คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 002
...โอ้ย!! หงุดหงิดไอ้รังนกนั่นเป็นบ้าเลย!!
แซฟไฟร์กระแทกกำปั้นทุบลงไปบนราวระเบียงแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นโบว์...หลังจากเธอปลีกตัวจากฟลอร์เต้นรำออกมาโทรศัพท์ที่ระเบียงแล้ว อารมณ์ของเธอก็สงบลงมาบ้างเล็กน้อย แต่แน่นอนว่า แค่เล็กน้อยเท่านั้น...อากาศข้างนอกนี่ดีกว่าข้างในเป็นไหนๆ อย่างน้อยๆ มันไม่ใช่อากาศห้องเดียวกับพวกคนจอมเสแสร้งเหล่านั้น...
ในขณะที่เธอกำลังโมโหฟูมฟายอยู่นั้น เสียงหวานๆ ของใครบางคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ เธอก็เอ่ยขึ้นมา
“น่าโมโหจังนะคะ”แซฟไฟร์หันไปมองตามต้นเสียง แน่นอนว่าเธอยังอารมณ์เสียอยู่ จังหวะที่หันไปเลยดูจะเหวี่ยงๆ เล็กน้อย แต่เมื่อสบเข้ากับร่างเล็กที่ดูอายุน้อยกว่าเธอนิดหน่อย กับเรือนผมสีดำยาวระต้นคอยักศกดูน่ารักเข้ากับที่คาดผมที่ประดับไปด้วยดอกไม้เล็กๆ คิ้วเรียวที่ขมวดอยู่ก็คลายออกเล็กน้อย เด็กสาวตรงหน้าอยู่ในชุดเดรสสีขาวดูน่ารัก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็กหลักอะไร เพราะที่เธออย่างรู้คือ...หล่อนเป็นใคร? “ดิฉันกับพี่ชายเต้นอยู่ข้างๆ คู่คุณ ก็เลยได้ยินที่คุยกันน่ะค่ะ ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ แต่ว่า...ดิฉันฟังแล้วอารมณ์เสียแทนจริงๆ”
แซฟไฟร์เอียงคอเล็กน้อย...
“ขอโทษนะคะ คุณ...?”
“เทวีค่ะ”เด็กสาวตอบ “บ้านเราทำธุรกิจเครื่องเพชร MARTALค่ะ คุณพ่อคุณเชิญพ่อเราแต่ท่านไม่วางเลยส่งฉันกับพี่ชายมาแทนน่ะค่ะ”
“อ้อ...”แซฟไฟร์พยักหน้าเนิบๆ ก่อนจะแนะนำตัวเองบ้าง “แซฟไฟร์ค่ะ”
“ทราบอยู่แล้วล่ะค่ะ เออ...พี่ชายกำลังไปเอาเครื่องดื่ม ถ้าไม่รังเกียจ...อ๊ะ! มาพอดี”สาวน้อยหันควับไปที่ประตูกระจกซึ่งกำลังถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างสูงสง่าของเด็กหนุ่มผมดำขลับเหมือนสาวน้อยตรงหน้าในชุดทักสิโด้สีดำโบว์ขาวดูมีระดับ เขามาพร้อมกับถาดเครื่องดื่มและตรงมาทางนี้ “นี่...พี่อารันต์ค่ะ”
“สวัสดีครับ คุณแซฟไฟร์สินะครับ”เด็กหนุ่มยิ้มเบาบางทักทาย แซฟไฟร์ก้มหัวรับอย่างสุภาพ “รับเครื่องดื่มไหมครับ?”เขาถามเธอพร้อมกับที่เทวีหยิบหนึ่งในสามแก้วไป
แซฟไฟร์ยิ้มเล็กน้อยอย่างมีมารยาท
“ไม่ล่ะ ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะกลับแล้ว นัดคนมารับค่ะ”เธอกล่าวปฏิเสธไป อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ดูเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมไม่เหมือนอีตารังนกนั่น แถมดูไปดูมายังหล่อดีไม่หยอก โดยเฉพาะทรงผมซอยชี้ตั้งเล็กน้อย และหน้าม้าปัดไม่มีจอนดูรับกับใบหน้าคมคายของเขา...ผิวขาวดูสะอาดสะอ้าน ถึงแม้จะไม่เท่าอีตาทาสนั่น แต่ก็จัดเป็นทรัพยากรณ์หน้าตาดีที่ยังไม่กลายพันธ์ซึ่งหลงเหลืออยู่น้อยนิดมากแล้วในโลกนี้...
แต่ก็เถอะ...ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร
“ขอตัวนะคะ”แซฟไฟร์ยิ้มให้ทั้งสอง แล้วหันหลังเดินกลับไปทางห้องจัดงานเลี้ยง
“เดี๋ยวครับ...”ร่างสูงเอ่ยรั้งเธอ...แซฟไฟร์หยุดเดินแล้วหันหลังมาทำสีหน้าเชิงถาม “ผมไปส่งนะครับ สุภาพสตรีสาวสวยอย่างคุณ ไปไหนมาไหนในที่แบบนี้คนเดียวมันอันตราย เดี๋ยวพี่มานะวี”ร่างสูงพูดกับเธออย่างเป็นทางการ แล้วก้มลงไปกระซิบเบาๆ กับน้องสาว
“ตามสบายค่ะพี่...”
นิ้วชี้สองข้างกระดกขึ้นงเคาะบนพวงมาลัยเป็นจังหวะ พร้อมกับที่คนบนรถชะเง้อออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อมองหาใครบางคนซึ่งยังไม่โผล่มาเสียที...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ? เมื้อกี้ก็ดูหงุดหงิดๆ ด้วย หวังว่าคงจะไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรในงานหรอกนะ...
เด็กหนุ่มผิวขาวสว่างในชุดนักศึกษาเม้มปากอย่างกระสับกระส่าย สุดท้ายทนไม่ไหวจึงต้องดับเครื่องรถจอดขวางหน้าโรงแรมอยู่อย่างนั้น และทำท่าจะเดินอ้อมรถไปทางประตูโรงแรม แต่แล้ว...เขาก็เหลือบไปเห็นสาวน้อยที่เขากำลังรอ เดินออกมาจากลิฟต์...พร้อมกับผู้ชายแปลกหน้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่เขาไม่รู้จัก
...ใครน่ะ...
เขาคิดในใจพลางขมวดคิ้ว ในขณะท่สาวเจ้าเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วหันไปคุยกับชายคนที่ว่า
“ส่สงแค่นี้ก็พอค่ะ ขอบคุณนะคะ”แซฟไฟร์เอ่ยพลางย่อตัวเล็กน้อยก่อนจะหันมาเจอเขา “อ้อ...นี่...คุณอารันต์ เจอกันในงานน่ะ ส่วนคุณอารันต์คะ นี่...โดเรมี เอ่อ...เพื่อนสมัยเด็กน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหันมามองเขาที่อยู่ในชุดนักศึกษาด้วยสายตาที่เขาอ่านความหมายไม่ออก แล้วยิ้มออกมาเบาๆ...ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่เขาไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เลย...ณ้อยวันพันปีความนิสัยดีของเขาไม่เคยสอนให้เขาตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ครั้งนี้...มีอะไรต่างออกไป
“ชื่อโดเรมีเหรอ ฟังดูน่ารักดีนะครับ”อารันต์พูดกับเขา
“ขอบคุณครับ”โดเรมีตอบกลับไปเรียบๆ เช่นเดียวกัน แล้วหันไปหาแซฟไฟร์ “คุณหนู...เชิญครับ”
“เดี๋ยวก่อนครับ”อารันต์เรียกอีก ก่อนจะเดินเข้ามาหาสาวน้อยตรงหน้า แล้วคว้ามือเธอขึ้นมาอย่างนุ่มนวล โดเรมีเห็นดังนั้นแล้วคิ้วของเขาก็กระตุก “หวังว่าจะได้เจอคุณอีกนะครับ”มือหนายกระดับมือเธอเข้าใก้เรียวปาก และในจังหวะที่มันกำลังจะสัมผัสกันนั้น...
สวบ!
นามบัตรพลาสติกถูกสอดเข้าไปกันระหว่างทั้งสองอย่างรวดเร็วเสียจนทั้งคนถูกและจะโดนจูบถึงกับอึ้ง...แซฟไฟร์กระพริยตาปริบๆ อารันต์ชะงักค้างอยู่อย่างนั้นชัวครู่แล้วใช้มืออีกข้างหยิบบัตรใบนั้นขึ้นมาดู...
