คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 001
ก็อกๆๆๆ
เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังเป็นจังหวะพอประมาณเพื่อเรียกให้ร่างบอบบางที่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงในห้อง รู้ตัวว่าควรจะตื่นมารับแสงเดือนแสงตะวันเสียที หากแต่ร่างนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนอง...ดังเช่นทุกวัน
ก็อกๆๆๆ
“คุณหนู ตื่นเเถอะครับ เดี่ยวจะสาย”เสียงทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบ เจ้าของร่างในชุดนักศึกษาที่แต่งตัวเรียบร้อยรอคนใในห้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและออกไปด้วยกัน “ได้ยินมั้ยครับเนี่ย...”
ย้ำเข้าหลายๆ รอบ ร่างบางก็พลิกตัวจากซ้ายไปขวา แล้วร้องฮื้ออกมาดังๆ แสดงอาณาเขต เรียกร้อยยิ้มขบขันให้คนตรงหน้าประตู
“ผมเข้าไปนะ”เด็กหนุ่มพูดพลางบิดลูกบิดประตูไม้สีขาวน่ารัก ที่มีป้ายลายดอกไม้ เขียนติดหน้าห้องว่า ‘Sapphire Room’
ร่างเล็กๆ ยังนอนจมกองผ้านวมสีชมพูอ่อนหวานแหววที่รอบด้านเต็มไปด้วยตุ๊กตา เด็กหนุ่มยิ้มให้ร่างนั้นเบาบาง ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าม่นสีขาวทึบ แล้วกระชากมันเปิดออกอย่างรวดเร็ว
พรึบ!
“กรี๊ดดดด อย่าทำแบบนี้นะอีตาบ้า!!!”เป็นเสียงหวีดแห่งรีแอคชั่นที่ตอบสนองรวดเร็วพอๆ กับที่แม่เจ้าประคุณมุดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม แล้วครางหงุดหงิงงอแงอยู่ในนั้น เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา บางทีเขาก้คิดว่าเธออาจจะเป็นสายเลือดแวมไพร์หรือปีศาจอะไรสักอย่างที่โดนแสงไม่ได้ เจอแสงเจแดดีไรม้วนเป็นกิ้งกือโดนดีดอย่างนี้ทุกที...
ร่างสูงเดินตรงไปที่เตียงนั้นแล้วทิ้งตัวนั่งลงก่อนจะเอื้อมมือไปกระชาดผ้าห่มที่คลุมร่างบางเสียทั่วร่าง แน่นอนว่าคนข้างใต้นั้นไม่ยอมให้ทำง่ายๆ แน่
“กรี๊ดดดด อย่าน๊า~”คนยังไม่อยากตื่นม้วนตัวลึกลงไปเรื่อยๆ ในกองผ้า เรียกให้เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะครับ!”เป็นน้ำเสียงติดจะหยอกเล่นเล็กน้อย เขาพยายามดึงผ้าห่มนั้นออกโดยที่มันก็ถูกรั้งจากข้างในเช่นกัน
“นายนั่นแหละออก! ออกไปเลย! ไปให้พ้นนะคนจานอนนน”สาวน้อยลากเสียงยาวแล้วพยายามดึงผ้านั้นกลับมาอย่างสุดความสามารถ แต่แน่นอนว่าแรงเธอคงสู้คนตรงหน้าไม่ได้ ผ้าห่มทั้งยวงหล่นลงไปกองกับพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างเล็กพลิกตัวไปนอนคว่ำแล้วเอาหน้าฟุบกับเตียงเพื่อหลบแสงอย่างรวดเร็ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ แซฟไฟร์”เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายอย่างสุภาพมีหางเสียง แม้เขาและคนตรงหน้าจะอายุเท่ากัน แต่นี่เป็นนิสัยเสีย(?)ของเขาที่แก้ยังไงก็ไม่หายเสียที
“กี่โมง?”ร่างบางถามเสียงอู้อี้
“เก้าโมงจะครึ่งแล้วครับ”เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบแล้วยิ้มเบาบาง เด็กสาวค่อยๆ หันหน้าขึ้นมาจากเตียง โดยมีเงาของเขาบดบังแสงแดดไม่ให้แยงตาเธอ...เขาไม่รู้ตัวหรอกว่ามุมเขาในตอนนี้ที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องราวกับสปอร์ตไลท์อยู่ด้านหลัง มันทำให้ออร่าของเขาแผ่พุ่งขับไล่ความง่วงหงาวหายไปหมดสิ้นยามได้มอง
...หล่อดีจริงเว้ย...
