ตอนที่ 4 : Lovely you : เธอน่ารัก ตอนสี่
แบคฮยอนวางถุงหนังสือไว้บนเบาะข้างคนขับ ความคิดแรกที่สมองสั่งออกมาคือโทรหาคิมจงอินหรือไม่ก็จางอี้ชิง มือขาวเกี่ยวสายกระเป๋าเป้ดึงมาวางบนตักค้นหาโทรศัพท์มาจากช่องซิปเล็ก แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ช่วงที่ผ่านมาเขาเอาเรื่องชานยอลไปฝากทั้งคู่ถึงประตูบ้านอยู่หลายครั้ง แต่ละเรื่องล้วนเป็นประเด็นที่แบคฮยอนเห็นว่าสำคัญมาก แม้ทั้งสองจะเป็นผู้ฟังและที่ปรึกษาที่ดีแต่ตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว ถึงจะอยากรายงานเรื่องที่ได้เห็นให้ฟังมากแค่ไหนก็ไม่ควรรบกวนเวลาส่วนตัวของคนอื่น
เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องรู้ให้ได้ว่าชานยอลกับผู้หญิงคนนั้นสนิทกันระดับไหน แค่เพื่อนร่วมงานหรือมากกว่านั้น(ตามข่าวลือ) ถ้าอยู่รอจนถึงเวลาเลิกงานของพนักงานกะค่ำคงพอได้คำตอบกระจ่างขึ้น คนตัวเล็กมองตัวเลขบอกเวลาซ้ำอีกครั้ง มีเวลาสองชั่วโมงกว่าร้านหนังสือจะปิดและจะให้ชานยอลเห็นไม่ได้ ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ที่นั่งเงียบอยู่ในรถคุณหนูก็ได้คำตอบว่าจะต้องทำอะไรเป็นลำดับถัดไป ความเจ้าเล่ห์เล็ก ๆ สั่งให้แบคฮยอนถอยรถออกจากที่จอด ตรงไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลาอยู่ที่นั่นจนอีกสิบนาทีจะถึงสี่ทุ่มก็ขับรถกลับมาที่เดิม คราวนี้คุณหนูเลือกที่จอดไกลหน่อย ยอมสวมรองเท้าแตะที่ใส่ขับรถ(และแสนจะไม่เข้ากับเสื้อผ้า)เดินปะปนไปกับผู้คนบนทางเท้า เลือกนั่งรอในร้านอาหารฟาสฟู้ดที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สั่งน้ำผลไม้มาตั้งประดับโต๊ะแล้วก็หยิบหนังสือที่ซื้อเมื่อสองชั่วโมงก่อนมากางบังใบหน้า
ใครสักคนเดินออกมาแขวนป้ายแจ้งว่าปิดทำการ จากนั้นไฟตรงป้ายขนาดใหญ่ก็ดับวูบลง แบคฮยอนรออีกเกือบครึ่งชั่วโมงพนักงานกลุ่มแรกถึงออกมา ร่างเล็กชะเง้อสุดตัว มองจนแน่ใจว่าไม่มีชานยอลในกลุ่มนั้นจึงตั้งตารอต่อไป เกือบสิบห้านาทีร่างสูงคุ้นตาก็ดันประตูออกมา หัวใจแบคฮยอนหล่นไปกองบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบเมื่อเห็นว่าคนที่รอไม่ได้ออกมาเพียงลำพัง ชานยอลออกมาพร้อมผู้หญิงคนเมื่อเช้า คุณหนูคนเก่งวางหนังสือลงอย่างทดท้อ
ไม่จริงอ่ะ
จงอินยืนยันแล้วว่าไม่จริง ชานยอลยังไม่มีแฟน
ไม่มีทางเป็นไปได้
แม้ในใจจะเต้นเร่าเพราะความกลัวแต่แบคฮยอนก็ไม่อาจละสายจากทั้งคู่ได้ ร่างสูงเดินหายเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ข้างตึกสีเทาเข้มแล้วก็กลับออกมาพร้อมรถมอเตอร์ไซค์คันเล็ก แบคฮยอนยกมืออุดปาก หัวใจแทบหยุดเต้น ไม่นะ มันต้องไม่ใช่ หวาดกลัวภาพในจินตนาการจนเผลอลุกพรวดขึ้นยืน คุณแบคฮยอนยอมตายดีกว่าจะทนมองผู้หญิงคนนั้นนั่งซ้อนรถแฟนตัวเอง(?)
คุณหนูดึงหมวกลงต่ำ คว้าแก้วน้ำกับหนังสือตามเป้าหมายออกไปติด ๆ โชคของแบคฮยอนยังไม่หมดเพราะไม่มีเรื่องที่กลัวเกิดขึ้น ชานยอลเดินเข็นรถไปช้า ๆ แบคฮยอนได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะด้วยเรื่องที่ตนไม่เข้าใจ ถึงจะไม่ชอบใจกับส่วนเกินที่เดินอยู่ข้างชานยอลแต่คุณหนูก็ดีใจที่เห็นทั้งสองแยกกันตรงสถานีรถไฟ ผู้หญิงคนนั้นโบกมืออย่างร่าเริงแล้วก็วิ่งลงบันไดเลื่อนไป ว่าที่แฟนคุณแบคฮยอนก็ตวัดช่วงขายาวคร่อมเบาะแล้วก็เร่งเครื่องหายไปกับแสงสียามค่ำคืน
คนตัวเล็กเคาะหนังสือกับไหล่ ใคร่ครวญลึกซึ้ง ข้อมูลไม่มากพอ ยังสรุปไม่ได้ว่าคบกันแบบไหนแน่ แต่ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาพอใช้ได้แถมยังได้เปรียบตรงความใกล้ชิด วางใจไม่ได้เหมือนกัน สงสัย ต้องเร่งอ่านหนังสือทั้งสามเล่มให้จบแล้วรีบกลับมาเลือกเล่มใหม่แล้วล่ะ
เอาเข้าจริงแล้ว หนังสือที่คุณแบคฮยอนต้องอ่านมีมากกว่าสามเล่ม ถึงจะเกิดมา น่ารัก นิสัยดี มีรถยุโรปขับแต่ความจริงข้อหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือบยอนแบคฮยอนยังเป็นนักศึกษา...สถานะที่ต้องหาความรู้ใส่สมองเพื่อนำไปสู่เส้นทางอาชีพในวันข้างหน้า ยังอยู่ในวัยต้องเรียนรู้สรรพวิชาและยังมีครูบาอาจารย์อีกหลายคนที่พร้อมจะใจร้ายสั่งงานทุกท้ายชั่วโมง แบคฮยอนเพิ่งเคลียร์งานของสัปดาห์ก่อนเสร็จก็ต้องวุ่นกับชิ้นใหม่ต่อ มีเวลาพักบ้างช่วงกลางวันแต่ก็ไม่เคยเกินหนึ่งชั่วโมงแล้วช่วงนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่คุณแฟนจะไปทำงานพิเศษด้วย ตกเย็นถ้าไม่ถูกอี้ชิงบังคับให้ทำงานคู่หรืองานกลุ่ม ก็ต้องเข้าห้องสมุดหาข้อมูลเพิ่มเติม แบคฮยอนเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเรื่องรักเขาสู้เต็มกำลังเรื่องเรียนเขาก็ปล่อยไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายแล้วตั้งแต่วันจันทร์ยาวมาถึงวันศุกร์บ่ายคุณหนูก็ยังไม่ได้ไปหาแฟนที่ร้านหนังสืออีกเลย