“นามบัตรผมเองครับ”เด็กหนุ่มยิ้มหยีตา...คนตรงหน้ามองหน้าเขาสลับกับนามบัตรในมืออย่างสำรวจ แม้สีหน้านั่นจะยังดูเรียบเฉยสมผู้ดี แต่โดเรมีสัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้สบอารมณ์กับเขาเสียเท่าไหร่
“แล้ว...จะให้เอาไปทำอะไรครับ?”อารันต์ถามกลับมา
“ก็เห็นคุณบอกว่าอยากจะพบคุณหนูอีก ยังไงคราวหน้าถ้ามีงานอะไรก็ติดต่อผ่านผมนะครับ แน่นอนว่าถ้าเป็นงานของตระกูลอื่นคงมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย พอคุยกันได้ แล้วผมจะสอบถามคุณท่านให้”เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเหมือนทุกที แต่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มคราวนี้ได้แอบซ่อนอะไรเอาไว้ด้วยหรือเปล่า...
อารันต์มองหน้าโดเรมีด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน ดูเผินๆ คงเหมือนยิ้มให้กันปกติ แต่ไม่รู้ทำไมแซฟไฟร์ที่ยืนอยู่ตรงนัน้น กลับรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่แล่นแปร๊บๆ ไปมาเป็นสนามอิเล็กตรอนอยู่ระหว่างนัยน์ตาของคนสองคนนี้
“ตกลง...คุณโดเรมีเป็นอะไรกับคุณแซฟไฟร์กันแน่ครับ”ชายร่างสูงในชุดทักสิโด้ถามกลับหน้าตาย
“เป็นเพื่อนสมัยเด็กไงครับ แล้วก็...เป็นคนดูแลคุณหนูด้วย”เด็กหนุ่มตอบกลับไปยิ้มๆ แล้จ้องไปที่นามบัตรในมืออีกฝ่าย...อารันต์ยกมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
...ยอร์แซฟ? ศรีหราชเดโชชัย?...
...หมอนี่เป็นคนในตระกูลศรีหราชเดโชชัยด้วยเหรอ? ไหนว่าภรรยาเสียตั้งแต่คลอดลูกสาวคนแรก?...
อารันต์เงยหน้าไปสบตากับโดเรมีแล้วนึกถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ และเมื่อไม่ได้คำตอบ จึงยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะเอ่ย
“เข้าใจแล้วครับ คุณยอร์แซฟ ถ้างั้น...ผมขออนุญาตขึ้นไปร่วมงานต่อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันครับ”โดเรมีรับสวน
“เออ...ไม่ใช่คุณครับ”อารันต์พูดอย่างสุภาพแล้วเบือนหน้าไปสบตากับแซฟไฟรื “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณแซฟไฟร์”
ร่างสูงกลัหลังหันเดินกับเข้าไปในโรงแรมอย่างนุ่มนวล จนกระทั่งเขาเดินหายเข้าไปในลิฟต์ แซฟไฟร์จึงรีบหันควับมาถลึงตาใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ โดเรมีเลิกคิ้วขึ้น
“อีตาทาสบ้า! มาเคลียร์กันให้รู้เรื่องเลย!”
“ขึ้นรถก่อนเถอะครับ”โดเรมีพูดอย่างอารมณ์ดี รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจระดับชาติไป เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แม้จะทำให้คุรหนูของเขาหัวเสียมากขึ้นก็ตาม...แต่งานนี้สนุกจังเลยแฮะ...
ทั้งคู่เข้ามานั่งในรถ...เด็กหนุ่มสตาร์ทเครื่องและออกตัว...
“เมื่อกี้นายทำบ้าอะไรเนี่ย!? คนดูแลบ้าบออะไรของนาย ฉันไม่เห็นเคยรู้เรื่อง!?”เด็กสาวหวีดทันทีที่รถขับออกมาจากโรงแรม
“หือ...ก็...คุณอารันต์เค้าจะจุ๊บมือแซฟไฟร์นี่นา”
“แล้วมันยังไงยะ! มันเป็นการทักทายแบบชนชั้นสูง ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้นอะ!”
“อ้าว...ช่วยไม่ได้ ก็มันไม่ใช่ธรรมชาติของผมนี่ ผมมันชนชั้นเตี้ย”
“นายโตที่เยอรมันมาตั้งสิบปีนะเว้ย!!”สาวน้อยสะบัดมือฟาดงวงฟาดงาอย่างกับช้างตกมัน ในขณะที่อีกฝ่ายอารมณ์ดีแทบจะผิวปากฮัมเพลงอยู่แล้ว...โดเรมีหัวเราะเบาๆ
“ก็ในโบสถ์มันมีใครมาจุ๊บมือกันให้ผมดูเสียเมื่อไหร่...”เด็กหนุ่มเปรยหน้าตาย แล้วยิ้มทะเล้นขณะที่กำลังมองทางอยู่ ความจริงเขาก็รู้นั่นแหละ แต่ทำไงได้ ก็เขาไม่ชอบอีตาคุณอารันต์นั่น...มันก็เท่านั้นเอง “ว่าแต่คุณเธอเถอะครับ โมโหอะไรลงมาจะกลับให้ได้ เดี๋ยวคุณพ่อเธอก็ได้ปรี๊ดแตกอีกหรอก”คำถามนี้เล่นเอาคนฟังเหี่ยว...
เด็กสาวห่อใหล่แล้วทิ้งตัวพิงกับเบาะอย่างเหนื่อยใจ
“พอเลย! คิดแล้วอารมณ์เสีย เลิกถามแล้วขับรถไปเงียบๆ เลยไป!”แซฟไฟร์โมโหฝึดฝัดแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำเอาคนข้างๆ ถึงกับต้องกลัวหัวเราะ
“รับทราบคร้าบ”
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกลับถึงบ้าน...
“พ่อมาสายเอง มีสิทธิ์อะไรมาโวยวายกับหนูคะ!!!”
[แล้วทำไมแกไม่นึกถึงหน้าพ่อบ้าง แล้วไอ้กริยาไร้มารยาทกับลูกชายเจ้าของBTนั่นอีก นี่แกจะให้พ่อเอาหน้าไปไว้ไหน!?]
“ไอ้หัวรังนกนั่นก็เสียมารยาทกับหนเหมือนกัน! พ่อคิดแต่เรื่องของตัวเอง เคยคิดถึงความรู้สึกของหนูบ้างไหม!”
[อย่ามาพูดกับพ่อแบบนี้นะแซฟไฟร์! ถ้าแม่แกรู้ว่าแกโตมาเป็นเด็กแบบนี้คงเสียใจที่ให้แกเกิดมา!]ถึงประโยคนี้เด็กสาวชะงักค้าง...คิ้วเรียวขมวดมุ่นเม้มปาก ทุกครั้งที่พ่ออ้างแม่ขึ้นมา...สกิลในการเถียงของเธอเป็นต้องลดฮวบลงทุกที [นี่ถ้าแม่แกไม่ขอให้พ่อดูแลแกดีๆ ป่านนี้คงจับแกไปเรียนรร.ประจำไปตั้งแต่เล็กแล้ว! อุตส่าห์ให้เรียนที่ดีๆ กว่าคนอื่น อยู่บ้านใหญ่โต ทำไมไม่รู้จักสำนึกบุญคุณกันบ้าง ขอให้แกอดทนอยู่ในงานนั้นจนกว่าพ่อจะไปถึง แค่นี้มันยากอะไรนักหนา! รู้ไหมว่าพอแกไปแล้วเกิดอะไรขึ้น! นักข่าวมาที่งานแล้วรู้ว่าเจ้าภาพยังไปไม่ถึง แกรู้ไหมว่าฉันเสียเงินค่าปิดปากไปเท่าไหร่!?]
“อ้อ...หนูจะโดนไอ้แก่ลามกที่ไหนจ้องยังก็ไม่เป็นไรใช่มะ? ขอแค่รักษาหน้าพ่อได้ จะให้ทนเสแสร้างคุยกับพวกไฮโซน่ารังเกียจพวกนั้นก็ไม่เป็นไรสินะ หนูจะรู้สึกยังไงพ่อไม่สนอยู่แล้ว เป็นอย่างนั้นใช่ไหมคะ! คุณวรภพ!”
[แซฟไฟร์!!!]
เสียงตะคอกคุยกันผ่านโทรศัพท์ดังสะนนั่นไปทั่วบ้าน แม้จะไม่ได้เปิดลำโพง แต่เสียงปลายสายกลับดังลอดออกมาดังเสียจนเด็กหนุ่มที่ยืนพิงประตูอยู่ในห้องเดียวกันได้ยิน...
สุดท้ายเขาก็ทนดูไม่ไหว...
