ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
“นิดหน่อยรู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้ล่ะ รัตติ” หญิงสาวแรกรุ่น ผู้มีรูปร่างบอบบางสมกับชื่อ ผมยาวหยักโศกที่ยาวถึงกลางหลัง และดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองเธออยู่นั่น ทำเอา ‘รัตติ’ อดเอ็นดูไม่ได้ ถึงจะมีอายุเท่ากัน แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนยัยตัวเล็กนี่จะเป็นเหมือนน้องสาวซะมากกว่า
“ไว้ว่าง ๆ เราแวะมาเยี่ยมก็ได้นี่ นิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องเศร้าเลย” รัตติกล่าวกับเพื่อนสาว อย่างเอ็นดู
‘รัตติ’ หญิงสาวผู้ที่มีนัยต์ตา และสีผม สีเดียวกัน นั่นคือ ดำสนิทราวกับนิล กับผิวที่ขาวจัดราวกับหิมะ ทำให้เธอดูสวยแปลกตา ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป ดูทั้งมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่างอยู่ในตัว และอ่อนหวานในยามเดียวกัน รวมทั้งรูปร่างที่บอบบาง ที่คนตัวเล็กรู้เสมอว่าจริง ๆ แล้วแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ทำให้แปลกใจว่า เมื่อยามใดที่เธอได้โอกาสออกจากคอนแวนไปเตรดเตร่ตามตลาดในเมือง ย่อมต้องมีชายหนุ่มติดตาต้องใจเธอเป็นธรรมดา ถึงกับมาสู่ขอเธอถึงคอนแวนหลายต่อหลายคน แต่คำตอบที่ได้ก็คือ ‘ไม่’ เท่านั้น
วันนี้เป็นวันที่รัตติจะต้องออกจากคอนแวนที่เลี้ยงดู และให้การศึกษาเธอมาถึง 10 ปี เพื่อไปใช้ชีวิตในโลกของความจริง ที่เธอกลัวแสนกลัว ถึงเธอจะอ้อนวอนขอร้อง คุณแม่แค่ไหน เพื่อให้เธออยู่ต่อ แต่เธอก็ได้คำตอบเดียวเพียงคำตอบเดียว นั่นก็คือ
‘รัตติ แม่ก็ไม่อยากจากลูกเลย แต่นี่คือชะตากรรมของลูก ที่จะนำไปสู่ สิ่งที่ลูกต้องเผชิญ’ นี่คือสิ่งที่คุณแม่แอเรียส บอกเธอเสมอ
ยิ่งใกล้วันที่เธอจะต้องออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ ความกลัวก็ยิ่งเกาะกินหัวใจของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอในตอนนึ้ ก็คงเป็นเพื่อนตัวเล็กของเธอที่ตั้งใจจะออกไปเผชิญโลกข้างนอกกับเธอด้วยเช่น กัน
“ไม่ต้องกลัวนะรัตติ นิดหน่อยอยู่นี่ทั้งคน นิดหน่อยจะดูแลรัตติเอง” ถึงเธอจะรู้ว่า คนที่ทำหน้าที่ดูแลคงไม่พ้นตัวเธอเอง แต่เธอก็รู้สึกว่ามันทำให้เธออบอุ่น เพราะนิดหน่อยเป็นมากกว่าเพื่อน เธอคือครอบครัว ซึ่งรัตติมีเพียงคนเดียว หากจะต้องจากคอนแวนนี้ไป
ตอนนี้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นซิสเตอร์ และน้อง ๆ ร่วมคอนแวน นับกว่า 50 คน รวมทั้งคุณแม่แอเรียส ได้ออกมายืนส่ง รัตติ และนิดหน่อยที่หน้าคอนแวน ซึ่งตอนนี้ทั้งสองได้เข้าไปนั่งอยู่ในรถ ที่ถูกจ้างมาเพื่อนนำคนทั้งสองไปสู่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
