ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    █ ▌l o v e l o r n 。

    ลำดับตอนที่ #6 : SAKURA BEGIN || 05

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 57


    @SQWEEZ

    SAKURA BEGIN :: 05




    ห้องชมรมดนตรีของโรงเรียนอยู่บนชั้นสองฝั่งมุมสุดติดบันไดของอาคารกิจกรรมที่ถูกแยกห่างออกมาจากอาคารเรียนรวมออกมาไม่ไกลมากนัก เสียงนักกีฬาชมรมกลางแจ้งยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะแม้ว่าเวลานี้จะเกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้วก็ตาม


    แบมแบมเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงผ่านทางหน้าต่างซึ่งเปิดอ้ารับลมหนาว เด็กชายขยับผ้าพันคอแล้วก้มหน้าก้มตาขีดเขียนกับงานที่ถูกยัดเยียดให้ทำจากคนตัวสูงซึ่งกำลังนั่งตีกลองอยู่ในมุมของตัวเอง ถึงแม้แบมแบมจะไม่อยากมองไม่อยากสนใจแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามาร์คเล่นได้ค่อนข้างเก่ง เขาเองก็ฟังไม่ค่อยเป็นดูไม่ค่อยออกว่าตีกลองแบบไหนถึงจะเข้าขั้นมือโปร แต่จากที่จำใจต้องฟังเพราะอยู่ในห้องเดียวกันก็พอจะรู้ว่าอีกคนฝีมือไม่ธรรมดา


    ท่าทางลงไม้เต็มแรงจนเหงื่อซกเต็มตัวอย่างกับไปออกวิ่งมาราธอน ไม่รู้ว่าปกติก็เป็นอย่างนี้หรือต้องการตีกระแทกให้เสียงดังรบกวนสมาธิของเขาก็ไม่รู้


    แบมแบมถอนหายใจเมื่อเห็นว่างานที่ทำยังไม่ถึงครึ่งเลย ปวดมือก็ปวด เมื่อยก็เมื่อย คิดได้ดังนั้น ร่างน้อยก็ยกมือขึ้นบิดตัวยืดเส้นยืดสายพลันสายตาก็เผลอไปสบเข้ากับร่างสูงที่กำลังมองตรงมาเช่นกัน


    ลำแขนบางลดลงพร้อมกับนั่งตัวตรง ก้มหน้าทำงานไม่พูดไม่จาอย่างที่ผ่านมา
     


    "ใกล้เสร็จหรือยัง"


    คนตัวสูงถามพลางเดินเข้ามาดูความคืบหน้า แบมแบมเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เขากำลังจินตนาการว่ากำลังอยู่ในห้องคนเดียวด้วยซ้ำ แต่แล้วร่างน้อยก็เกร็งขึ้นมากะทันหันเมื่อคนที่คิดว่าอยู่ห่างออกไปไกลกลับโน้มตัวเข้ามาใกล้ในระยะที่ได้กลิ่นเหงื่อชัดเจน


    "ถามไม่ยอมตอบ ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นใบ้ด้วย"


    มาร์คชะโงกหน้าดูข้อมูลในสมุดบันทึกแล้วหันไปมองใบหน้าเล็กที่ผินหนีไปอีกทางทันทีจึงทำให้มองเห็นแค่เพียงปรางแก้มใสในระยะประชั้นชิด คนตัวสูงยิ้มก่อนจะแกล้งเอาหน้าเข้าไปใกล้ในขณะที่แบมแบมรีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีราวกับโดนของร้อน


    "ไม่รู้สักเรื่องนายจะตายหรือไง" คนตัวเล็กว่ากระแทกเข้าให้แล้วรีบคว้าสมุดไปยังโต๊ะอีกฟากที่ห่างจากร่างสูงไปไกลเป็นวาโดยมีสายตาของคนตัวสูงที่มองตามไปด้วยความขบขัน มาร์คนั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่มทีเดียวจนหมดขวด


    Ringtone-- แบมแบมหยิบมือถือขึ้นมารับเสียงอ่อย


    "ครับ ครับ ผมทำงานชมรมอยู่คงอีกนาน คุณแม่ทานข้าวไปก่อนได้เลย ครับ แล้วผมจะรีบกลับ" เมื่อเก็บมือถือเข้าในกระเป๋า ร่างเล็กก็นั่งทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ ยูริพยายามเร่งมือถึงแม้จะรู้ว่าคงไม่เสร็จในเร็วๆ นี้เป็นแน่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำต่อข้อมือบางก็ถูกคว้าให้ยืนขึ้นจากเก้าอี้ทั้งตัวโดยฝีมือของคนจอมบงการที่ชอบใช้กำลังเข้าข่มเฉกเช่นไอ้มนุษย์เสาไฟฟ้าที่มายืนทำหน้าเฉยอยู่ข้างๆ เขา


    "อะไรอีกล่ะ!" คนตัวเล็กถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยถูกกดขี่ข่มเหงเท่านี้มาก่อนในชีวิตเลยให้ตายสิ
     


    "กลับบ้าน" ยูริขมวดคิ้วกับคำพูดของคนตรงหน้า


    "ก็ไหนบอกว่า..."


    "ฉันเปลี่ยนใจแล้ว กลับบ้าน"


    เอาแต่ใจตัวเอง บ้าอำนาจ! คนตัวเล็กย่นจมูกตามแผ่นหลังของคนที่เดินไปหยิบกระเป๋า ในจังหวะที่แบมแบมกำลังจะเก็บของก็มีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องชมรมคล้ายกับจะสำรวจ ทั้งมาร์คและแบมแบมหันไปมองผู้มาใหม่ซึ่งมีรูปร่างสูง หน้าตาถือว่าดีจัดและที่สำคัญดูนิ่งและสงบ บุคลิกมาดขรึมอย่างกับหลุดออกมาจากโลกการ์ตูนเพ้อฝันที่สาวๆ ชอบอ่านกันเป๊ะ
     


    "ยังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอ" เด็กหนุ่มคนนั้นถามเสียงเรียบไม่ต่างไปจากการแต่งกายที่ดูเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า มาร์คเดินแบกเป้เข้ามายืนเผชิญหน้าก่อนตอบ


    "แล้วนายเป็นใคร?" คนตัวสูงถามกลับไปทั้งที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าอีกคนอยู่ปีสองจากเข็มกลัดที่ติดไว้บนหน้าอก เมื่อทั้งคู่มายืนเทียบกันใกล้ๆ แบบนี้แล้วแบมแบมก็ตระหนักได้ว่าในโรงเรียนนี้คงไม่มีใครสูงเป็นเปรตเท่าหมอนี่อีกแล้ว


    "ฉันเจบี เป็นกรรมการนักเรียน พอดีเห็นไฟในห้องเปิดอยู่เลยแวะมาดู" ตอบคำถามด้วยอาการใจเย็น มาร์คเลิกคิ้วแล้วเดินผ่านออกไปที่ประตูในขณะที่ตอบ


    "เรากำลังจะกลับ ถ้าจะมาสำรวจความประพฤติขอบอกว่านี่ไม่ใช่ชั่วโมงเรียน"


    เจบีมองตามคนตัวสูงไปจนสุดสายตาก่อนจะหันมาที่แบมแบมที่ยักไหล่ให้ทันที


    "หมอนั่นนิสัยไม่ค่อยดีน่ะ"


    ร่างเล็กบอกแล้วเดินออกไปจากห้องชมรมบ้าง ความจริงก็นึกเป็นห่วงคนเมื่อกี้นิดหน่อยที่อยู่ดีไม่ว่าดีดันมาเจอความหยาบของหมอนั่นเข้าให้ ทั้งที่ตอนอยู่กับเพื่อนในห้องก็พูดจาดีแบบคนปกติแท้ๆ แต่ทำไมเวลาที่อยู่กับเขาถึงได้ชอบก่อกวนบังคับนักก็ไม่รู้ แต่แบมแบมก็ไม่แคร์อยู่แล้วเพราะเขาเองก็เกลียดหมอนั่นเหมือนกัน


    แต่จะว่าไป คณะกรรมการนักเรียนคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน


    คิดพลางเดินลงมาจากบันได แต่พอเด็กชายลงมาถึงชั้นล่างก็ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันเมื่อพบว่าคนตัวสูงซึ่งอยู่ในชุดเชิ้ตสีขาวเปียกเหงื่อโดยที่เอาชายเสื้อออกนอกกางเกงกำลังยืนพิงกำแพงมองตรงมาที่เขาตาไม่กระพริบ แบมแบมทำเป็นไม่สนใจอีกเช่นเคย แต่พอร่างสูงเดินหยิบสเก็ตบอร์ดตามมาคนตัวเล็กก็หันกลับไปคุยด้วยใบหน้าที่จริงจัง


    "มีอะไรพูดกันตรงๆ เลยดีกว่า ฉันเบื่อที่ต้องมาทำตามใจชอบของนายแล้ว จะเอายังไงว่ามา!"


    มาร์คเลิกคิ้วทำหน้าขันเมื่อได้ยินน้ำเสียงหาเรื่องที่ใส่มาไม่ยั้ง


    "ก็ไม่ยังไง แค่จะไปส่ง"


    แบมแบมขมวดคิ้วแทนคำตอบ เด็กชายไม่รู้อีกฝ่ายจะมาไม้ไหน แต่แทนที่คนตัวเล็กจะยืนกรานปฏิเสธแบบทุกครั้งกลับทำหน้าครุ่นคิดแล้วยอมเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย


    "ไปก็ได้"


    และก็เป็นตามคาดที่คนตัวสูงจะมองด้วยความแปลกใจ


    "มาแปลก แต่ก็เอาเถอะ อ่ะ ถือกระเป๋าให้ด้วย" มาร์คโยนเป้ของตัวเองให้ร่างเล็กเอาไปถือ แบมแบมรับมาแล้วเดินตามเงียบๆ ทั้งคู่ไปตามถนนเลียบสนามฟุตบอลซึ่งมีนักเรียนทำกิจกรรมอยู่เพียงไม่กี่คน


    แบมแบมเหลือบมองคนข้างหน้าที่กำลังมองตรงไปตามเส้นทางยาวเหยียด มือน้อยค่อยๆ เปิดซิปกระเป๋าหามือถือที่แบมแบมแอบสังเกตเห็นว่ามาร์คเอาใส่ไว้ในนี้ตอนที่อยู่ในห้องชมรม ในขณะที่ร่างเล็กกำลังหาของวุ่นวาย มาร์คที่ตั้งใจปั่นจักรยานกลับลอบอมยิ้มเพราะเขารู้ทันตั้งแต่ที่แบมแบมไม่ปฏิเสธคำชวนแล้ว


    คนอะไรหลอกก็ง่าย ยั่วโมโหก็ง่าย


    "ถ้าจะหามือถือในนั้นไม่มีหรอก ไม่ต้องคุ้ยให้เสียเวลา"


    แบมแบมชะงักมือทันที คนตัวเล็กเงยหน้ามองร่างสูงซึ่งเห็นแค่ใบหน้าเพียงเสี้ยวก็รู้ดีว่าหมอนี่กำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่อย่างแน่นอน


    "ฉันจะกลับเอง ไม่ต้องไปส่งแล้ว!"


    ตอบรับคำขอที่แสนห้วนด้วยการเบรคกึกอย่างกะทันหันแล้วหันสเก็ตบอร์ดมาขวางจนคนตัวเล็กเซถลุนไปข้างหน้าพาให้ลำตัวและศีรษะแนบไปกับแผ่นหลังหนา ใกล้ชิดจนกระทั่งได้กลิ่นโคโลญจ์เย็นๆ เจือจางไปตามกระแสลมทั้งที่เห็นชัดอยู่แล้วว่าร่างสูงออกแรงตีกลองจนเหงื่อท่วมตัวไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


    "ทำบ้าอะไรเนี่ย!" แบมแบมแหวเข้าให้แต่มาร์คกลับหัวเราะชอบใจก่อนจะปั่นลงเนินเพื่อเลี้ยวไปตามเส้นทางที่มุ่งไปสู่ย่านชุมชนของเมืองใหญ่ผ่านอุโมงค์ต้นซากุระที่มีเพียงแสงรำไรจากโคมไฟประดับถนนที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายเมตร
     


    "บ้านอยู่ที่ไหน" มาร์คเอี้ยวตัวมาถามในระหว่างที่ถไลสเก็ตบอร์ดผ่านสะพานข้ามคลองขนาดเล็กซึ่งเป็นหางของทะเลสาบแดยอง 


    "ซอยฮารุ 21"


    เหนื่อยใจจะต่อปากต่อคำด้วย ร่างจ้อยจึงบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เพราะถึงแม้แบมแบมจะไม่อยากให้หมอนี่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน ต่อให้ทำเป็นเมิน ยังไงไอ้คนบ้าอำนาจก็ต้องหาทางหลอกล่อเอาจนได้ วันนี้ยูริเหนื่อยเกินที่จะรับมือแล้ว เขาอยากจะกลับไปให้ถึงบ้านเร็วๆ และที่สำคัญแบมแบมอยากจะอยู่ห่างจากหมอนี่เต็มทน


    แต่ดูเหมือนความปรารถนาของแบมแบมจะไม่เป็นผลเอาเสียเลยเมื่อมาร์คเลี้ยวเข้าร้านราเมงระหว่างทางแทนที่จะเป็นบ้านของเขา ถ้าไม่คิดจะไปส่งก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะถามทำไมก็ไม่รู้


    "ถ้านายหิวมากฉันก็ขอตัวกลับบ้านแล้วกัน" หลังจากที่ลงจากเบาะรถได้แบมแบมก็พูดบอกพลางเตรียมตัวเดินกลับ แต่มือหนากลับฉุดแขนเอาไว้พร้อมกับลากเข้าไปในร้านที่มีคนนั่งทานกันเต็ม
     


    "ราเมงจัดเต็มสองชามครับลุง"


    สั่งเสร็จก็หันมายิ้มในขณะที่แบมแบมนึกอยากจะกระแทกเสียงถอนหายใจใส่หน้าหมอนี่ให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าได้พรากเวลาพักผ่อนของคนอื่นด้วยความเอาแต่ใจของตัวเอง นึกอยากจะลากไปไหนก็ได้ แบมแบมไม่ใช่ตุ๊กตายางนะจะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย


    คนตัวเล็กแอบบ่นในใจแต่สายตาเขม่นจ้องคนตัวสูงแบบไม่ปิดบัง ไม่รู้ว่าประสาทการรับรู้ของมาร์คตายด้านหรือว่าหมอนี่เพี้ยนกันแน่ถึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีของเขาที่แสดงออกชัดว่าไม่อยากอยู่ด้วยจนจะทนไม่ไหวแล้วเนี่ย


    "นี่ถามจริง นายต้องการอะไรกันแน่ มายุ่งกับฉันทำไมนักหนา ตอนนี้ยองแจก็เข้าชมรมแล้ว เราก็ไม่มีอะไรจะต้องติดค้างกัน นายก็ควรจะลบรูปนั้นซะ แล้วเราก็เลิกแล้วต่อกัน ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายแบบเดิมให้ประสาทเสีย โอเคไหม" แบมแบมยื่นข้อเสนอให้กับทางออกของปัญหาที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่มาร์คกลับเลิกคิ้วกดยิ้มน้อยๆ ดูกวนโมโหชอบกล


    "ตอนนี้คงเกลียดฉันมากล่ะสิ เอาไว้หายเกลียดเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่"


    แบมแบมถอนหายใจดังพรืด


    "ไม่เกลียดแล้วก็ได้ ฉันจะเฉยๆ กับนาย โอเค๊?"


    "ดูก็รู้ว่าโกหก อ่ะ ราเมงมาแล้ว กินสิ เลยเวลาอาหารเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอ" มาร์คบอกในขณะที่ราเมงสองถ้วยใหญ่ขนาดพิเศษมาเสิร์ฟตรงหน้าดูน่าอร่อย แบมแบมเหล่มองคนตัวสูงที่เริ่มโซ้ยเอาๆ อย่างคนหิวจัดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจที่จะพูด ความจริงแบมแบมเองก็หิวแล้ว ร่างเล็กจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารของตัวเองบ้าง
     


    ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็มาถึงหน้าบ้านของแบมแบมที่เพียงคนตัวสูงจอด ร่างเล็กก็แทบจะวิ่งเข้าบ้านทันที ยูริรีบเดินไปเปิดประตูรั้วบ้านแล้วหันกลับมาหามาร์คที่ยังคงไม่ไปไหน


    "ฉันไม่ขอบคุณหรอกนะ"


    ร่างสูงยิ้ม


    "ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินอยู่แล้ว" แบมแบมหน้าตึงก่อนจะวิ่งเข้ารั้วบ้านไปทิ้งไว้เพียงคนตัวสูงที่มองตามไปจนเห็นว่าอีกคนเข้าไปในบ้านแล้ว จึงได้เลี้ยวรถกลับไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่อีกมุมเมือง


    .
    .

    เวลาเกือบเที่ยงของวันเสาร์ ร้านสะดวกซื้อของจินยองยังคงหนาแน่นไปด้วยผู้คนไม่ขาดสาย แต่แม่ของจินยองผู้เป็นเจ้าของร้านก็ยังคงทำงานด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ จินยองที่เพิ่งเปลี่ยนเวรเฝ้าร้านกับแม่เดินถือน้ำหวานและขนมขึ้นไปบนห้องของตัวเองเพื่อไปรับแขกเพื่อนซึ่งมาทำการบ้านด้วยกันในเวลานี้เป็นประจำ


    "อูยองรอนานป่าว?"


    "หิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย นึกว่าปีนไปซื้อขนมบนโซลทาวเวอร์ซะอีก" อูยองที่นอนอ่านการ์ตูนบนเตียงของเพื่อนร้องโอดอย่างหิวกระหายทั้งที่ก็เพิ่งจะกินมาจากบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมง


    "ขอโทษทีน้าที่ให้คอย" จินยองบอกเสียงอ่อนพร้อมกับยิ้มหวานอย่างเอาใจ อูยองเห็นแล้วก็นึกหมั่นเขี้ยว คนอะไรยิ้มทีนึกว่าโลกสว่างวิ้งๆ จนแสบตา


    "เวลามาร์คมาที่ห้องให้คอยแบบนี้ป่าวเนี่ย" คนที่มีหน้าตาน่ารักไม่แพ้กันถามขึ้น อันที่แล้วอูยองก็ไม่ได้รอนานอะไรแต่แค่อยากลองถามเพื่อนของตัวเองดูก็เท่านั้น เพราะรอจนป่านนี้แล้วเจ้าตัวก็ยังไม่เห็นจะบอกอะไรให้รู้บ้างเลย ทั้งที่เห็นได้ชัดเจนขนาดนั้น


    "มาร์คไม่เคยขึ้นมาที่ห้องหรอก" จินยองตอบเสียงเบา อูยองเลิกคิ้วทำเป็นหันไปอ่านการ์ตูนต่อคล้ายกับไม่ได้สนใจอะไรมากมาย


    "งั้นเหรอ แต่วันนี้นายจะไปค้างที่ห้องหมอนั่นนี่"


    ทั้งที่พยายามไม่นึกถึงเรื่องที่กำลังจะมาถึงเพราะไม่อยากให้ตัวเองตื่นเต้นจนเกินไป แต่พออูยองพูดสะกิดก็รู้ได้เลยว่าจินยองเองก็ค่อนข้างจะเป็นกังวลนิดหน่อย อาจเป็นเพราะเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานถึงสี่ปีทำให้ความสนิทใจมีไม่เท่าเดิม หรืออาจจะเป็นเพราะจินยองเองที่ความรู้สึกที่เคยมีได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


    "ก็...ก็ใช่"


    อูยองเหลือบตามองแก้มขาวของเพื่อนที่เริ่มจะแดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัดถนัดตา มือน้อยคว้าขนมเข้าปากแล้วหยิบอีกชิ้นยื่นไปตรงหน้าจินยองซึ่งเงยหน้ามองด้วยความสงสัยแต่ก็รับมาถือไว้ในขณะที่อีกคนยิ้มกว้างให้เต็มแก้ม


    "พยายามเข้าล่ะ"


    จินยองนิ่งไปนานก่อนจะยิ้มออกมา ดวงตาสวยรื้นน้ำตาในขณะที่พยักหน้า ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เพื่อนที่คบกันมานานทำไมถึงจะไม่รู้ และสิ่งที่เพื่อนสามารถช่วยได้ในเวลานี้คือให้กำลังใจหนุนหลังก็เพียงพอที่อีกคนจะกล้าก้าวเดินต่อไปแล้ว


    "อูยอง ขอบคุณนะ"


    คนที่ถูกขอบคุณหันมายิ้มตอบ


    "เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นการบ้านเลขแทนได้ป่ะ เนี่ยยังไม่แตะเลย เอามาลอกด่วนๆ" จินยองส่ายหน้ายิ้มๆ ในตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายลงมาก ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงบ้าง สิ่งที่หวังจะสมปรารถนาได้หรือเปล่า แต่จินยองก็อยากจะลองพยายามดูสักครั้ง ถึงแม้ว่าผลที่ออกมาอาจจะตรงข้ามเลยก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ยังรู้ว่ายังมีเพื่อนอยู่ด้วยกันตรงนี้


    อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่าไม่ว่ายังไง มาร์คก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเขาเสมอ

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×