“เฮ้ออออออ เบื่อจังเลยยยยย เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย”
“เอาโน้ตห้ามาหรือเปล่า ขอยืมหน่อยสิ” จางอี้ชิง...หลังจากเติมหน้าจนผ่องแล้วก็แบมือ
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะครับคุณแม่ เพื่อนทำงานไม่เสร็จยังมีอารมณ์ถ่ายรูปเล่น” แบคฮยอนหน้างอ กำดินสอแทงปัก ๆ ลงกับโต๊ะ มองเพื่อนสนิทดึงของที่ต้องการออกไปจากกระเป๋าตาไม่กะพริบ อี้ชิงกดเปิดหน้าจอ แตะนิ้วไปตามเมนูด้วยอาการกรีดกราย ไม่แคร์เสียงบ่นพ้อของคุณหนูสักนิด “ก็ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้ลงวิชาเสรีหลายตัว บอกแล้วให้ค่อย ๆ ทยอยลงเทอมละตัวสองตัวก็พอ ไม่ยอมฟัง ยังไงล่ะ เจอทั้งเปเปอร์ทั้งรายงาน สนุกไหม”
“ก็ตอนนั้นมันว่างนี่นา ตัวไหนเก็บได้ก็อยากเก็บให้หมดก่อน ปีสุดท้ายจะได้สบาย เราไม่ใช่อี้ชิงนี่ต้องเผื่อเวลาให้ครอบครัว ถ้ารู้ว่าจะเจอเนื้อคู่ปีนี้ ไม่มีทางลงเต็มตารางหรอก” อี้ชิงกลอกตามองฟ้า
“ไปถอนสิ ตัวไหนเรียนค่ำหรือให้งานเยอะก็ถอนเลย แล้วเอาเวลาว่างไปนั่งเฝ้าเนื้อคู่”
“ไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอก” ถ้าจะเป็นแฟนชานยอล แบคฮยอนต้องเป็นคนดีเพื่อให้คู่ควรกับอีกฝ่าย การตั้งใจเรียนก็เป็นทางหนึ่งที่คุณหนูสามารถยืดอกอวดคุณแฟนได้ว่าตนไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ชานยอลจะได้บวกคะแนนความรักความเอ็นดูให้อีกเยอะ ๆ คิดถึงคนตัวโตแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ปล่อยให้อี้ชิงถ่ายรูปเล่นเต็มที่ส่วนตนเองนั้นวางดินสอตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์งานต่อไป
“แล้วไม่กลัวคู่แข่งทำคะแนนนำหรือ?”
“จางอี้ชิง...” แค่ประโยคเดียวเกือบทำความตั้งใจอันดีงามพังไม่เป็นท่า อี้ชิงถือโทรศัพท์เบี่ยงหลบเมื่อเจ้าของตั้งท่าจะยึดคืน “ไม่เอาน่า เราเตือนเพราะความหวังดีนะ ก็แบคฮยอนบอกเองว่าผู้หญิงคนนั้นได้เจอชานยอลทุกวันไม่ใช่หรือ”
“มันก็ใช่ แต่...ถ้าฝ่ายนั้นเค้ามีใจก็คงเป็นแฟนกันไปนานแล้ว ไม่มีแค่ข่าวลือออกมาหรอก ฮีโธ่...” คุณแบคฮยอนเบ้ปากดูแคลน หลังจากสายข่าวยืนยันชัดเจนว่าการข่าวของอี้ชิงผิดพลาด คุณหนูก็ไม่เคยรีรอจะตอกย้ำประเด็นนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส(เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองไปในตัว) ให้ถึงตาเขาก่อนเถอะ ภายใน....อ่า เวลาอันใกล้นี้ แบคฮยอนต้องคว้าตำแหน่งขวัญใจชานยอลมาครองให้ได้!
ไอ้กำปั้นที่ทุบลงบนม้าหินอ่อนนั่นรู้เลยว่ากำลังหมายมั่นเรื่องผู้ชายอยู่ คุณแม่ยังสาวส่ายหน้าไปมา อี้ชิงแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ผ่านประสบการณ์ความรักมามากกว่าเพื่อนสนิทหลายเท่า แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องคืบหน้าไปถึงไหนแต่เธอมั่นใจว่าแบคฮยอนยังต้องเจออุปสรรคอีกเยอะ ยิ่งอีกฝ่ายหน้าหล่อตัวสูงมีฝูงชะนีรุมล้อมยิ่งยาก แต่ว่านะ อี้ชิงมองรอยกระตุกตรงมุมปากบางแล้วก็หัวเราะหึ ฝ่ายนี้คือคุณหนูบยอน คนที่น่าสงสารน่าจะเป็นบรรดาคู่แข่งทั้งหลายมากกว่า อ้อ คนกลางที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างรุ่นน้องวิศวะคนนั้นด้วย
ลมเย็นพัดเอื่อยมีผลให้หนังตาถ่วงตัวเองลงต่ำ แบคฮยอนอยากให้ลานม้าหินอ่อนแห่งนี้คือห้องนอน เขาจะได้ล้มตัวลงพักแบบไม่แคร์สายตาใคร แต่ความจริงมันไม่ใช่ ปรือตามองซ้ายและขวา โต๊ะทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น ก้อนหินทุกก้อนมันฟ้องตัวเองว่าที่นี่คือลานสันทนาการของคณะและสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าคือการบ้านที่ต้องส่งภายในพรุ่งนี้ ร่างเล็กยืนขึ้น โน้มตัวบิดคลายความเมื่อยก่อนจะเริ่มเดินไปรอบ ๆ โต๊ะ
“ง่วงมากก็พักก่อนเถอะ มีเวลาคืนนี้อีกทั้งคืนนี่”
“อยากทำให้เสร็จตั้งแต่ตอนนี้ คืนนี้ตั้งใจจะดูซีรี่ส์ โอ๊ย...” เกิดการปะทะเล็ก ๆ ขึ้นใกล้กับโต๊ะวงกลมที่เคยนั่งมาเกือบสามปี แบคฮยอนเดินถอยหลังไปชนนักศึกษาที่กำลังเดินผ่าน ไม่ทันตั้งตัวแถมยังเสียเปรียบเพราะรูปร่างที่เล็กกว่า แรงกระแทกนั้นสะท้อนกลับ แบคฮยอนหล่นตุบลงบนพื้นขณะที่อีกฝ่ายยังปักหลักได้อย่างมั่นคง
“โอย...” ฝ่ามือขาวถูกพื้นซีเมนต์ขูดจนเป็นรอยแดง แสบจนใบหน้าเรียวบิดแหย คุณหนูโกรธความซุ่มซ่ามของตัวเองแต่ก็ไม่เท่าโกรธเจ้าของมือที่ยื่นมาใกล้
“เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ก็เจ็บน่ะสิ!”
“ขอโทษ ผมพยายามหลบแล้วแต่ไม่ทัน”
“............”
