ตอนที่ 12 : Lovely you : เธอน่ารัก ตอนสิบสอง
คุณหมอที่แบคฮยอนไม่คุ้นหน้า(เพราะไม่ใช่นายแพทย์ประจำตระกูล)วินิจฉัยว่าเด็กหนุ่มแพ้สารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับสารฟอกขาวทุกชนิด แบคฮยอนนั่งมองนายแพทย์วัยกลางคนตัดแต่งผิวหนังที่หลุดลอกโดยไม่พูดอะไรสักคำ คนตัวเล็กอดทนไม่ปริปาก วางหน้าเฉยเหมือนไม่เจ็บปวดทั้งที่เผลอสะดุ้งหลายครั้ง และเพราะมัวแต่มองกรรไกรปลายแหลมเลยไม่เห็นว่าทุกครั้งที่ไหล่เล็กกระตุกคิ้วเข้มก็จะย่นเข้าหากันทุกครั้งไป พอผ่านพ้นขั้นตอนการทำแผล เด็กหนุ่มก็เริ่มซักถามคุณหมออย่างละเอียด พยายามชักนำให้ทั้งแพทย์และผู้ชายหน้าดุเห็นว่าอาการแดงและผิวหนังชั้นนอกลอกบางจุดนั้นไม่ได้ร้ายแรงแต่อย่างใด ตนยังสามารถทำงานตามปกติได้
แบคฮยอนทั้งหว่านล้อมทั้งกดดันจนคุณหมอต้องยอมให้ทำงานแต่มีข้อแม้ว่าจะต้องสวมถุงมือยางทุกครั้งที่ต้องทำหน้าที่ซักล้างหรือทำความสะอาดอีก คุณหนูโล่งใจไปหนึ่งเปราะ นั่งรอคนตัวโตเดินไปรับยาให้อย่างสงบเสงี่ยม
“ค่ายาเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเอาใบเสร็จไปเบิกกับทางร้านได้” แสดงว่าชานยอลจ่ายเงินให้คุณแบคฮยอนก่อนอ่ะดิ สองมือเล็กตบกันแปะ ๆ คุณหนูแอบอมยิ้มอยู่หลังฝ่ามือแต่พอช่วงขายาวก้าวเข้ามาใกล้เก้าอี้ที่นั่งก็รีบเม้มปาก ทำหน้าซื่อตาใสทันที
“กลับกันเถอะครับ ผมจะไปส่ง”
“อ้าว แล้วไม่ต้องกลับไปทำงานหรือ”
“ผมกลับแต่คุณแบคฮยอนต้องพักก่อน ไปกันเถอะ”
“เรายังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ อยากกลับไปทำงานต่อ ชานยอลให้เรากลับไปที่ร้านด้วยไม่ได้หรือ?” ชานยอลไม่ยอมใจอ่อน ชายหนุ่มเมินสายตาอ้อนวอนเพราะรู้ว่านั่นคือทางที่ดีที่สุด
“ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอกครับ ผู้จัดการอนุญาตให้คุณพักแบบไม่มีกำหนด หายดีเมื่อไหร่ค่อยกลับไปทำงานใหม่”
คนตัวโตกว่าชี้แจงแล้วก็เดินนำกลับมาที่รถ ขามาโรงพยาบาลชายหนุ่มขับรถแบคฮยอนมาแล้วตอนนี้เขาก็กดรีโมทเปิดประตูรอร่างเล็กเข้าไปนั่ง แบคฮยอนมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเดินอ้อมรถไปอีกด้านพลางครุ่นคิด อาการเจ็บป่วยของคุณแบคฮยอนไม่สะเทือนกำแพงแข็งแกร่งในใจนั้นเลยหรืออย่างไรนะ ชานยอลถึงได้ดำรงความสุภาพห่างเหิน ไม่ยิ้มหัว ไม่ยอมใจดีด้วยเหมือนวันเก่า อย่างน้อยก็โกรธหรือดุคุณแบคฮยอนเหมือนเมื่อชั่วโมงก่อนก็ยังดี
“ไม่ได้เรื่องเลย”
“คุณว่าผม?”
