ตอนที่ 20 : Lovely you : เธอน่ารัก ตอนยี่สิบ
แต่คงมีคนไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น เมื่อชานยอลตื่นจากฤทธิ์ยาในเช้าของวันถัดมาเขาก็เจอของเยี่ยมไข้แขวนไว้หน้าประตูห้อง ชายหนุ่มตั้งใจเอาถุงขยะออกมาทิ้งกลับกลายเป็นต้องวางมันลงแล้วเริ่มต้นสำรวจกล่องสองกล่องที่วางซ้อนกันในถุงกระดาษเนื้อดี กล่องหนึ่งเป็นอาหารคาวอีกกล่องเป็นของหวาน โลโก้ข้างกล่องบอกให้รู้ถึงที่มาและแน่นอน ราคาที่สูงกว่าอาหารในท้องตลาดทั่วไป บนกล่องมีโน้ตเขียนติดไว้ ชานยอลไล่สายตาอ่านตัวอักษรไม่กี่บรรทัดซ้ำไปซ้ำมาราวกับเจ้าของลายมือใช้ภาษาอื่นที่ตนไม่คุ้นเคย
ตราบจนได้ยินเสียงฝีเท้าลงบันไดมาจึงหอบเอาของฝากจากผู้หวังดีกลับเข้าห้อง ของกินได้ชานยอลวางมันไว้บนโต๊ะเล็กส่วนกระดาษแผ่นบางชายหนุ่มสอดไว้ในสมุดเล่มหนึ่ง เล่มเดียวกับที่เขาสอดกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคนเก็บไว้เมื่อเย็นวาน ดวงตาคู่คมเหลือบมองนาฬิกา แม้ยังไม่รู้สึกหิวแต่คำสั่งในกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งก็ศักดิ์สิทธิ์มากพอจะกำกับให้ชายหนุ่มทานมื้อเช้าตรงเวลาได้ ทานข้าวเสร็จจะได้ทานยาแล้วนอนพักต่อ อย่างที่เจ้าของดวงตาเรียวสวยสั่งมากับกล่องข้าว
ชานยอลหลับยาวอีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าจนล่วงเข้าช่วงบ่ายชายหนุ่มให้เวลาร่างกายได้พักผ่อนอย่างจริงจังอาการจึงดีขึ้นอย่างที่หวัง เก็บกวาดหลังมื้อกลางวันเสร็จพอดีกับที่มีเสียงเคาะประตูห้องชานยอลยืดตัวตรง ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่สมควรแต่ก็ห้ามความยินดีเอาไว้ไม่ได้ ขายาวก้าวตรงไปยังต้นกำเนิดเสียง ในสมองจินตนาการเห็นภาพคนตัวเล็กกำลังชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตู เมื่อเขาเปิดประตูออกไปหาคุณแบคฮยอนก็จะส่งยิ้มสดใสมาพร้อมการทักทาย ความมีชีวิตชีวาอันน่าชังนั้นจะทำให้ชานยอลใจอ่อนไม่เป็นรูปร่าง ทั้งที่เตือนตัวเองว่าไม่สมควรแต่ชานยอลก็ยังเปิดประตูออกไปด้วยความหวัง
“ไง”
คิมจงอิน
“ได้ข่าวว่าโดนพิษไข้เล่นงานจนไปทำงานไม่ได้ ดีขึ้นแล้วหรือวะ” เปลือกตาคมกะพริบย้ำสองสามทีก่อนเจ้าของห้องจะปล่อยมือจากลูกบิดแล้วเดินกลับมาทิ้งตัวนอนบนฟูก
“ไปหาหมอมาหรือยัง”
“กูดีขึ้นแล้ว มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่สบาย”
“พี่จุนมยอนบอกกู เอ้านี่ ของเยี่ยมไข้ อาหาร น้ำ ยารักษาโรค มึงอยากได้อะไรนอกเหนือจากนี้หรือเปล่า กูจะออกไปซื้อมาไว้ให้” ชานยอลส่ายหน้าทั้งที่ยังหลับตา เขาไม่ต้องการอะไร ตอนนี้ชานยอลไม่ต้องการอะไรเลยจริง ๆ แม้แต่ใบหน้าเรียว ดวงตาสุกใสหรือรอยยิ้มกระจ่างใจ ไม่ว่าความรื่นรมย์ใด ๆ เขาก็ไม่ต้องการ