โดเรมีรีบวิ่งไปจับเขาๆ ที่ใหล่บอบบางแล้ววางมืออีกข้างทับลงบนมือที่เธอถือโทรศัพท์
“แซฟไฟร์ พอแล้วครับ เดี๋ยวผมคุยกับท่านให้”เด็กหนุ่มค่อยๆ เอาโทรศัพท์ออกมาจากหูหล่อน คราวนี้เธอยอมส่งให้เขาแต่โดยดี...มือข้างที่เคยถือโทรศัพท์ร่วงลงสู่เตียงดัง ปุ! พร้อมกับที่ร่างบางหอบหายใจถี่รัว
...บ้าที่สุด!...
“อ่า...ฮัลโหล ผมเองครับ...”
[เออ! แกเหรอ! แกอีกคนตัวดีเลย ตามใจมันเข้าไป พอมันร้องอากกลับก็พามันกลับ นี่แม้แต่แกก็ไม่นึกถึงหน้าฉัน ฉันเลี้ยงแกมา...แกตอบแทนฉันอย่างนี้เหรอ!?]
“ผมขอโทษครับ เรื่องนี้ผมผิดเอง”
[เออ! รู้ตัวก็ดี! คราวหน้าลองเป็นแบบนี้อีกสิ! อุตส่าห์ไว้ใจให้ไปส่ง ไร้ประโยชน์จริงๆ!]
“พ่อเป็นนบอกให้เขาทำตามทุกอย่างที่หนูสั่งเองนี่! หมอนี่เป็นของหนู! ไม่ใช่ของพ่อ พ่อสั่งมันไม่ได้ ได้ยินมั้ย! พ่อสั่งมันไม่ได้!!!”เสียงแว๊ดๆ มาจากคนตัวเล็กบนเตียง ที่ได้ยินผู้ติดตามรับโทษไว้กับตัวเองอีกแล้วก็หัวเสีย...
ผิดไม่ผิด มันก็รับของมันคนเดียว ประสาท! ถูกผิดก็ต้องว่ากันถามถูกผิด เรื่องนี้มันมีเอี่ยวด้วยที่ไหน!??
“แซฟไฟร์!”เสียงดุๆ เบาบางของเด็กหนุ่มพร้อมกับการส่ายหน้าเบาๆ เรียกเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเธอ...มันก็เป็นซะอย่างนี้!
[เออดี! ดุมันซะบ้าง เสียคนจะแย่แล้ว โอย...แล้วนี่ฉันยังมีปาร์ตี้ให้ไปตั้งอีกงาน บอกมันไว้ด้วยแล้วอย่ามาวีน วันนี้ฉันหัวเสียมาเยอะ แกบอกคนที่บ้านอยู่เงียบๆ อย่าให้ฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์จากใคร เข้าใจไหม?]
“ตกลงครับ”
บทสนทนาจบลงเท่านั้น...เด็กหนุ่มวางโทรศัพท์คืนเจ้าของที่ข้างตัว ที่เบือนหน้าหนีเขาไปปาดน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าออกไม่ให้มันใหล แซฟไฟร์เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เธอจะไม่ให้ใครเห็นน้ำตาเธอ
“นายมันใจเสาะ”แซฟไฟร์สบถด่า แล้วหันมาหรี่ตาใส่ร่างสูง “ยอมเข้าไปเถอะหมอนั่นน่ะ โดนมันด่าฟรีไปแล้วไม่รู้กี่รอบ จะทะเลาะกับเขาซะบ้างก็ได้นะ! ฉันฟังอยู่มันน่าหมั่นไส้!”
“ก็เพราะแซฟไฟร์เป้นลูก ถึงได้ทะเลาะกับท่านได้ ผมน่ไม่ใช่สักหน่อย บุญคุณเขาค้ำคออยู่แบบนี้ จะมีสิทธิ์อะไรไปมีปากเสียงกับเขาได้ล่ะ”
“นายเคยมีปากเสียงกับใครในโลกบ้างล่ะ!?”เจ้าหล่อนเบือนหน้าหนีเขา “ลูกเหรอ...คนเป็นพ่อเขาทำอย่างนี้เหรอไง หมอนั่นแค่เห็นฉันเป็นเด็กที่ทำภรรยาสุดที่รักของเขาตาย ก็แค่นั้นแหละ”
“แซฟไฟร์!”
“ถ้าแม่ไม่ขอร้องให้ดูแลฉันให้ดี ไม่รู้ป่านนี้เอาไปทิ้งไว้ไหน ฉันน่ะ...รู้มาตลอดอยู่แล้ว...”
“นี่หยุดพูดแบบนั้นได้ไหม แซฟ?”ประโยคนี้เป็นประโยคที่อ้วนกร้านหยาบคายที่สุดที่เขาเคยพูดกับเธอคนนี้ และนั่นทำให้เด็กสาวคนที่ว่าหันมามองเขา เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมไม่คิดว่าคุณพ่อให้เธออยู่เป็นตัวแทนแม่เธอบ้างล่ะ รู้ไหมว่าตอนนี้เธอกำลังทำให้ผมโมโห”
เด็กหนุ่มยืนขึ้นตรงหน้าเธอ แวฟไฟร์เอียงคอ
“อะไรของนาย?”
“เธอเกิดมามีฐานะ อยู่บ้านที่ยังมีคุณพ่อ และรู้ว่าแม่เธอเป็นใคร เธอพูดแบบนี้จะให้ผมคิดยังไงกับตัวเองที่ไม่เคยรู้จักทั้งสองท่านล่ะ”เด็กหนุ่มเดินตรงไปที่ประตูห้องเงียบๆ แล้วเอื้อมมือไปจับลูกบิดโดยไม่ลืมจะหันมากล่าวทิ้งท้าย “แซฟไฟร์โชคดีกว่าผมเยอะ”
ร่างสูงเดินจากไปพร้อมกับเสียงประตูปิด แซฟไฟร์มองตามจนเขาหายออกไปแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียดให้กับอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวนอนหงายลงไปกับเตียง...
...ทำมันงอนซะแล้วแฮะ...
ปลายปากกาดำหัวแหลมเฟี้ยวขีดเขียนอยู่บนกระดาษเอสี่มีบรรทัด ภายใต้แสงสีส้มอ่อนๆ จากโคมไฟตั้งโต๊ะ บนโต๊ะทำงานสีขาวที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เช่นเดียวกับห้องวอลเปเปอร์สีขาวลายลูกไม้เล็กน้อยที่มีเตียงเดี่ยวเตียงหนึ่งผ้าคลุมเตียงสีขาวลายทางสีน้ำเงินดูเรียบๆ กัดไปด้านข้างที่ขั้นระหว่างเตียงกับโต๊ะเป้นชั้นหนังสืออันโตที่บรรจุหนังสืออยู่เต็มชั้น ทั้งหนังสือเรียนหนังสืออ่านเล่นถูกแยกกันอย่างเป็นระเบียบ หนังสือในห้องนี้มีเยอะมากเสียจนต้องติดเช้ลหนังสืออีกอันไว้ที่กำแพง กระนนั้นก็ยังมิวายมีหนังสือบางส่วนที่ต้องระเห็จตัวเองไปวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะเนื่องจากหาที่วางไม่ได้
เด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ในห้องถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของตัวเอง
ก๊อกๆๆ
ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู และเมื่อเขารู้ว่าแขกที่มาเป็นใครก็พาให้คิ้วเรียวขมวดอย่างงุนงงมากกว่าเดิม
ตรงหน้าคือเด็กสาวร่างเล็ก คุณหนูของบ้านที่วีนแว๊ดๆ อยู่เมื่อกี้ ตอนนี้มาทำลอยหน้าลอยตาอยูหน้าห้องเขาเสียงอย่างนั้น เด็กหนุ่มเป็นต้องงง
“มีอะไรเหรอ?”เขาถาม เด็กสาวเม้มปากหรี่ตา
“มีอะไร? ทำไมต้องมีด้วย ฉันก็เข้าห้องนายเป็นปกติอยู่แล้ว”สาวน้อยยักคิ้วเล็กน้อย แล้วเดินดุ่ยๆ เข้าไปในห้องเขา เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วปิดประตู
“ก็ทุกทีไม่เคยจะเคาะประตู”เด็กหนุ่มพูดลางเดินกลับไปนั่งที่เก่า สาวน้อยหย่อนก้นนั่งลงบนเตียงเขา ห้องนี้ตามจริงก็เล็กกว่าห้องเธอไม่เท่าไหร่ แต่ที่มันดูแคบกว่าอย่างมากแบบนี้คงเป็นเพราะกองหนังสือที่เยอะระดับห้องสมุดชุมชนพวกนี้แน่ๆ ชนิดนี้เธอคิดว่าต่อให้ใช้เวลาท้งชีวิตเธอก็อ่านมันไม่หมดแน่...ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน นิยาย ทั้งภาษาไทย อังกฤษและเยอรมัน นี่มันหอสมุดนานาชาติชัดๆ
สาวน้อยกวาดตามองไปรอบๆ แล้วไปสะดุดตากับร่างที่ก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เธอชะเง้อคอเล็กน้อย
“ทำอะไรอยู่อะ”เธอถาม เด็กหนุ่มหันคอมามองเธอแวบหนึ่ง
“เขียนจดหมาย”คำตอบเล่นเอาเธอแทบหงายหลัง
“อีกและ?”สาวน้อยร้องเสียงหลง “นี่คิดว่าตัวเองอยู่ยุคไหนกันเนี่ย โทรศัพท์ก็ใช้ไอโฟนนั่งเขียนจดหมาย อีมงอีเมลก็มีทำไมไม่ใช้กันนะ?”
