ตอนที่ 13 : รอบปรารถนา ๑๒
คริสกลับไปตอนสามทุ่ม
ซึ่งนั่นก็...เกือบสองชั่วโมงนับตั้งแต่แบคฮยอนกดปฏิเสธสายของปาร์คชานยอล เด็กหนุ่มเดินกลับไปมาในห้องพัก หยุดยืนตรงหน้าตู้เย็นก่อนจะโขกศีรษะใส่พื้นผิวเย็นเฉียบนั้นเบา ๆ คิดไม่ตกว่าควรจะทำอะไรเป็นลำดับถัดไประหว่างเตรียมหนังสือเรียนของวันพรุ่งนี้หรือติดต่อกลับไปหาปาร์คชานยอล แบคฮยอนตรองแล้วตรองอีก ปลอบตัวเองว่าคิดให้ดีทั้งที่จริง ๆ แล้วเด็กหนุ่มก็มีคำตอบในใจเป็นที่เรียบร้อย จะให้ไปทำอย่างอื่นทั้งที่ใจยังกังวลเรื่องปาร์คชานยอลก็คงทำให้ดีไม่ได้ สุดท้ายก็เลือกทางไหนไม่ได้อยู่ดี
‘ขอโทษที่ไม่ได้รับสายครับ’
‘รุ่นพี่’
‘มีอะไรหรือเปล่าครับ?’ เกือบครึ่งชั่วโมงของความกระวนกระวาย สุดท้ายปาร์คชานยอลก็ตอบกลับมา
‘แผลโดนน้ำ’
‘เจ็บ’
ผ้าม่านเนื้อหนาเปิดออกจนสุดความกว้างของกระจกใสบานใหญ่ ด้านนอกนั้นไม่ใช่ท้องฟ้าสีสว่างหรือตึกรามที่ย่อส่วนเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่ดังเช่นยามกลางวัน หากถูกแทนที่ด้วยผืนฟ้าสีดำสนิทและจันทร์เสี้ยวหม่นมัว แสงไฟหลากสีประดับอยู่ทั่วพื้นด้านล่าง บ้างกะพริบ บ้างวิ่งฉวัดเฉวียนไปมา ดวงไฟสีเหลืองนวลทอดยาวเป็นระเบียบบอกให้รู้ว่าความมืดที่ทอดตัวคดโค้งจากเหนือลงใต้นั้นคือแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองหลวงแห่งนี้ ชานยอลชอบกลางวันมากกว่ากลางคืน ชอบความจัดจ้า สว่างไสว ชอบการขับเคลื่อนที่เต็มไปด้วยพลังงานร้อนแรง
มือใหญ่หมุนแก้วเนื้อใสจนได้ยินเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว บรั่นดีรสนุ่มพร่องไปเกือบครึ่งของแก้วที่สอง เสียงสัญญาณหน้าประตูก็ดังขึ้น เจ้าของห้องไม่ขยับเขยื้อน เขาเพียงละสายตาจากทิวทัศน์กรุงโซลยามค่ำคืนมองไปยังจุดเกิดเสียง มองอยู่เช่นนั้นจนมีเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่ถือซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง
‘ผมมาถึงแล้ว’
‘รุ่นพี่ไม่อยู่ห้องหรือครับ?’
ริมฝีปากชื้นของเหลวฤทธิ์แรงเหยียดยิ้ม ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดกลางคืน เขาแค่เกลียดสิ่งที่ซุกซ่อนในเงามืดของราตรี โลกภายใต้ความมืดมนนั้นเอื้อให้จิตฝ่ายต่ำฮึกเหิม หลอกล่อให้ความละอายอ่อนแอ และเปิดโอกาสให้ผู้ล่าทำงานได้ดีเกินไป
ประตูเปิดและภาพตรงหน้าชานยอลคือบยอนแบคฮยอนที่ปล่อยให้เขารอมาหลายชั่วโมง ชายหนุ่มเบี่ยงตัวให้ทางแทนคำเชิญ เมื่ออีกคนเดินเข้ามาชานยอลก็ปิดประตู ดวงตาดำลึกปรือมองแขกยามค่ำคืนที่มองตอบกลับมา ดูเหมือนกลัวแต่ก็ไม่หลบตา พอจะคิดว่าเป็นคนกล้าแววตาคู่นั้นก็ยังสั่นไหว ริมฝีปากเล็ก ๆ นั่นก็เอาแต่ขบเม้มตัวเอง ทำยังไงให้ตัวเองดูไร้พิษสงได้แนบเนียนขนาดนี้นะ
“รุ่นพี่ครับ...”