ขอโทษทำไมมมมมมมมม! คนผิดคือคุณแบคฮยอนที่ขึ้นเสียงแบบไม่ดูตาม้าตาเรือต่างหาก! คุณหนูทำตาปริบ ๆ ยังหงายมือข้างที่ถลอกขึ้น พอมือหนาจับตรงข้อมือ ออกแรงรั้งให้ลุกก็ลุกตามอย่างเชื่อฟัง แหมะ เกือบจะเซล้ำเส้นเข้าหาอกล่ำ ๆ ไปเหมือนกัน
“ผม ผมผิดเอง ถอยไม่ระวังเลยชนคุณเข้า ขอโทษนะ” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงอ่อย พลางสรุปในใจว่าชานยอลส่ายหน้าได้หล่อมาก ๆ
“เจ็บไหมครับ”
“ไม่ครับ” มือบางปัดกันไปมา ที่จริงก็ยังแสบอยู่นิดหน่อยแต่ไม่อยากโอดครวญ เกิดชานยอลรู้สึกไม่ดีขึ้นมาล่ะบาปแย่เลยแบคฮยอน “หายแล้ว”
“ไม่รู้ว่าคุณก็เรียนที่นี่เหมือนกัน” แต่แบคฮยอนรู้ รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเรียนที่ไหน คณะอะไร สาขาวิชาเอกและโทได้คะแนนเท่าไหร่ ชอบนั่งตรงไหนในห้องเล็กเชอร์ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับปาร์คชานยอล คุณแบคฮยอนรู้หมด
“ฮัลโหล? รู้จักกันหรือแบคฮยอน” แกล้งถามล้านเปอร์เซ็นต์ แบคฮยอนชำเลืองมองดวงตาใสซื่อเหมือนเด็กสาวมัธยมแล้วก็ยิ้มบาง สีหน้าซื่อบริสุทธิ์แบบนี้เก็บเอาไว้หลอกสามีเถอะ เขาเคยเอารูปชานยอลให้ดูตั้งบ่อย ไม่มีทางที่อี้ชิงจะจำคุณแฟนของแบคฮยอนไม่ได้ เลียบ ๆ เคียง ๆ มายืนเอียงคอมองแฟนเพื่อนแบบนี้ ในใจคิดอะไรไม่ทราบ
“ก็ เคยเจอกันสองสามครั้ง”
“อ๋อ เพื่อนใหม่นั่นเอง สวัสดีค่ะ จางอี้ชิงค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” อ๊าวววว เรื่องอะไรจู่ ๆ ไปแนะนำตัวกับเค้า แบคฮยอนร้องอื้ออึงในอก จิ้มนิ้วใส่เอวบางแต่คุณแม่จอมแสบยังไม่ยอมหยุด “เรียนคณะนี้ ปีสาม เป็นเพื่อนสนิทของแบคฮยอน”
“ปาร์คชานยอล ชานยอลครับ เรียนวิศวะ ปีสอง”
“เป็นรุ่นน้องสิคะเนี่ย แล้วเด็กวิศวะมาทำอะไรแถวนี้คะหรือนัดใครไว้” เรื่องเจรจาพาทีอี้ชิงนับว่าเป็นมือวางอับดับหนึ่ง พูดไปยิ้มไป ใช้น้ำเสียงเป็นกันเอง อีกฝ่ายแทบไม่ทันรู้สึกตัวว่ากำลังโดนล้วงความลับอยู่
“จะไปห้องสมุดครับ” ดวงตาคมหวานกลอกมองคนตัวขาว จริงอยู่ว่าชานยอลไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการดูลักษณะคนแต่ถ้าเจอเด็กหนุ่มตัวบาง ๆ หน้าอ่อน ผิวใสเหมือนเด็กระดับนี้ ร้อยทั้งร้อยต้องคิดว่าว่าอายุน้อยกว่าผู้ชายหนังหน้าหยาบอย่างเขา ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายแก่กว่าทำเอาชานยอลแปลกใจจนแทบไม่ได้ฟังคำถามของผู้หญิงอีกคน ตอนนี้คนหน้าอ่อนเริ่มบิดปลายเท้าไปมา ชานยอลนึกโล่งใจที่มือขาวยื่นออกมากระตุกเสื้ออี้ชิงแรง ๆ เขาไม่ถนัดเรื่องการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่พอ ๆ กับไม่ถนัดเรื่องการพลิกลิ้นเอาตัวรอด เกรงว่ายืนให้รุ่นพี่หน้าหวานชวนคุยนานกว่านี้เขาจะเพลินจนลืมเวลาห้องสมุดปิด
“อี้ชิง ยังไม่ไปไหนใช่ไหม” อี้ชิงยักไหล่
“ถ้าอย่างนั้น เราฝากดูของแป๊บหนึ่งนะ จะเอาหนังสือไปคืนห้องสมุด”
“ทำไมรีบคืนล่ะ เพิ่งยืมมาเมื่อวานเองไม่ใช่หรือ” ก็อยากจะคืนวันนี้ ตอนนี้นี่
“สองเล่มนี้ไม่ได้ใช้แล้ว จะเอาไปคืนเลยเผื่อมีคนอื่นต้องการใช้ต่อ” แบคฮยอนอ้างเหตุผลที่ดูดีที่สุดแล้วก็คว้าเอาสองเล่มที่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาถือ หันมาทำตาใสใส่พ่อคนซื่อที่ยืนเงียบอยู่
“ไปพร้อมกันเลยไหม?” คนตัวโตพยักหน้าโดยไม่พูด ยื่นมือมาเสนอความช่วยเหลือแต่แบคฮยอนไม่ยอม เจ้าของดวงตาเรียวสวยพอใจจะกอดหนังสือทั้งสองเล่มเข้ากับอก กระชับแนบแน่น น่า อย่างน้อยมันก็ช่วยกรองเสียงหัวใจเต้นได้ชั้นหนึ่งล่ะ
“ทำไมถึงมาใช้ห้องสมุดที่นี่ล่ะ ไกลจากคณะออก” ชานยอลไม่ค่อยพูด นั่นเป็นหนึ่งในคุณสมบัติอันเหมาะสมของคนหล่อหลาย ๆ ข้อที่คิมจงอินเคยบอกลูกผู้พี่ไว้ ถ้าแบคฮยอนเงียบอีกคนบรรยากาศจะอึดอัดไม่ชวนประทับใจ ดูอย่างสองครั้งแรกที่เจอกันสิ คุณแบคฮยอนมัวแต่อายสุดท้ายก็เกือบทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าหยิ่ง แต่พอเรียกความกล้าชวนคุย ชานยอลก็คุยด้วย
ดี๊ดี
“หนังสือที่ต้องใช้เหลืออยู่แค่ที่นี่ครับ ที่คณะกับหอสมุดกลางมีคนยืมไปหมดแล้ว”
“ปกติคุณคงไม่ค่อยได้มาแถวนี้...” แน่นอนว่าทุกคำถามแบคฮยอนเคยถามน้องชายมาแล้ว แต่ก็ยังหยิบยกมาชวนคนตัวโตคุยอีก แหม คำตอบที่มาจากปากไอ้น้องมึนคิมจงดำกับคำตอบที่มาจากหัวใจชานยอลมันต่างกันอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ ถ้ามั่นใจยิ่งกว่านี้ คุณแบคฮยอนอยากให้ชานยอลเป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิตเลยด้วยซ้ำ >///<
“ไม่ครับ ผมอยู่คณะเสียส่วนใหญ่ เลิกเรียนก็ต้องไปทำงานพิเศษต่อ”
“อืม วิศวะอยู่อีกฝั่ง เวลาเข้าออกก็ใช้ประตูตะวันตก ถึงว่าไม่เคยเห็นคุณขี่เวสป้าผ่านมาแถวนี้เลย” ยกเว้นตอนเจอที่คณะจงอินกับร้านหนังสือคืนนั้น
“คุณรู้ด้วยว่าผมมีเวสป้า”
“คือว่า เคยเห็นตอน...ตอนรถติดไฟแดงน่ะ เมื่อหลายวันก่อน ขอคืนหนังสือก่อนนะ เดี๋ยวจะขึ้นไปช่วยหาหนังสือด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า” คิดเอาไว้แล้วว่าคนดีจะต้องปฏิเสธ แต่เสียใจ คุณแบคฮยอนก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะค้านอย่างไรให้สมเหตุสมผลที่สุด ไร้จุดบอดที่สุด “ไม่รบกวนหรอก ห้องสมุดที่นี่กว้างมาก ถ้าไม่คุ้นกับระบบจะลำบาก ให้เราช่วยหาจะเร็วกว่า จะได้รีบกลับไปทำรายงานส่งอาจารย์ไง”
“คุณไม่ต้องรีบกลับไปทำงานหรือครับ”
“ส่วนของวันนี้เสร็จหมดแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยครับ” คนตัวเล็กกว่ารับบัตรนักศึกษาคืนจากบรรณารักษ์ ยิ้มจนตาพราว
“เราอายุไล่ ๆ กัน ไม่ต้องพูดสุภาพก็ได้”
“แต่คุณเป็นรุ่นพี่” รุ่นพี่ทำเสียงฮื้อ ไม่เห็นด้วย
“เราอาจจะแก่ปีการศึกษาแต่อายุจริงอ่อนกว่าเกณฑ์นะ” น้ำเสียงที่จงใจทำให้ดูห้วนแบบไม่จริงจังเวลาฟังเลยน่ารักไปแทน “เป็นเพื่อนกันดีกว่า ใช้ภาษาสุภาพแล้วมันชวนให้อึดอัดยังไงชอบกล”
“ครับ...”
