้านนอก
“คนอย่างเค้าไม่ลดตัวลงมาหวานกับกูหรอก”
จงอินเหลียวไปมองบ้าง แต่นอกจากฝนที่โปรยลงมาไม่ขาดเม็ดก็ไม่เห็นอะไรอีก
#lovelycb
ชอบอะไรขอให้บอกเรา แฮชแท็กข้างบนหรือกล่องคอมเม้นท์ข้างล่างก็ได้ค่ะ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มีความวนกลับไปเอารถอะ ฮื่ออออออ
เนี่ยน้า ดพราะคุณหนูยังไม่ชึดเจนละสิ้