“เปล่า” หัวกลมส่ายไปมาช้า ๆ “เราว่าตัวเองต่างหาก ทำงานวันแรกยังไม่ทันครบชั่วโมงก็ทำตัวเองเจ็บแถมยังเดือดร้อนคนอื่นไปทั่ว เฮ้อ คนอื่น ๆ จะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้ พวกเค้าต้องคิดว่าบยอนแบคฮยอนเป็นพวกหยิบโหย่ง มือบางเท้าบาง ทำอะไรไม่เป็นไปแล้วแน่ ๆ” เบือนหน้าไปทางด้านนอก หลบเข้าหาความมืดเสียหน่อย ภาพที่คนตัวโตเห็นจึงดูเศร้าซึมเสียเหลือเกิน
ฟ้าดินย่อมรู้ดี ความสำเร็จไม่ใช่รางวัลของผู้ที่ยอมแพ้ แบคฮยอนต้องพยายามให้มากขึ้น สี่ห้าครั้งแรกไม่สำเร็จเขาก็จะพยายามถึงครั้งที่หกครั้งที่เจ็ด ตราบใดยังมีแรงฮึด มากกว่าสิบเขาก็จะสู้ อ้อนไม่ได้ อ่อนไม่ได้ มันก็ต้องลองทางอื่น ยังไงก็คงจับจุดอ่อนคนดีเค้าได้สักทางแหละน่า
“ทั้งที่เราตั้งใจมากแท้ ๆ”
“ทำไมถึงอยากทำงานนัก บอกผมได้ไหม”
“เรากำลังเก็บข้อมูล ต้องเขียนเรื่องสั้นขนาดยาวส่งอาจารย์ที่ภาค เราอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตนักศึกษาที่ทำงานพิเศษคู่กันไปด้วย จะนั่งเทียนเขียนก็กลัวไม่สมจริงเลยต้องลงสนามหาประสบการณ์โดยตรง จะได้ทั้งข้อมูลและความรู้สึกร่วมของตัวละครด้วย งานชิ้นสำคัญต้องทำให้ดีที่สุด...ตั้งสามสิบคะแนนเชียวนะ ตัดเกรดได้เลย”
“แค่นั้นหรือครับ”
“อีกส่วนหนึ่งก็...อย่างที่ชานยอลคิดนั่นแหละ เราตั้งใจจะหาเงินเพื่อชดใช้ค่าเสียหายเรื่องรถเวสป้า นายบอกว่าเงินที่ได้จากผู้ปกครองไม่มีค่าเราเลยจะทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เราก็พยายามอย่างที่เคยบอกแล้วไง สรุปคือสองความจำเป็นมันบรรจบกันพอดี เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ชานยอลต้องรู้แน่ ๆ คนตาคมคงมั่นใจด้วยซ้ำว่าเหตุผลข้อหลังนี้คือข้อหลักของคุณแบคฮยอน เขาไม่สนใจความจำเป็นเรื่องเรียนเลยแม้แต่น้อยแต่กลับพุ่งประเด็นไปยังเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองโดยตรง
“คุณแบคฮยอน ผมไม่ได้อยากให้คุณต้องลำบากเพื่อเรื่องนั้น รถผมผมซ่อมเองได้แล้วผมก็ซ่อมเสร็จแล้วด้วย คุณอย่าฝืนตัวเองเลย มันไม่จำเป็น”
“มันจำเป็นที่สุดต่างหาก” จำเป็นกับทั้งชีวิต ทรัพย์สิน หัวใจ ตับไตไส้พุง ถ้าไม่ทำงานนี้คุณแบคฮยอนอยู่ไม่เป็นสุขไปทั้งชีวิต(โสด)แน่นอน
“ไม่ดื้อได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ดื้อ แต่ตอนเกิดเรื่องนายไม่ยอมให้เราส่งรถไปซ่อม เราก็ยอมรับความต้องการนั้น แล้วตอนนี้เราจะทำตามความตั้งใจของเราบ้าง นายต้องยอมรับสิ คืนนั้นก็บอกไว้แล้วนี่” ยิ่งกว่าดื้อ มากกว่ารั้น เอาแต่ใจกันหน้าซื่อ ๆ เลยต่างหาก ชานยอลแทบจะกระแทกลมหายใจใส่ไฟท้ายรถคันข้างหน้า เรื่องเจตนาดีก็พอฟังขึ้นอยู่หรอกแต่เคยมองตัวเองบ้างไหม ตัวเล็กได้ครึ่งเดียวของเขา ผิวเนื้ออ่อนบางราวกับจะขึ้นรอยช้ำได้เพียงแค่แตะต้อง เรื่องพละกำลังนั้นไม่ต้องพูดถึงชีวิตคุณหนูที่ไม่เคยกรำงานหนักจะเอาแรงที่ไหนมาขนหนังสือแล้วก็เดินไปเดินมาในร้านทีละหลาย ๆ ชั่วโมงได้ ชานยอลคุ้นเคยกับงานที่ร้าน รู้ดีว่ามันเกินกำลังคนตัวเล็กแน่ รู้ว่าอีกฝ่ายต้องลำบากเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุจะให้เขายอมอยู่เฉยได้อย่างไร
“ถ้ารั้นจะทำต่อไปร่างกายคุณจะรับไม่ไหว”
“เราไหว เห็นแบบนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอหรอก” ชานยอลไม่เชื่อแม้แต่น้อย นอกจากไม่ใจอ่อนแล้วเขายังแย้งทันที “แต่ก็มือเจ็บตั้งแต่วันแรก เท่านี้ก็รู้แล้วว่าร่างกายคุณไม่เหมาะกับการใช้แรงงาน ถ้าฝืนมากกว่านี้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ผมจะรู้สึกยังไง”
“รู้สึก...ยังไง...หรือ? ทำไม...” คุณหนูเกร็งตัวขึ้นจากเบาะ รู้สึกเหมือนตัวจะลอยจนต้องยึดเบาะเอาไว้มั่น ชานยอลพูด พูดเหมือนเป็นห่วงเราอย่างนั้นแหละ
“ทำให้คนอื่นต้องลำบากเพราะตัวเอง ไม่มีใครสบายใจหรอกครับ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเพื่อนมันก็ยิ่งไม่ควร คิดให้รอบคอบอีกครั้งเถอะครับ อย่าทรมานตัวเองเพราะเรื่องที่ผ่านไปแล้วเลย”
“ไม่ เรื่องมันยังไม่ผ่านไปจนกว่าเราจะจ่ายค่าซ่อมมอเตอร์ไซค์คืนชานยอลได้”
“คุณแบคฮยอน” การให้ความสำคัญกับสิ่งที่อีกฝ่ายรักและหวงแหนคือสิ่งที่คุณหนูควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เขาควรใส่ใจชานยอลในทุกรายละเอียด มองข้ามไม่ได้และต้องตั้งใจกับมัน
“นะ ให้เราช่วยเถอะ ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้แค่ครึ่งหนึ่งก็ยังดี เราสัญญา ถ้าเก็บเงินครบแล้วเราจะเลิกทันที”
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหานะ”
“แล้วปัญหามันคืออะไรเล่า”
“คุณไม่ได้ยินที่ผู้จัดการบอกหรือ ถ้าจะทำงานที่นั่นคุณต้องเรียนงานกับผม แล้วพวกเราต้อง...” อ้าว แล้วจะหันหน้าไปทางอื่นทำไม พูดต่อสิ เรารอฟังอยู่
“พวกเราต้องอะไร?”