“โทษที เผลอหลับไป”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่แผล เจ็บมากเลยหรือครับ?” เจ้าของห้องพยักหน้า เดินไปนั่งที่โซฟาโดยมีแบคฮยอนตามไปนั่งที่เก้าอี้นวมอีกตัว ดวงตาเรียวรีมองขวดบรั่นดีกับแก้วหนึ่งใบ แววกังขาฉายปนความไม่พอใจในดวงตาคู่นั้นหากเจ้าตัวกลับเลือกที่จะไม่เอ่ยถึง เด็กหนุ่มมองชานยอลที่ตอนนี้เอนหลังพิงพนักโซฟาไม่พูดไม่จาเช่นเดียวกัน รุ่นพี่ท่าทางไม่ค่อยดีเลย ตาฉ่ำขอบตาก็แดง ท่าทางการเดินก็ไม่ปกติ เหมือนฝืนเคลื่อนไหวยังไงยังงั้น
“จะให้ผมทำอะไรบ้างครับ?” พอเสียงนุ่มเอ่ยถาม เปลือกตาคู่นั้นก็ปรือขึ้นมอง “คือ มันค่ำแล้ว ผมไม่อยากกลับดึก กลัวรถจะหมดด้วย”
“มานี่”
“ครับ?”
“ดูแผลให้หน่อย” แบคฮยอนร้องอ้อในคอ ลุกแล้วก้าวเข้าไปหยุดใกล้ร่างสูง โน้มตัวลงมองพร้อมกับเกลี่ยปลายนิ้วปัดเส้นผมคนเจ็บออก
“แผลเปียกน้ำ แย่จัง” เปรยหลังจากลองแตะบนพลาสเตอร์ที่ปิดทับแผลเย็บ
“ผมแกะนะครับ ปิดไว้ยังไงก็กันอะไรไม่ได้แล้ว แผลข้างในจะชื้นด้วย” พอคนตัวโตพยักหน้า แบคฮยอนก็ดึงแผ่นพลาสติกกันน้ำออกอย่างเบามือ เห็นสภาพบาดแผลที่ยังคาไหมเย็บเรียงเป็นแถวก็อดอุทานไม่ได้ “แดงมากเลย ปวดไหมครับ?”
“ปวด”
“ไปทำยังไงให้น้ำเข้าได้ครับ ปกติแผ่นพลาสติกพวกนี้ไม่ค่อยหลุดง่าย ๆ นะ รุ่นพี่...สระผมด้วยหรือครับ?”
“สระ” เขาตอบทั้งที่ยังหลับตาจึงไม่ทันเห็นสายตาตำหนิของคนตัวเล็กกว่า
“หมอบอกว่าห้ามโดนน้ำ”
“ฉันไม่คิดว่ามันจะซึมเข้าไปได้”
“แดงขนาดนี้ ร้อนด้วย อักเสบแน่เลย ไปหาหมอกันเถอะครับ”
“ไม่ต้อง ยาที่หมอให้มาก็มี นายทำแผลให้ฉันใหม่ก็พอ”
“ไม่ครับ” ปาร์คชานยอลลืมตามอง เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจที่แบคฮยอนปฏิเสธและก็ไม่คิดจะเก็บซ่อนความรู้สึก คนอะไรแค่มองยังทำคนอื่นใจหายได้ แบคฮยอนกลัวจนหนาวแผ่นหลังวาบแต่ยังกลั้นใจโต้แย้ง “รุ่นพี่ตาแดงแถมยังตัวร้อน ดูก็รู้ว่าเป็นไข้แน่ ๆ ไปให้หมอดูแผลเถอะนะครับ ผมกลัวแผลคุณติดเชื้อ”
“นายขับรถเป็นไหมล่ะ ฉันมือเจ็บ ขับรถไม่ได้”
“ผมขับไม่เป็นแต่ผมลงไปเรียกแท็กซี่ให้รุ่นพี่ได้”
“ฉันไม่อยากไป”
“ทำไมถึงไม่อยากไปล่ะครับ รุ่นพี่ไม่อยากหายหรือครับ ถ้าคิดจะปล่อยแผลไว้แบบนี้แล้วจะเรียกผมมาทำไม” พอได้พูดก็พูดยาว คิ้วใต้แนวผมหน้าม้าปัด ๆ นั่นย่นเข้าหากัน ให้คนมองรู้ว่าเจ้าตัวไม่สบอารมณ์ ชานยอลถอนหายใจ พยายามเหลือเกินที่จะไม่แสดงสีหน้ารำคาญออกไป ชายหนุ่มขึงหน้าตึง เอ่ยเสียงเย็น “เรียกนายมารับผิดชอบคำพูดตัวเอง ด้วยการดูแลฉัน ตามใจฉัน ไม่ใช่ให้นายมากะเกณฑ์บงการฉัน ไม่เข้าใจตรงไหนอีกไหม”
“ก็ตรงนี้แหละครับ”
“......”