“ผมก็ว่างั้นแหละ แต่คนอ่านเขาไม่ชอบนี่...”เด็กหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
“หลวงพ่ออะไรของนายน่ะนะ?
“อืม...เขาชื่อ ปีเตอร์”เขาตอบรับ เป็นเวลาร่วมสิบปีแล้วที่เขาจากโบสถ์มา แต่ก็หมั่นเขียนจดหมายกลับไปเรื่อยๆ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นจนหมายที่กว่าจะส่งไปถึงแถมกว่าจะได้รับตอบกลับ...ที่ผ่านมาเขาจะส่งจดหมายตอบไปกลับกับหลวงพ่อของเขาเดือนละฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ท่านไม่ชอบเทคโนโลยี แน่นอนว่าเขาเองกลับคิดว่ามันสะดวกกว่าถ้าใช้อีเมลหรือเฟสบุ๊กติดต่อกัน แต่ก็นั่นแหละ...บาทหลวงเล่นเฟสบุ๊กมันคงดูไม่ดีเท่าไหร่
ไอ้ที่ไม่เข้าใจคือไม่ชอบคุยโทรศัพท์ด้วยนี่แหละ โบสถ์ปีเตอร์แอนด์มีโทรศัพท์ไว้ให้คนโทรติดต่อได้ตลอด แต่เขากลับถูกห้ามไม่ให้โทรไป แปลกแต่เขาก็ไม่คิดขัดข้องอะไร
“แซฟไฟร์ไม่นอนเหรอครับ”เขาเบี่ยงประเด็น
“ไม่อะ ไม่ง่วง”
“คุณท่านบอกว่า...เดี๋ยวพรุ่งนี้มีปาร์ตี้ให้ไปอีก ผมลองเชคดูแล้วมันเป็นร้านอาหารมีบาร์ น่าจะดีกว่าวันนี้นะ รอบนี้คงกลับก่อนไม่ได้ อยู่จนกว่าคุณท่านจะมานะครับ”ได้ยินเข้าสาวเจ้าผ่อนลมหายใจเฮือก เป็นปกติเธอคงจะโวยวายมาก่อน แต่เมื่อกี้อาลวาดจนเหนื่อยแล้ว เหลือก็แต่ความระอาเท่านั้น...
“เห่อ...เอาอีกแล้ว”แซฟไฟร์บ่นอุบอิบ “นายไปกับฉันด้วย”
“ครับ ผมไปส่งแวฟไฟร์อยู่แล้ว เหมือนวันนี้ล่ะ”
“ไม่ใช่! ฉันหมายถึงไปกับฉัน เข้าไปข้างใน”ได้ยินประโยคนี้เล่นเอาเด็กหนุ่มหันมาปั้นหน้างง และเมื่อเธอเห็นเขาทำท่าจะปฏิเสธก็รีบพูดดักคอ “ไม่ต้องบ่นอะไรทั้งนั้น นายจะปล่อยให้ตาแก่หรือใครที่ไหนมาควงฉันเต้นรำเหมือนวันนี้ไม่ได้นะ คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย ไอ้หัวรังนกนั่น...”
“แล้วผมจะไปทำอะไรได้”
“ก็ถ้าฉันมีคู่เต้นแล้ว ใครจะมาขอละยะ”สาวน้อยยักคิ้วใส่แล้วค่อยๆ เอนกายลงกับเตียง “ถ้าเป็นนายน่ะไม่เป็นไรหรอก”
“หมายความว่าไง ถ้าเป็นผมไม่เป็นไร?”
“ก็หมายความว่าไม่เป็นไรไง!”คำอธิบายที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับที่สาวน้อยลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปทางประตู “ไปนอนดีกว่า เห็นหน้านายแล้วง่วง”เธอว่าแล้วเอื้อมมือไปจจับลูกบิด
“ฝันดีครับ”
“อ้อ...”ก่อนเธอจะออกไป เธอชะงักค้างอยู่นห้าประตูสักครู่ คนถูกเรียกเลิกคิ้วเล็กน้อย แซฟไฟร์ไม่ได้หันมามอง เธอเพียงแต่พูดเท่านั้น “เมื่อกี้ฉันขอโทษ...ฝันดี”
เวลาพ้นผ่านไปไวเหมือนโกหก...หลังจากเรื่องกวนใจเมื่อคืนทำเอาเธอแทบฝันร้าย แซฟไฟร์ตื่นเช้ามาพบกับใบหน้าหล่อๆ ที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของโดเรมีเหมือนทุกวัน ทำให้เธอรู้สึกลืมๆ เรื่องเมื่อวานไปได้บ้าง แล้วยิ่งวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งเช้า จึงเป็นวันนี้เธอค่อนข้างจะแฮปปี้เป็นพิเศษ ถ้าไม่นับรวมเรื่องต้องไปปาร์ตี้ให้ตาแก่บ้างานตอนเย็น ช่วงบ่ายนี้เธอก็ใช้เวลาว่างๆ กับการชอปปิ้งโดยมีคนถือกระเป๋าให้แบบไม่ต้องเหนื่อย แน่นอน...อีตาทาสสุดหล่อของเธอนั่นเอง
การชอปปิ้งในวันนี้ต่างจากทุกวันนิดหน่อย เพราะเธอไม่ได้ซื้อของๆ เธออย่างเดียว แต่ไปร้านสูทซื้อชุดออกงานให้หมอนี่ด้วย...แน่นอนว่าถึงมันจะเป็นคนใส่ แต่เธอก็เลือกให้แบบยัดเยียดชนิดที่ว่าไม่ให้มันปริปากบอกแม้แต่คำเดียวว่าอยากจะใส่ตัวไหน
“ความจริงแค่สูทผมมาซื้อเองก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากแซฟไฟร์มาเดินเลือกให้เลย...”เด็กหนุ่มเจ้าของสูททักสิโด้สีดำโบว์ขาวตัวใหม่เอ่ยพลางหยิบมันออกมาจากรถ
“รสนิยมนายไว้ใจได้ที่ไหน ให้ใครเขามองว่าคู่เต้นฉันแต่งตัวเชยๆ แบบนั้นน่ะไม่เอาหรอก”แซฟไฟร์เอ่ยพลางยกใหล่ แต่ความจริงมันก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ ก็ถ้าปล่อยหมอนี่มาคนเดียวเธอก็ไม่รู้จะไปไหนกับใคร เพราะนอกจากเขาแล้ว...เพื่อนที่สนิทถึงขนาดมาซื้อของด้วยกันได้ เธอไม่มีเลย...
“รสนิยมผมไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย...”เด็กหนุ่มกลั้วหัวเราะเล็กน้อยแล้วเปรยตามองเด็กสาวอย่างขำๆ ก็ใครกันล่ะเป็นคนช่วยเลือกประมาณครึ่งหนึ่งของเสื้อผ้าในตู้หล่อน...แถมที่เลือกนั่นจะเป็นชุดที่จัดอยู่ในส่วนใหญ่ที่หยิบสวมด้วย แล้วยังจะมาหาว่ารสนิยมไว้ใจไม่ได้ ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ เล้ย...