“ช่างเถอะ”
“ชานยอล” แล้วกัน คนเค้ากำลังตั้งใจฟัง หยุดพูดไปเฉย ๆ ซะงั้นแหละ “ขอบใจมากนะ เราสัญญา...อีกข้อก็ได้ เราจะดูแลตัวเองให้ดี ๆ ดีที่สุดเลย ชานยอลไม่ต้องห่วงนะ หรือถ้าชานยอลห่วง ชานยอลก็คอยช่วยเราสิ เพราะยังไงเราก็ทำงานด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ นะ โอเคนะ”
“ไม่ว่ายังไงผมก็คงห้ามคุณไม่ได้” เสียงที่ต่ำอยู่แล้วยิ่งฝังลึกลงไปในคอมากกว่าเก่า มือหนาตบพวงมาลัยพารถเบนซ์สีขาวแล่นไปยังทางออก
“อย่าทำเสียงเครียดสิ เราอยากทำงานกับชานยอลแบบสนุก ๆ นะ เอาเป็นว่าถ้านายลำบากใจ เราจะขอเปลี่ยนพี่เลี้ยงก็ได้ แต่ไม่ใช่เราเรื่องมากหรืออะไรนะ เรารู้ว่านายงานหนักกว่าคนอื่นอาจไม่ค่อยสะดวก บางทีคิมฮิมชันหรือคุณโชรงอาจจะพอว่างสอนเราได้”
“อยากให้ฮิมชันสอนงานหรือครับ?” คุณแบคฮยอนส่ายหน้า ก้มมองมือทั้งสองข้างพลางตอบเสียงใส
“อยากให้ชานยอลสอน”
“............”
“แต่ถ้าชานยอลไม่สะดวกจะเป็นใครก็ได้”
“ทำไมล่ะครับ?”
“บอกแล้วว่าอยากได้เงินกับข้อมูลไปเขียนงาน”
“ผมหมายถึงทำไมต้องเป็นปาร์คชานยอล?” คนตัวขาวแทบสำลักอากาศ เปลือกตาสีอ่อนกะพริบปริบ ๆ แบคฮยอนมองทะลุกระจกหน้ารถออกไปไกล หัวใจดวงเล็กกระตุกรุนแรงส่งผลให้ชาไปทั้งร่าง แม้แต่ปลายนิ้วคุณหนูก็ไม่ยอมขยับ กลัวเหลือเกินว่ามันจะกลายเป็นชนวนให้จิตหลุดแล้วหันไปเบิกตาโตใส่คนถาม
“ว่ายังไงครับ?”
“เอ่อ ก็ ก็เรารู้จักชานยอลคนเดียว คนอื่น ๆ นั้นเคยเจอบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมด้วย อีกอย่าง อยู่กับชานยอลสนุกกว่าอยู่กับคนอื่น สบายใจกว่าด้วย” หางตาคมชำเลืองผ่านมาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคใดสุดท้ายแล้วชานยอลถึงยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ เขาไม่ท้วงเรื่องใดอีกแต่ไปส่งคุณหนูถึงหน้าห้อง ดวงตาสีเข้มมองมือขาวที่ยังเหลือรอยแดงจาง ๆ แล้วก็ย้ายไปหาดวงหน้าเรียวสวย อ้อยอิ่งทิ้งเวลาคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องใหญ่หลวงอยู่ในใจ
“เข้ามาดื่มอะไรก่อนไหม?”