เธอคิดในใจ ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นมานั่งขยี่ตาพร้อมกับทรงผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิง...ก่อนหน้านี้ผมธรรมชาติเธอเป็นสีดำสนิท แต่แน่นอนว่าใครจะไอยู่กับหัวดำๆ ไร้สีสนอย่างนั้นได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะเมื่อมีคนผมสีโดยธรรมชาติมาเดินไปเดินมาล่อตาล่อใจอยู่ในบ้านทุกวี่วัน
แซฟไฟร์ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจฟอดหนึ่ง แล้วค่อยๆ หย่อนขาลงจากเตียงก่อนจะเดินหาวไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีมาสางผมอย่างลวกๆ
“อีตาทาส”เธอเอ่ยขึ้นมาเรียกร่างสูงที่กำลังเก็บที่นอนของเธออยู่อย่างแข็งขันให้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หืม?”
“วันนี้อยากไปดูหนัง”เธอบอกเขาพลางวางหวีเอาไว้ที่เดิม
“ดูหนัง?”เด็กหนุ่มทวนซ้ำอีกครั้งพลางเอียงคอเล็กน้อย “เรื่องอะไรครับ?”
“อันนั้นนายต้องเลือกเสะ แล้วถ้าฉันดูแล้วไม่ถูกใจนายตาย!”เน้นเสียงหนักแน่นจนท้ายประโยคเสียจนคนฟังแทบหลุดหัวเราะออกมา “วันนี้เลิกสี่โมง ห้ามเลทล่ะ”เจ้าหล่อนสั่งอีก...เป็นคนอื่นคงชักสีหน้าไปแล้ว แต่กับหมอนี่...สงสัยโดนจนตายด้าน ยังยิ้มระรื่นอยู่ได้แบบนั้น ดีจริงๆ
“โอเคครับ”เด็กหนุ่มตอบรับ สาวน้อยได้ยินเข้าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เขามองตามร่างบางไปจนประตูปิด แล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ...
...ช่วงนี้มีหนังอีกน่าดูบางนะ...
ตึกๆๆ
เสียงผีเท้าเล็ก กระทบกับบันใดทีละขั้น เป็นสัญญาณว่าพีศาจสาวย่างกรายลงมาจากชั้นสองแล้ว เด็กหนุ่มคนเดิมที่กำลังยืนจัดโต๊ะอาหารเช้าให้คุณหนูของเขาหันไปมองตาต้นเสียงแล้วยิ้มเบาบางเมื่อเห็นเธอเดินลงมา
“ว๊าย คุณโดเรมี เดี๋ยวป้าทำเองค่า!”แม่บ้านของคฤหาสที่กลังวุ่นวายกับอะไรบางอย่างในครัวตะโกนออกาแล้ววิ่งทักๆ มาหาพร้อมกับเหยือกและแก้วน้ำ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทำหน้าที่แทนเธอไปเสียแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ เสร็จพอดี”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะดาว”เสียงหวานฉ่ำของคุณหนูประจำบ้านเอ่ยหลังจากก้าวลงมาจนถึงบันใดขั้นสุดท้าย คนถูกทักทายตอบรับกลับไปก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง
“ไม่เห็นทักผมบ้างเลย”คนถูกลืมแกล้งพูดอย่างงอนๆ ขณะที่เลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายนั่งลง
“สำหรับทาสน่ะไม่เจ้าเป็นหรอกย่ะ! นายสิต้องทักทายฉัน”สาวน้อยหันมาแลบลิ้นใส่ก่อนจะหยิบช้อนและซ้อมขึ้นมาตั้งท่าจะกิน แต่แล้ว...