“ผมพยายามทำให้รุ่นพี่หายอยู่แต่คุณกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือ อยากให้แผลเน่าคาไหมเย็บหรือครับ ไหนจะเฝือกที่มือนี่อีก ผมเห็นนะว่าแค่ขยับนิดเดียวคุณก็หน้าซีดหน้าเสียแล้ว คุณไม่ห่วงตัวเองแล้วจะมาทวงความรับผิดชอบจากผมให้เสียเปล่าทำไม” ชานยอลดันตัวขึ้นนั่ง ส่งผลให้คนที่กำลังพูดถอยไปจนสุดโซฟา
“พูดจบหรือยัง” บยอนแบคฮยอนกลั้นหายใจ ชี้นิ้วไปทางหนึ่งแล้วว่า
“เหล้าแรง ๆ พวกนั้น คนป่วยเค้าห้ามดื่ม”
“พูดจบหรือยัง” ชายหนุ่มเค้นเสียงเข้ม แผลเขาปวดหนึบ ปวดลามไปทั้งศีรษะ ลมหายใจที่ผ่อนออกก็ร้อนผะผ่าว เรี่ยวแรงที่เคยมีลดฮวบไปเหมือนโดนสูบ ทุกอย่างแม่งแย่มากอยู่แล้ว บยอนแบคฮยอนยังมาทำตัวน่ารำคาญอีก “คนที่ปฏิเสธสายฉันเพื่อใครอีกคน ทั้งที่เคยรับปากไว้แล้วว่าจะมาหาทุกครั้งที่ฉันต้องการ คนที่ผิดคำพูดอย่างนาย กล้าสั่งสอนฉัน ไม่อายบ้างหรือไงแบคฮยอน!”
“รุ่นพี่ ผมเจ็บ” อีกแล้ว อยู่ ๆ ก็โมโห อยู่ ๆ ก็เกรี้ยวกราด
“ไม่อยากให้เป็นความลับแล้วหรือเรื่องของนายกับผู้ชายคนนั้น อยากให้ฉันฉีกสัญญาทิ้ง?”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”
“แล้วมันแบบไหน?”
“ผม ผมไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้รุ่นพี่รอ แต่ แต่คุณยังไม่กลับ ผมมาไม่ได้ ผมไม่รู้จะบอกยังไงถ้าคุณถาม ปล่อยเถอะครับ ผมเจ็บ”
“แล้วยังไง มัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงปล่อยให้ฉันรอเป็นชั่วโมง ๆ ถ้าฉันเจ็บหนักจริง นายคิดว่าฉันจะยังอยู่รอดปลอดภัยมาให้นายสั่งสอนปาว ๆ ไหม”
“ผมขอโทษครับ”
“บอกมาสิว่ามัวแต่ทำอะไร?”
“ผมเก็บของแล้วก็กินข้าว”
“แล้วทำอะไรอีก?”