อ๊อยยยยยยยย ว่าง่าย น่ารักอ่ะ!
“คุณ เอ่อ นายเรียกเราว่าแบคฮยอนนะ เราจะเรียกนายว่า...ให้เรียกชื่อไหนดี?” คิ้วคมเลิกสูง ชานยอลละสายตาจากภาพวาดข้างผนังมามองคนข้างกาย ทำไมพูดเหมือน... “คุณพูดเหมือนผมมีหลายชื่อ?”
“เอ๊ะ ก็ คนเราต้องมีทั้งชื่อตัวกับชื่อสกุล ปกติไม่ใช่หรือ หรือเราพูดอะไรไม่สมควรออกไป” แบคฮยอนหยุดกลางบันได ดวงตาเรียวยาวฉายแววตระหนก เหมือนคนกลัวความผิด ท่าทางนั้นแสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับเรื่องที่พูดคุยจนคนมองนึกเอ็นดู คนตัวโตกว่าขยับหลีกทางให้นักศึกษาที่เดินสวนลงมา ลดเสียงลงเมื่อระยะห่างระหว่างกันลดลง
“เรียกชานยอลก็ได้ครับ เพื่อน ๆ เรียกผมแบบนั้น”
“ช า น ย อ ล” เสียงแหบทวนคำนั้นลอย ๆ สติเกือบขาดสะบั้นไม่สมประดีเพราะไอร้อนที่โฉบเข้ามาประชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว “ชื่อแปลกจัง หมายความว่ายังไง” ว่าที่แฟนของคุณหนูส่ายหน้า คราวนี้รอยยิ้มสุภาพเจือความเก้อเขินลงไปพอกรุบกริบ โอ๊ย อยากเป็นเจ้าของงงงง
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ตกลงเป็นชานยอลกับแบคฮยอนเนาะ” คนพูดน้อยเขาไม่ตอบเป็นคำร๊อกกก อย่างมากก็แค่ยกมุมปากยิ้มให้แบคฮยอนต้องรีบทาบมือพยุงตัวกับผนังทางเดินเท่านั้นเอ๊งงงง
ในฐานะเจ้าถิ่นแบคฮยอนจึงต้องเป็นคนแนะนำชานยอลทุกเรื่อง ตั้งแต่วิธีการสืบค้น พื้นที่ที่เก็บหนังสือหมวดที่ชายหนุ่มต้องการ การไล่หาหนังสือตามตัวเลขบนสันปกเพื่อความรวดเร็ว ร่างเล็กพานักศึกษาต่างคณะมาหยุดหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับสืบค้นข้อมูล บอกให้ผู้มาเยือนทาบบัตรนักศึกษาเพื่อสแกนแถบแม่เหล็กแล้วก็ถอยออกห่างตามมารยาท แต่พอข้อมูลของชายหนุ่มปรากฏบนหน้าจอ คุณหนูก็รีบบันทึกใส่หน่วยความจำในสมองอย่างรวดเร็ว อะฮะ ไม่เคยมาใช้ห้องสมุดที่นี่จริง ๆ ด้วย แบบนี้คุณไกด์พาทัวร์ให้ทั่วเลยดีไหมนะ
“กดเข้าหน้าต่อไปเลยแล้วก็เลือกตามหัวข้อที่จะสืบค้น” เสียงแหบเอ่ยแนะ มองตามปลายนิ้วแกร่งที่กดคีย์ข้อมูลอย่างคล่องแคล่ว แอบหวังให้ไม่ถนัดเรื่องพิมพ์จะได้อาสาทำแทน ที่ไหนได้ พิมพ์คล่องกว่าคุณแบคฮยอนเสียอีกแน่ะ ชานยอลหาหนังสือตามรหัสไอเอสบีเอ็นเลยยิ่งง่าย ไม่ถึงสองนาทีก็ได้ตำแหน่งของหนังสือที่ต้องการ ชายหนุ่มยิ้มพอใจเมื่อทุกเล่มยังแสดงสถานะว่าง ไม่มีใครยืมไปตัดหน้า
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“แน่ะ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดเพราะก็ได้ เราดูแก่จนชานยอลต้องสุภาพด้วยทุกคำเลยหรือ” แบบนี้เมื่อไหร่จะสนิทกันเสียทีเล่า กลีบปากบางเหยียดออกน้อย ๆ อะไรก็ไม่แสดงอารมณ์เท่าคิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากัน แต่ก็เป็นได้แป๊บเดียว พอรู้ตัวก็หัวเราะแห้ง ๆ
“ขอโทษนะ ปกติเรา เอ่อ ผมแทนตัวเองว่าเรากับเพื่อน ชานยอลอึดอัดหรือไม่ชอบหรือเปล่า จะได้กลับไปพูดเหมือนเดิม” ชานยอลส่ายหน้า ไม่อยากจะย้ำอีกครั้งว่าเขาไม่ถนัดเรื่องผูกสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ โชคดีที่คุณแบคฮยอนเป็นประเภทกล้าพูดกล้าติง คนพูดน้อยจึงพอมีแนวทางว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อไป เสียงทุ้มลดความสุภาพลงไปอีกระดับ
“เรียบร้อยแล้ว เราต้องไปหาที่ไหนต่อ” รอยยิ้มสดใสเบ่งบานเต็มใบหน้าเรียว นอกจากหน้าเด็กแล้วเพื่อนใหม่คงมีนิสัยเด็กอยู่ในตัวเยอะ พอใจไม่พอใจแสดงออกทางสีหน้าหมด
“อ๊ะ แถวนี้แหละ อักษรอีเอ็นน่าจะอยู่...ตรงนี้...” คุณหนูไล่สายตาหาไปตามชั้นวางสูงท่วมหัว ร่างเล็กเกาะขอบชั้นไม้ขยับตัวไปข้างในเรื่อย ๆ ส่วนชานยอลก็มองหาเล่มอื่นในแถวเดียว พื้นที่ระหว่างชั้นกว้างพอให้คนเดินผ่านกันแบบเบียด ๆ คงไม่ดีนักถ้าชานยอลจะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากเกินไป ตามมารยาทชายหนุ่มจึงเว้นระยะห่าง มองหาหนังสือรายการอื่นเพื่อไม่ให้เสียเวลา หากหลายครั้งที่สายตาเผลอเหลือบไปมองร่างเล็กที่กำลังตั้งใจหาหนังสือโดยไม่สนใจใคร
แล้วนั่น รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังเดินเข้าไปเบียดกับคนอื่น
“โอ๊ะ ขอโทษครับ” แล้วก็ชนเข้าจริง ๆ แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่เดือดร้อน ชานยอลเห็นนักศึกษาคนนั้นยิ้มกว้าง ท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไรครับ คุณแบคฮยอนมาหาหนังสือเหมือนกันหรือ”
“ใช่ เอ๊ะ คุณจะยืมเล่มนั้นหรือ?”