ครืดๆๆ ครืดๆๆ
เสียงระบบสั่นของโทรศัพท์iphone4sกรอบสีขาวลายขนมเค้กดูกุ๊กกิ๊กดังขึ้น เจ้าของโทรศัพท์วางช้อนส้อมแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วกดรับ
“ค่ะพ่อ”ประโยคนี้ทำให้เด็กหนุ่มผู้ที่สาวตรงหน้าประณามเป็นทาสถึงกับสะดุ้ง...
เด็กหนุ่มลอบหันมามองที่สาวเจ้าอย่างลุ้นๆ ถ้าเป็นเพื่อนเจ้าหล่อนโทรมาคุยปกติคงไม่น่าผวาอะไรนักหรอก(ซึ่งในความเป็นจริงเพื่อนหล่อนก็มักไม่โทรมาเท่าไหร่) แต่เมื่อปลายสายเป็นผู้ชายที่เธอเรียกว่า ‘พ่อ’ นี่สิ! คำเตือนที่ควรจะทำตาม ก็คือ...ถ้าคุณอยู่แถวนั้นล่ะก็ ควรจะมองหาที่กำบังเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย เพราะหล่อนจะลุกขึ้นมาวีนเขวี้ยงปาข้าวของเมื่อไหร่ก็ได้
“มีอะไรคะ? อะไรนะ?”เธอถามกลับไปที่ปลายสาย แล้วหยุดฟังไปสักครู่ และในระหว่างน้นคิ้วเรียวก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน เด็กหนุ่มรู้แล้วว่านี่เป็นสัญญาณอันตราย โดยเฉพาะเมื่อสาวเจ้าเอามือตบลงที่โต๊ะแล้วลุกพรวกขึ้นก่อนจะตะโกน “อีกแล้วเรอะ!!!”
จังหวะนี้แหละที่เขารู้ว่าควรปฏิบัติการกอบกู้โลกที่แสนสงบสุขไม่ให้มันลุกโชนโดยการเอาโทรศัพท์ออกจากหูแม่นางให้เร็วที่สุด!!
“เอามานี่ผมคุยให้!!!”เด็กหนุ่มกระชากโทรศัพท์ออกมาจากหูเธอแล้ววิ่งหลบไปคุยไกลกว่าสองเมตร คนโดยแย่งโทรศัพท์มองตามร่างของโจรขโมยมือถือของเธอด้วยสีหน้าหาเรื่องแล้วทำท่าจะตะโกนด่า แต่พอมาคิดทบทวนดู...แบบนี้ก็ดีไม่น้อย “ฮัลโหลครับ นี่ผมเองนะครับ”
[หืม? ยอร์แซฟเรอะ? เออ...แกมาคุยก็ดี สบายหู]ปลายสายเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงขบขัน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยพลางเหลือบไปมองลาดเลาเจ้าของโทรศัพท์ที่ยืนกอดอกใส่เขาแล้วหรี่ตามาทางนี้ และเมื่อเจ้าหล่อนเห็นว่าเขามองเธอก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วหย่อนก้นลงที่เก่า
[เย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองเปิดตัว WSรุ่นล่าสุด งานเริ่มทุ่มนึง ฉันอาจจะตีรถกลับไปไม่ทัน เลยจะให้แซฟไปเป็นหน้าเป็นตาให้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะรีบตามไป]
“ที่ไหนครับ?”
[เดี๋ยวฉันส่งแผนที่ไปให้ แกว่างไปส่งไหม?]ปลายสายถามมา เขาหยุดคิดไปครู่...ดูเหมือนความจริงแล้วเย็นนี้คนตัวเล็กนัดเขาไปดูหนัง แต่ถ้าต้องไปงานนี้ก็คงจะไปไม่ได้แล้วล่ะมั้ง...