“รุ่นพี่” เสียงใสเอ่ยแผ่วหวิว ใบหน้าเล็กเหยเก ข้อมือที่ถูกมือข้างหนึ่งของชานยอลยึดไว้ขึ้นรอยแดงเป็นปื้น แบคฮยอนเลิกขืนแรงต้านแล้ว ดวงตาเรียวรีมองต่อดวงตาดำลึก ย้ำช้า ๆ ชัด ๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะละเลย ผมพยายามแล้วที่จะทำให้ได้ตามที่พูด แต่บางครั้งคุณก็ต้องเข้าใจความจำเป็นของผมด้วย มาทันทีไม่ได้ไม่ใช่แปลว่าจงใจละเลย พอมาได้ผมก็รีบมา มันค่ำแล้ว ผมไม่รู้จักที่นี่ ไม่คุ้นทาง แต่ผมก็ยังมาเพื่อดูแลคุณตามการแลกเปลี่ยน”
“แล้วไง?”
“รุ่นพี่เองก็อย่าลืมเรื่องที่เคยสัญญาไว้”
“.......”
“เราจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายและจะไม่มีการพูดถึงคนอื่นไม่ว่ากรณีใดก็ตาม จำได้ไหมครับ?”
ปาร์คชานยอลต้องนอนโรงพยาบาล
นายแพทย์ที่บังเอิญว่าเป็นรุ่นพี่ของชายหนุ่มออกคำสั่งเด็ดขาดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรชานยอลจะต้องรับน้ำเกลืออย่างน้อยหนึ่งคืนหรือจนกว่าไข้จะลดพร้อมทั้งทำแผลใหม่อย่างประณีตจากพยาบาลมืออาชีพ คนเฝ้าไข้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแบคฮยอนที่เป็นคนพาคนป่วยมาส่งโรงพยาบาลตอนสี่ทุ่ม เด็กหนุ่มถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็คร้านจะนับ มองคนที่นอนบนเตียงคนไข้แล้วก็ค่อยถอยมานั่งที่โซฟาตัวใหญ่ริมผนังด้านหนึ่ง ง่วงมากถึงมากที่สุดแต่ในเมื่ออีกคนยังไม่หลับแบคฮยอนก็ไม่กล้าหลับ ได้แต่นั่งถ่างตา บิดเนื้อตัวเองรอ อยากให้แน่ใจว่าปาร์คชานยอลหลับแล้วจริง ๆ จึงจะหลับบ้างแต่เพราะสามวันที่ผ่านมาแบคฮยอนใช้พลังงานไปมาก ร่างกายอ่อนเพลียและโหยหาการพักผ่อนจนไม่ยอมฟังคำสั่งของสมอง สุดท้ายหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้รู้ตัวอีกก็ตอนที่คุณพยาบาลเข้ามาเช็คอาการคนป่วยรอบเช้าแล้ว
“ยังมีไข้อยู่นะคะ”
“ไข้ไม่ลดเลยหรือครับ?”
“ลดลงนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณหมอจัดยาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวแผลดีขึ้นอาการก็จะดีขึ้นเองค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับบ้านใช่ไหมครับ?”
“ต้องรอคุณหมอก่อนนะคะ ถ้าคุณหมอให้กลับก็กลับได้เลยค่ะ แต่ดูจากสภาพแผลและร่างกายคนไข้แล้ว ดิฉันว่าอยู่ให้ทางโรงพยาบาลดูแลอีกสักคืนดีกว่านะคะ” เป็นไปตามที่คุณพยาบาลว่าปาร์คชานยอลต้องอยู่ให้หมอดูอาการอีกวัน ชายหนุ่มข่มอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะพิษไข้ หยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความบอกเพื่อนสนิทก่อนจะบอกให้แบคฮยอนไปเรียนแล้วหลับไปอีกครั้ง คนป่วยหลับสนิทแต่หัวคิ้วยังขมวดแน่นทั้งพิษไข้ยังทำให้หายใจลำบาก เห็นเจ้าตัวย้ำกับนายแพทย์ที่รู้จักกันว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครไม่ว่าครอบครัวหรือเพื่อนฝูงแล้วแบคฮยอนก็ทำใจทิ้งคนป่วยให้อยู่คนเดียวไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องลงไปหาอะไรกินข้างล่างแล้วซื้อหนังสือมานั่งอ่าน รอเวลาคนป่วยตื่นมากินข้าวกินยา
ประมาณสิบโมงครึ่งคุณโทรมาหา แบคฮยอนเลี่ยงออกไปรับสายหน้าห้องเพราะไม่อยากปลุกคนป่วยให้ตื่นมาอารมณ์เสียใส่ คุยกันจนได้เรื่องว่าคุณจะต้องไปทำธุระเรื่องงานที่ต่างประเทศเกือบสองอาทิตย์จึงโทรมากำชับให้แบคฮยอนดูแลตัวเองให้ดี ถ้ามีอะไรให้ส่งข้อความหรือโทรหาได้ตลอดเวลา ถามว่าแบคฮยอนอยากได้อะไรจากนิวยอร์กบ้างเมื่อแบคฮยอนตอบว่าไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษ นอกจากขอให้คุณจัดการเรื่องงานได้อย่างราบรื่น ปลายสายก็ออกปากว่าครั้งหน้าจะพาแบคฮยอนไปเที่ยวด้วย เด็กหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ ย้ำให้คุณกินข้าวให้ตรงเวลาก่อนจะจบการสนทนาแล้วกลับเข้าห้องทั้งใบหน้ายังกระจ่างสดใสเพราะรอยยิ้มยินดี
“ตื่นแล้วหรือครับ?”