“ตั้งใจว่าจะยืมครับ ผมต้องใช้ประกอบการเขียนรายงานส่งอาจารย์น่ะ” คุณแบคฮยอนครางอ่อย ถอนใจอย่างหมดหวัง “มาช้าไปสิเนี่ย เหลือเล่มเดียวด้วยสิ” ใช่ รายการนั้นเหลือแค่เล่มเดียว มีที่นี่ที่เดียวด้วย ชานยอลเสยผมลวก ๆ สงสัยจะได้ติดมือกลับไปแค่สองรายการ
“จะใช้เล่มนี้เหมือนกันหรือครับ เอาไปก่อนสิ” ประโยคนั้นส่งผลให้คิ้วคมยิ่งย่นเข้าหากัน เมื่อคนที่มาด้วยกันไม่มีทีท่าจะว่าหันมาสนใจเขา ชานยอลจึงบอกตัวเองให้ยืนอยู่วงนอกต่อไป
“จะดีหรือ คุณก็ต้องใช้เหมือนกันนี่นา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมใช้เล่มอื่นได้ คุณแบคฮยอนเอาไปเถอะ”
“ไม่ทำคุณลำบากแน่นะ” ชานยอลเห็นผู้ชายคนนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อคุณแบคฮยอนยอมรับหนังสือมาจากมือ ทั้งคู่คุยกันอยู่อีกอึดใจ พอผู้ชายคนนั้นแยกไป แบคฮยอนก็ถือหนังสือมายื่นให้เขาพร้อมรอยยิ้มอวดหน่อย ๆ
“ได้มาแล้ววววว”
"คนรู้จักหรือครับ?” คนตัวเล็กหัวเราะแหะ ๆ
“ไม่ใช่”
“แต่เหมือนคนนั้นเค้ารู้จักคุณแบคฮยอน” แบคฮยอนหันไปมองทางเดิม ตอบซื่อ ๆ
“นั่นสิ เป็นแบบนี้บ่อย ๆ นะ ชอบมีคนไม่รู้จักมาทักแล้วเราก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน บางคนยังพอคุ้นว่าเป็นเพื่อนในคณะหรือเพื่อนชมรม แต่บางคนอย่างรายเมื่อกี้ไม่คุ้นหน้าเลย สงสัยเด็กคณะอื่น” เรื่องปกติของคนดังนั่นเอง ชานยอลไม่ค่อยได้สนใจข่าวสังคมของมหาวิทยาลัยนักแต่ค่อนข้างมั่นใจว่าชื่อบยอนแบคฮยอนจะต้องติดอับดับต้น ๆ ของคนดังระดับมหาวิทยาลัยแน่ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ฐานะและมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเลิศล้วนแต่ชวนให้ผู้พบเห็นประทับใจทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องหลังนี่ ชานยอลยอมรับเลยว่าคนตรงหน้ามีพรสวรรค์ด้านนี้ แม้แต่เขา ผู้ชายที่รักสงบอย่างที่สุดยังเริ่มคุ้นกับความสดใสของคุณแบคฮยอนแล้วเลย
“ก็เห็นคุยกันดี ดูไม่รู้เลยว่าไม่รู้จักกัน”
“โอย ต้องคุยสิ อีกฝ่ายเค้าตั้งใจทักทาย ถ้าเราทำหน้างง ๆ ฉันจำนายไม่ได้ มันก็เสียมารยาทแย่ใช่ไหมล่ะ คนทักเค้าก็จะเสียใจเสียความรู้สึกด้วย ยังไงก็คุยไปเถอะ อย่างน้อยก็เพื่อนนิสิตเหมือนกัน คุยกันได้อยู่แล้ว” แต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก บยอนแบคฮยอนไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเลย คุณลูกค้าในวันนั้นยืนตัวตรง เชิดหน้าน้อย ๆ ไม่ว่าชานยอลจะเสนอความช่วยเหลืออะไรไปก็ปฏิเสธท่าเดียว ดูยังไงก็คุณหนูหัวสูงผู้ไม่อยากลดตัวลงมายุ่งกับพนักงานผู้ต่ำต้อย ต่างกับแบคฮยอนที่ช่างพูดช่างคุยคนนี้ราวฟ้ากับเหว ชานยอลยิ้มกับหนังสือในมือก่อนจะเม้มปาก
“ยิ้มอะไรอ่ะ?”
“เปล่าครับ”
“เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม ขำเราอยู่เหรอ” ชานยอลหันหน้าหนีแต่ปิดประกายวิบวับในหน่วยตาไม่ทัน พอแบคฮยอนจะท้วง ชายหนุ่มก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนตัวเล็กลืมทุกความข้องใจ
“ไปหาหนังสือกันต่อเถอะ” คุณหนูได้แต่เดินตัวลอยตามแผ่นหลังกว้างไปต้อย ๆ
หนึ่งชั่วโมงของความรื่นรมย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากได้แกล้งสะดุดขั้นบันไดให้สุภาพบุรุษหน้าหล่อยื่นมือมาช่วยจับต่อหน้านิสิตกลุ่มใหญ่แล้วแบคฮยอนก็ล้มเลิกความคิดที่จะดึงตัวชานยอลไว้ คุณหนูตัวขาวโบกมือบ๊ายบายให้ชานยอลอย่างร่าเริง ส่งรอยยิ้มที่คิดว่าสดใสไร้เดียงสาสุด ๆ ให้ก่อนจะหมุนตัวลงนั่งตำแหน่งเดิม...เมื่อชั่วโมงก่อน
“หาหนังสือกี่เล่ม?” คุณหนูชูสามนิ้วตอบ ใบหน้ายังยิ้มชื่น
“สามเล่มล่อไปเกือบชั่วโมง เราคิดแล้วว่าต้องยาว มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ?”
