ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    █ ▌l o v e l o r n 。

    ลำดับตอนที่ #1 : SAKURA BEGIN || prologue

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 57


    @SQWEEZ


    SAKURA THE SERIES

    SAKURA BEGIN

                

    SAKURA BEGIN :: Intro




    เช้าวันใหม่เริ่มต้นไปพร้อมกับฤดูกาลแห่งสีสันของธรรมชาติได้ผลิบาน ความสดชอุ่มของแมกไม้นานาพรรณแข่งขันกันชูช่องามไสวพาให้เมืองแห่งขุนเขาสด สะพรั่งให้ความรู้สึกเปล่งปลั่งจนยากที่จะละสายตาสำหรับเด็กหนุ่มเมืองกรุง ผู้ไม่เคยพานพบกับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแบบนี้มาก่อน เพราะตั้งแต่เกิดมา เขาก็พบเพียงสิ่งก่อสร้างฉาบปูนไร้ชีวิตชีวา เพราะอย่างนี้หรือเปล่านะ ชีวิตของเขาถึงได้ดูแห้งแล้งอย่างที่เป็นอยู่


    มาร์ค ต้วน ไถลสเก็ตบอร์ดไปตามถนนเส้นเล็กซึ่งทั้งสองข้างเรียงรายไปด้วยต้นซากุระที่เริ่ม จะผลิดอกเป็นสีชมพูหวาน กิ่งก้านสาขาที่เอนเข้ามาเชื่อมตรงกลางของต้นไม้ทั้งสองฝั่งราวกับเป็น อุโมงค์ที่สวยงามของเทพนิยายสักเรื่องที่เคยผ่านตา เส้นทางที่มุ่งไปสู่โรงเรียนร้างผู้คนกว่าที่คิด หรือว่านี่อาจจะเช้าเกินไปสำหรับการไปโรงเรียนของที่นี่ก็ได้


    มาร์คหยุดสเก็ตบอร์ดตรงบริเวณหัวมุมช่วงเลี้ยวขึ้นเนินเพื่อมองตรงไปยังตึกเรียนที่อยู่ห่างออกไป เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่โซลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในจังหวะที่เตรียมขึ้นมัธยมปลาย ถ้าเทียบระหว่างที่นี่กับแอลเอที่เคยอยู่มาทั้งชีวิตเขาเองก็ไม่สามารถตอบ ได้ว่าชอบที่ไหนมากกว่า สำหรับเขาแล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นคนง่ายๆ ที่มองทุกอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรที่เขาเกลียดเป็นพิเศษ และไม่มีอะไรที่ทำให้เขารักได้หมดใจเช่นกัน


    ไม่ว่าอะไรก็ไม่อยู่ในความสนใจ มองได้แต่ไม่คิดมาก ทำได้แต่ไม่โปรดปราน
    เคยมีคนบอกว่าเป็นคนง่ายๆ น่ะดีจะตาย แต่แท้จริงแล้ว มันดีจริงหรือ...


    กริ๊ง..
    สายลมในตอนเช้าพัดผ่านมาพาให้รู้สึกถึงความเหน็บหนาว แต่ความสนใจของมาร์คไม่ใช่ผ้าพันคอที่เริ่มหลุดรุ่ย เด็กหนุ่มก้มมองพรวนกระดิ่งขนาดเล็กที่ผูกไว้กับกระเป๋าซึ่งกำลังสั่นกระทบ กันไปมาตามแรงลม นิ้วยาวจับตัวกระดิ่งไว้มั่น แต่ทำไมเสียงที่น่าเงียบหายไปกลับยังกังวานชัดเจน


    กริ๊ง..


    เด็กหนุ่มละสายตากลับไปมองด้านหลัง สิ่งที่เห็นคือเด็กชายในวัยเดียวกันกำลังยืนจ้องมาที่เขา ดวงหน้าอ่อนเยาว์และสายตาหวานคมที่กำลังมองมาทำให้มาร์คเผลอขมวดคิ้วตาม สายลมยามเช้าพัดพาเส้นผมสีน้ำตาลละเอียดไปพร้อมกับเปลือกตาบางของคนตรงหน้า กระพริบปริบ เหนือสิ่งอื่นใด พรวนกระดิ่งในกำมือของอีกคนกำลังสั่นสะเทือนเรียกความทรงจำเมื่อสี่ปีที่ แล้วให้หวนกลับมา


    "มาร์ค / จินยอง"

    .
    .
    .

    "มาร์ค / จินยอง"

    ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกันเป็นครั้งที่สองในขณะที่กำลังเดินเข้าประตูรั้ว โรงเรียนโดยมาร์คเป็นฝ่ายถือสเก็ตบอร์ดและมีเรียวสุเกะเดินเคียงข้างมาด้วยกัน อย่างเงียบๆ ตอนนี้เริ่มมีบรรดานักเรียนทยอยเดินทางกันมามากขึ้น แค่ชื่อเรียกขานที่ต่างก็เปล่งเสียงออกมาราวอุทานย้ำเตือนถึงสถานะความ สัมพันธ์ที่ทั้งคู่เคยมีให้กันมาก่อน คนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาถึงสี่ปี แม้ช่วงเวลานั้นต่างก็ยังเป็นเด็กแค่ชั้นประถมกันทั้งคู่ แต่สำหรับมาร์คแล้วเขาไม่เคยลืมว่า ปาร์ค จินยอง เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา


    "มาร์คมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" จินยองเอ่ยถามก่อนพร้อมกับเงยหน้ามองอีกคนที่มัวแต่ยิ้มดีใจที่ได้เจอ กับเพื่อนสมัยเด็กจึงไม่ทันได้เห็นว่าคนที่ตัวเล็กกว่ากำลังเก็บพรวนกระดิ่ง เข้ากระเป๋าไปแล้ว


    "ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม จู่ๆ ก็หายไป ยังจะมาแบ๊วถามตาใสแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ จินยอง"


    มาร์คพูดพลางยิ้มอย่างเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวไม่ได้ติดใจเอาความอย่างที่พูด มือยาวยกจับศีรษะคนตัวเล็กโยกไปมาอย่างที่ชอบทำเหมือนเมื่อก่อน ในขณะจินยองได้แต่หลุบตามองเพียงปลายเท้าตัวเอง นึกไปถึงตอนนั้น เขาเองก็เกิดและเติบโตที่โตเกียวจนกระทั่งถึงประถมหก ความตั้งใจที่จะสอบเข้าชั้นมัธยมที่เดียวกับมาร์คสลายไปพร้อมกับการสูญเสีย หัวหน้าครอบครัวอย่างคุณพ่อผู้เป็นทุกอย่างของบ้าน ทำให้เขาและแม่ต้องย้ายกลับมาที่โซล ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่อย่างกะทันหัน


    ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีแม้ซึ่งคำลา
    และเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจอมาร์คที่นี่ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้แท้ๆ


    "ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะจินยอง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านะ แค่..." คำพูดที่ขาดช่วงของคนตัวสูงทำให้จินยองต้องเงยหน้าขึ้นมอง ม่านหมอกที่กระจายตามพรรณไม้เริ่มหายไปพร้อมกับเสียงเคลื่อนไหวของนักเรียน คนอื่น แต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวเหล่านั้นกลับไม่เข้าหูเมื่อจินยองได้สบตากับคนตรงหน้าพร้อมกับคำพูดที่เบาราวกับเสียงกระซิบ


    "แค่.. คิดถึง"


    ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่ถ่ายทอดออกมาทำให้แก้มขาวแดงปลั่งได้ในทันที คนตัวเล็กก้มหน้าก้มหน้าเดินทันที แม้จะยังเป็นเด็กแค่ไม่กี่ขวบ แม้จะผ่านมาแล้วถึงสี่ปี แต่คำพูดแบบนี้ใครบ้างจะไม่รู้สึก


    "เราเข้าห้องเรียนก่อนนะ"


    จินยองรีบพูดเร็วปรื๋อก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปยังอาคารขนาดใหญ่ยาวทิ้งยู โตะไว้กับความไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป เด็กหนุ่มเลิกคิ้วงุนงงเพียงครู่ก็ขึ้นปั่นจักรยานไปไว้ยังโรงจอดรถด้านหลังอาคาร แล้วขึ้นไปยังห้องเรียนของตัวเองบ้าง หลังจากที่ดูรายชื่อบนบอร์ดหน้าชั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ ได้อยู่ห้องเดียวกับจินยองอย่างที่หวัง


    แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน เดี๋ยวค่อยแวะไปหาก็ได้


    คิดแล้วก็ยิ้มกับตัวเองพร้อมกับก้าวเข้าไปในห้อง 1- C แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปก็พบว่ามีอีกคนที่กำลังจะเดินออกมาพอดีทำ ให้ทั้งคู่ต้องชะงักอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมๆกัน มาร์คกำลังจะเอ่ยขอโทษหากแต่สายตาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนของคนที่ตัวเล็กกว่ามากทำให้เขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ


    เด็กหนุ่มก้าวหลีกไปทางซ้าย ในขณะที่อีกคนก็ขยับเท้าไปในทางเดียวกัน พอลองขยับไปทางขวาก็ดันขยับมาทางเดียวกันอีก


    "เอ๊ะ..."


    น้ำเสียงที่เริ่มจะฉุนมาพร้อมกับใบหน้าที่เชิดขึ้นสูง มาร์คก้มมองคนตัวเล็กที่สูงเฉียดแค่ไหล่ของเขาแล้วถอนหายใจ ใบหน้าน่ารักเกินเด็กผู้ชายทั่วไปยิ่งทำจมูกเชิด ปากเชิดยิ่งดูเหมือนคุณหนูจากคฤหาสถ์หลังเขื่องมีพ่อบ้านเซบาสเตียนตามประกบ หน้าหลังก็ไม่ปาน


    "เอางี้นะ" มาร์คพูดพร้อมกับใช้มือจับไหล่คนตัวเล็กไว้แล้วตัวเองก็ก้าวไปยังอีกทางที่ มีพื้นที่ว่างแล้วตบไหล่เล็กเบาๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากให้แล้วเดินเข้าไปในห้อง จัดแจงเลือกที่นั่งข้างหน้าต่างที่ยังว่างเป็นของตัวเองไปเรียบร้อย


    "มีอะไรหรือเปล่า แบมแบม"


    "เปล่าหรอก ไม่มีอะไร"


    แบมแบม ตอบเพื่อนที่รออยู่นอกห้องพลางเลื่อนสายตามองตามคนตัวสูงที่ตอนนี้กำลัง มองออกไปนอกหน้าต่าง เด็กชายยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×