“นายปิดประตูไม่สนิท” พอประตูปิดไม่สนิท เสียงก็เล็ดลอดเข้ามารบกวนคนป่วย จากหงุดหงิดเพราะความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ได้ยินเรื่องที่ไม่อยากได้ยิน ทนฟังเสียงหัวเราะที่ชิงชัง ชานยอลคงอารมณ์ดีอยู่ไม่ไหว
“อา ขอโทษครับ”
“สิบเอ็ดโมงแล้ว รุ่นพี่หิวข้าวไหมครับ?”
“ไม่หิว”
“งั้น กินผลไม้...”
“ไม่กิน”
“ดื่มน้ำ...”
“ไม่อยากดื่ม”
“งั้นรุ่นพี่อยากได้อะไรหรือเปล่าครับ?” ดวงตาดำใหญ่วาดมองมา ขนาดยืน ๆ อยู่แบคฮยอนยังนึกอยากทิ้งตัวนั่งไปเสียทันทีทันใด ทำไมต้องดุตลอดเวลาก็ไม่รู้
“ฉันบอกให้ไปเรียน ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก?”
“ก็ รุ่นพี่ป่วย อยู่คนเดียว”
“ฉันอยู่ได้”
“ผมรู้ครับว่ารุ่นพี่อยู่ได้” คนตัวเล็กว่า ขยับไปชิดโซฟาแล้วนั่งลงก่อนจะได้ล้มไปจริง ๆ
“แต่ผมก็อยากอยู่ด้วย”
“ทำไม?” แบคฮยอนร้องอ้าว ดวงตาเรียวใสกะพริบปริบ
“ก็ข้อตกลงของเราไงครับ ผมบอกแล้วว่าถ้าทำได้ผมก็จะทำ รุ่นพี่เจ็บส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผม จะให้ทิ้งคุณนอนป่วยอยู่คนเดียวแล้วตัวเองกลับไปเรียนคงไม่เหมาะเท่าไหร่” จะได้ไม่มีใครมาทำหน้ายักษ์ทวงสัญญาหรือต่อว่ากันทีหลังด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี...” เจ้าของเสียงทุ้มว่าแล้วก็หลับตาลงเหมือนไม่อยากเจรจาความใด ๆ กับแบคฮยอนต่อ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดี ดีมาก ๆ
“ขอผ้าชุบน้ำ”
“ครับ?”