“ผมต้องกลับไปทำงาน” กลีบปากบางแตะเข้าหากันซ้ำ ๆ คนหล่อมองเรานานแล้วน้าาา คิดอะไรอยู่ คุณแบคฮยอนเริ่มจะเขินแล้ว ไม่กล้าสบตาด้วยแล้วนะจะบอก
“คุณแบคฮยอนเข้าไปพักผ่อนเถอะ”
“อือ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ ขอบใจที่พาไปหาหมอนะ”
“อยู่ได้ใช่ไหมครับ...คนเดียว...” โอ๋ย อยากจะบอกว่าไม่ได้ อยากให้คนหล่ออยู่ด้วย ไม่อยากให้กลับไปแต่กลัวจะเป็นการให้ท่าเกินไป บทนายเอกอ่อนแอมันไม่ค่อยเหมาะกับแบคฮยอนเท่าไหร่ เล่นไปเขาจะรำคาญตัวเองเสียเปล่า เอาเป็นว่าวันนี้จะหักห้ามใจ ปล่อยชานยอลกลับไปทำงานก็แล้วกัน
“เราอยู่ได้ ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” เจ้าของดวงตาคมเขามองอยู่อีกอึดใจเล่นเอาคุณหนูคนกล้าเริ่มถอยกลับไปสู่โหมดเมื่อแรกพบ อีกนิดเดียวแบคฮยอนก็จะแทรกร่างหายไปกับกรอบประตูแล้วพอดีว่าอีกคนเขายอมถอยไปเสียก่อน เจ้าของบ้านดันประตูปิดพร้อมรอยยิ้มเขิน อะไรของเค้านะ บทจะไม่มองหางตาก็ไม่ยอมชายแล พอจะมองก็เล่นเอาเราเหมือนอ่อนเปลี้ยเสียขา
น่าปล้ำแล้วยังเดาใจยากที่สุดอ่ะว่าที่แฟนคุณแบคฮยอน >/////<
ฝนตกตั้งแต่หลังมื้อกลางวัน เมฆที่ลอยครึ้มมาตั้งแต่เช้าหายไปแล้ว อากาศเย็นสดชื่นเพราะลมหอบเอากลิ่นหอม ๆ พัดมาปะทะใบหน้าและผิวกาย หลายคนถือว่านี่เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของตน หนึ่งในนั้นก็รวมถึงโชรงด้วย หญิงสาวร่างเล็กเดินกางร่มพลางฮัมเพลงด้วยความสุขใจ สองวันแล้วที่หล่อนมีความสุขจนสามารถร้องเพลงได้แบบนี้ โชรงส่งยิ้มหวานให้แปลงดอกไม้หน้าสถานีรถไฟ หญิงสาวเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาที่ใครบางคนจะมาทำงานแล้ว ชานยอลไม่เคยมาสายเหมือนที่หล่อนไม่เคยพลาดช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับเขาก่อนเริ่มงาน
โชรงคิดถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วก็นึกขอบคุณสวรรค์ เป็นคราวซวยของไอ้เด็กไฮโซนั่นแต่ถือว่าเป็นโชคของหล่อน บยอนแบคฮยอนแพ้น้ำยาทำความสะอาดซะจนมือเปื่อยต้องพักรักษาตัวแบบไม่มีกำหนด ไม่มีกำหนดหรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือเลิกทำนั่นแหละ หล่อนหงุดหงิดตอนที่เห็นชานยอลจูงคู่แข่งออกไปจากร้านแต่เมื่อเขากลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงพร้อมข่าวดีโชรงก็มีแรงปั้นหน้าเห็นอกเห็นใจแบคฮยอน หนำซ้ำหลังจากนั้นชานยอลก็ไม่เคยเอ่ยถึงเจ้าเด็กตาตี่อีกยิ่งทำให้โชรงอารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
โชรงคิดถึงใบหน้าคมคายแล้วก็ยิ่งอยากให้ถึงที่ทำงานเร็ว ๆ เร่งฝีเท้าทำเวลาแต่กลายเป็นว่าหล่อนลืมระวังเดินชนคนที่เดินอยู่ก่อนหน้า ข้าวของที่คน ๆ นั้นถือมาหล่นกระจายไปบนทางเท้า โชรงได้ยินเสียงครางในลำคอก็รีบพับร่มเก็บแล้วก็ก้มลงช่วยอีกฝ่ายเก็บของ
“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันเดินไม่ดูเลยชนคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ” หล่อมาก! วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีสุด ๆ ของโชรงแน่ พระเจ้าคงจะเห็นใจหล่อนหลังจากที่ทรงมองข้ามมาพักใหญ่ถึงส่งผู้ชายหน้าตาดีมาทำให้หล่อนใจเต้นตั้งแต่หน้าร้าน