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ตัวก็ไม่ร้อนมากนี่ ทำไมทำท่าเหมือนจะตายแหล่มิแหล่ ปวดหัวมากหรือวะ” คนป่วยครางเสียงต่ำ ความคิดแรกนั้นชานยอลอยากให้จงอินเข้าใจอย่างที่คิดดีกว่าให้มันมาซักไซ้ถึงสาเหตุที่แท้จริง แต่ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรืออย่างไร สิ่งที่ไม่เคยกล้าคิดถึงมันจึงแวบเข้ามาในหัว ยิ่งมีโอกาสเป็นส่วนตัวกับเพื่อนสนิทยิ่งเหมือนจะเก็บกลั้นความในใจไว้ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองนัก ถ้าจะลองเอ่ยให้จงอินฟังคุณชายคิมจะมีคำตอบให้ความคับข้องในอกนี้หรือเปล่า
“มึงเป็นอะไรวะ อาการอย่างกับคนเป็นไข้ใจมากกว่าไข้หวัด”
“กูแค่ยังไม่หายเพลีย”
“น้ำผลไม้สักแก้วดีไหมจะได้สดชื่น” ปากเสนอมือก็ค้นหากล่องน้ำผลไม้ รินใส่แก้วที่มีอยู่ไม่กี่ใบแล้วก็ประเคนให้ถึงที่นอน ชานยอลขมวดคิ้ว มองการเอาใจของเพื่อนสนิทด้วยความกังขา ไอ้คุณชายคิมมันไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงบุกมาดูแลคนป่วยอย่างเขาถึงบ้าน ก็รู้กันอยู่ว่ามนุษย์ที่เคยมีแต่คนคอยเอาใจอย่างจงอินไม่เหมาะกับเรื่องทำนองนี้ มันมีอะไรผิดเพี้ยน สะกิดใจ จนชานยอลต้องเอ่ยถาม
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางดูแปลก ๆ” เจ้าของดวงตาคมเข้มปัดมือไปมา สั่นหน้าดิก “ไม่ได้เป็นอะไร กูสบายดี คนที่เป็นคือมึงต่างหาก”
“แล้วทำไมมึงต้องมาเอาใจกู”
“เอ้า! ก็มึงไม่สบาย ในฐานะเพื่อนรักกูก็ต้องดูแล ถูกต้องแล้วไง”
“มึงรู้อยู่แก่ใจจงอิน ที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เจ็บหนักเฉียดตายจริง ๆ ทั้งกูทั้งมึงพี่จุนมยอนหรือเซฮุนไม่มีใครออกอาการประหลาดอย่างที่มึงทำตอนนี้หรอก ไม่โทรมาถามอาการก็แค่หิ้วของมาเยี่ยม ไม่มีใครกุลีกุจอจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้อย่างที่มึงทำ แล้วก็นะ ตั้งแต่เข้าห้องมามึงยังไม่สมน้ำหน้าหรือด่ากูสักคำเลย สรุปมึงเป็นอะไร” โอ๊ย ถ้าแถต่อไอ้คนฉลาดมันจะเหวี่ยงหน้าแข้งมาให้ไหม แต่จะให้บอกได้ไงล่ะว่ากูไม่ได้อยากทำตัวผิดปกติค้าบบบ กูโดนนายใหญ่ชี้นิ้วสั่งมา ถ้ากูไม่ดูแลไม่หาข้าวหาน้ำหรือคอยเตือนมึงให้กินยาอนาคตกูก็จะจบแค่วันนี้แหละ
“หรือมึงแอบทำอะไรลับหลังกูแล้วรู้สึกผิด?” เหี้ย เดาเป๊ะไป
“ไม่มีหรอก มึงนี่เดาไปเรื่อย ป่วยแล้วสมองเพี้ยนด้วยหรือวะ”
“ก็มึงอยากแปลกก่อนทำไม”