“ไม่ได้ทำอะไร แค่หาหนังสือแล้วก็คุยกันนิดหน่อยเอง” อี้ชิงผู้รอบรู้ไม่หลงกล เธอไม่ใช่ชานยอลที่จะโดนหลอกด้วยรอยยิ้มใสซื่อ มีโอกาสทั้งทีคุณแบคฮยอนคงไม่ยอมพลาดหรอก “อย่ามาตลกหน่อยเลย แบคฮยอนจำทุกตำแหน่งในห้องสมุดได้เหมือนมีแผนที่ในหัว ปกติแทบไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สืบค้นเลยด้วยซ้ำ หาหนังสือแค่สามเล่มไม่เกินสิบนาทีหรอก เวลาที่เหลือแอบไปทำอะไรกันมา”
“ไม่ได้ทำอะไร แค่ลดสปีดให้ช้ากว่าปกตินิดหน่อย” สุดท้ายก็สารภาพผ่านรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง ตอนนี้เราเริ่มคุ้นกับชานยอลแล้วล่ะ นี่ ๆ อี้ชิง เราสองคนตกลงกันว่าจะพูดคุยกันแบบกันเองแล้วนะ เฮ้อ พอได้คุยกันบ่อยขึ้นความประหม่าก็ลดลงไป ทำตัวเป็นธรรมชาติมากขึ้น...”
“แน่ใจนะว่าเป็นธรรมชาติจริง” คนโดนคำถามดักคอกลิ้งดินสอไปตามข้อนิ้ว
“จริงสิ พูดแล้วก็คิดขึ้นมาได้ ตอนที่เรากับชานยอลอยู่ในห้องสมุดนะมีแต่คนคอยมองล่ะ พวกผู้หญิงตรงโต๊ะริมหน้าต่างมองแล้วมองอีกแถมยังหันไปซุบซิบกันตลอด พอพวกเราย้ายห้องก็ย้ายตาม สงสัยจะหาโอกาสเข้ามาทักไม่ก็ขอเบอร์ ตอนเดินลงบันไดเมื่อกี้เราเลยเซใส่อกชานยอลให้เห็นเป็นบุญตาเสียเลย ยัยพวกนั้นทำตาโตกันใหญ่”
“นั่นคือตัวอย่างของความเป็นธรรมชาติที่ว่าหรือ” คุณหนูไหวไหล่
“ช่วยไม่ได้ บางทีมันก็จำเป็น ก็พอรู้หรอกว่าเราต้องเป็นตัวของตัวเอง(บ้าง) ฝืนเป็นคนอื่นนอกจากไม่สนุกแล้วยังไม่สมจริง อีกหน่อยก็หลุด เราถึงพยายามใช้ข้อดีของตัวเองเป็นจุดขายยังไงล่ะ เวลาชานยอลเค้ารัก เค้าจะได้รักที่ตัวเราจริง ๆ ไม่ใช่บทบาทที่เราแสดง”
“เราว่าแบคฮยอนก็แสดงได้สมจริงทุกบทนะ”
“เอ๊...” เสียงแหบตวัดสูง “อี้ชิงนี่ยังไงนะ ทำไมวันนี้ตั้งหน้าตั้งตาขัดคอกันจัง นี่ อย่าบอกนะว่าเห็นชานยอลชัด ๆ แล้วนึกอิจฉาที่เพื่อนมีแฟนหล่อมากกกกกกก”
“จบไปได้เลยเรื่องนั้น”
“อี้ชิงคิดว่าชานยอลไม่หล่อหรือ?”
“หล่อ หล่อมาก มากกว่าสามีเราสองเท่าครึ่งเลยอ่ะ” เจ็ดเท่าเลยต่างหาก ปากบางอุบอิบว่าอย่างนั้น
“จะบอกอะไรให้นะแบคฮยอน คนน่ะ จะผู้ชายหรือผู้หญิงมันต้องมีมากกว่าความหล่อความสวย ยิ่งคนที่เราคิดจริงจังด้วย ต้องดูไปถึงทัศนคติ นิสัยใจคอ ชีวิตความเป็นอยู่ ดูทุกอย่างว่าเข้ากันได้ไหม” คนฟังทำหน้าเมื่อย วกเข้าประเด็นเดิมอีกละ เมื่อไหร่อี้ชิงจะดีลิทปมเรื่องฐานะไปจากสมองเสียทีนะ “ไม่ต้องทำหน้ามุ่ย เราพูดจากประสบการณ์จริง มันไม่ใช่แค่เราที่คิดแบบนั้น เป็นใครเค้าก็คิด ยิ่งผู้ชายจริงจังแบบปาร์คชานยอล เขาต้องพิถีพิถันเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ปฏิเสธความสัมพันธ์กับทุกคนเพราะตัวเองไม่พร้อมหรอก”
“แล้วประเด็นมันคืออะไร เราชักจะงงแล้วนะ”
“ประเด็นคือถ้าคิดจริงจัง แบคฮยอนต้องจริงใจในทุกเรื่อง”
“ไม่ต้องห่วง เราจริงจังแน่นอน”
“นานแค่ไหน...” มือขาววางปากกา ปิดหน้าหนังสือ
“ตั้งแต่รู้จักกันมา อี้ชิงเคยเห็นเราทำตัวเหลวไหลไล่ตามผู้ชายอย่างครั้งนี้หรือ...” ดวงตาคู่เรียวเปล่งแสงดำลึก ท่วงท่าขี้เล่นถูกความจริงจังกลืนหาย อี้ชิงเกือบ ๆ จะขนลุกอยู่แล้วถ้าคุณหนูไม่ลอยหน้าลอยตาขึ้นมาเสียก่อน “นั่นแหละ พูดไปทั้งอี้ชิงทั้งจงอินไม่มีใครเชื่อ คอยดูไปก็ได้ ความตั้งใจจริงของคุณแบคฮยอนไม่หมดอายุง่าย ๆ เหมือนนมสตรอว์แบรี่หรอก!”