“มีอะไรเสียหายหรือเปล่าคะ” ชายหนุ่มผู้นั่นยิ้มแล้วตอบอย่างสุภาพ
“ไม่มีครับ” เสียงเขาทุ้มเชียวล่ะ หน้าตาดีพอกับชานยอลเลยถึงจะคนละแนวแต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่า ดูเอาเถอะ หล่อนยืนคุยกับเขาตรงนี้ไม่ถึงนาทีมีแต่ผู้หญิงเหลียวมอง โชรงแอบคิดว่าเป็นโชคของหล่อนจริง ๆ แล้วสิ ดวงตากลมโตมองกวาดครั้งเดียวก็ระบุคลาสของเจ้าของดวงตาคมเข้มได้ทันที ลูกคนรวยชัวร์
“คือ หนังสือคุณเหมือนจะเปียกน้ำ ฉันซื้อเล่มใหม่แทนดีไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เปียกมาก”
“จะดีหรือคะ”
“ครับ ขอตัวนะครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ต่อความยาว ส่งยิ้มย้ำการเอ่ยลาแล้วก็เดินจากไป โชรงมองตามแล้วก็ยกยิ้ม รูปหล่อ พูดจาสุภาพแถมยังใช้ของแพง นี่ถ้าไม่ติดว่ามีชานยอลคือเป้าหมายอันดับหนึ่งรออยู่ในร้านหล่อนจะลองวางเบ็ดดักเอาไว้เป็นเป้าหมายอันดับสองดู
“โชรง มาเร็วเหมือนเดิมเลยนะ”
“แต่ก็ยังช้ากว่านาอึนนะ มาถึงนานแล้วหรือ?” นาอึนหัวเราะร่าเริง
“นานแล้วจ้ะ วันนี้ฉันเข้ากะเช้า กำลังจะกลับแล้ว” ทักทายเพื่อนแล้วก็เก็บของ หยิบหนังสือมาอ่านได้สองสามหน้าคนที่เฝ้ารอก็เดินเข้ามาทางประตูด้านหลัง เรือนร่างสูงเพรียวสวมแจ๊กเก็ตสีดำทับชุดฟอร์มของทางร้าน เชิ้ตสีน้ำเงินเข้มเข้ากับชายหนุ่มได้อย่างพอดียิ่งสวมกับกางเกงสีเข้มขนาดเหมาะกับตัวยิ่งเสริมให้ชวนมอง ใบหน้าได้รูปไม่เคยยินดียินร้ายกับสิ่งใดมากไปกว่ารอยยิ้มสุภาพ มนุษย์ที่ไม่ปรารถนาจะผูกสัมพันธ์กับใครถ้าหากวันหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจมีความรัก ไม่มีใครสงสัยหรอกว่าคนที่ได้ชานยอลไปจะน่าอิจฉาแค่ไหน
“ชานยอล แถวบ้านฝนตกไหมคะ”
“ลงนิดหน่อย พอให้พื้นถนนชื้น วันนี้มีแค่เราสองคนหรือ?” เป็นแบบนั้นได้ก็ดี แต่พาร์ทไทม์ที่รับผิดชอบแผนกเดียวกับหล่อนกับชานยอลยังมีหมอนั่นอีกคนน่ะสิ
“ชานยอล! มึง พวกกะเช้าบอกว่าคุณแบคฮยอนมาทำงานกับเราจริงหรือเปล่าวะ” โชรงทำหน้าเบื่อกับรูปนางแบบในหน้านิตยสาร ฮิมชันนี่ก็หน้ามืดตามัวดูไม่ออกหรือไงว่าคนอย่างเจ้าเด็กหัวสูงนั่นไม่มีทางลดตัวลงมามองตัวเองหรอก เป้าหมายของแบคฮยอนคือชานยอลทำไมถึงไม่รู้ตัวสักที คนอะไรถูกปฏิเสธมาแล้วยังตื่นเต้นมีความหวังอยู่ได้
“เฮ้ย ตอบกูหน่อยสิ เรื่องจริงหรือพวกนั้นอำกูวะ”
“จริง”
“...มึง...มึงคงไม่อำกูนะ”
“ผู้จัดการเดินมาโน่นแล้ว ไปถามดูสิ” ฮิมชันไม่ทำตามคำแนะนำ ชายหนุ่มมีความผิดติดตัวฐานมาทำงานสายหลายครั้งและล่าสุดยังลางานไปสามวันติดต่อกัน เห็นผู้จัดการเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้องพักฮิมชันก็หลบวูบเข้าหลังชานยอล หวังใช้ความดีงามของเพื่อนบดบังสายตาผู้จัดการใหญ่แต่กลับกลายเป็นว่าชานยอลคือเป้าหมายหลักของผู้จัดการยูแจซอก
“ชานยอล ขอคุยอะไรด้วยหน่อย ยังไม่ถึงเวลาเข้างานใช่ไหม” ลองผู้จัดการใหญ่ลงมาหาถึงห้องพักแสดงว่าคงเป็นเรื่องใหญ่สมตำแหน่ง โชรงละความสนใจจากหนังสือตั้งท่าพร้อมฟัง “คุณแบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นบ้างแล้วครับ”
“อย่างนั้นเหรอ ใกล้จะหายหรือยัง?”