“คือ กูไม่ได้แปลกหรอก แต่พอดีว่า ไอ้พวกที่เหลือมันเป็นห่วงแล้วแม่งก็ไม่มีใครว่างมาดูใจมึงสักคน ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนผู้ประเสริฐกูเลยสละเวลามาแทนพวกมัน ทีนี้ อ่า พวกมันก็กำชับให้กูดูแลมึงดี ๆ โดยเฉพาะพี่จุนมยอน แกกลัวว่ามึงจะไม่สบายเพราะทำงานเยอะไปแล้วพี่แกก็ดันเป็นหนึ่งในนายจ้างที่ใช้งานมึงทุกเสาร์อาทิตย์ แกเลยยิ่งรู้สึกผิด กูรับปากทุกคนมาแล้วถ้าไม่ตั้งใจทำอย่างที่พูดก็คงไม่ดี ใช่ไหมล่ะ อีกอย่าง ท่าทางมึงดูเปลี้ย ๆ เพลีย ๆ กูเห็นแล้วสงสาร แค่หาอะไรให้คนป่วยแดกมันไม่เหนือบ่ากว่าแรง กูทำได้” ไม่รู้ว่าเพราะชานยอลยอมรับเหตุผลยืดยาวนั้นหรือเพราะเหนื่อยแทนคนพยายามอธิบาย ชายหนุ่มถึงยอมปล่อยประเด็นสะกิดใจให้ผ่านเลย คิมจงอินมันลื่นตัวพ่อ ลองว่าไม่อยากยอมรับเดี๋ยวมันก็ชักแม่น้ำทั้งโลกมาอ้างให้อีกจนได้
“กูแค่นอนเยอะไป นานแล้วที่ไม่ได้นอนติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนแบบนี้”
“เถอะ นอนแล้วดีขึ้นก็นอนไป อยากได้อะไรก็บอก กูจะนอนอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้แหละ เอาหมอนข้างใบนั้นมาดิ๊” คุณชายตระกูลใหญ่ได้หมอนไปก็ล้มตัวลงนอนพังพาบบนพื้นห้องทันที ไม่สนว่าท่าทางง่าย ๆ สบาย ๆ นั้นจะทำให้เจ้าของบ้านคิดไปถึงใครอีกคน จะว่าไปจงอินเองก็มีฐานะอยู่ในระดับเดียวกันกับคุณแบคฮยอน เป็นคุณชายจากตระกูลมั่งคั่ง มีเงินใช้ไม่จำกัด มีรถนอกขับ แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อดังราคาแพง เรียนอยู่ในสถานศึกษาอันเลื่องชื่อ จุดร่วมเดียวกันที่ชานยอลมีเหมือนทั้งสองคนคือสถานภาพนักศึกษา ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ดูราวกับโลกคนละใบ
ถึงอย่างนั้นการได้เห็นจงอินพาร่างสูงใหญ่มานอนกลิ้งอยู่ในห้องชานยอลกลับไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องแปลกหรือไม่สมควร เพราะอะไรเขาถึงไม่รู้สึกผิดเหมือนตอนเห็นคุณแบคฮยอนปรากฏกายอยู่หน้าห้อง เพราะอะไรชานยอลถึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาทั้งที่พอเป็นอีกคนหนึ่งหัวใจมันกลับร้อนรน กระวนกระวาย...คล้ายความกลัว
เขากำลังกลัวอะไร?
“มีเรื่องอะไรก็บอกกูได้นะ วันนี้กูว่างถึงเที่ยงคืน”
“ทำไมต้องเที่ยงคืน”
“เพราะกูต้องขับรถฟักทองไปรับเจ้าชายจากงานเลี้ยงน่ะสิ เลทไม่ได้ด้วย เดี๋ยวแม่งวีน” ถ้าไม่ถูกหินก้อนใหญ่ทับกลางอกชานยอลอาจมีแก่ใจถามถึงเจ้าชายของเพื่อนแต่ดูเหมือนตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการกลับไปเป็นตัวเองให้เร็วที่สุดและเสียหายน้อยที่สุด
“กูคิดว่ากูอาจกำลัง...ชอบ...คน ๆ หนึ่ง” จงอินสำลักอากาศที่กำลังสูดเข้าปอดทันที คุณชายเจ้าสำอางไอจนไหล่สั่น ควานหาตัวช่วยไปรอบด้าน สุดท้ายก็คว้าเอาแก้วน้ำผลไม้ของคนป่วยมากรอกปากจนเกือบหมด โชคดีที่ก่อนนั้นชานยอลยังไม่ทันได้ดื่มไม่อย่างนั้นอาจมีคนติดไข้ไปจากเขาเพราะการสำลักเป็นเหตุ
“ชอบเหรอวะ ชอบแบบไหน แบบ แบบที่จะเป็นคนรักน่ะหรือ?”