“ไม่ต้องพูดมาก รีบๆ ไปเปลี่ยนได้แล้ว เดี๋ยวไปสายพ่อฉันก็บ่นอีก”
“ทราบแล้วคร้าบๆ”
“สายันต์สวัสดิ์ครับคุณหนู คุณโดเรมี”เสียงขอบอร์ดี้การ์ดผู้มาเปิดประตูให้เธอทักทายแล้วโค้งให้สองร่างที่เดินผ่านเข้ามา แซฟไฟร์ตอบรับคำทักทายนั้นเนิบๆ ในขณะที่โดเรมียิ้มให้เล็กน้อย
ครั้งมาทีที่นี่ แวบแรกที่เธอเห็นว่ามันเป็นสถานที่แบบไหนร่างบางก็ถอนหายใจออกมายาเหยียด ปกติวัยรุ่นจะมาดริ้งค์กับเพื่อนๆ ตามผับ ตามบาร์ ยังจะต้องแอบพ่อแอบแม่มา แต่นี่อะไร...ไม่ได้อยากมาแต่โดดบังคับให้มา จะว่าเป็นโรงเบียร์ก็โรงเบียร์เถอะ ที่นี่ไม่ได้ต่างอะไรจากไนต์คลับของพวกไฮโซ ทั้งแอลกอฮอลราคาแพง และการแต่ตัวดูภูมิฐานของแขกที่มาร่วมงาน ที่นี่มีพวกตาแก่หัวล้านหื่นกามอย่างตาลุงคางคกนั่นน้อยก็จริง แต่ที่น่ากลัวก็ไม่ได้มีแค่ตัวพ่อ...ลูกๆ ขอพวกไฮโซที่พ่อเชิญมาร่วมงานพวกนี้ก็ใช่ย่อย เห็นแล้วสะอิดสะเอียนพิลึก ที่ยังพอทำใจรับได้อยู่ตอนนี้ คงจะเป็นเพราะผัวหนังที่ไม่ได้เหี่ยวย่นจนเกินไป...
“อย่าก่อเรื่องนะครับ แซฟไฟร์”เด็กหนุ่มข้างตัวเธอเอ่ยแซวเหน็บๆ เมื่อเห็นใบหน้ามุ่ยๆ นั่น และเพราะเขาทำอย่างนั้น ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะหงุดหงิดกว่าเดิม
“หนวกหูน่า!”แซฟไฟร์จิกตาใส่คนตัวสูง แล้วหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้เบาะแดงที่อีกฝ่ายเลื่อนให้ ทันทีที่ก้นถึงที่หมาย เจ้าของร่างก็เปลี่ยนอารมณ์ทันที “หิวอะ อยากกินอะไรหวานๆ”คนฟังรู้แน่ชัดว่ามันไม่ใช่ประโยคบอกเล่า แต่เป็นประโยคคำสั่งต่างหาก...
“แน่ใจนะครับว่าอยู่คนเดียวได้”เด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง เพราะเขาสังเกตถึงสายตารอบด้านที่มองมาทางนี้
“ถ้าคิดว่าจะอยู่ไม่ได้ก็รีบไปรีบมาสิ”คุณหนูจอมเอาแต่ใจยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง แล้วยักคิ้วให้ผู้ติดตามสุดหล่อของเธอ
โดเรมียิ้มเบาบางเป็นการตอบรับ แล้วเดินจากไป แซฟไฟร์ยกมือขึ้นเท้าคางและทำตัวปลีกวิเวกที่สุดเท่าที่จะทำได้ สาวน้อยกวาดสายตาไปรอบๆ โดยไม่ยึดติดกับสิ่งใด แต่เธอรู้ตัวีว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าเธอเป็นใครและกำลังจ้องมาเธออยู่ และเรื่องนี้เรียกเสียงถอนหายใจยาวๆ ของเด็กสาวให้ผ่อนออกมาเพื่อระบายความเบื่อหน่าย
...ยังดีที่หมอนั่นมาด้วย...
เธอคิดในใจ...ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่กับเธอตอนนี้ แต่เพียงแค่เธอรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ก็นำพาความสบายใจมากให้เธอมากมายแล้ว แค่มันเท่านั้นที่เข้าใจเธอเสมอ ไม่เคยมีใครเลย...
ตึก...
เสียงฝีเท้าสองคู่หยุดอยู่ข้างๆ เธอ...เด็กสาวนิ่งไปครู่แล้วเงยหน้าขึ้นไปหาผู้มาเยือนใหม่ แล้วความรำคาณก็พลันบังเกิดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์อะไร
“แซฟไฟร์ใช่ไหมครับ?”ตรงหน้าคือเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันสองคนที่ดูจะอายุมากกว่าเธอนิดหน่อย หน้าตาคล้ายกัน คงเป็นพี่น้องกันแน่ๆ ใบหน้ไม่สะดุดตา ดูจืดชืดเรียบง่ายแต่ไม่เลวร้ายอะไร แต่แน่นอนว่าเพราะมันไม่สะดุดตาเธอทำให้ความสนใจที่เธอควรจะมีลดลงฮวบๆ “ผมชื่อทาม นี่น้องชายผม...เทม บ้านพวกเราเป็นแบรนเสื้อผ้ากริมส์นะครับ อยากจะชวนไปเต้นด้วยกันทางนั้นกับเพื่อนๆ ผม เต้นกันหลายๆ คน สนุกนะครับ”คนหนึ่งพูดพลางยิ้มให้เธอ
เขาดูเป็นคนอารมณ์ดี เหมือนกับน้องชายเขาที่ยิ้มหน้าแป้นแล้นตลอดตั้งแต่เดินเข้ามา เธอไม่ได้รังเกียจหรอก...แต่ประเด็นคือเธอไม่อยากเต้นกับคนไม่รู้จัก
“เออ...ขอบคุณนะคะ แต่ไม่...”
“สองพี่น้องกริมส์”อีกเสียงทุ้มต่ำที่จู่ๆ ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของเธอทำให้สาวน้อยบนโต๊ะละความสนใจจากสองคนตรงหน้าชั่วคราว หันไปมองตามต้นเสียง...เจ้าของเสียงคือเด็กหนุ่มท่าทางภูมิฐานอีกคน ผมของเขาย้อมท้องรับกับผิวขาวๆ ดูดีไม่น้อย ถ้าไม่ติดตรงดวงตาเจ้าเล่ห์กับหางตาที่ชี้ขึ้นราวกับจิ้งจอกนั่น “ชวนสุภาพสตรีไปเต้นกับชายเป็นกลุ่ม ไม่สุภาพเลยนะครับ”เขาเดินเข้ามาในวงสนทนาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มที่เธอสัมผัสได้ว่ามันเฟ้กสุดๆ
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณมั้งครับ”ทามหรี่ตาใส่คนข้างหน้าอย่างไม่พอใจ “ธุรกิจน้ำหอมที่บ้านกลับสู่ตวาดแล้วเหรอครับ ถึงกล้ามาเสนอนห้าอยู่ในที่แบบนี้”เบื้องหลังนัยน์ตาดำขลับคมกริบของคนฟังแฝงรอยไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เรื่องของผมน่ะครับ”เขายิ้มแบบเดิมแล้วหันมาสนใจเธอ “คุณแซฟไฟร์ไปเต้นลีลาศที่ฟลอร์กับผมดีกว่านะครับ ช้าๆ สบายๆ จะได้ไม่เหนื่อยไงครับ”
“คือฉัน...”
“เต้นทางนี้สนุกว่าเยอะครับ ไปกับคุณชายเจ้าสำอางแบบนี้ น่าเบื่อจะตาย”เธอรู้สึกเหมือนตอนนี้เธอกลายเป็นรางวัลการแข่งขันปะทะอารมณ์ระหว่างไฮโซสองคนที่ด่ากันอย่างอ่อนน้อม ฟังแล้วจะอ้วก!
...มีใครจะถามฉันไหมว่าฉันอยากเต้นหรือเปล่า!...
ในจังหวะที่ทั้งสามกำลังเถียงกันอยู่นั้น แซฟไฟร์เหลือบไปเห็นร่างของผู้ติดตามเธอที่หายไปนานโข(ความจริงแค่ห้านาทีเท่านั้น)เดินกลับมาพร้อมกับจานพุดดิ้ง เธอจึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้เขาผ่านทางสีหน้าและสายตา อีตาทาสบ้า! ปล่อยเธอรับสถานการณ์แบบนี้คนเดียวนี่มันบกพร่องในหน้าทีชัดๆ แบบนี้มันน่านักเชียว!
โดเรมีเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชะโงกหน้าพิจารณาสถานการณ์อย่างงงๆ แล้ววางจานขนมไว้แถวนั้น ก่อนจะจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองจากนั้นก็เดินตรงไป
เขายืนหยุดอยู่ด้านหลังของสามคนนั้นอย่างเงียบๆ แซฟไฟร์พยายามมองว่าเขาจะทำอะไรต่อ สลับกับคนสามคนตรงหน้า แล้วเธอก็ได้ข้อสรุปเล่นๆ ในใจว่า...จะไฮโซหรือเป็นลูกเต้นใครมันก็ไม่เกี่ยวหรอก ณ ที่นี้ เธอเห็นแล้วว่าทาสผู้น่ารักของเธอ ทั้งสูงกว่า สง่ากว่า และดูดีน่าเต้นด้วยกว่าเป็นไหนๆ ขออย่างงี้ แค่มีเงินมันคงไม่พออะนะ...
“ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นมากลางบสนทนา ทำให้ทั้งสามหันมามอง...แน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกงานสังคมแบบนี้บ่อยนัก จึงไม่แปลกที่เขาจะทำหน้างงกัน “มีธุระอะไรกันเหรอครับ”รอยยิ้มที่เธอประณามนักหนา ผุดพายขึ้นมาบนหน้าหมอนั่น ทำให้เธอค้นพบว่า แม้แต่ไอ้บ้านี่ก็เฟ้กเป็น!
“อา...ไม่ทราบว่า...คุณเป็นใครครับ?”เด็กหนุ่มผมทองหรี่ตาถาม
“ยอร์แซฟครับ”หมอนั่นบอกชื่อจริงไปแล้วหันมามองเธอครู่หนึ่ง
“ยอร์แซฟไหนไม่ทราบครับ จากตระกูลไหนผมไม่เห็นเคยได้ยิน?”
“ศรีหราชเดโชชัยครับ...”เด็กหนุ่มตอบกลับไปฉะฉาน ทำเอาคนฟังงงกันเป็นแถบ
แน่นอนว่าหลายคนรู้จักครอบครัวนี้โดยปราศจากการมีอยู่ของเขา แต่ถ้าจะให้ว่ากันตามกฎหมาย เขาก็เป็นคนในตระกูลนี้อย่างถูกต้อง มีสิทธิ์ที่จะอ้างชื่อและแสดงตนอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ผมเป็นญาติห่างๆ ของคุณหนู ที่คุณวรภพฝากฝังมาเป็นคู่เต้นให้คุณหนูนะครับ ท่านไม่ค่อยอยากให้คุณหนูเต้นกับคนแปลกหน้า”โดเรมีเล่นละครตีบทแตกกระจาย เรื่องโกหกหน้าตายนี่ต้องยกให้มันทำ...ฝากมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้คู่เต้นเนี่ย แล้วแกไปเป็นญาติฉันตั้งแต่ลำดับชั้นไหน ทำไมฉันถึงเพิ่งมารู้! “คงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าผมจะขอตัวคุณแซฟไฟร์...”หมอนั่นขยิบตาให้เธอแล้วยื่นมือมาทางนี้ ทำให้เธอรู้ตัวว่าเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของละครครั้งนี้ไปเสียแล้ว
สาวน้อยยืนขึ้น แล้ววางมือลงบนมือหน้าคู่นั้นช้าๆ แล้วจิกเล็บลงบนมือนั้นอย่างหมั่นใส้
หมอนั่นพาเธอมาที่ฟลอร์เต้นรำ พร้อมกับใบหน้าระรื่นน่าถีบ ไอ้บ้านี่ชอบทหน้าแบบนี้เรื่อย...มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกแกล้งตลอดเวลาอย่างไม่มีเหตุผล หงุดหงิดเป็นบ้า!
“ทำไมมองอย่างงั้นอะ นี่ผมช่วยเธอนะเนี่ย”หมอน่นถามขณะที่กำลังเต้นกันอยู่
“ให้ช่วย! ไม่ได้ให้ไปโกหกคนอื่นเขา นายนี่มันแย่ที่สุดเลย!”
“มันก็ต้องมีแก้ปญหาเฉพาะหน้ากันบ้างสิครับ”หมอนั่นพูดพลาสงหัวเราะชอบใจ เห็นได้ชีดเยว่ามันดีใจที่เธอโมโห
“ปลิ้นปล้อน!”โดนเข้าให้เล่นเอาจุก โกหกแค่นี้ถึงกับด่าว่าปลิ้นปล้อนเชียวหรือนี่...
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วมองใบหน้าจิ้มลิ้มตรงหน้าด้วยสายตาบอกความรู้สึกไม่ได้
“วันนี้องค์หญิงลดตัวมาเต้นรำกับทาส...เรื่องใหญ่เลยนะครับนี่”เขาเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น แซฟไฟร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วหรี่ตามองคนตรงหน้าจิกๆ “ว่าไปก็นานแล้วเนอะ”หมอนั่นพูดอีก...เธอเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แล้วถามออกไป
“อะไรนาน?”
“ตั้งแต่ม.ปลายโน่นละมั้ง”เขาพูดไปพลางทำหน้าครุ่นคิด “ก็นอกจากในคลาสลีลาศแล้ว ผมกับแซฟไฟร์ไม่เคยได้ลองเต้นกับจริงๆ เลยนี่ ไม่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์เนอะ”หมอนั่นพูด ทำให้เธอนึกขึ้นได้...
...จริงด้วยสิ...
ภาพเหตุการณ์เดิมฉษยย้อนขึ้นมา...
เธอกับหมอนี่เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอดก็จริง แต่ด้วยความหัวดีที่มากเกินหน้าเกินตาของมัน ทำให้มีแค่ตอนม.หกเท่านั้น ที่เราได้อยู่ห้องเดียวกัน ตั้งแต่ประถมยันมัธยม...เขาอยู่ห้องคิงตลอด เธอก็ไม่ได้ว่าเธอเรียนย่ำแย่อะไรหรอกนะ แต่เจ้าพวกห้องเทพนั่นน่ะมันเก่งเกินไปต่างหาก!
ตอนม.ห้ามีวิชาเสริมที่าสาวๆ หลายคนแอมรอคอยให้มันมากถึง ก็คือลีลาศ...ห้องที่เธออยู่ตอนนั้นมีผู้หญิงน้อย...ตรงข้ามกับห้องคิงที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ถึงวิชานี้จึงได้เรียนรวมกันสองห้อง
แน่นอนว่าเป็นวิชาลีลาศ ก็เลยต้องจับคู่เต้น...ตลอดชีวิตวัยเรียนเธอเกลียดสุดๆ เลยก้คือไอ้งายที่มันต้องทำมากกว่าหนึ่งคน! สมัยประถมต้นๆ เธอมีเพื่อนเยอะแยะก็จริง...แต่นั่นก็ตามประสาเด็กๆ พ่อแม่ใครดัใครรวยก็เกาะติดคนนั้น วัยแค่นั้นเธอไม่รู้เรื่องนี้หรอก
แต่พอเธอเริ่มโต...เพื่อนที่เคยเดินตามเธอต้อยๆ กลับค่อยๆ หายไปทีละคน เธอกลายเป็นคุณนิสัยเสียเอาแต่ใจเป็นที่ไม่ชอบของเพื่อนๆ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วด้วยนิสัยที่ว่าปากไม่ตรงกับใจ นึกถึงศักดิ์ศรีเป็นที่หนนึ่ง และชอบเอาชนะของเธอ ยิ่งตอบย้ำความนิสัยไม่ดีในมโนภาพของเพื่อนๆ ให้กลายเป็นของจริงที่ลบไม่ออกขึ้นมา...แล้วหลังจากนั้น ความเคยชินก็เป็นตัวทำให้เอสามารถอยู่ในสภาพพวกนั้นได้ แต่จะว่าเพราะความเคยจริงอย่างเดียวก็ไม่ถูกหรอก ความจริงที่แม้แต่เธอเองก็ยังยอมรับเลยก็คือ...เพราะมีหมอนั่นอยู่...เธอถึงได้มีชีวิตแบบไม่ต้องแคร์สายตาใครได้ทุกวันนี้...
“นักเรียน...นี่เป็นโอกาสทองแล้วล่ะจ๊ะ รักใครชอบใคร คว้าไว้อย่าให้นาน ครูเข้าใจพวกเธอนะ ไม่ต้องเขินหรอกจ๊ะ ปั๊บปี้เลิฟน่ะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตม.ปลาย โอ้~ความที่สดใจ ไร้เดียงสานี่มันช่างบริสุทธิ์น่ารักอะไรขนาดนี้~”อาจารย์จินนี่...(ความจริงชื่อจินเฉยๆ)เป็นอาจารย์ที่น่ารัก แม้ท่านจะไม่ใช่ผู้หญิงจริงร้อยเปอร์เซน แต่ด้วยคววามเป็นวัยรุ่นในตัวอาจารย์ ทำให้นักเรียนทั้งชายและหญิงต่างก็ชอบอาจารย์กันมากๆ แต่ทุก็ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ท่านดูออกจะเพี้ยนๆ ไปสักหน่อย...