คุณแม่ลูกหนึ่งกลอกตามองก้อนเมฆสีขาว หวังว่าเมื่อต้องเจอกับอุปสรรคที่คาดไม่ถึง คุณแบคฮยอนจะผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็งและไม่(ทำให้ใคร)บอบช้ำ
ร้านหนังสือในช่วงค่ำวันศุกร์มีลูกค้าหนาแน่นมากกว่าเวลาอื่น พนักงานทุกคนมีงานล้นมือโดยเฉพาะชานยอล รูปลักษณ์เด่นสะดุดตาดึงดูดให้ลูกค้าหลายประเภทมุ่งตรงเข้าหาชายหนุ่ม ลูกค้าสาว ๆ อยากเข้าใกล้เพราะติดใจใบหน้าหล่อเหลา น้ำเสียงทุ้มต่ำ ลูกค้าวัยกลางคนจนถึงผู้สูงวัยชื่นชอบท่าทีสุภาพและการตอบคำถามที่ชัดเจนไม่ยืดเยื้อ ลูกค้าผู้ชายมองว่าชายหนุ่มคุยง่ายไม่เคยยัดเยียดขายของให้ลูกค้าจนน่ารำคาญ ชานยอลต้องเข็นรถขนหนังสือออกมาไล่เติมเล่มที่ขายไปพร้อมกับรับลูกค้าไปพร้อมกันในคราวเดียว เขาเหนื่อยกว่าคนอื่นเป็นสามเท่า ที่ยังทำงานได้แบบไม่มีข้อบกพร่องเพราะคิดถึงค่าแรงที่จะได้รับตอนเลิกงาน
“โอย วันศุกร์ช่วงเงินเดือนออกนี่มันสาหัสจริง ๆ เล่นเอาล้าไปทั้งหลังไหล่”
“ฮิมชันล้าแค่หลังกับไหล่แต่ฉันล้าไปทั้งตัวแล้วค่ะ ไม่รู้คืนนี้จะกลับถึงบ้านไหม กลัวตัวเองจะหลับบนรถไฟเสียก่อน” สาวสวยว่าพลางทุบไปตามต้นขา มองไปทางอีกคนที่ยืนดื่มน้ำฟังคนอื่นเงียบ ๆ “ชานยอลดูเหมือนไม่เหนื่อยเลยนะคะ เงียบเชียว”
“หมอนั่นมันพันธุ์พิเศษ ถูกฝึกมาให้ทนกว่าคนปกติสามเท่า โดนสาวมอปลายสลับสมาคมแม่บ้านรุมแค่สองสามชั่วโมงแค่นั้น ไม่คณามือหรอก เรื่องเล็ก เฮ้ย! มันเย็นนะโว้ย” พูดมากเลยโดนสาดด้วยน้ำเย็น ชานยอลคว่ำแก้วลงมองฮิมชันปัดหยดน้ำออกจากเสื้อผ้าอย่างสมใจ
“เวลาเหนื่อยแล้วได้อาบน้ำ ช่วยได้เยอะนะ”
“ขอบใจ คราวหน้ากูขอเป็นน้ำเดือดร้อยองศาเลยละกัน แมร่ม...” มนุษย์หัวทองหยุดคำสรรเสริญไว้แค่ริมฝีปาก ถึงปกติจะปากหมาใส่กันแค่ไหนแต่ต่อหน้าผู้หญิงฮิมชันก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้าง ร่างสูงเพรียวเดินไปเบียดคนตัวโตกว่าแย่งเปิดล็อคเกอร์เพื่อหยิบผ้าขนหนูกับกระเป๋าออกมา
“วันนี้เงินเดือนออกแล้ว ไปฉลองกันก่อนกลับดีไหมคะ”
“ดี ๆ ๆ ไปกัน ๆ ชวนคนอื่นด้วยจะได้สนุก ผมเล็งร้านคาราโอเกะตรงสถานีไว้หลายวันแล้ว เราไปร้านนั้นกันดีไหม” ปาร์คโชรงยิ้มกว้าง หันไปมองชายหนุ่มอีกคนเหมือนจะขอความเห็นแต่ชานยอลกลับส่ายหน้าตอบ “ไปกันเถอะ วันนี้คงไม่ไหว เมื่อยไปทั้งตัวแล้ว”
“ไม่ไปด้วยกันหรือคะ?” ฮิมชันมองรอยผิดหวังบนใบหน้าสวยแล้วก็เกาหัวไปสองที ไอ้หล่อมันตาบอดกับทุกความรู้สึกของผู้หญิงจนเขาอดเห็นใจโชรงไม่ได้ ผู้หญิงเค้ามีใจให้ แสดงออกชัดเจนแม้แต่พนักงานแคชเชียร์ยังมองออก แต่เจ้าตัวมันกลับไม่มีท่าทีสนใจ เสมอต้นเสมอปลายจนฮิมชันสงสัย สรุปมันบื้อ ไม่รู้ตัวจริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่วะ ถ้าเป็นข้อหลังแสดงว่าชานยอลเป็นคนจิตแข็งสุด ๆ การวางเฉยไม่สะทกสะท้านกับกระแสรักใคร่จากสาวสวย ไม่ใช่ใครก็ทำได้นะ!
“ทุกคนก็เหนื่อยเพราะงานเหมือนกันหมดแหละแต่นานทีจะมีโอกาสสังสรรค์กัน ไปด้วยกันเถอะ ถือโอกาสคลายสมองก่อนสอบด้วยไง” ดวงตาโชรงเริ่มมีประกายความหวัง หญิงสาวมองฮิมชันแทนคำขอบคุณ “นะ ถ้ามึงไม่ไปกูก็ไม่มีเพื่อน ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย”
“แค่ชั่วโมงเดียวนะ”
“ก็ยังดี เนาะ” เด็กหนุ่มหันมาหลิ่วตาให้คนที่ดีใจที่สุด โชรงเม้มปากกลั้นยิ้ม ร่างเล็กรีบเก็บของขณะที่ฮิมชันเริ่มประกาศนัดหมายสำคัญของค่ำคืนนั้น หญิงสาวหลบเข้าไปจัดผมเติมหน้าในห้องน้ำ เมื่อฮิมชันตามมาสมทบพร้อมเพื่อนร่วมงานอีกสี่ห้าคนโชรงก็ยืนยิ้มหวานอยู่ข้างกายชานยอลแล้ว
“ไปกันเลยเถอะ เริ่มหิวอีกรอบแล้วล่ะ” สี่ทุ่มไม่เกินสิบห้านาทีทั้งกลุ่มก็มาถึงร้านที่ฮิมชันแนะนำ แต่เพราะเป็นช่วงสิ้นเดือนลูกค้าจึงเต็มทุกห้อง พวกเขาเสียเวลารออีกเกือบครึ่งชั่วโมงถึงได้ห้องขนาดที่ต้องการ คนหนุ่มสาวเกือบสิบชีวิตเฮกันตามหลังพนักงานไปตามทางเดินมีชานยอลกับโชรงรั้งท้าย ระหว่างที่รอให้คนอื่นเข้าประตูไปชานยอลก็ได้ยินเสียงฮิมชันแหกปากร้องเพลงโปรดดังมาถึงทางเดิน ชายหนุ่มส่ายหัวให้กับความร่าเริงเกินเหตุของมนุษย์หัวทอง
“เบื่อหรือเปล่าคะ”
“ยังไม่ทันได้เริ่มเลยจะเบื่อได้ยังไง”
“ก็ดูชานยอลไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ ฉันกลัวคุณจะไม่สนุก ถ้าทานอะไรเสร็จแล้วไม่อยากดื่มต่อเรากลับกันก่อนก็ได้นะ ฉันเองก็อยู่นานไม่ได้เหมือนกัน” ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบฮิมชันก็ส่งเสียงเรียกมาจากข้างในห้องเสียก่อน คนตัวโตเปิดทางให้โชรงเข้าไปก่อน
ครืด!
