ตอนที่ 12 : รอยปรารถนา ๑๑
ปาร์คชานยอลหัวแตกและกระดูกหลังมือร้าว
เพื่อนพี่น้องที่ค่ายแตกตื่นกันใหญ่เมื่อรู้ข่าว ผิดกับเจ้าตัวที่มองความวุ่นวายแล้วสยบทุกความโกลาหลด้วยคำเพียงคำเดียว อุบัติเหตุ แน่นอนว่าเมื่อคนอย่างปาร์คชานยอลอยากตอบแค่นั้นใครจะกล้าเซ้าซี้เขาต่อ ดังนั้นแล้วคนที่จะต้องโดนสอบซักเป็นลำดับถัดไปก็คือคนที่ไปด้วยกันอย่างแบคฮยอน เด็กหนุ่มได้แต่อึกอักเพราะรู้ดีแก่ใจว่านอกจากตนจะเป็นพยานสำคัญในที่เกิดเหตุแล้วตนเองคือคนที่สร้างบาดแผลเหล่านั้นให้รุ่นพี่จากคณะบริหารคนนั้น แบคฮยอนไม่กลัวที่จะยอมรับความผิดแต่เด็กหนุ่มกลัวว่าถ้าถูกถามไปถึงต้นเหตุแล้วจะไม่สามารถตอบได้ ยังไงแบคฮยอนก็พาดพิงถึงคุณไม่ได้อยู่แล้ว ปาร์คชานยอลเหมือนจงใจปล่อยให้สังคมลงโทษแบคฮยอน ชายหนุ่มผละขึ้นห้องพักแล้วทิ้งแบคฮยอนไว้กับสายตาจับจ้องของคนที่เหลือ ยิ่งเอมิและเพื่อนยิ่งน่ากลัว จ้องราวกับจะเฉือนแบคฮยอนให้เป็นชิ้นๆ เสียตรงนั้น โชคดีที่รุ่นพี่จงแดบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานแบคฮยอนเลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
“เรื่องมันไปยังไงมายังไงอ่ะแบคฮยอน ทำไมรุ่นพี่ชานยอลถึงได้แผลกลับมา แล้วก็คือ ออกไปด้วยกันตั้งแต่ตอนไหน ทำไมมีอะไรไม่บอกเพื่อน?” รอดจากสังคมใหญ่ก็ใช่ว่าจะรอดจากเพื่อนสนิท แบคฮยอนปล่อยตัวเองให้เอนไปมาตามแรงเขย่าของมินอา ช้อนตามองดีโอที่กอดอกมองเงียบ ๆ แล้วก็ยิ่งหนักใจ จะเล่าอย่างไรให้สองคนนี้เข้าใจมากที่สุดโดยไม่ต้องดึงเอาคุณคริสเข้ามาเกี่ยวข้อง
“อย่างที่รุ่นพี่ชานยอลบอกนั่นแหละ อุบัติเหตุตอนกลับจากสุสานน่ะ ทางมันชันพอฝนตกก็เลยลื่น พวกเราไม่ทันระวังรุ่นพี่เลยได้แผลมา”
“สุสานไหน? นายไปสุสานทำไม?”
“ไปเยี่ยมพ่อกับแม่เราน่ะ พวกท่านอยู่ที่นั่น” มินอาเอียงคอไปด้านหนึ่ง ขมวดคิ้วตอนใช้สมองทบทวนความจำเกี่ยวกับเพื่อนตรงหน้า จะว่าไปแล้วบยอนแบคฮยอนน่ะแทบไม่พูดถึงเรื่องของตัวเองเลยนะ “หมายความว่า ที่นายไม่ค่อยพูดถึงพ่อแม่นั้นก็เพราะพวกท่าน...”
“พอแล้วคิมมินอา” ดีโอปราม
“เฮ้ย ขอโทษ ขอโทษ ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แบคฮยอนน่าฉันขอโทษ” แบคฮยอนส่ายหน้า ยิ้มเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร “มันก็สักพักแล้ว เราไม่ค่อยอะไรแล้วอ่ะ ดีขึ้นมากแล้ว”
“เด็กเลี้ยงแกะ ฉันเห็นนายเอาแต่มองรูปแม่แล้วก็เศร้าแล้วเศร้าอีก” แบคฮยอนหัวเราะน้อย ๆ
“เศร้าแล้วเศร้าอีกเลยเหรอ”
“เดี๋ยวจะโดน”
“เราไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรายังปรับตัวไม่ได้ มันเหงา มันเคว้งคว้าง ไม่ชินที่ต้องย้ายที่อยู่แล้วก็เปลี่ยนอะไรใหม่หมด พอได้กลับมาที่นี่อีกครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นเยอะนะ” อย่างน้อยแบคฮยอนก็ตัดใจลุกจากหน้าป้ายหลุมศพพ่อแม่ได้ก่อนตะวันตกดิน ไม่เหมือนช่วงแรก ๆ ที่แทบจะห่อข้าวมานั่งกินที่นั่นทั้งสามมื้อ “มินอากับดีโอไม่ต้องคิดมากนะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอก เห็นว่ากำลังทำงานกันอยู่”
“แล้วทำไมถึงไปกับรุ่นพี่ชานยอลได้ เท่าที่ฉันรู้ พวกนายไม่ได้สนิทกันไม่ใช่เหรอ”
“ไม่สนิทหรอกมินอา” ห่างไกลกับคำว่าสนิทสนมมากเลยทีเดียว “แต่ค่ายมีกฎว่าถ้าจะออกไปไหนต้องมีรุ่นพี่ไปด้วย รุ่นพี่ชานยอลมาเจอตอนเรากำลังขออนุญาตรุ่นพี่อึนจีพอดี พี่เขาว่างก็เลย นั่นแหละ ก็เลยออกไปด้วยกัน”
“อย่างนี้นี่เอง”
“แต่นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไม่ได้เป็นอะไร ขอบใจนะดีโอ ขอบใจมินอาด้วย” มินอาพยักหน้าเร็ว ๆ ลูบหลังเพื่อนตัวขาวแทนการปลอบใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นตวัดแขนกอดรัด เหวี่ยงแบคฮยอนไปมาด้วยเรี่ยวแรงที่ผิดจากรูปลักษณ์กะทัดรัดนั่นลิบลับ “ต่อไปมีอะไรต้องบอกนะ ถึงจะรู้จักกันไม่นานแต่สำหรับฉันนายคือเพื่อนที่ฉันอยากสนิทด้วยมาก ๆ คนหนึ่ง ฉันอยากหัวเราะกับนาย ปวดหัวกับเรื่องเรียนกับนาย กินของอร่อยกับนายและถ้าอยากร้องไห้ก็ไม่ต้องอาย ถึงจะปลอบใจไม่เก่งแต่ฉันร้องเป็นเพื่อนนายได้”
“พูดแบบนี้ดีโอน้อยใจแย่เลย” มินอาเงยหน้ามองพ่อคนเงียบประจำกลุ่ม
“นายน้อยใจเหรอ?”
“จำเป็น?”
“แหม!” ตอนแรกก็ว่าจะฉะกันสักหนหน่อยแต่พอดีเห็นรุ่นพี่ที่รักเดินผ่านมาเสียก่อน จากหน้าเฟียซ ๆ เลยต้องฉีกยิ้มหวานให้พี่เขาก่อน แบคฮยอนดันไหล่ชนไหล่เล็ก บุ้ยใบ้ตามหลังกลุ่มรุ่นพี่ไปพลางว่า “ไม่ไปช่วยงานรุ่นพี่จงแดเหรอ พรุ่งนี้ก็จะกลับโซลกันแล้ว จะหาโอกาสได้ใกล้ชิดแบบนี้ยากแล้วนะ”
“ไปด้วยกันหน่อยดิ”
“ไปกับดีโอก่อนได้ไหม เราอยากไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย อาจจะเลยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ดูสิ เปื้อนหมดแล้ว” พลิกแขนให้อีกสองคนเห็นรอยเลือดปนรอยโคลนที่กระจายไปทั่วแขนแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที “เจอกันอีกทีตอนรุ่นพี่เรียกรวมเลยนะ”
“อ่า โอเค เจอกัน” แยกกับเพื่อนทั้งสองแล้วแบคฮยอนก็ทำตามที่บอกไว้คือไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดใหม่ อากาศในวันฝนโปรยเย็นจัดแบคฮยอนเลือกสวมเสื้อยืดแขนยาวสีมัสตาร์ดกับกางเกงสีน้ำตาลยาวครึ่งแข้ง สำรวจตัวเองว่าพร้อมแล้วจึงออกจากห้องพักตรงไปยังห้องพักของสตาฟรุ่นพี่ ถามหาคนที่ต้องการพบปรากฏว่าเจ้าตัวเพิ่งออกจากห้องไปไม่ถึงห้านาที แบคฮยอนพรูลมหายใจกับท้องฟ้าสีเทาหม่น คิดเพียงนิดเดียวก่อนจะตรงไปทางบันได คนอย่างรุ่นพี่ปาร์คชานยอลคงไม่เอาตัวเองไปอยู่กลางกลุ่มคนในสภาวะอารมณ์อย่างนี้ แบคฮยอนแค่ลองเดา ไม่คิดว่าพอเปิดประตูดาดฟ้าออกไปจะเจออีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
ร่างสูงใหญ่ยืนหันหน้าออกไปทางแนวเขาสูงต่ำที่บัดนี้ถูกไอหมอกปกคลุมไม่เห็นยอด แผ่นหลังกว้างใต้ชุดวอร์มแบรนด์ดังของอเมริกาเหยียดหยัด ช่วงขายาวกางเสมอไหล่ แบคฮยอนคร้านจะหาคำตอบให้ตัวเองแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกหวั่นเกรงผู้ชายคนนี้นัก อาจเป็นเพราะปาร์คชานยอลอ่านยาก เขาดูคุกคามแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนรังเกียจแบคฮยอน ตอนนี้เป็นเพราะเขารู้ความลับของแบคฮยอน ภายใต้ความเงียบขรึมเย็นชานั้นวินาทีต่อมาเขาสามารถตะคอกและพุ่งเข้ามากระชากแบคฮยอนได้ราวกับคนเจ้าอารมณ์ หรือบางทีเขาอาจจะเป็นเหมือนเดิมแต่เป็นแบคฮยอนเองที่ขี้ขลาด ระแวงตามประสาวัวสันหลังหวะ แค่นกกาบินผ่านก็ผวาแล้วผวาอีก
เมื่อคนที่อยู่ก่อนหันมาเห็นแบคฮยอนแล้วไม่ได้ออกปากไล่ร่างเล็กจึงก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น ไม่ใช่ไม่กลัวแต่เรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้วแบคฮยอนจะปล่อยให้มันรบกวนจิตใจต่อไปไม่ได้เหมือนกัน
“แผลเป็นยังไงบ้างครับ?” แม้แต่หางตาก็ไม่แลมอง ดวงตาดำกว้างมองออกไปไกล ประหนึ่งไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงที่แบคฮยอนเอ่ยถาม แบคฮยอนรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกจึงได้อดทนรอ นาน กว่าปาร์คชานยอลจะยอมเปิดปาก
“มีอะไรก็พูดมา”
“ผม อยากคุย ต่อจากที่สุสาน ได้ไหมครับ”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้...”
“เราควรคุยกัน”
“ทำไม? ก่อนหน้านี้ยังเอาแต่วิ่งหนี ตอนนี้มาขอคุย หรือกลัวฉันจะป่าวประกาศให้คนรู้ว่าที่จริงแล้วนาย...”
“อย่าบอกใคร!” แค่นั้นเองที่แบคฮยอนต้องการ อย่างน้อยก็ขอให้มันเป็นความลับไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ทั้งคุณและตัวเองพร้อม แค่นั้นเองแบคฮยอนถึงต้องทิ้งทุกอย่างเพื่ออ้อนวอนเขา
“ผมขอร้อง”
“........”
“นะครับ”
“แลกกับอะไร?”
“.......”
“ลองบอกข้อเสนอที่คิดว่าฉันจะพอใจมาสักข้อสิ บยอนแบคฮยอน”
หนึ่งคืนหนึ่งวันที่เหลือในโรงเรียนผ่านไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ค่ายแนะแนวการเรียนต่อที่ควบกิจกรรมรับน้องของชมรมวรรณศิลป์จบลงในวันที่สาม เมื่อรถบัสคันเดิมเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าตึกกิจกรรมบรรดานักศึกษาก็ทยอยหอบหิ้วสัมภาระลงจากรถคันใหญ่แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน มินอากับดีโอนั้นมีคนที่บ้านมารับ รายแรกเป็นพี่ชายรายหลังเป็นใครดีโอไม่ได้บอกแต่เมื่อเพื่อนผู้แสนจะประหยัดคำพูดเสนอว่าจะไปส่งแบคฮยอนก็บอกปัดไป เกรงใจว่าเพื่อนอาจจะเหนื่อยเพราะไม่ชินกับการนั่งรถข้ามจังหวัดเลยอยากให้กลับไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้พวกเขามีเรียนแต่เช้า ยืนรอส่งเพื่อนสนิททั้งสองเสร็จแล้วแบคฮยอนก็ผละจากจุดที่มีคนเยอะ เลี่ยงเดินเลียบตึกออกไปด้านหลังที่ตอนนี้มีรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันหนึ่งจอดติดเครื่องรออยู่ ใบหน้าเรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มยินดีก่อนร่างเล็กจะเร่งฝีเท้าเข้าไปหา เปิดประตูหลังเพื่อวางกระเป๋าแล้วก็รีบเข้าไปนั่งคู่คนขับอย่างไม่รีรอ
“เป็นยังไง สนุกไหมไปค่าย?”
“สนุกครับ ได้ทำนั่นทำนี่เยอะเลย” ถ้าเฉพาะส่วนของการทำกิจกรรมก็สนุกนะ สนุกมากเลยล่ะ แบคฮยอนคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็หันไปบอกอีกว่า “วันแรกหลังจากแนะแนวน้องเรื่องเรียนต่อแล้วก็มีเกมให้เล่นด้วยครับ หลังเล่นเกมก็แบ่งกลุ่มทำกิจกรรมกับน้อง ๆ กลุ่มแพ้ต้องทำอาหารเย็นแล้วก็ทำความสะอาดโรงครัว กลุ่มผมได้จับปลา สนุกมาก ๆ เลยครับ คิดถึงเมื่อก่อน....” เสียงเจื้อยแจ้วหายไปกลางคันเมื่อคนเล่าเอาแต่มองย้อนไปข้างหลังจนคนขับรถต้องถามซ้ำ
“แล้วชนะไหม?”
“.......”
“แบคฮยอน”
“ครับ?”
“จับปลาแล้วยังไงต่อ แพ้หรือชนะ?”
“อ่า ชนะครับ” แล้วมีอะไรอีกนะ เรื่องที่ได้ทำช่วงสามวันนั่นน่ะ แบคฮยอนทำนั่นทำนี่ตั้งเยอะตั้งใจว่าจะเล่าให้คุณฟังทั้งหมดเลยด้วย แต่เมื่อกี้ พอมองออกไปนอกรถแล้วเจอใครหนึ่งเข้าก็เหมือนทุกอย่างในหัวได้ถูกแววตาของใครคนนั้นดูดออกไปจนหมดสิ้น ทิ้งความว่างเปล่ากับความกังวลใจเหลือไว้ให้แบคฮยอน ครั้นจะปลอบตัวเองว่าอาจจะมองผิด ร่างสูงคุ้นตานั่นคงไม่ใช่ปาร์คชานยอลแต่อีกใจที่กล้าหาญมากกว่าก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเป็นรุ่นพี่คนนั้นอย่างแน่นอน
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ สงสัยผมจะเหนื่อยไปหน่อย”
“ถ้างั้นก็นอนไปก่อน ถ้าถึงแล้วจะปลุก อยากกินอะไรไหมฉันจะได้แวะซื้อก่อนเข้าคอนโด” เด็กหนุ่มส่ายหน้า บอกว่าไม่หิว “คุณหิวไหมครับ?”
“ยังหรอก เพิ่งรองท้องไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว”
“งั้นผมขอนอนนะครับ” การทิ้งให้คุณขับรถคนเดียวไม่ใช่เรื่องที่แบคฮยอนอยากทำนักแต่ในขณะที่ยังมีปาร์คชานยอลวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด ถ้าจะให้ชวนคุณคุยต่อแบคฮยอนก็กลัวว่าตัวเองจะหลุดพิรุธเสียเอง ทดไว้ในใจว่าถึงห้องพักแล้วจะเล่าอีกหลายเรื่องให้คุณฟัง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคงไม่มีเรื่องของปาร์คชานยอลรวมอยู่ด้วย
“พระเจ้า นี่คือผลงานของน้องแบคฮยอนที่เขาเล่าลือกันใช่หรือไม่ครับท่านรองฯ”
“เขาของมึงน่ะใคร”
“แน่ะ อย่ามาหลอกถามเสียให้ยาก กูบอกมันก็โดนมึงกระทืบไส้แตกน่ะสิ”
“กูจะกระทืบเพราะมันให้ข่าวลวง ไม่ใช่เพราะมันเป็นสายสืบกะโหลกกะลา เป็นยังไงไงล่ะ ฝากฝังให้ดูแลเด็กมันดูแลได้ดั่งใจไหม”
“มึงรู้!” ชานยอลตีสีหน้าเหนื่อยหน่าย มองออกไปนอกรถเพราะไม่อยากเสวนากับไอ้คนเต็มจนล้นอย่างคิมจงอิน ถ้าไม่ติดว่าหมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้มือจนกว่าอาการจะดีขึ้นชานยอลก็ไม่โทรให้มันมารับหรอก ขึ้นรถมายังไม่ทันหายร้อนแม่งก็เริ่มซักแล้ว
“โอเค จบเรื่องหน่วยข่าวกรองของกู เอาเรื่องแผลตรงหัวกับข้อมือมึงก่อน ได้มายังไงไหนพูด”
“ก็อุบัติเหตุ”
“กูขอรายละเอียด” คนหน้าเข้มยักคิ้วจึ๊ก ๆ สองทีใส่ไอ้คนท่ามาก เรื่องเพื่อนคิมจงอินคนนี้ใส่ใจเสมอ แล้วยิ่งเป็นเรื่องเพื่อนที่มีน้องปีหนึ่งอักษรมาเกี่ยวด้วยแล้ว ผมปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้จริง ๆ ครับสังคม
“จบบริหารแล้วมึงจะสอบเข้าสำนักทะเบียนราษฎร์เลยหรือเปล่า ชอบนักนะซักไซ้เรื่องชาวบ้าน”
“ไม่ กูจะเป็นตำรวจ สอบปากคำผู้ร้ายปากแข็ง”
“กูไม่ใช่ผู้ร้าย”
“งั้นไหนพี่พระเอกลองบอกมาซิว่าอุบัติเหตุที่ไม่ยอมเล่าให้ใครฟังนั้นมีรายละเอียดอย่างไร มีต้นสายปลายเหตุอย่างไรแล้วเกี่ยวข้องกับน้องแบคฮยอนของกูอย่างไร อ๊ะ ๆ ๆ อย่าคิดจะตอบเหมือนที่ตอบไอ้จงแดนะ มันไม่ซักเพราะมันไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแต่กูไม่ใช่ กูที่รู้จักมึงมาตั้งแต่เด็กไม่มีทางเชื่อว่าคนอย่างมึงจะพลาดได้แผลเพราะฝนตกถนนลื่นหรอกปาร์คชานยอล เกิดอะไรขึ้น มึงทำอะไร?”
“ทำไมต้องคิดว่ากูเป็นคนทำ?”
“อ้าว หรือมึงจะบอกว่าแผลพวกนี้เกิดขึ้นเพราะน้องแบคฮยอนทำ?” ชายหนุ่มย้อน พารถแซงคันข้างหน้าได้สองคันติด เคาะนิ้วกับพวงมาลัยรถก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลนั่งนิ่งผิดปกติ นิ่งเงียบ ไม่ต่อคำ
“เหี้ย! บอกกูทีว่าไม่จริง” ความเงียบอย่างต่อเนื่องของเพื่อนสนิททำเอาคิมจงอินแทบลืมวิธีบังคับพวงมาลัยรถ
“มึงเงียบอ่ะท่านรองฯ จะให้กูคิดยังไงวะเนี่ย”
“ก็คิดอย่างที่มึงอยากคิด”
“มึงเล่าเดี๋ยวนี้เลย เล่า ก่อนกูจะพามึงเสยฟุตบาทข้างหน้านั่น” คู่สนทนาผ่อนลมหายใจออกโดยไร้เสียง มือข้างที่ไม่มีแผลลูบเฝือกอ่อนบนมือซ้ายช้า ๆ
“กูไปรู้ความลับของบยอนแบคฮยอนเข้า เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เด็กนั่นเลยพยายามหนี”
“หนีทำไมวะ?”
“กลัวไง ไม่ยอมคุย พวกมีชนักปักหลังจะทำอะไรได้มากกว่าระแวงไปวัน ๆ ล่ะ” มินิคูปเปอร์เหลืองดำชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จงอินจอดนิ่งก่อนถึงทางข้ามถนน เอี้ยวตัวไปทางเพื่อนตัวสูงพร้อมคำถาม
“แล้วมึงไปคุยอะไรกับน้องเค้า?”
“ก็แค่เตือน”
“เตือนกันท่าไหนถึงได้แผลกลับมา”
“พอแล้วจงอิน”
“เอ้า! เพื่อนเวร มึงจะมาทิ้งกูตอนไคลแม็กซ์ไม่ได้นะ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนอื่นด้วย กูไม่อยากพูดมาก มึงรู้แค่บยอนแบคฮยอนไม่ได้ใสซื่อ อ่อนแอ น่าทะนุถนอมอย่างที่มึงหรือใคร ๆ เข้าใจก็พอ!”