ในขณะที่ทุกคนเดินหาคู่เต้นกับอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าเธอนั่งนิ่งเฉยๆ ไม่มีใครหน้าไหนอยากคู่กับเธออยู่แล้ว เป็นที่แน่ชัดว่าคงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนอยากพาตัวเองขึ้นไปเป็นหัวข้อสนทนาให้ใครนินทา แต่อย่างไรก็ตาม...ในห้องนี้มีไอ้บ้าคนหนึ่งที่ไม่เคยแคร์เรื่องพรรค์นั้น แล้วก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงเป็นคนเดียวที่ยุ่กับเธอแล้วไม่ถูกนินทา...ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาวางตัวได้ดีและเป็นที่รักของทุกคนเสมอ...
“เกล้าภัสสร!!!~”เสียงตะโกนมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง ห่างจากเธอไกลพอควร เจ้าของเสียงที่เธอจำได้ดี แต่ขัดหูเพราะปกติเขาไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อจริงเต็มยศแบบนี้ ตอนแรกเธอก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะตะโกนให้มันได้อะไรขึ้นมา แค่เดินมาใกล้ๆ แล้วค่อยพูดก็ได้...แต่เมื่อเธอเงยหน้าไปเห็นดงสาวๆ ที่ราวล้อมหมอนั่น ขอคู่กันเป็นการใหญ่ ทำให้เขาไม่สามารถมาทางนี้ได้เธอก็พบคำตอบ... “คู่กับผมน๊า~”เขาตะโกนประโยคที่ทำให้ยัยพวกแมงมุมพิษที่ตั้งใจจะงาบเขาอยู่รอบนั้นหัยควับาทำตาแดงใส่เธอ...
แซฟไฟร์ไม่ได้ชอบพวกหล่อนสักเท่าไหร่หรอก เช่เดียวกับที่พวกหล่อนไม่ชอบเธอ และเรื่องนี้เปิดทางสว่างให้เธอได้แกล้งกลับอย่างไม่น่าต้องปฏิเสธ สาวน้อยยิ้มมุมปากแล้วตอบรับไปหนักแน่น
“อื้ม! งั้นเราคู่นายนะ โดเรมี...”
เปลือกตาบางปิดสนิท...แพขนตางอนยาวลงบนแก้มขาวนวลดูน่ารักที่บัดดี้ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล...เจ้าของร่างน้หลับสนิทอยู่บนโซฟาของห้องรับรอง ถายใต้เสื้อนอกของสูทสีดำที่ใครบางคนข้างๆ สละให้
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูห้องนี้ตามด้วยร่างสูงของชายวัยกลางคนในชุดสูททางการเดินเข้ามาในห้อง เรียกให้เด็กหนุ่มบนโซฟาหันไปมองแล้วยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”เขาเอ่ยอย่างสุภาพ
“โทษที รถติดมาก กี่โมงแล้วเนี่ย?”วรภพ...เจ้าภาพใหญ่ของงานพูดพลางดึงเนคไท้ให้หลวมลง
“ใกล้เที่ยงคืนแล้วครับ”เด็กหนุ่มตอบ
“มินา...หลับเป็นตายเลย”ชายร่างสูงเอ่ยขำๆ เมื่อเหลือบไปเห็นเรือนร่างหมดสภาพของผู้เป็นลูกสาวบโซฟ้าแล้วยิ้มติดตลก
“เออ...ความจริงมันเพราะคุณหนูดื่มเยอะไปน่ะครับ ขอโทษฮะ ผมเตือนเธอแล้ว...”
“เมาเรอะ...”วรภาพทำหน้าเบ้...อย่างน้อยมันก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งล่ะนะ ลูกสาวเขาเมาแล้วไม่อาลวาดอย่างใครๆ เค้า ถึงจะแทนด้วยการหลับแบบลืมวันลืมคืนก็ตาม... “งั้นแกพากลับไปพักที่บ้านแล้วกัน...ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”วรภพเอ่ยสั่งเด็กอุปถัมของเขา
“ตกลงครับ”โดเรมีขานรับฉะฉาน ก่อนจะค่อยๆ เดินไปประคองรางบางแล้วอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน “เออ...พรุ่งนี้ คุณหนูไม่มีตารางงานอะไรอีกใช่ไหมครับ?”เขาหันมาถามก่อนจะออกไป...วรภพเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย
“ไม่มีนี่...ทำไม?”
“อ๋อเปล่าครับ ก็แค่...คือคุณหนูตั้งใจจะไปดูหนังตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พรุ่งนี้ไม่มีเรียนก็เลยอยากพาเธอไปหน่อย”เด็กหนุ่มอธิบาย
“อ้อ...เอาสิ ตามใจมันหน่อยแล้วกัน ฝากด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ”
ณ บ้านศรีหราชเดโชชัย
ร่างบางถูกวางลงบนเตียงผ้านวมสีชมพูอ่อนอย่างถนุดถนอม เด็กหนุ่มร่างสูงที่พาเธอมาหย่อนก้นลงบนเตียงข้างๆ ตัวเธอ แล้วใช้นิ้วปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกให้ก่อนจะยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู
...ปกติก็เป็นแค่เจ้าหญิงน้อยผ้อ่อนแอแค่นั้น...ทำไมต้องทำเป็นซ่าด้วยนะ ยัยบ้าเอ้ย...
เขาใช้นิ้วโปร้งลูบไล้หน้าผากเธอแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกไปเรียแม่บ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
แต่ก่อนที่เขาจะได้ไปไหนนั้น...
“อือออ...”เสียงครางหงิงๆ จากร่างบนเตียง เรียกให้เขาหยุดชะงักแล้วหันไปมอง ร่างเล็กๆ บนเตียงขยับอย่างอิดออดอยู่สักครู่ แล้วพลักตัวมาทางด้านที่เขายืนอยู่ “จะไปไหน...”เสียงอู้อี้นั้นเกือบทำเขาฟังแทบไม่รู้เรื่อง หล่อนยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ไปเรียกคุณดุจดาวครับ”เขาตอบ
“ไม่ต้อง”ร่างเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แล้วนั่งแบะขาบนเตียงอย่างงัวเงียก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี่ตา “ไม่ต้องไปไหน...”
ท่าทางแปลกๆ ของเธอทำให้เด็กหนุ่มสงสัยเหลือเกินว่านายหญิงของเขาคนนี้ส่างเมาหรือยัง? โดเรมีเดินไปนั่งบนเตียงข้างๆ เธอแล้วถามอย่างชัดค่อยชัดคำพลางพยายามสบตาเธอเพื่อเชคว่าเธอตื่นแล้วจริงๆ
“แซฟไฟร์จะเอาอะไรครับ?”เด็กหนุ่มก้มลงไปมองหน้าสาวน้อยจากด้านล่าง เนื่องจากเธอเอาแต่ก้มหน้าไม่พูไม่จาอยู่อย่างนั้น...
...ละเมอเหรอ?...
“แซฟไฟร์?”เด็กหนุ่มย้ำเรียกชื่อเธออีกครั้ง แล้วยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิตรงหน้าเธอ คราวหน้าสาวน้อยตอบสนองโดยการหันมามองเขาด้วยสายตาปรือๆ
“นาย...”สาวน้อยเรียกเขด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย...เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย
“หืม...?”ขานรับไปพลางมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอตรงหน้านี้กำลังตื่นอยู่...
สาวน้อยส่ายหน้าหงึกๆ
“เปล่า...”เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงโทนเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เธอตรงหน้าดูไม่เหมือนคุณหนูคนเดิมของเขาเลยสักนิด...นี่แอลกอฮอลทำพิษเธอขนาดนี้เลยเหรอ...
“แซฟไฟร์เมาแล้วนะ เดี๋ยวผมไปเรียกคุณดุจดาวมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วนอนพักนะครับ”เด็กหนุ่มอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นจากที่ตรงนั้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ลุกไปไหน...มือเล็กๆ ก็เอื้อมมาคว้าข้อมือเขา แล้วดึงให้ล้มตัวลงนั่งเหมือนเดิม
“บอกว่าไม่เอา”สาวน้อยส่งสายตาดุๆ มาให้เขา พร้อมกับน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนกำลังโมโหอะไรอยู่ เป็นสายตาเสน่หาที่เขาไม่เคยเห็นจากแซฟไฟร์ โดยเฉพาะเมื่อร่างบางๆ กระชับมือคู่นั้นแน่ขึ้น “นายสัญญาว่าจะไม่ไปไหนไง!”
อยู่ๆ เธอก็โกรธขึ้นมา...แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเธอโกรธอะไร บางทีเธออาจจะฝันเห็นอะไรบางอย่าง บวกกับว่าตอนนี้กำลังเมาแปละ ทุกอย่างที่แสดงออกอยู่ตอนนี้เธออาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“ซ...แซฟไฟร์...”โดเรมีเรียกชื่อเธออย่างหวั่นๆ แล้วพยายามแกะมือข้างนั้นออกจากข้อมือ...แต่ไม่เป็นผล เพราะสาวน้อยกระชับมันแน่นกว่าเดิม แล้วกระชากเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้นไปอีก
ตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันแค่คืบ...บรรยากาศตอนนี้มันชวนให้คิดไปไกลเหลือเกิน เจ้าหล่อนเป็นอะไรเขาไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นกระหน่ำ โดยเฉพาะเมื่อสาวน้อยใช้มือที่เหลืออีกข้างค่อยๆ กดใหล่ของเขาลง...