“ไม่รู้สิ กูยังไม่แน่ใจ”
“ใครวะ?” อย่าบอกนะว่า... จงอินกลั้นลมหายใจรอ ทั้งลุ้นทั้งกลัวกับคำตอบ ลุ้นจะได้รู้ว่าใครคือผู้โชคดีที่สามารถสั่นคลอนปณิธานความโสดอันมั่นคงของไอ้หล่อได้ กลัวว่าคำตอบนั้นจะเป็นใครบางคนที่เขารู้จัก(ถ้าเป็นคนไม่รู้จักก็ยิ่งน่ากลัว) จงอินหวั่นเกรงในทุกทาง
“กูรู้จักหรือเปล่า”
“คงไม่ กูขอไม่บอกแล้วกันว่าเค้าเป็นใคร เผื่อเกิดอะไรขึ้นเจ้าตัวเค้าจะได้ไม่เสียหาย” แต่กูอยากรู้ววววววว อยากรู้ยิ่งกว่าความลับใดในโลกกกกกกก เพราะถ้ามึงไม่บอกกูก็จะเดาเป็นคนอื่นไม่ได้นอกจากลูกพี่จอมเพี้ยนของกูนะโว้ย
“แล้วมันเป็นไงมาไง ทำไมถึงไม่มั่นใจ”
“กูไม่รู้ว่าระหว่างกูกับเค้ามันคืออะไร มัน ไม่เหมือนคนอื่น ไม่เหมือนที่กูรู้สึกกับคนอื่น ๆ ไม่รู้สิ...” จงอินขยับเข้าไปใกล้ ถามเสียงหนัก
“ไม่เหมือนยังไงวะ?”
“กูรู้สึกดีทุกครั้งที่เจอหน้าเค้า ได้ยินเสียงเค้า ได้รู้ว่าเค้าอยู่ใกล้ ๆ บางทีไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่แค่คิดว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่กูก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เจอกันแล้วเค้ายิ้มให้มันเหมือน เหมือนมีอะไรสักอย่างกำลังพองตัวอยู่ในอก กูไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่ก็ ประมาณนี้แหละ” จงอินอ้าปากเหวอ โอ้โหเฮ้ย นี่ขนาดมึงไม่รู้จะอธิบายยังไงกูยังเขินจนแทบจะม้วนแทนอีกฝ่ายไปแล้ว ถ้ามึงมั่นใจว่ารักจริงหวังแต่งมึงไม่เพ้อพรรณนาความรู้สึกเป็นโคลงฉันท์กาพย์กลอนเลยหรือวะปาร์คชานยอล
“นั่นมัน ยิ่งกว่าชอบไปแล้วไม่ใช่หรือวะ” ชานยอลถอนหายใจยาว
“ก็กลัวอยู่แล้วว่ามันต้องมีวันนี้”
“กลัวทำไม ฝ่ายนั้นเค้าไม่ได้คิดเหมือนมึงอย่างนั้นหรือ” ก็ไม่น่าจะใช่นะ เท่าที่รู้ช่วงที่ผ่านมาชานยอลมันไม่ได้คลุกคลีกับใครนอกจากเพื่อนที่มหาวิทยาลัยกับเพื่อนที่ทำงานพิเศษแล้วคนที่เพิ่งแทรกเข้าไปในวงจรชีวิตเพื่อนเขาช่วงหลังมานี้ก็มีเพียงคนเดียว คุณแบคฮยอนจอมเอาแต่ใจแล้วก็เจ้าแผนการสุดขอบโลกคนนั้น คนที่แทบจะถวายทุกอย่างให้ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าโลกนี้มีผู้ชายชื่อปาร์คชานยอลอยู่
“เค้าน่ารักนะ” เออ ถ้าแค่หน้าตาน่ะนะ ส่วนนิสัยกู โน คอมเม้นท์
“เป็นคนดี จิตใจดีเลยล่ะ” เหรอ?
“มีน้ำใจกับคนรอบข้าง” เร้ออออออ?