“แล้วหนูจะมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะค่ะคุณแม่ ซิสเตอร์” นิดหน่อยบอกลา ผ่านกระจกที่เปิดลงมาเกือบครึ่ง ด้วยน้ำตาที่นองหน้า
“อะไรกันนิดหน่อย แค่นี้ไม่เห็นต้องร้องไห้เลยนี่ลูก ว่าง ๆ ก็มาหาแม่ กับน้อง ๆ ได้นี่” คุณแม่แอเรียสพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้กับนิดหน่อย ด้วยผ้าเช็ดหน้าถักริมลูกไม้ ที่คุณแม่ใช้อยู่เป็นประจำ
“คุณแม่!!! ฮือๆๆ ฮือๆ” แต่ดูเหมือนนั่นยิ่งทำให้นิดหน่อยกั้นทำนบน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป และรีบเปิดประตูออกไปกอดคุณแม่อีกครั้ง
“ไม่ต้องร้องนะลูก อย่างอแงซิจ๊ะ” คุณแม่แอเรียสเอามือลูบหัวนิดหน่อยช้า ๆ พร้อมปลอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“รัตติ แม่ฝากนิดหน่อยด้วยนะลูก”
“ค่ะคุณแม่” เธอพยักหน้ารับ พร้อมเสไปมองทางอื่น เพื่อพยายามกั้นน้ำตาอย่างเต็มที่
“คุณแม่ค่ะ คุณแม่ลืมอะไรหรือเปล่าค่ะ” ซิสเตอร์แอสเตลผู้ที่เป็นมือขวาของคุณแม่แอเรียสพูดขึ้น
“ตายจริง แม่ลืมได้ยังไง มิเชลไปเอามาให้แม่สิ”
หลังจากซิสเตอร์มิเชลหายเข้าไปในตึกตามคำสั่งของคุณแม่ได้ไม่นาน ก็ออกมาพร้อมกับห่อผ้าที่ดูเหมือนข้างใน จะเป็นสิ่งของที่เป็นรูปยาวเรียวคล้ายกระบอง หรืออะไรสักอย่างนึง
“รัตติ มาหาแม่สิลูก”
“ค่ะคุณแม่”
“สิ่งนี้เป็นของลูก จงรับมันไป”
รัตติรับมันด้วยมือเอาสั่นเทา ถึงเธอจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เธอรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับมันมานานแสนนาน เมื่อเธอแกะห่อผ้านั่นออก สิ่งที่ปรากฏคือ ‘ดาบ’ พร้อมฝักที่เป็นลวดลายโบราณสวยงาม บางอย่างดลใจให้เธอชักมันออกจากฝัก ที่ตัวดาบมีตัวอักษรโบราณสลักเอาไว้ ถึงมันจะเลือนไปตามกาลเวลา แต่เธอกลับอ่านมันได้อย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอไปเรียนภาษาโบราณนี้มาจากไหน
“เตอารา เซยาโนมาติเร มายาชินา รัตตะกาลา - ผู้ล่าแสงสว่าง คือผู้ที่ตกอยู่ในความมืดตลอดกาล”
ในขณะที่เธอไล่นิ้วไปตามตัวอักษรพวกนั้น โดยไม่ระวัง นิ้วของเธอก็ไปโดนคมของดาบ ทำให้เลือดของเธอไปโดนตัวอักษรบนดาบโดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้น ตัวอักษรโบราณที่เลือนตามกาลเวลากลับฉายแสงสีทองออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
“คุณแม่!!!!” เธอรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเธอก็รู้ว่าคุณแม่เองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“มันเป็นของลูก.... เมื่อ 10 ปีก่อน ในคืนที่ท้องฟ้าแดงฉาน ลูกสลบอยู่หน้าประตูโบสถ์ พร้อมกอดดาบนั้นแนบอก ถึงแม้ว่าแม่จะพยายามแกะมันออก แต่มันก็ไม่เป็นผล..... แม่รู้ว่าชะตากรรมของลูกมันไม่ใช่เรื่องที่จะหลีกหนีได้ จงเดินไปหาอดีตของตัวเองให้พบ และเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ แม่จะอยู่ตรงนี้เพื่อลูกเสมอ”
“คุณแม่” แล้วน้ำตาที่ยากที่จะเห็นจากเธอ ก็รินไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนจะเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
“ไว้ว่าง ๆ เราแวะมาเยี่ยมก็ได้นี่ นิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องเศร้าเลย” รัตติกล่าวกับเพื่อนสาว อย่างเอ็นดู
‘รัตติ’ หญิงสาวผู้ที่มีนัยต์ตา และสีผม สีเดียวกัน นั่นคือ ดำสนิทราวกับนิล กับผิวที่ขาวจัดราวกับหิมะ ทำให้เธอดูสวยแปลกตา ไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป ดูทั้งมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่างอยู่ในตัว และอ่อนหวานในยามเดียวกัน รวมทั้งรูปร่างที่บอบบาง ที่คนตัวเล็กรู้เสมอว่าจริง ๆ แล้วแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ทำให้แปลกใจว่า เมื่อยามใดที่เธอได้โอกาสออกจากคอนแวนไปเตรดเตร่ตามตลาดในเมือง ย่อมต้องมีชายหนุ่มติดตาต้องใจเธอเป็นธรรมดา ถึงกับมาสู่ขอเธอถึงคอนแวนหลายต่อหลายคน แต่คำตอบที่ได้ก็คือ ‘ไม่’ เท่านั้น
วันนี้เป็นวันที่รัตติจะต้องออกจากคอนแวนที่เลี้ยงดู และให้การศึกษาเธอมาถึง 10 ปี เพื่อไปใช้ชีวิตในโลกของความจริง ที่เธอกลัวแสนกลัว ถึงเธอจะอ้อนวอนขอร้อง คุณแม่แค่ไหน เพื่อให้เธออยู่ต่อ แต่เธอก็ได้คำตอบเดียวเพียงคำตอบเดียว นั่นก็คือ
‘รัตติ แม่ก็ไม่อยากจากลูกเลย แต่นี่คือชะตากรรมของลูก ที่จะนำไปสู่ สิ่งที่ลูกต้องเผชิญ’ นี่คือสิ่งที่คุณแม่แอเรียส บอกเธอเสมอ
ยิ่งใกล้วันที่เธอจะต้องออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ ความกลัวก็ยิ่งเกาะกินหัวใจของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอในตอนนึ้ ก็คงเป็นเพื่อนตัวเล็กของเธอที่ตั้งใจจะออกไปเผชิญโลกข้างนอกกับเธอด้วยเช่น กัน
“ไม่ต้องกลัวนะรัตติ นิดหน่อยอยู่นี่ทั้งคน นิดหน่อยจะดูแลรัตติเอง” ถึงเธอจะรู้ว่า คนที่ทำหน้าที่ดูแลคงไม่พ้นตัวเธอเอง แต่เธอก็รู้สึกว่ามันทำให้เธออบอุ่น เพราะนิดหน่อยเป็นมากกว่าเพื่อน เธอคือครอบครัว ซึ่งรัตติมีเพียงคนเดียว หากจะต้องจากคอนแวนนี้ไป
ตอนนี้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นซิสเตอร์ และน้อง ๆ ร่วมคอนแวน นับกว่า 50 คน รวมทั้งคุณแม่แอเรียส ได้ออกมายืนส่ง รัตติ และนิดหน่อยที่หน้าคอนแวน ซึ่งตอนนี้ทั้งสองได้เข้าไปนั่งอยู่ในรถ ที่ถูกจ้างมาเพื่อนนำคนทั้งสองไปสู่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
“แล้วหนูจะมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะค่ะคุณแม่ ซิสเตอร์” นิดหน่อยบอกลา ผ่านกระจกที่เปิดลงมาเกือบครึ่ง ด้วยน้ำตาที่นองหน้า
“อะไรกันนิดหน่อย แค่นี้ไม่เห็นต้องร้องไห้เลยนี่ลูก ว่าง ๆ ก็มาหาแม่ กับน้อง ๆ ได้นี่” คุณแม่แอเรียสพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้กับนิดหน่อย ด้วยผ้าเช็ดหน้าถักริมลูกไม้ ที่คุณแม่ใช้อยู่เป็นประจำ
“คุณแม่!!! ฮือๆๆ ฮือๆ” แต่ดูเหมือนนั่นยิ่งทำให้นิดหน่อยกั้นทำนบน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป และรีบเปิดประตูออกไปกอดคุณแม่อีกครั้ง
“ไม่ต้องร้องนะลูก อย่างอแงซิจ๊ะ” คุณแม่แอเรียสเอามือลูบหัวนิดหน่อยช้า ๆ พร้อมปลอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“รัตติ แม่ฝากนิดหน่อยด้วยนะลูก”
“ค่ะคุณแม่” เธอพยักหน้ารับ พร้อมเสไปมองทางอื่น เพื่อพยายามกั้นน้ำตาอย่างเต็มที่
“คุณแม่ค่ะ คุณแม่ลืมอะไรหรือเปล่าค่ะ” ซิสเตอร์แอสเตลผู้ที่เป็นมือขวาของคุณแม่แอเรียสพูดขึ้น
“ตายจริง แม่ลืมได้ยังไง มิเชลไปเอามาให้แม่สิ”
หลังจากซิสเตอร์มิเชลหายเข้าไปในตึกตามคำสั่งของคุณแม่ได้ไม่นาน ก็ออกมาพร้อมกับห่อผ้าที่ดูเหมือนข้างใน จะเป็นสิ่งของที่เป็นรูปยาวเรียวคล้ายกระบอง หรืออะไรสักอย่างนึง
“รัตติ มาหาแม่สิลูก”
“ค่ะคุณแม่”
“สิ่งนี้เป็นของลูก จงรับมันไป”
รัตติรับมันด้วยมือเอาสั่นเทา ถึงเธอจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เธอรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับมันมานานแสนนาน เมื่อเธอแกะห่อผ้านั่นออก สิ่งที่ปรากฏคือ ‘ดาบ’ พร้อมฝักที่เป็นลวดลายโบราณสวยงาม บางอย่างดลใจให้เธอชักมันออกจากฝัก ที่ตัวดาบมีตัวอักษรโบราณสลักเอาไว้ ถึงมันจะเลือนไปตามกาลเวลา แต่เธอกลับอ่านมันได้อย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอไปเรียนภาษาโบราณนี้มาจากไหน
“เตอารา เซยาโนมาติเร มายาชินา รัตตะกาลา - ผู้ล่าแสงสว่าง คือผู้ที่ตกอยู่ในความมืดตลอดกาล”
ในขณะที่เธอไล่นิ้วไปตามตัวอักษรพวกนั้น โดยไม่ระวัง นิ้วของเธอก็ไปโดนคมของดาบ ทำให้เลือดของเธอไปโดนตัวอักษรบนดาบโดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้น ตัวอักษรโบราณที่เลือนตามกาลเวลากลับฉายแสงสีทองออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
“คุณแม่!!!!” เธอรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเธอก็รู้ว่าคุณแม่เองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“มันเป็นของลูก.... เมื่อ 10 ปีก่อน ในคืนที่ท้องฟ้าแดงฉาน ลูกสลบอยู่หน้าประตูโบสถ์ พร้อมกอดดาบนั้นแนบอก ถึงแม้ว่าแม่จะพยายามแกะมันออก แต่มันก็ไม่เป็นผล..... แม่รู้ว่าชะตากรรมของลูกมันไม่ใช่เรื่องที่จะหลีกหนีได้ จงเดินไปหาอดีตของตัวเองให้พบ และเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ แม่จะอยู่ตรงนี้เพื่อลูกเสมอ”
“คุณแม่” แล้วน้ำตาที่ยากที่จะเห็นจากเธอ ก็รินไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนจะเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น