“ผ้าชุบน้ำ ฉันจะเช็ดหน้า” เออ สั่งทั้งยังไม่ลืมตามองก็ได้
“ได้ครับ” รับคำแล้วก็เดินไปเอาของตามคำสั่ง ออกจากห้องน้ำมาอีกครั้งปาร์คชานยอลก็ลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว คนตัวโตรับผ้าไปจากมือบาง ใช้มือข้างเดียวถือผ้าชุ่มน้ำเย็นเช็ดใบหน้าและซอกคอ ท่าทางไม่ค่อยชอบใจคงเพราะมือใช้งานได้ข้างเดียวแล้วยังต้องระวังทั้งสายน้ำเกลือทั้งบาดแผล เห็นแบบนั้นแล้วแบคฮยอนเลยขอทำให้ ตอนแรกก็นึกว่าจะปฏิเสธแต่ปาร์คชานยอลกลับยื่นผ้าให้ง่าย ๆ
“ผ้าไม่เย็นแล้ว”
“ผมจะไปชุบน้ำให้ใหม่ รอเดี๋ยวนะครับ” คนอะไรมีแผลบนหน้าแต่ยังดูดีจนน่าอิจฉา ไม่สงสัยเลยว่าทำไมตอนไปค่ายพวกสาวและไม่สาวถึงได้อยากเข้าหานัก จะว่าไปแล้วถ้าเอมิรู้ว่ารุ่นพี่ที่ตัวเองปลื้มเข้าโรงพยาบาลต้องรีบมาเยี่ยมแน่ ๆ ดีแล้วที่รุ่นพี่ชานยอลไม่ได้บอกใครเพราะถ้าเกิดข่าวแพร่ออกไปแล้วมีคนมาเยี่ยม คนพวกนั้นก็ต้องเจอแบคฮยอนด้วย คงไม่มีใครไม่สงสัยว่าทำไมเด็กปีหนึ่งถึงมาอยู่ที่นี่แล้วแบคฮยอนก็คงไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ ไปตอบได้ คิดถึงตรงนี้แล้วก็โล่งใจจนสีหน้าออก
“ผ้าไม่เย็นอีกแล้ว”
“เพราะคุณตัวร้อนมากไงล่ะครับ” ทาบหลังมือกับหน้าผากคนป่วยแล้วก็นิ่วหน้า “ตัวร้อน ไข้ขึ้นอีกแน่เลย เช็ดตัวแล้วกินข้าวเถอะนะครับจะได้กินยา”
“ไม่อยากกิน”
“คุณดื้อจัง”
“คำนั้นไม่น่าเหมาะกับฉันนะบยอนแบคฮยอน” พอถูกปรามก็อดหวาดหวั่นไม่ได้อีก แบคฮยอนอ่อนใจกับความขี้ขลาดของตัวเองนัก
“ทำไมถึงไม่อยากกินล่ะครับ?”
“ฉันยังไม่หิว เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว อยากกินฉันจะกินเอง” หน่วยตาสีน้ำตาลเข้มทอนแสงอ่อน แบคฮยอนก็แค่...ปรารถนาดี ถึงระหว่างเขาทั้งคู่มันจะเป็นไปด้วยเงื่อนไขสัญญาแต่ความห่วงใยนั้นแบคฮยอนมีให้คนตรงหน้าอย่างแท้จริง แต่เหมือนปาร์คชานยอลจะไม่พอใจกับสิ่งที่แบคฮยอนพยายามทำ
“เข้าใจแล้วครับ” บอกแล้วก็ผละออกห่าง
“จะไปไหน?”
“ไปข้างล่างครับ”
“ใครอนุญาต?”
“แค่จะลงไปหาอะไรกินต้องขออนุญาตใครด้วยหรือครับ?”
“ขอฉัน” เด็กตัวขาวเป่าลมออกจนไหล่ไหว หลับตานับหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะหันกลับมาหาเขาสีหน้าอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด
“ขออนุญาตลงไปข้างล่างครับรุ่นพี่ปาร์ค”
“เชิญ”
“ขอบคุณมาก...ครับ...” ปาร์คชานยอลพอใจแค่ไหนคงไม่ได้บอก แม้ริมฝีปากหยักหนาจะยังเหยียดตึง เย็นชา ทว่าดวงตาดำใหญ่ของคนป่วยกลับวาววาม ซ่อนความสาสมใจแทบไม่มิด สีหน้าหวานอมขมกลืนของบยอนแบคฮยอนทำให้อาการไข้รุมเร้าทุเลาลงไปเยอะเลยทีเดียว
#ฟิครอย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. อยากอ่านพาท์รคริสเลย์จังเลยไรท์
โอ้ยยยยยย ให้น้องมาหาทุกครั้งที่เรียกหา
ค่ะะะะะะะะะะะะ ได้ทีแล้วเอาใหญ่
ขนาดเปนไข้ยังเกรี้ยวกราดได้ขนาดนี้
แค่น้องคุยกะคุณแล้วยิ้มหัวเราะก็หัวร้อนแหมมมมมมมม
ภายใต้ความเกรี้ยวกราดก็มีความกวนตีน
เห้อมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม