คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : SAKURA BEGIN || 01
SAKURA BEGIN :: 01
"แม่ครับ บะหมี่ยี่ห้อ xxx ใกล้จะหมดแล้วนะครับ ผมเขียนลงในรายการสั่งซื้อสินค้าเลยนะ" เด็กชายรูปร่างค่อนข้างอวบแต่กลับดูตัวเล็กน่ากอดได้ทั้งที่อยู่ในชุดผ้ากัน เปื้อนสีฟ้าสดซึ่งได้แถมมาจากซอสปรุงรสสักยี่ห้อที่เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ เดินไปหยิบใบรายการสินค้าใต้เก๊ะหยิบออกมาเขียนด้วยท่าทางคล่องแคล่วพลาง เหลือบสายตามองผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งจ้องทีวีดวงตาเป็นประกาย
"จัดการเลยจ้าจินยองลูกแม่ อีกนิดเดียวคิมทันสุดหล่อก็จะออกมาแล้ว อรั๊ยย!" คุณแม่ยังสาวและทันสมัยพูดไปกัดหมอนไปจนคนเป็นลูกชายถึงกับต้องส่ายหน้าแม้ ว่าอาการเหล่านั้นจะพบเห็นได้บ่อยก็ตาม เรียวสุเกะฉีกหน้ารายการสั่งของบนชั้นพร้อมกับมองหาที่ทับกระดาษจนไม่ทันได้ สังเกตว่ากำลังมีคนเข้ามาในร้าน
"หายไปไหนเนี่ย เมื่อกี้ยังวางอยู่บนนี้อยู่เลย" เด็กหนุ่มแอบบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังก้มหาในเก๊ะที่เพิ่งเปิดไป
"หานี่อยู่หรือเปล่าครับ?"
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้เรียวสุเกะยืดตัวตรงมองคนมาใหม่ด้วยท่าทางแปลกใจ ใบหน้าที่ยิ้มร่าพร้อมกับยกมือโชว์ที่ทับกระดาษคล้ายกับจะอวดทำให้เด็กชาย ต้องมองตาคว่ำแต่รอยยิ้มที่วาดออกกว้างก็แสดงให้เห็นว่าการที่เขาโผล่ในเวลา สี่ทุ่มแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีอย่างที่คิด
"มาร์ค มาบ้านเราได้ยังไง!"
จินยองถามออกไปพลางเดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมายืนประจัญหน้ากับคนที่เพิ่ง มาใหม่ ยิ่งออกมายืนเทียบกันแบบนี้แล้วก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงพัฒนาการทางร่างกายของมาร์คที่สูงจนต้องแหงนคอมองในขณะที่เอากลับขยายออกด้านข้างซะจนน่าน้อยใจ
"ก็หาไม่ยากนี่นา บ้านของจินยองคนดังของแดยอง ถามใครๆ ก็รู้แล้ว"
"มั่วล่ะสิไม่ว่า"
"ถ้ามั่วแล้วจะมาถูกเหรอ ฮึ?"
"นายนี่จริงๆ เลย แล้วมาหาตอนนี้มีอะไรเหรอ" จินยองเอ่ยถามแต่คนตัวสูงกลับทำหน้าง้ำคล้ายกับจะงอนซะอย่างนั้น พอร่างเล็กสะกิดถามอีกรอบก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่ทำหน้าเคร่งขรึมจนเรียวสุเกะเองก็ชักจะหวั่นใจว่าตัวเองพูดอะไรไม่เข้าหูอีกคนหรือเปล่า
"มาร์ค..."
"คนเรานะ คิดจะย้ายบ้านหนีก็หนีมาไม่บอกไม่กล่าว พอเจอกันจะได้พูดคุยก็เอาแต่เดินหนี พอมาหาถึงที่กลับถามมาได้ว่ามาทำไม ถ้าฉันบอกว่ามาหาเพราะอยากเจออยากคุยด้วย จินยองยังจะให้ฉันอยู่ที่นี่อยู่หรือเปล่า" คนตัวสูงร่ายยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรียวสุเกะฟังแล้วก็นึกอยากจะบอกอยากจะอธิบาย แต่แค่จะเอ่ยปากก็ดูเหมือนอะไรก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย
"คิดเงินด้วยค่ะ"
ลูกค้าร้องบอกพลางวางสินค้าประจำตัวสำหรับผู้หญิงลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน จินยองเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าคมที่ผินหนีแล้วได้แต่ถอนใจก่อนจะเดิน หลีกออกมาคิดเงินให้ลูกค้า แต่ทันทีที่หันหลังมาร์คก็เดินดุ่มๆ ออกไปจากร้านสะดวกซื้อของเขาที่วันนี้จินยองคิดว่าลูกค้าดูจะมากกว่า ปกติ จะปลีกตัวออกไปตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วยสิ
เด็กชายคิดเงินด้วยท่าทางร้อนรนจนคนเป็นแม่ที่เพิ่งเดินออกมาถึงกับต้องเลิก คิ้วมองด้วยความสงสัย ลูกชายของเธอปกติมักจะเย็นเป็นน้ำเอื่อยๆ แต่ไหงวันนี้กลับดูยืนไม่ติดที่เสียอย่างนั้น
"เป็นอะไรไปลูก ไปพักไป เดี๋ยวทางนี้แม่จัดการเอง"
ทันทีที่ผู้เป็นแม่ยืนประจำตำแหน่ง เด็กชายก็รีบรุดออกมาพลางถอดชุดกันเปื้อนทิ้งบนหลังตู้จนนางยามาดะอดที่จะ บ่นเล็กน้อยไม่ได้ หากแต่เวลานี้จินยองแทบไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากคำที่มาร์คเพิ่งพูดออกมา แต่เพราะจินยองแสดงออกไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเขาเป็นเด็กขี้อายที่ใครๆ ก็ชอบมาล้อ เขาจึงไม่รู้จะแสดงออกแบบไหนให้รู้ว่าเขาเองก็ดีใจมากไม่ต่างกันที่เราได้ กลับมาเจอกันอีกครั้ง
จินยองไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มาร์ครู้สึกไม่ดีเลย
ภายนอกร้านแลดูว่างเปล่าเมื่อเปิดประตูออกมา ถนนเส้นเล็กในย่านชุมชนแห่งนี้ไร้เงาพาหนะเคลื่อนไหว มีเพียงสายลมเย็นฉ่ำจากอากาศต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมาเพียงบางเบา เรียวสุเกะมักจะถูกล้อเสมอว่าเป็นคนเชื่องช้า เฉื่อยชาขาดความกระตือรือล้น เขาเองก็พยายามปรับปรุงแต่ดูเหมือนมันจะยังไม่ดีพอ
"มาร์คคงไปแล้วสินะ จินยองคิดแบบนี้ใช่ไหมล่ะ"
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้จินยองหันขวับไปมองราวกับว่าคนพูดกำลัง อ่านใจของเขาออก ริมฝีปากบางสั่นระริกถูกขบกัดเอาไว้แน่นเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังตามหากลับยืน กอดอกพิงกับประตูหน้าร้านของเขาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
"มาร์คคงโกรธเราอยู่แน่ๆ แล้วเราจะทำยังไงดีน้า กำลังคิดแบบนี้อยู่ล่ะสิจินยอง"
"อวดรู้"
เด็กชายเถียงเพื่อนตัวสูงเสียงแผ่ว หากแต่อีกคนกลับยิ้มกว้างมากกว่าเดิมพร้อมกับเดินเข้ามาหาจนชิด
"ก็ยังดีกว่ากว่าคนอวดดีที่กำลังขี้แง ตัวเองอยากง้อเค้าแท้ๆ แต่ทำเป็นปากเก่ง ใช่ไหมล่ะฮึ?" เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับใช้นิ้วแตะซับน้ำบริเวณหางตาออกให้อย่างแผ่วเบา ทุกคำพูดทุกการกระทำ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าจินยองจะคิดจะรู้สึกยังไง มีเพียงมาร์คเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้
"ใครบอกว่าขี้แงกันเล่า กำลังยิ้มอยู่เนี่ย เห็นป่าว?" จินยองพยายามฉีกยิ้มกว้างทั้งที่ดวงตายังคงปริ่มน้ำ มาร์คยิ้มขำแล้วพยักหน้าพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคนที่ตัวเล็กกว่า
"อืม เห็นแล้วว่ากำลังยิ้ม ยิ้มน่ารักซะด้วยสิ"
"บ้า-"
เวลาสี่ปีที่ไม่ได้เจอกัน มาร์คไปหัดคำพูดพวกนี้จากไหนกัน คนที่กำลังยิ้มเต็มแก้มกลับก้มหน้างุดในทันที เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ จินยองจึงได้แต่ช้อนสายตาขึ้นมองอีกคนที่เอาแต่อมยิ้มมองมาที่เขา
"ดึกแล้ว เราเข้าบ้านก่อนนะ"
คนตัวเล็กบอกพร้อมกับเตรียมตัวเดินเข้าบ้าน หากแต่คนตัวสูงกลับรั้งข้อมือเอาไว้ให้หันกลับมา
"ราตรีสวัสดิ์นะ"
"อืม ราตรีสวัสดิ์"
แผ่นหลังที่ค่อยๆ หายลับไปกับความมืดมิดของค่ำคืนที่เริ่มจะเหน็บหนาว หากแต่ฤดูกาลที่วนเวียนมาอีกครั้งกลับไม่ได้ทำให้จิตใจที่เคยแห้งแล้งรู้สึก อย่างที่เคยเป็น จินยองแหงนมองท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยดวงดาวนับร้อยพันต่างแข่งขันส่อง แสงสว่างสุกสกาวเต็มเวิ้งฟ้า สวยงามจนอดที่จะยิ้มระบายออกมาจนเต็มแก้มไม่ได้
เด็กชายส่ายหน้าขันตัวเองก่อนจะหันกลับเข้าไปในร้าน สวนทางกับลูกค้าคนสุดท้ายที่เพิ่งก้าวออกไป บานประตูร้านสะดวกซื้อประจำย่านชุมชนปิดลงพร้อมกับไฟหน้าร้านที่ดับสนิท เด็กชายร่างเล็กที่เพิ่งก้าวออกมาจากร้านหยุดเดินเพื่อแหงนมองขึ้นไปบนท้อง ฟ้า
มีเพียงความมืดมิดที่ปกคลุมไปไกลสุดลูกหูลูกตา
แบมแบมเห็นเพียงเท่านั้นจริงๆ
.
.
.
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่ผ่านมาพาให้แฟชั่นฤดูหนาวยัง คงต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนผันวันฤดูกาล ภายในห้อง 1-C ที่ถึงแม้จะเปิดเรียนไปแค่วันแรกแต่บรรดาเหล่านักเรียนกลับจับกลุ่มพูดคุย กันอย่างสนุกสนาน ไม้เว้นแม้กระทั่งกลุ่มชายล้วนซึ่งดูจะเสียงดังกันเป็นพิเศษ
"เฮ้ย มาร์ค"
เด็กชายที่สวมหมวกฮิปฮอปใช้เท้าสะกิดเรียกเพื่อนในขณะที่สายตาคอยเหลือบไปมองบริเวณหน้าชั้นตลอดเวลา มาร์คที่กำลังนั่งเกากีต้าร์ครางอือในลำคอรับรู้แต่นิ้วเรียวยาวยังคงสะกิดสายกีตาร์ไปมาตามจังหวะโน้ตที่กำลังมองเพ่งจากหนังสือดนตรีที่วางบนโต๊ะเรียน
"นี่ ชมรมดนตรีเรายังขาดผู้จัดการวงใช่ป่ะวะ?"
"อือ"
มาร์ครับคำแต่ยังคงให้ความสนใจกับกีตาร์ที่เพิ่งได้มาใหม่ อันที่จริงทั้งมาร์คและแจ็คสันเป็นเพื่อนกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วจากการที่ ทั้งสองคนเล่นบอร์ดที่เกี่ยวกับดนตรี มีความสนใจในเรื่องเดียวกันจนกลายมาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันในอินเตอร์เนต จะว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเพราะความโชคดีของมาร์คก็ไม่รู้ที่ทำให้เขาย้ายมาเรียนที่นี่ นอกจากจะได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างแจ็คสัน เจบีแล้วเขายังได้มาพบกับเพื่อนสมัย เด็กอย่างจินยองอีกด้วย
และแน่นอนว่าทั้งมาร์ค แจ็คสันและเจบีก็เลือกที่จะเข้าชมรมดนตรีโดยไม่มีข้อแม้
"ไปชวนยองแจให้หน่อยดิวะ" แจ็คสันกระซิบบอกหลังจากที่อ้ำอึ้งมานาน แต่มาร์คก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอย่างเคย
"ไปชวนเองดิ"
"กู...ไม่กล้า"
มาร์คละสายตาจากหนังสือขึ้นมองเพื่อนที่ตัวใหญ่ไม่แพ้เขาเท่าไหร่นักหรอก แต่กลับทำท่าประหนึ่งสาวน้อยแรกแย้มแก้มแดงหูแดง เห็นได้ชัดแบบนี้แอบชอบเพื่อนร่วมห้องอย่างยองแจแหงแซะ วันๆ เห็นแต่คุยเรื่องดนตรีไม่คิดว่าหมอนี่จะแอบชอบใครเป็นเหมือนกัน แถมยังเดาะไปชอบน้องน้อยของห้องที่ดูจะห้าวเอาการเสียด้วย
"มึงไม่ได้ยินหรือไงว่าจินยองจะเข้าชมรมบาส กูว่ามึงหาทางจีบวิธีอื่นเหอะ"
"เฮ้ยไอ้นี่ กูเปล่าชอบ..." แจ็คสันก้มหน้าเขินอาย ยกมือเกาศีรษะแกรกๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกประโยคต่อมาเสียงเบา "...แต่กูรัก "
"สัด!"
เด็กหนุ่มประเคนชูนิ้วใจกลางโลกมอบสรรเสริญเพื่อนเป็นของแถมหลังจากได้ฟัง ประโยคเสี่ยวแดกที่ขนาดเขาฟังยังแอบอ้วก ไม่ต้องพูดถึงริวทาโร่ ถ้ารายนั้นไม่ชกก็คงเตะกลับมาให้เป็นคำตอบ
"โธ่ ช่วยกูหน่อยดิ มึงไปชวนแบมแบมมาก็ได้ เค้าเป็นเพื่อนกัน ถ้าแบมแบมยอมมาเป็นผู้จัดการชมรม น้องแจของกูก็ต้องตามมาแน่" แทบจะกอดแข้งกอดขาขอร้องกันเลยทีเดียว มาร์คพยักหน้าเออออเพราะทนรำคาญไม่ไหว ถ้าเขาไม่ทำตามที่มันขอร้องคงได้แดดิ้นขาดใจตายในสิบวินาทีนี้แน่นอน
เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเดินไปยังบริเวณหน้าห้องอันเป็นอาณาเขตของเหล่าเด็ก เรียนเพื่อตรงไปยังเป้าหมายซึ่งเป็นเด็กชายที่มีรูปร่างขนาดเล็กบางกว่า ผู้หญิงบางคนเสียอีก มือหนาฉวยเก้าอี้จากแถวนั้นมานั่งลงตรงหน้าแบมแบมที่กำลังก้มหน้าก้มตากับการบ้านที่อาจารย์เพิ่งสั่งไปเมื่อคาบที่แล้ว นี่เอง
มาร์คเหลือบตามองเพื่อนที่กำลังหลบมุมเชียร์อยู่หลังห้องแล้วตัดสินใจพูดออกไป
"นี่แบมแบม สนใจอยากเข้าชมรมดนตรีไหม"
"ไม่"
ร่างเล็กสวนตอบกลับทันทีทั้งยังไม่ยอมละสายตาจากที่สิ่งที่กำลังทำอยู่ มาร์คกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความที่เริ่มจะลำบากใจเล็กน้อย
"ไม่ต้องเล่นดนตรีก็ได้ ไปเป็นแค่ผู้จัดการวง"
"ฉันบอกว่าไม่"
ดวงตาใสตวัดขึ้นจ้องตอบพร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไป มาร์คแอบคิดในใจว่าถ้าชวนยองแจตรงๆ เลยจะง่ายกว่ามาพูดกับหมอนี่ไหมเนี่ย ยิ่งมองท่าทีที่ดูไม่สนใจใครของเพื่อนร่วมห้องคนนี้แล้วเด็กหนุ่มก็นึกอยาก จะเอาชนะขึ้นมาดื้อๆ เคลื่อนไหวไวเท่าความคิด มือหนาจับมือบางที่กำลังขีดเขียนให้หยุดเอาไว้พร้อมกับดวงตาที่แสดงถึงความไม่พอใจจากร่างเล็กที่เพ่งมองตรงมาทันที
"คิดจะทำอะไร"
มาร์คยักคิ้วท่าทางไม่ยี่หระกับน้ำเสียงราบเรียบ
"การบ้านเค้าเอาไว้ทำที่บ้าน แต่ตอนนี้มาคุยกันก่อน"
"ฉันคิดว่าบอกนายไปชัดเจนแล้วนะว่า ไม่!" แบมแบมกระแทกเสียงตอบแต่ก็ทำเพียงให้ได้ยินกันแค่สองคนพร้อมกับพยายามดึงมือ ตัวเองออกมา แต่อีกคนกลับยื้อเอาไว้ ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางที่ดูไม่ชอบใจของคนตัวเล็ก มาร์คก็แกล้งบีบมือขาวรั้งเอาไว้พร้อมกับยิ้มราวกับกำลังสนุกเต็มทน
"จะยอมไม่ยอม" คนตัวสูงขู่ แต่แบมแบมกลับส่ายหน้าดิก
"ไม่มีวันยอม ปล่อยนะ ไอ้บ้า!" ร่างเล็กใช้มืออีกข้างเข้าช่วยโดยการทุบลงบนฝ่ามืออีกคนหนักๆ แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่สะทกสะเทือนเลยด้วยซ้ำ แบมแบมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างนึกโมโหที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ คิดจะมาแกล้งเขาหรือไง ไอ้เสาไฟฟ้า!
"เจ็บ..."
"บอกมาก่อนสิว่าจะยอมเข้าชมรมดนตรี"
"ก็ฉันเจ็บนี่"
น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือมาพร้อมกับใบหน้าที่ก้มงุด มาร์คมองมือบางที่ตอนนี้แดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด คนตัวสูงรีบปล่อยมืออีกคนพร้อมกับใช้อีกมือลูบถูให้อย่างแผ่วเบา เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเผลอทำไปถึงขนาดนี้ แต่ในจังหวะนั้นแบมแบมกลับเป็นฝ่ายดึงมือออกมาพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนอย่าง กะทันหัน พอมาร์คเงยหน้ามองตามก็พบว่าอีกคนกำลังยิ้มอย่างคนที่กุมชัยชนะไว้เต็มอ้อม แขน
คนตัวเล็กแลบลิ้นแล้ววิ่งออกไปนอกห้องทันที ทิ้งไว้ให้มาร์คมองตามด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังถูกสบประมาท เด็กหนุ่มยกมุมปากยิ้มในจังหวะที่แจ็คสันเข้ามาถามไถ่ถึงความคืบหน้าโดยไม่ ลืมเหลือบตาเหล่มองยองแจที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
"เป็นไงวะ?"
มาร์คยิ้ม
"มึงเตรียมเก็บเอาไปฝันเปียกได้เลย รับรองกูพาหมอนั่นเข้าชมรมเราได้แน่"
ความคิดเห็น