คิมจงอินตื๊อถามอีกสองรอบกว่าจะยอมหยุด ชานยอลรู้ว่าเพื่อนสนิทยังไม่พอใจคำตอบที่ได้รับและคนอย่างคิมจงอินจะไม่หยุดสืบสาวราวเรื่องเพียงเท่านี้แน่นอน ตัวชานยอลเองก็ไม่ได้อยากปิดบังเพื่อนแต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคนหลายคนอย่างที่เขาบอกจงอินไป ลำพังถ้ามีแค่บยอนแบคฮยอนเขาก็ไม่ลังเลที่จะจัดการหรอก ไม่สิ ที่ถูกก็คือเขาคงไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับครอบครัวเขา ทั้งพี่ชายที่เขารักและพี่เขยที่เขาเคยเคารพชื่นชม ถึงจะชิงชังรังเกียจแค่ไหนชานยอลคงปล่อยเรื่องของเด็กนั่นไปไม่ได้
เสียงสายเรียกเข้าดังเป็นเพลงที่ตั้งไว้เฉพาะคนพิเศษเร่งให้ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ตัวยังเปียก เรือนกายท่อนบนที่ตอนนี้เปลือยเปล่ามีหยดน้ำเกาะพราว ลอนกล้ามเนื้อตึงแน่นแสดงลายเส้นชัดยามเจ้าของร่างโน้มตัวลงหยิบอุปกรณ์สื่อสารที่หล่นอยู่บนพื้นข้างเตียงนอน ชานยอลเสยผมไปทางหนึ่ง หย่อนตัวที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนใหญ่พันปกปิดครึ่งล่างลงบนเตียงคิงไซส์พลางยิ้มรับเสียงทักทายจากปลายสาย
( อยู่ไหนแล้วชานยอล? )
“ชั้น 20 ของคอนโดหรูแห่งหนึ่งครับ”
( อ้าว ไม่กลับบ้านใหญ่หรอกหรือวันนี้ พี่นึกว่าเราจะกลับเสียอีก )
“พรุ่งนี้มีเรียนเช้าครับผม”
( แหม ก็เห็นว่าไปขึ้นเขามาตั้งสามวัน นึกว่าจะคิดถึงพี่ กลับมาแล้วก็รีบมาหาแบบนั้น พี่เข้าใจไปเองเหรอเนี่ย ) คนเป็นน้องหัวเราะในลำคอ ตอนแรกก็กะว่าจะไปแต่มีแผลเย็บขมับกับเฝือกอ่อนที่มือเป็นของฝากมาด้วยอย่างนี้ก็คิดว่าไม่ไปดีกว่า ไม่อยากให้เป็นห่วงกันทั้งพี่อี้ชิงและพี่เฟย
“อาทิตย์หน้านะครับ”
( อาทิตย์หน้าพี่จะไม่อยู่น่ะสิ )
“งั้นก็อาทิตย์ถัดไป”
( อาจจะไม่อยู่เหมือนกัน )
“ไปไหนเยอะแยะครับเนี่ย ปกติพี่ไม่ชอบออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือครับ”
( ก็ พอดีว่าคุณคริสต้องไปไฟนอลงานที่นิวยอร์กแล้วถ้าทุกอย่างโอเคก็น่าจะมีเอกสารบางส่วนที่พี่ต้องเซ็น พี่เลยต้องไปด้วยน่ะจ้ะ ) รอยละมุนในดวงตาคมหวานจางลงไปเมื่อปลายสายเอ่ยถึงบุคคลที่สาม ชานยอลขยี้ผมก่อนจะนิ่วหน้า แผลตรงมือเจ็บแปลบคล้ายส่งสัญญาณเตือน
“ไปนานไหมครับ?”
( เจ็ดแปดวัน ประมาณนั้น )
“...ไหน ๆ ก็ไปแล้ว จะรีบกลับทำไม ถือโอกาสเที่ยวพักผ่อนด้วยกันเลยสิครับ อุตส่าห์ไปถึงอเมริกาน่าจะอยู่สักเดือน”
( โอ๊ย ไม่ไหวหรอก นานไป คุณคริสไม่น่าจะว่าง )
“ก็ทำให้ว่างสิครับ ถ้าทั้งเดือนไม่ได้สักสองวีคก็ยังดี พี่ไม่ได้ไปไหนนานแล้ว พี่เขยเองก็มัวแต่ทำงาน หาความสุขให้ตัวเองบ้างเถอะครับ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองในบรรยากาศแปลกใหม่ อะไร ๆ จะต้องดีขึ้นแน่”
( ไม่รู้สิ พี่ ไม่รู้ว่าคุณคริสจะสะดวกไหม )
“ถ้าพี่ขอพี่เขยไม่มีทางปฏิเสธหรอกครับ ลองดูนะครับ เชื่อผม พี่คริสใจดีกับพี่อยู่แล้ว” ให้เขาใจดีกับพี่มาก ๆ จะได้ไม่เผลอเผื่อแผ่ความใจดีไปให้ใครอีก ดวงตาดำใหญ่หรี่มองมือข้างที่ใส่เฝือก บีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำคันนั้นยังติดตา ถึงไม่เห็นหน้าคนขับแต่ป้ายทะเบียนนั่นเขาจำไม่ผิดแน่ บยอนแบคฮยอนขึ้นรถคันนั้นไป
“พี่คริสอยู่บ้านไหมครับ?”