“บังอาจผิดสัญญากับฉันสินะ...”ใบหน้าเจ้าหล่อนโน้มเข้าใกล้...ตอนนี้เขาคิดว่ามันเริ่มจะไม่ค่อยดีแล้ว
“แซฟไฟร์! เดี๋ยวก่อ...”
เสียงนั้นออกมายังไม่พ้นลำคอด้วย...เขาก็ต้องกลืนมันลงไป พร้อมกับความอุ่นวาบบนเรียวปากที่คุกคามเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ตอนแรกเขาก็นึกว่าเธอจะไม่กล้า!
...ซ...แซฟ...
เหมือนเวลาถูกหยุดอยู่ ณ วินาทีนั้น...วินาทีที่ริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาววัยแรกรุ่นประกบลงมา ตามด้วยเรียวลิ้นเจือกลิ่นแอลกอฮอลยั่วยวนชวนให้เลือดกายสูบฉีด ตัวของเขาแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น หัวใจเต้นรัวกระหน่ำราวกับจะหลุดออกมานอกอก...เขาได้แต่เรียกชื่อเธอในใจ
มือเรียวเล็กลูบไล่เรือนผมเขาอย่างเสน่หา ไม่รู้สาวตรงหน้าช่ำชองชำนาญมาจากไหน ทั้งหมดนี่แทบจะทำให้เขาอ่อนระทวยไปทั้งร่าง จนเขาลืมตัวตอบรับสัมผัสนั้นไปชั่วขณะ แต่ความเป็นสุภาพบุรุษอันมากล้นที่ค้ำคออยู่นั้นก็มีมากพอที่จะห้ามความคิดเหล่านั้นของเขาเอาไว้
...ต้องผลัก!...
ร่างสูงกระชัดใหล่สองข้างของสาวเจ้าเอาไว้...แต่ก่อนเขาจะได้ผลักเธอออกไปนั้น อีกหนึ่งความคิดก็แล่นเข้ามา...ถ้าเขาผลักเธอ เธออาจจะเจ็บตัว เขาควรจะทำยังไง!?
โครม!!!!
เสียงร่างของใครบางคนกระทบกับพื้นอย่างแรงเสียงจนดังไปถึงชั้นล่าง...ตามมาด้วยเสียงครางโอดครวญอย่างเจ็บปวดของเจ้าของศรีษะที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรง โดยที่ร่างเล็กๆ บนเตียงล้มลงนอนคว่ำกับเตียงราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
ทางเลือกอันแสนชาญฉลาด...ผลักตัวเองมันซะเลย!!
โดเรมีลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางตื่นตระหนก เขาหอบหายใจถี่รั่วมองร่างบางตรงหน้าที่ตอนนี้อยู่ดีๆ มาหลับไปเสียอย่างนั้น! เจ้าหล่อนรู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป!?
ร่างสูงเดินจ้ำๆ ออกไปอย่างร้อนรนราวกับคนเพิ่งทำผิดมา แล้วเมื่อประตูถูกเปิดออกไปเจอกับใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องพอดีก็ทำให้ร่างสูงถึงกับสะดุ้งเฮือกเสียฟอร์มหล่อๆ อย่างที่เขาไม่เคยเป็นมากก่อน
“อ้าก! คุณดาว...อา...คุณดาว เอ่อ...ใช่! แค่คุณดาว...คุณดุจ-ดาว!”คุณชายน้อยของบ้านเลิกลักเหงือกแตกพูดแทบไม่เป็นภาษา เล่นเอาแม่บ้านเจ้าของชื่อดุจดาวยืนลุ้นไปด้วยไม่ทัน
“ใช่ค่ะๆ ดาวเองค่ะ คุณโดเรมี...มีอะไรหรือเปล่าคะ ป้าได้ยินเสียงโครมครามเลยรีบขึ้นมาดู...ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ แล้ว...รอยแดงๆ ที่เปื้อนปากนี่...โดนคุณหนูทำร้ายเอาอีกเหรอคะ...”คุณป้าถามอย่างเป็นห่วง ตอนนี้เด็กหนุ่มมีสติไม่พอที่จะตอบหล่อนให้เข้าใจได้...รอยแดงอะไรเขายังไม่รู้เลย...
...รอยเปื้อน...ลิปสติก! โอไม่!! นี่มันหายนะชัดๆ!!...
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาตะครุบปาก แล้วเบือนหน้าไปอีกทางไม่กล้าสบตาด้วย
“ป...เปล่าครับ เออ...ป้ามาก็ดี ฝากเปลี่ยนเสื้อผ้าคุณหนูด้วย...”เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบดีก็วิ่งทักๆ ออกไปจากตรงนั้น เป็นใครก็ต้องรู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรเกินขึ้น คุณโดเรมีที่มีท่าทางแบบนี้หาดูง่ายๆ เสียที่ไหน
“ไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ!?”คุณป้าตะโกนถามอย่างเป็นห่วง แต่ไม่ทันเด็กหนุ่มวิ่งเข้าห้องตัวเองไปแล้ว...
ห้านาทีให้หลังนั้น...
(Doremi Part)
ผมนั่งกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือที่เปิดโคมไฟสีส้มพร้อมกับสีหน้าช็อคค้างที่สุด...ให้ตาย! นี่มันอะไรกันเนี่ย! เจ้าหล่อนเกิดบ้าอะไรขึ้นมา!!
จะว่าอย่างไรดี...ผมต่างหากที่กำลังบ้า หล่อนเมา!! เมามากเสียด้วย จะถามว่าทำไมผมต้องมาสติแตกขนาดนี้น่ะเหรอ!? รู้แล้วห้ามหัวเราะได้ไหมล่ะ! ใครจะเชื่อระว่านั่นน่ะครั้งแรก!!
ไปบอกใครเขาจะเชื่อว่าตลอดชีวิตยี่สิบปีที่เกิดมาโดเรมีคนนี้ไม่เคยมีแฟน...อย่าได้พูดถึงเรื่องจูบหรืออะไรทำนองนั้น ไม่เคยอยู่แล้ว! ก็มีเจ้านายอยากหล่อนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ นั่นไง! ถึงได้มองใครไม่ได้แบบนี้ นี่เจ้าหล่อนจะเอาทุกอย่างของผมไปให้หมดเลยหรือไงนะ! แม้แต่จูบแรกก็ให้เธอไปแล้ว แล้วชีวิตนี้ผมจะเหลืออะไรวะเนี่ย!
อร้ากกกก แล้วยอร์แซฟคนนี้จะมานั่งครวญครางเหมือนผู้หญิงเรียกร้องให้ผู้ชายรับผิดชอบทำไมเนี่ย ผมต้องรับผิดชอบเธอเซ่!!
แต่แซฟไฟร์เคยมีแฟน...บางทีมันอาจจะไม่ใช่ครั้งแรก
เห้ย! แต่ใครจะสนล่ะ ผมจูบเธอไม่แล้ว! ไม่สิ...เธอจูบผม! ไม่!! มันก็คือจูบกันอยู่ดี
อร่าาาาา คุณท่านรู้ โดนฆ่าแน่ๆ เลยยยยยย
(End)
ร่างสูงบนโต๊ะทำงานกำลังต่อสู้กับเสียในใจของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เด็กหนุ่มเอามือขยี่หัวสีน้ำตาลเข้มของตัวเองจนมันยุ่งเหยิงฟูฟ่อง...มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ที่หัวใจเขาดันเต้นไม่เป็นสำในตอนนั้น...
มันยิ่งผิดเข้าไปใหญ่เพราะในช่วงที่เวลาเหมือนถูกหยุดอยู่นั้น มีอยู่แวบหนึ่งที่เขาเสือกรู้สึกพอใจไปกับมัน...
...แย่...
โดเรมีทิ้งหัวเอาแก้มแนบกับโต๊ะแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด...
พรุ่งนี้...เธอจะจำได้ไหมนะ...
เรื่องเมื่อกี้นี้...
=============================
To be continue
เอ่อะ...อ่านแล้วเม้นท์วิจารย์กันได้นะจ๊ะ
จะได้รู้ว่าควรแก้ไขอะไร
ทำตัวเป็นเงา เค้าเสียใจนะT^T
ความคิดเห็น