“ใกล้แล้วครับ”
“แล้วรู้ไหมว่าจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่”
“ไม่ทราบครับ แต่คงเร็ว ๆ นี้”
“อ่า ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ ยังไงก็ฝากดูด้วยนะ คือ...เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วคงสะดวกกว่าคนอื่น ฉันไปล่ะ มีงานรออยู่เยอะเลย ฮ่า ๆ ๆ”
นิตยสารเล่มโปรดไหลลงไปกองแทบเท้าตั้งแต่ยูแจซอกพูดได้สองประโยคแรก โชรงซ่อนสองมือที่กำแน่นไว้ใต้ผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่ ชานยอลไม่พูดไม่เอ่ยถึงไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สนใจ ชายหนุ่มตามติดอาการของแบคฮยอนจนรู้แม้กระทั่งว่าคุณหนูจะกลับมาทำงานในเร็ววันนี้ โชรงระบายลมหายใจหนัก ชานยอลไม่ชอบพูดถึงเรื่องตัวเองและหล่อนก็จะวางใจความเงียบนั้นไม่ได้เลย
“คุณแบคฮยอนไม่สบายจริงหรือวะ กูนึกว่าพวกข้างนอกล้อเล่นเสียอีก ชานยอล มึงจะไปเยี่ยมเค้าอีกหรือเปล่า พากูไปด้วยนะ กูเป็นห่วงเค้าว่ะ”
“ห่วงมากก็ไปเองสิ”
“เฮ้ย อย่าพูดแบบนี้สิ วันก่อนมึงยังไปเยี่ยมเค้าเลย วันนี้ก็พากูไปหน่อยสิวะ” ฮิมชันสรุปความจากคำพูดของคุณแจซอกได้ถูกต้องเกือบใกล้เคียงความจริง ชานยอลพาแบคฮยอนไปหาหมอแล้วพาไปส่ง อีกวันชายหนุ่มแวะเข้าไปเยี่ยมก่อนมาทำงานแต่ก็ไม่เกินห้านาที เมื่อรู้ว่าร่องรอยแผลที่มือขาวเริ่มแสดงอาการดีขึ้นแล้วเขาก็เบาใจ ไม่มีใครรู้สึกดีเวลาเห็นคนอื่นเจ็บป่วยเพราะตัวเอง ชานยอลเองก็เช่นกัน
“กูไม่ได้สนิทสนมกับคุณแบคฮยอนอย่างที่มึงคิดนะฮิมชัน อยู่ ๆ จะถือวิสาสะพาคนอื่นไปถึงบ้านเค้า มันไม่สมควร”
“อะไรว้า ก็แค่พาไปเท่านั้นเอง”
“มึงอยากจีบเค้าก็ทำตามวิธีของมึงเถอะ กูบอกแล้วว่าไม่ขอยุ่ง” ฮิมชันเบ้หน้า ทำท่าเหมือนจะตายเสียให้ได้ถ้าไม่ได้ไปหาคุณหนูตัวขาว ชานยอลปิดประตูล็อกเกอร์ ไม่สนใจลิงเผือกที่พยายามเรียกร้องความสนใจด้วยการเดินวนอยู่รอบ ๆ
“ยุ่งหน่อยน่า เรื่องนี้กูเต็มใจให้ยุ่ง”
“แต่กูไม่ หลีกทาง ได้เวลาเริ่มงานแล้ว”
“โหย ไม่ใจเลยว่ะ กูไม่ง้อมึงก็ได้ พรุ่งนี้กูจะหาทางไปเอง ได้ไปแล้วมึงอย่ามาอิจฉาก็แล้วกัน เชอะ” อ้างอิงจากนิสัยเน้นเล่นมากกว่าจริงจังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ฮิมชันคงไม่ขวนขวายหาหนทางไปเยี่ยมแบคฮยอนที่บ้านดังที่ลั่นปาก อย่างมากก็คงรอจนกว่าคุณหนูตาสวยจะกลับมาทำงานอีกครั้ง ชานยอลดันหน้าผากเลี่ยน ๆ ให้พ้นทาง ชายหนุ่มสบตากับโชรงแวบเดียวก็เปิดประตูออกไปเริ่มงานโดยไม่เอ่ยถึงคุณแบคฮยอนอีกตลอดหลายชั่วโมงของการทำงาน
โชรงต้องทำความเคยชินกับกราฟอารมณ์ของตัวเองเสียแล้ว หล่อนบอกตัวเองตอนที่ตระหนักได้ว่าช่วงนี้อารมณ์หล่อนพุ่งขึ้นสูงและดำดิ่งลงต่ำโดยที่ควบคุมไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง หญิงสาวตั้งสติใหม่อีกครั้ง ตั้งใจทำงานจบวันหยุดเวียนมาถึงอีกครั้ง วันหยุดของหล่อนแต่ไม่ใช่ของชานยอล ไอ้เรื่องจะชวนเขาไปดูหนังเดินเล่นนั้นหญิงสาวไม่ได้คิดถึง หล่อนแต่งตัวสวย ทำผมทรงที่เข้ากับรูปหน้าที่สุด แต่งหน้าอ่อน ๆ แล้วก็กะเวลาไปถึงร้านดอกไม้ตอนที่ชานยอลเริ่มงานไปได้พักหนึ่งแล้ว ไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกันแต่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในบรรยากาศดี ๆ ก็คงพอทดแทนได้
ร้านดอกไม้ยังตกแต่งได้อย่างสวยงามเหมือนเดิม คิมจุนมยอนกำลังยืนคุยกับพนักงานที่โชรงไม่คุ้นหน้า หญิงสาวส่งยิ้มให้เจ้าของร้านหนุ่ม จุนมยอนจำโชรงได้ทันทีเช่นกัน
“ยินดีต้อนรับครับ”
“สวัสดีค่ะ พอดีมาทำธุระเรื่องร้านกับเพื่อนแถวนี้เลยแวะมาทักทาย ลูกค้าเยอะไหมคะวันนี้” จุนมยอนส่งกระดาษให้ลูกมือ หันมาสนใจสาวสวยเต็มที่
“ปกติครับ วันหยุดจะขายดีกว่าวันธรรมดา เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ร้านมีกลิ่นหอมตลอดเลยนะคะ เข้ามาเมื่อไหร่ก็รู้สึกดีทุกที”
“ขอบคุณครับ อ้อ ชานยอลมาแล้ว” โชรงยิ้มหวาน ดวงตาคู่โตเป็นประกายส่งให้ใบหน้าเล็กน่ามอง แม้แต่จุนมยอนเองยังอดชื่นชมด้วยสายตาไม่ได้ ของสวย ๆ งาม ๆ มาให้มองถึงถิ่นเป็นใครก็ต้องมอง จะมีก็แต่ไอ้มนุษย์น้ำแข็งบางคนเท่านั้นแหละที่ยังรักษาความเฉยได้อย่างคงเส้นคงวา น่านับถือพอกับน่าเตะ
“เก็บของเสร็จแล้วจะไปกันเลยไหม...”