( ไม่อยู่ครับ เพิ่งออกไปตอนบ่ายสามนี่เอง เห็นบอกว่าจะไปหาเพื่อนสักคนนี่แหละ )
“บอกไว้ไหมครับว่าจะกลับกี่โมง?”
( ไม่ได้บอกไว้ เราถามทำไม มีอะไรหรือเปล่า? )
“เปล่าครับ แค่ คิดว่าถ้าพี่คริสอยู่บ้านพี่จะได้เดินไปพูดเรื่องเที่ยวอเมริกาตอนนี้เลย น่าเสียดายนะครับ วันหยุดทั้งทีคิดว่าจะพักอยู่บ้านเสียอีก”
( พี่ก็อยากให้พักเหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ล่ะ คุณคริสเองก็มีสังคมของเค้า ) พี่อี้ชิงเปลี่ยนมาถามเรื่องกิจกรรมรับน้องก่อนจะขอวางสายเมื่อญาติผู้พี่มาตามไปกินข้าว ปล่อยให้คนเป็นน้องนั่งเหม่อในห้องมืดไปอีกครู่ใหญ่ ชายหนุ่มไล้นิ้วโป้งกับกรอบจอ กดให้มันสว่างสลับกับกดปิดไปกี่รอบก็ไม่รู้ได้ เมื่อโฟกัสสายตาจับชัดอีกครั้งภาพหน้าต่างสนทนาของใครคนหนึ่งก็สะท้อนแสงใส่เต็มหน้าเสียแล้ว
ตัดสายทิ้งอย่างนั้นหรือ?
มุมปากสีเลือดเหยียดยิ้มหมิ่นแคลนยามก้านนิ้วยาวกดกำหมัดแน่น ความเจ็บปวดแล่นปราดสะท้านไปถึงท่อนแขนแต่เขาไม่ใส่ใจ
เรียกร้องขอต่อรองเองแล้วก็ผิดคำพูดเสียเอง
เก่งมากไหมแบคฮยอน
#ฟิครอย
กรี๊ดดดดดดดดดดดด มีคนอ่านเพิ่มขึ้น ดีใจคร้าาาาาาาาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. ข้อแลกเปลี่ยนคืออะไร!!??
ขุ่นพระ นี่อิชานมันขออะไรแลกเปลี่ยนกะน้องเนี้ยยยยยย
ระยะเวลาที่คุณคริสไม่อยู่นี่น่ากลัวอ่ะ ชานยอลต้องรังแกน้องหนักแน่
ขี้เกียจด่าแล้วนะ อย่าทำน้องงงงงงงงง แง้งงงงงงงงงงงงงงงง
อะไรก็ได้แต่อย่าเอาคืนโดยเล่นกับความรู้สึกคนอื่นเลย ขอร้องงงงง
คือ แบคก้บคริส ยังไม่ได้มีอะไรกันใช่ไหม ฮืออออ ทำไมฉันคิดเยอะ แงๆๆๆ สงสารน้องจัง
รีบต่อนะคะ รีบเลยๆๆๆๆๆๆ จะทนไม่ไหวแล้ววววววว