“เห็นท่าทางอ่อน ๆ เป็นคุณหนูหัวสูงแต่ความจริงแล้วไม่ใช่” ใช่เต็ม ๆ เลยล่ะมึงแต่ไม่อ่อนน่ะถูกต้อง “อย่างเรื่องที่เค้าพยายามฝืนทำงานเกินกำลังกูก็ไม่ค่อยชอบ ตอนแรกยังรำคาญด้วยซ้ำไปแต่พอเห็นความตั้งใจจริงแล้วกูก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ ที่มันทำให้กูไม่แน่ใจคือเค้าปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน กูเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่กูได้รับจากเค้ามันคือความพิเศษหรือแค่น้ำใจของเพื่อนให้เพื่อน” ข้อนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ พี่กูเป็นพวกถือชนชั้นเข้าเส้นเลยเถอะ ใครที่แบคฮยอนไม่เห็นว่าสำคัญพอจะสนใจจะกลายเป็นอากาศตั้งแต่เกิดไปจนตาย ความจริงนี้กูขอยืนยัน
“แล้ว ไอ้ข้อดีทั้งหลายแหล่เนี่ย เค้าทำให้มึงซาบซึ้งทั้งหมดเลยหรือวะ สามารถว่ะ”
“อะไรนะ”
“เปล่า ว่าไงล่ะ...” ชานยอลตอบว่าเขาสังเกตด้วยตัวเองทั้งเวลาคู่กรณีอยู่กับเขาและอยู่กับคนอื่น ๆ ไม่ลืมเอ่ยถึงของเยี่ยมไข้ที่ได้รับมาทั้งสองวันพร้อมกับกระดาษโน้ตที่แนบมาพร้อมกัน ข้อความสุดแสนจะห่วงใยใส่ใจเหล่านั้นถึงไม่ใช่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างจงอินมาอ่านก็ต้องเดาความรู้สึกคนเขียนได้อยู่แล้ว
“ความเห็นส่วนตัวนะ ที่เค้าทำมาทั้งหมดนั่นน่ะแสดงว่าเค้าชอบมึงว่ะ ทีนี้ มึงรู้สึกดีกับเค้า เค้าก็เหมือนจะมีใจตอบ แล้วปัญหามันคืออะไร?”
“ปัญหาคือกูไม่อยากชอบเค้า”
“เอ้า! ทำไมวะ” ชานยอลแค่นยิ้ม ลดสายตาลงมองสมุดเล่นหนึ่งก่อนจะตอบเสียงแหบ
“เค้าดีเกินไป”
เหี้ย เหตุผลโคตรคลาสสิกโบราณ!
โถ พ่อคุณ พ่อคนดี พ่อมีจุดยืน พ่อไม่มักใหญ่ใฝ่สูง
อยากได้คนร้าย ๆ ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้
พี่กูน่ะ ของจริงเลยครับเพ่!
“เค้าดีแล้วมันเสียหายตรงไหนวะ มึงอยากได้แฟนนิสัยไม่ดีมารยาทแย่ ไม่พอใจอะไรก็เหวี่ยง วีน ใช้กำลังแถมยังนิยมใช้เงินฟาดหัวคนอื่นแบบนั้น? เดี๋ยว! อย่าเพิ่งเถียง ในฐานะเป็นเพื่อนรักกัน ขอบอกตามตรงว่าไอ้เหตุผลที่ว่าเธอดีเกินไปเนี่ยแม่งโคตรเชยเลยว่ะ สมัยนี้ไม่มีใครเค้าใช้กันแล้ว ถ้ามึงไม่อยากชอบเค้ามึงต้องหาข้ออ้างอื่น หลอกตัวเองด้วยความดีของอีกฝ่าย มึงไปไหนไม่รอดหรอก วัน ๆ คงเอาแต่คิดถึงความดีที่เค้าเคยทำ เสร็จแน่เชื่อกู”
“เสร็จอะไร”
“มึงอยากเสร็จอะไรก็เสร็จอันนั้นแหละ” ชานยอลขมวดคิ้ว ฟังเสียงสะบัด ๆ นั้นแล้วก็อดเพ่งหน้าคนพูดไม่ได้
“ตกลงมึงจะเชียร์หรือจะคัดค้าน” จงอินชะงักมือที่กำลังจัดหมอน สองตามองนิ่งเพียงวัตถุที่อยู่ในมือ พอโดนถามก็ต้องคิดตามคำถามนั้น นั่นสิ เขาอยากทำอะไร เขาต้องการให้เรื่องนี้มันเป็นไปยังไง ทำไมพอถูกไอ้คนจนมันตั้งข้อสงสัยถึงตอบกลับไปทันทีไม่ได้
ควรตอบยังไงถ้าใจไม่ได้ยินดีด้วยเต็มร้อย?