“เอ๋ จะไปไหนกันหรือคะ” ชานยอลปล่อยให้จุนมยอนทำหน้าที่อธิบาย ชายหนุ่มตัวสูงยืนรอพลางพับแขนเสื้อไปด้วยเงียบ ๆ
“ไปเยี่ยมเพื่อนครับ เค้าไม่สบาย คุณโชรงน่าจะรู้จักคุณแบคฮยอน”
“จะไปเยี่ยมคุณแบคฮยอนกันหรือคะ”
“ครับผม”
“ไปทั้งสองคนเลยหรือคะ แล้วร้าน...”
“ผมฝากลูกน้องไว้แล้วครับ คนนี้วางใจได้ ปกติก็รับงานแทนผมประจำ คุณโชรงจะลองทดสอบฝีมือดูสักช่อไหมครับ” โชรงสั่นหน้า นอกจากจะไม่ได้ใช้เวลากับชานยอลตามตั้งใจแล้วยังต้องมารับรู้ข่าวไม่ดีอีก หล่อนไม่มีอารมณ์สนใจดอกม้งดอกไม้ที่ไหนหรอก
“ขอฉันไปด้วยคนได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ผมโทรไปบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะไปกับชานยอล มีเพื่อนเพิ่มไปอีกคนคุณแบคฮยอนคงดีใจ” จุนมยอนตอบรับโดยไม่คิดอะไรมาก ชายหนุ่มไม่รู้ตื้นลึกหนาบางระหว่างคู่กรณีทั้งสองจึงเต็มใจให้โชรงตามติดไปกับกลุ่มด้วย ชานยอลเองก็ไม่ใช่ประเภทจะคิดแทนใคร ชายหนุ่มพอรู้ว่าโชรงและแบคฮยอนเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกันมาก่อน แม้จะไม่ชัดแจ้งในสาเหตุแต่รู้ได้เลยว่าคุณแบคฮยอนคงไม่ดีใจอย่างที่จุนมยอนพูดแน่นอน ชายหนุ่มไม่ได้ห้าม เมื่อตกลงว่าโชรงจะตามไปด้วยเขาก็เดินไปหารถคู่กาย หญิงสาวร่างเล็กก้าวเร็ว ๆ ตามร่างสูงไป ตั้งใจว่าจะใช้โอกาสอันดีงามนี้เป็นเหตุผลให้ได้นั่งซ้อนท้ายรถชานยอล
“คุณโชรงครับ”
“คะ?” จุนมยอนยิ้มกว้าง ผายมือไปทางรถเก๋งสีน้ำเงินเข้ม
“เชิญทางนี้ครับ”
“เอ่อ ไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรือคะ ฉันซ้อนชานยอลไปก็ได้ค่ะ” จุนมยอนชะงักรอยยิ้มไปเพียงพริบตาก่อนจะเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว โชรงสูดลมหายใจอย่างมีความหวัง ยังไม่ทันขยับเท้าเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นว่า “คุณโชรงไปกับจุนมยอนเถอะ ฝนทำท่าจะตก เดี๋ยวจะเปียกเอา”
“ไม่น่าจะตกนะคะ ถึงตกก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชานยอลนั่งได้ฉันก็นั่งได้”
“อย่าเลยครับ ช่วงหัวค่ำรถเยอะ มันอันตราย”
“แต่ว่า...”