ประตูห้องตรงข้ามถูกเลื่อนออกเหมือนกระชาก ดวงตาเรียวยาวมองตรงมา
“...ชานยอล ...มาทานข้าวหรือ?” เสียงและรูปลักษณ์นั้นคุ้นตาจนไม่อาจเดินผ่านไปได้ ชานยอลผงกหัวรับ เลื่อนประตูห้องปิดเพื่อกันเสียงดังภายในเล็ดลอดออกมา “บังเอิญจังเลย เรามาทานข้าวกับเพื่อน(ตอนสี่ทุ่มนี่แหละ) อี้ชิงก็มาด้วยนะ อยู่ข้างใน”
“ครับ ผมมากับเพื่อนที่ทำงานพิเศษ”
“อืม ร้านนี้อาหารอร่อยหลายอย่างนะ แต่ที่มานี่เพราะตั้งใจร้องคาราโอเกะโดยเฉพาะหรือเปล่า” กลีบปากสีชมพูอ่อนเผยยิ้มเย้า ชานยอลบอกว่าเขาไม่ถนัดเรื่องร้องเพลงแต่ถูกเพื่อนลากมาฉลองวันเงินเดือนออก ถึงตอนนี้ประตูด้านหลังชายหนุ่มก็ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้ง เสียงเฮฮาด้านในพุ่งเข้าโจมตี โลกส่วนตัวที่เพิ่งสร้างขึ้นไม่ถึงสองนาทีถูกทำลายย่อยยับ คุณแบคฮยอนกดปลายนิ้วกับขอบประตู มองหญิงสาวร่างเล็กหยุดยืนข้างกายชานยอลโดยไม่พูด
“เจอเพื่อนหรือคะชานยอล” อื้อฮือ วางมือแตะท่อนแขน
“ครับ” คนตัวโตแค่รับคำแต่ไม่ขยายความ โชรงจึงถือเป็นหน้าที่เธอที่จะแสดงความได้เปรียบให้เด็กหนุ่มหน้าสวยคนนี้ได้ประจักษ์
“สวัสดีค่ะ ปาร์คโชรงค่ะ เป็นเพื่อนที่ทำงานพิเศษของชานยอล”
“บยอนแบคฮยอนครับ เป็น...” แบคฮยอนแสร้งสบตาเหมือนรู้กันกับชายหนุ่มแล้วก็จงใจหัวเราะขำ “เพิ่งจะเป็นเพื่อนกับชานยอลวันนี้”
“เพิ่งจะหรือคะ...”
“ครับ ก่อนหน้านั้นเราเป็นอย่างอื่นกันมาก่อน เพิ่งตกลงพัฒนาความสัมพันธ์ที่ห้องสมุดเมื่อตอนบ่ายนี้เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมไปที่ร้านบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเจอคุณโชรงเลย” คุณหนูปิดประโยคด้วยรอยยิ้มละมุนตา ชวนคุยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แม้โชรงจะคล้องสองแขนเข้ากับแขนแกร่งแล้วแต่คุณแบคฮยอนก็ยังยืนห่างออกมาถึงสองก้าว
“คุณเป็นลูกค้าที่ร้านเราด้วยหรือคะ ดีจังเลยค่ะ วันหลังเชิญอีกนะคะ เราสองคนเข้างานเลิกงานพร้อมกันทุกวัน ถ้าคุณไปต้องได้พบกันแน่ ๆ ค่ะ ถ้าเป็นบริการเรื่องหนังสือล่ะก็ทางร้านเราไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน” หากฟังให้ดีจะรู้ว่าคนพูดพยายามดึงชานยอลให้เป็นพวกแล้วจัดให้แบคฮยอนอยู่ในกลุ่มลูกค้าทั่วไป เป็นการสร้างกำแพงที่สูงและแข็งแรงจนคุณหนูหมดสิทธิ์ปีนข้าม
“ครับ ถ้ามีโอกาสจะแวะไป” คุณหนูมองรอยยิ้มหวานที่เคลือบบนใบหน้าสวยแล้วก็สะกดอีกร่างให้สงบลงอย่างยากลำบาก เมื่อวันก่อนเจอแค่ผ่าน ๆ ทันแค่เห็นหน้าไม่ทันรู้เลเวล วันนี้ได้รู้แล้ว ไม่อ่อนเหมือนหน้าหรอก ผู้หญิงคนนี้ห่างไกลคำว่าอ่อนไปหลายขุมเลยล่ะ คุณแบคฮยอนแสร้งมองโทรศัพท์ในมือพอดีกับที่ฮิมชันเปิดประตูออกมา ชายหนุ่มผมทองเอ็ดเพื่อนทั้งคู่ที่ทำให้คนอื่นรอก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อหันมาเจอแบคฮยอนยืนอยู่ไม่ห่าง
“ชานยอลเข้าไปเถอะ เพื่อนมาตามแล้ว เราก็จะกลับเข้าไปเหมือนกัน” จากอ้าปากค้างฮิมชันก็ทำเสียงครางครอก ๆ ในคอ ทำไม ทำไมไอ้ชานยอลมันถึงไม่เคยบอกว่ารู้จักกับรักแรกพบของฮิมชัน!
“แล้วพบกันที่ร้านนะคะ คุณแบคฮยอน” โชรงเหลียวมาทิ้งท้าย มือข้างหนึ่งยังเกาะท่อนแขนแกร่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ แบคฮยอนอาจจะสู้ตายเพื่อชัยชนะแต่ไม่ใช่พวกดันทุรัง เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะเปิดสงครามเย็นต่อหน้าชานยอลวันนี้ ก็ให้ชานยอลอึดอัดกับความเยอะของโชรงแค่ทางเดียวเถอะ แบคฮยอนเป็นคุณหนูซอฟท์ ๆ อยู่วงนอกสวยกว่าเยอะ
หยุดอยู่กับที่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกบุกไปข้างหน้า
“คุณแบคฮยอน...” คนตัวเล็กเผลอร้องกรี๊ดในใจดัง ๆ สะกดจิตตัวเองให้ค่อยหันกลับไปมองต้นเสียง
“ว่า?”
“จะกลับกี่โมงครับ?” ชานยอลต้องการอะไรจากเลือดเนื้อเขา นอกจากจะทำให้คุณแบคฮยอนใจเต้นระทึกแล้วยังทำให้คุณหนูสะใจปิดรายการโดยไม่คาดฝัน โชรงหน้าเสียไปเลยล่ะตอนนี้
“สักพักก็จะกลับแล้วล่ะ คงไม่เกินชั่วโมง” ตอบแล้วก็ รอ รอ ร้อ รอ ให้คนเริ่มเรื่องพูดต่อแต่ชานยอลกลับทำให้แบคฮยอนผิดหวัง ชายหนุ่มเพียงแค่ชวนคุยก่อนจะแยกกัน จากนั้นก็ปล่อยให้โชรงดันหลังเข้าไปในห้อง ผู้หญิงคนนั้นเดินกลับมาดึงฮิมชันกลับเข้าไปแล้วก็ปิดประตูโดยไม่ลืมส่งยิ้มห่างเหินมาให้แบคฮยอน
คนตัวขาวกระตุกยิ้ม ทั้งที่มือเย็นเฉียบแต่เลือดทุกหยดในตัวกลับเดือดพล่าน
“จะเอายังไงต่อ” เสียงเรียบเรื่อยดังมาจากประตูอีกฝั่ง จางอี้ชิงยืนถือไมโครโฟนอยู่ตรงนั้น
“นั่นสิ เอายังไงต่อไปดี” เป็นคำถามที่มีคำตอบอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว
#lovelycb
พี่ชานคนจนเค้าฮอตนะพวกเธอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สมน้ำสมเนื้อออออ555555555555555555555555
ท่าทางชานยอลเองก็ชอบแบคด้วยเหอะ
สู้ต่อไป สู้ สู้ สู้