“โอเค กูพูดชวนงงเอง ลืมมันเสียเถอะ แล้วมึงจะทำยังไงต่อไป”
“ไม่รู้” รู้จักกันมาหลายปีดีดัก ชานยอลเคยเป็นคนซื่อตรงอย่างไรทุกวันนี้มันก็ยังเป็นอย่างวันแรกที่เจอ ไม่ก็บอกตรง ๆ ว่าไม่ ชอบก็ไม่มีการวางฟอร์ม แค่เพียงความหวั่นไหวในระยะเริ่มต้นชานยอลยังบอกให้รู้ตามตรงและถ้าเพื่อนเขาบอกว่าไม่รู้นั่นก็หมายความว่าไอ้คนซื่อตรงมันหาทางไปไม่ได้จริง พ่อเป็นคนพูดน้อยแต่ถึงคราวต้องพูดพ่อก็ไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา “กูไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ต้องเลือกทางไหน ไม่ใช่ว่ามันมืดบอดมองทางไม่เห็น มันเห็นนะแต่ไม่รู้ว่าเป็นทางที่ควรเลือกเดินหรือเปล่า”
“มึงกลัว”
“กูกลัว กลัวหลายอย่างเลยล่ะ” น้ำคำยอมรับหมดตัวหมดใจ ใบหน้าคมคายก้มต่ำ ปกปิดดวงตาหวั่นไหว จงอินมองก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรกับใจเพื่อนรักแต่ชายหนุ่มก็เหมือนชานยอล ไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหน
เจ้าของใบหน้าคมเข้มลากตัวเองไปพิงหลังกับผนัง หากจะมองแค่เรื่องของชานยอลกับแบคฮยอน...โดยไม่เกี่ยวกับเขา นอกจากความหลงเพ้อมากมายที่คุณแบคฮยอนทุ่มเทให้ไอ้นักศึกษาจน ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะรับประกันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ ฝ่ายหนึ่งนั้นร่ำรวยทรัพย์สิน เติบโตมาบนกองเงินกองทอง ไม่เคยลงมาคลุกฝุ่นคลุกน้ำมันเครื่องอย่างชานยอล นิสัยหรือก็เอาแต่ใจตัวเองสุดกู่ เจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องถนัดที่สุดคือใช้เงินแก้ปัญหา รองลงมาคือใช้งานจงอิน อย่างที่เขากลัวมาตั้งแต่ต้น แบคฮยอนอาจเห็นไอ้ชานยอลเป็นของยากท้าทายให้ฉกฉวยมาอยู่ในกำมือ วันหนึ่งเมื่อสมใจอยากแล้วคุณหนูตัวร้ายอาจลืมตาขึ้นมาแล้วนึกเบื่อชานยอลก็เป็นได้ จงอินไม่ได้กล่าวหาแต่ที่ผ่านมามักจะเป็นแบบนั้น หนนี้ความหลงใหลเกิดขึ้นกับตัวบุคคลที่มีหัวใจมิใช่วัตถุสิ่งของ แถมคน ๆ นั้นยังเป็นคนดี เป็นเพื่อนสนิทของเขา จงอินไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะแนะนำให้ชานยอลเลือกทางไหน ยิ่งมารู้ว่าเพื่อนผู้ใจแข็งติดกับลิตเติ้ลเดวิลไปแล้ว เขายิ่งรู้สึกปั่นป่วนในอก
“ทำไมวะชานยอล มึงเคยพูดไม่ใช่หรือว่าไม่พร้อมมีแฟน ตราบใดที่ยังไม่มั่นใจว่าจะดูแลอีกฝ่ายได้เต็มที่มึงก็ไม่อยากรับใครเข้ามาในชีวิต แล้วทำไม ชั่วระยะเวลาแค่สามเดือน...หรืออาจจะน้อยกว่านั้นอีก อะไรทำให้มึงเปลี่ยนเจตนารมณ์ได้”
“เพราะอะไรหลาย ๆ อย่าง รู้ตัวอีกทีกูก็เกือบลืมทุกเงื่อนไขของตัวเองไปแล้ว” ชานยอลแถมรอยยิ้มละมุนให้คนฟังขนแขนลุกซู่ จงอินไม่เคยเห็นกับตาเวลาญาติผู้พี่อยู่กับชานยอลเลยไม่ค่อยเข้าถึงคำชื่นชมนั้น หากชายหนุ่มมั่นใจเรื่องหนึ่ง งานนี้ท่าจะกู่กลับยากแล้ว