“ไปขึ้นรถเถอะครับ ช้ากว่านี้รถจะติด พี่ขับตามมานะ” หันไปบอกจุนมยอนที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านหลังโชรงอีกที บอกแล้วก็ไม่รอคำตอบ มือคร้ามบิดคันเร่งพารถคันเก่งออกสู่ถนน มุ่งหน้าไปยังคอนโดมิเนียมหรูที่มีเจ้าของรอยยิ้มสดใสรออยู่
ชานยอลผ่อนลมหายใจไปกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้า อากาศอบอ้าวเหมือนฝนจะตกจริงอย่างที่เขาบอกโชรง นับว่าโชคดีที่ไม่ต้องใจร้ายกับผู้หญิงมากเกินไป ชายหนุ่มไม่อยากทำลายความตั้งใจของตัวเองในทางเดียวกันก็ไม่อยากทำร้ายน้ำใจเพื่อนที่ดีอย่างโชรง ถึงอย่างนั้น ชานยอลกลับไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำให้เขาปฏิเสธหญิงสาวไปอย่างไร้การประนีประนอมจะเป็นความตั้งใจเดิมอย่างเดียว
หงุดหงิด
อะไรก็ไม่ดีจนพาลขวางหูขวางตาไปหมด
นั่นคืออารมณ์รุนแรงที่กระพืออยู่ในอก แม้ภายนอกจะสงบเยือกเย็นแต่ภายในกลับไม่ใช่ เขารู้ว่าตัวเองเป็นอะไรที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องเป็นแบบนี้ ไม่ชอบ ไม่อยากให้เป็นแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหาย ต้องจัดการกับความรู้สึกในอกนี้ยังไง ทุกอย่างมันถึงจะกลับไปสงบดังเก่าโดยไม่มีสิ่งใดบุบสลายหรือแตกหักเสียหาย
เช้านี้คุณแบคฮยอนอาการดีขึ้นมากแล้ว ชานยอลพอใจที่เห็นคนตัวเล็กยิ้มตาหยี รายงานเขาอย่างดีใจว่าจะได้กลับมาให้ชานยอลสอนงานในวันสองวันนี้ ชานยอลย้ำให้คุณหนูทานยาให้หมดและดูแลบาดแผลตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดเมื่อคนตัวขาวไม่ดื้อไม่เถียงเขาก็ขอตัวมาทำงานอย่างปลอดโปร่งใจ มาถึงร้านดอกไม้ยังไม่ทันได้เริ่มงาน พี่จุนมยอนก็ยิ้มร่าเข้ามาบอกว่าวันนี้ไม่ต้องทำงานแต่ขอให้ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อน
‘ไปไหนหรือครับ?’
‘บ้านคุณแบคฮยอน’
‘ไปทำไม?’
‘เค้าไม่สบาย พี่จะไปเยี่ยม นายก็รู้ไม่ใช่หรือชานยอล เค้าบอกพี่ว่านายเป็นคนพาเค้าไปหาหมอ พูดไปแล้วก็ขอบใจมากนะ’ ชานยอลจำได้ว่าตัวเองกำผ้ากันเปื้อนไว้แน่น ตอนนั้นเขาอยากรู้ว่าทำไมพี่จุนมยอนต้องพูดขอบใจ เขาช่วยคุณแบคฮยอนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับจุนมยอนด้วย ทั้งที่อยากรู้แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็หันหลังให้รอยยิ้มร่าเริงของรุ่นพี่
‘พี่ไปเองเถอะผมจะเฝ้าร้านให้’
‘เฝ้าทำไม พี่สั่งงานฮเยริไว้แล้ว รายนั้นจะอยู่ทำโอที’
“ผมจะอยู่ช่วยฮเยริ”
‘ไปกับด้วยกันเถอะน่า พี่ไม่เคยไปไม่รู้ทาง ถือว่าทำงานนอกสถานที่ก็ได้เอ้า ไปส่งดอกไม้ให้ทางร้านไง อีกอย่างพี่บอกเค้าไปแล้วว่าจะไปกับนายถ้าเกิดโผล่ไปคนเดียวมันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลัวเค้าคิดว่าพี่เอานายไปเป็นข้ออ้างลอย ๆ ว่ะ’ –ข้ออ้างลอย ๆ- มองกระถางต้นกระบองเพชรที่ผูกโบว์ไว้อย่างสวยงามแล้วก็ถามเสียงต่ำ
‘พี่รู้ได้ยังไงว่าคุณแบคฮยอนไม่สบาย’
‘ก็โทรคุยกัน’
‘………..’
ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายเมฆดำยิ่งลอยต่ำ ความอึมครึมครอบครองกดดันทั่วท้องฟ้า ชานยอลถอนหายใจอีกครั้ง บางทีถ้าไปส่งพี่จุนมยอนถึงห้องคุณหนูแล้ว เขาอาจจะพาโชรงกลับบ้านก่อน
#lovelycb
คนเดินถนนคนนึงงงงง มันจะทำเธอซึ้งเธอเป็นสุข ได้สักเท่าไหรรรรรร่
พรุ่งนี้วันหยุด นอนดึกได้ รออ่านแฮชแท็ก&คอมเม้นต์จากคนอ่านน้าจ๊าาาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แงคุณพี่หึงหรอคะ หึงตั้งแต่ฮิมชานแล้วละเอาดี ไม่ได้โมโหเรื่องรถหรอก โมโหฮิมชาน
ก็เอ็งหึงไงชานยอล เอ็งหึงคุณแบคฮยอนเค้า!!!! สติมาสักที
ไม่ลองไม่รู้นะชานยอลลลล