“มึงเลยต้องมาทุกข์ใจ อยากชอบเค้าแต่เค้าก็ดีเกินไปสำหรับมึง ไอ้ครั้นจะตัดใจก็ทุกข์กว่าอีก กูเข้าใจถูกไหม” ไอ้คนต้นเรื่องมันยังนั่งมองกระดาษแผ่นเล็กไม่ขยับ จงอินเลยได้ฤกษ์ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ อึดอัดในอก ถ้าไม่เผาออกไปกับควันนิโคตินเสียบ้างเขาอาจอาการหนักกว่าไอ้ชานยอลมัน
“กูก็คนโสด ไม่เคยจะมีความรักลึกซึ้งกับใครเค้า” ไม่นับที่ควงไปมาทุกวันนี้ การคบหาของจงอินล้วนแต่เป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย ด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย ไร้การผูกมัดโดยสิ้นเชิง คนเดียวที่ชายหนุ่มต้องทุ่มเทความสนใจความรู้สึกให้มากที่สุด มากกว่าใครคือคุณแบคฮยอนซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีว่าไม่ควรเอ่ยออกไป “แต่ถ้า อีกฝ่ายเค้ามีใจให้มึงเหมือนกัน กูก็เห็นด้วยที่มึงจะให้โอกาสตัวเอง”
“ถึงแม้ว่าโอกาสนั้นมันจะดึงให้เค้าตกต่ำลงมาอย่างนั้นหรือ”
ที่ปรึกษาดูดควันเข้าปอดไปอีกหนึ่งครั้งยาว ๆ
“มึงอย่าเพิ่งไปคิดเรื่องนั้นเลย ถ้าคนที่มึงชอบไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบตกไม่ตกเค้าคงเลือกได้เอง มึงไม่ต้องไปกังวลแทนคนอื่นเค้าหรอก ชีวิตคนเราจะอยู่ได้อีกกี่ปีกันวะ อะไรที่มันทำให้มีความสุขก็ฉกฉวยเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ มัวแต่คิดเรื่องดีไม่ดีเหมาะไม่เหมาะชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องทำห่าอะไรแล้ว อีกอย่างนะ ถ้าเค้าใจตรงกับมึงความสุขของเค้าก็คือการมีมึงอยู่ด้วย ไม่ใช่การถูกคนที่รักทอดทิ้งเพราะความเหมาะสม”
แค่อยู่ใกล้ มีประโยชน์บ้างบางคราว ไม่ต้องคิดถึงอยู่ตลอดเวลา เอาแค่เวลาที่ต้องการใครหรือต้องการอะไรแล้วจะได้รับการนึกถึงเป็นคนแรก แค่นั้นก็พอแล้ว
“มึงก็ไม่ได้โง่ แค่ความสุขของตัวเองคงจัดการได้นะ”
จะดราม่าไปไหนนนนนน!
ให้คำปรึกษาคนอื่นแล้วตัวเองก็มานั่งถอนหายใจทิ้งขว้างอยู่ตามลำพัง จงอินจิ๊ปาก เสยผมแรงๆ ก่อนจะกระชากรถออกจากที่จอด ชายหนุ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกคล้ายการทำสมาธิ หวังอย่างยิ่งว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้กลุ่มหมอกควันหนาทึบในอกเจือจางลง แสงไฟจากตึกเล็กใหญ่ ร้านรวงข้างถนน ผ่านสายตาไปเป็นเส้นสายแสบตา ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายไม่ต่างกับความรู้สึกเขา จงอินแม่งโคตรจะเกลียดตัวเองในเวลานี้จริง ๆ
“เป็นยังไงบ้าง?” ร่างเล็กส่งตัวเองเข้ามานั่งข้างคนขับ ประตูยังปิดไม่ทันสนิทด้วยซ้ำตอนเสียงแหบใสโพล่งประโยคแรก จงอินหยิบกระดาษซับแตะลงบนปลายจมูกคนเป็นพี่ ตอบเอื่อย ๆ
“ก็ดี รถไม่ติด”
“เดี๋ยวจะโดน ใครเค้าถามถึงสภาพการจราจรกัน” เจ้าของกลิ่นหอมอ่อน ๆ จิ๊ปากแถมท้าย มือดึงเนคไทออกจากคอตาก็จับใบหน้าสารถีไม่วาง จงอินกวาดตามองลูกผู้พี่ในมาดคุณชายแบคฮยอนผู้เพียบพร้อมแล้วก็ละมือจากใบหน้าเนียน ชายหนุ่มติดเครื่องยนต์พลางคิดถึงเพื่อนสนิท ถ้าชานยอลได้มาเห็นคุณแบคฮยอนตอนออกงานสังคมแม่งคงกลุ้มหนักกว่าเดิม
“มันหายดีแล้ว”
“มันไหน?”
“พณฯ ท่านนายเหนือหัวปาร์คชานยอลอาการดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้ท่านจะไปเรียนที่คณะ ไปทำงานพิเศษที่ร้านหนังสือตามปกติครับผม พอใจหรือยัง?” อาการเชิดจมูกลอย ๆ คงตอบแทนได้ว่าคุณหนูพอใจมาก จงอินระบายลมร้อนผ่านริมฝีปาก พารถผ่านแยกไฟแดงมาได้สองสามแห่งก็เป็นอันต้องละความสนใจจากสภาพการจราจร ชายหนุ่มมองศีรษะเล็กที่ซุกซบลงมาแล้วก็รีบอังฝ่ามือกับหน้าผากเล็กทันที มือแตะต้องอ่อนโยนแต่ปากกลับให้เสียงไปคนละทาง
“หน้ามีแต่เหงื่อเสื้อเปื้อนหมด”
“ไม่มี เช็ดออกหมดแล้วไง”
“เป็นอะไร รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า” แบคฮยอนส่ายหน้า
“นายต่างหากเป็นอะไร เงียบตั้งแต่ออกจากโรงแรมจนจะถึงบ้านอยู่แล้ว ลิ้นไก่อักเสบหรือเปล่า” ก็รู้แหละว่าเป็นห่วง แถมอาการเอาแก้มมาเบียดหัวไหล่ก็แปลได้อีกอย่างว่ากำลังเอาใจ จงอินเลยต้องชั่งใจอีกครั้ง เขาควรจะบอกแบคฮยอนเรื่องความรู้สึกของชานยอลแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยาก...จงอินก็ไม่สนใจจะค้นหาด้วยว่ามันเป็นเพราะอะไร แค่ไม่อยากเล่า ไม่อยากให้พี่ชายตัวแสบได้ใจ ไม่อยากได้ยินแบคฮยอนเอาแต่พร่ำเพ้อถึงชานยอล
“เปล่า แค่ง่วง เมื่อคืนนอนน้อย”
“จอด ๆ ๆ ๆ ง่วงไม่ขับ สลับมือด่วน”
“ไม่เป็นไรน่า อีกนิดเดียวก็จะถึงคอนโดแบคฮยอนอยู่แล้ว ผมขับได้”
“ได้แน่นะ” พอคนน้องพยักหน้ายืนยันแบคฮยอนก็ไถเอาจมูกมาชนหัวไหล่ดังเดิม
“งั้นคืนนี้นอนด้วยกันที่ห้องเลยนะ ไม่ต้องกลับบ้านใหญ่หรอก ขับรถคนเดียวกลางคืนอันตรายจะแย่ นะ นะ นะ” สุดท้าย จงอินก็สรุปว่าเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากเกินไป นอนดึกแต่กลับถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้า ออกไปซื้อของเป็นเพื่อนพี่ชาย ไปเฝ้าไข้เพื่อนสนิท ถกเรื่องหนักสมองกับมันจนดึกดื่น เที่ยงคืนยังต้องขับรถมารับคุณชายแบคฮยอนกลับบ้าน ถ้าเขาจะอยากอยู่กับตัวแสบให้นานกว่านี้ อยากวางเรื่องของชานยอลเอาไว้ก่อน ก็คงเป็นเพราะระบบความคิดทำงานหนักจนล้า
เท่านั้นจริง ๆ
#lovelycb
คอยดูพี่ชานตอนหน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หวงพี่หรืออะไรแง
คุณคิมหลงรักลูกผู้พี่รึป่าวง่าาาา
น้องสนิทคิดไม่ซื่อแล้วงานนี้