“ว่างครับ ให้ใช้รถคันไหนดีครับ”
[อืม...เอาเป็น...มาเซลาติก็ได้ รุ่นไปเลือกเอาเอง ขับดีๆ นะแก!]เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ กับประโยคทักท้วงข้างท้าย
“ครับผม แล้วเสื้อผ้าคุณหนู?”เม่อคนบนโต๊ะกินข้าวได้ยินประโยคนี้ก็หันควับมาทันที
“ถ้าอยากให้หนูไป วันนี้ต้องให้งบไปซื้อเดรสตัวใหม่ด้วย!”เธอตะโกนหวังจะให้เสียงไปถึงปลายสาย
“คุณหนูบอกว่าจะไปซื้อชุดใหม่ครับ”เด็กหนุ่มช่วยพูดอีกแรง
[เฮ้อ...ช่วยไม่ได้ แกพาไปแล้วกัน แล้วไม่ต้องฉูดฉาดมากนะ เอาพอดีๆ]ชายหนุ่มกำชับ
“คร้าบ~”
เมื่อคุยธุระรู้เรื่องเสร็จสรรพเด็กหนุ่มก็วางสายแล้วเดินตรงมาทีโต๊ะกินข้าวเพื่อยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของพลางยักคิ้วกวนส่งให้ แซฟไฟร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะคว้ามันมาอย่างเหวี่ยงๆ เด็กหนุ่มเหลือบมองไปที่จานอาหารเช้าซึ่งบัดนี้อาหารข้างในหายเกลี้ยงภายในเวลาแค่ที่เาคุญโทรศัพท์ไม่กี่นาทีนั้น ทำให้เขานึกขำอยู่ในใจ ทุกครั้งที่แซฟไฟร์อารมณ์ไม่ดี เธอจะกินเร็วมาก!
“ดูเหมือนวันนี้ดูหนังไม่ได้แล้วล่ะ”เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ
“เออ รู้แล้ว”สาวน้อยเหวี่ยงใส่มาป๊าบหนึ่ง “นายอะ!”น้ำเสียงงอนๆ นี่ทำให้เขาสงสัย
“หืม?”โดเรมีเลิกคิ้วเล็กน้อย
“สนิทกับพ่อฉันมากกว่าฉํนเองอีก ไปเป็นพ่อลูกกันเลยไป!”เด็กหนุ่มแทบจะปล่อยฮาออกมาตรงนั้น นี่แทบจะเป็นเรื่องเดียวที่เจ้าหล่อนอิจฉาเขามาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ไหนแต่ไรแล้วโดยเฉพาะช่วงหลังๆ นี้ เธอเจอหน้าคุณวรภพก็ทะเลาะกันเรื่อย ผิดกับเขาที่แทบไม่เคยมีปากเสียงกับท่าน ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ไมีไม่ได้ต่างหาก...
“จะเป็นไปได้ที่ไหนเล่า โอ๋ๆ อย่าน้อยใจ...”
“นายพูดอะไรหมอนั่นก็เข้าใจ ขออะไรหมอนั่นก็ให้ แถมไม่เคยทะเละกันสักหน ดูฉันสิ...”
“ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่ได้หมายความว่าสนิทกันสักหน่อย เฮ้อ...พอละ เลิกพูด ไปกันเหอะครับ เดี๋ยวสาย”เด็กหนุ่มตัดบทแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถที่ตู้กุญแจ ก่อนจะกวักมือเรียกเจ้านายคนสวยที่นั่งงอนป่องๆ อยู่ที่เดิม
...อยากให้พ่อลูกคู่นี้เข้าใจกันสักทีจริงๆ เลยแฮะ...
มินิคุเปอรืคันสีดำแล่นเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยXXX ผ่านนักศึกษามากมายที่กำลังพากันเดินแยกย้ายไปตามคณะต่างๆ ของตัวเอง เมื่อรถคันนี้แล่นผ่านสาวๆ แถวนั้น พวกเธอทุกคนจำมันได้...โดยเฉพาะเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าคมคายหล่อเหลาของคนขับก็พากันสะกิดเพื่อนให้หันมามอง
เด็กสาวที่นั่งข้างคนขับกวาดสายตามองปฏิกิริยาพวกนั้นแล้วเบ้ปาก...ยัยพวกนี้เห็นแล้วหมั่นใส้ชะมัด แต่ที่น่าหมั่นใส้ยิ่งกว่าก็คืออีตาคนขับที่นั่งระรื่นลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างๆ เป็นแค่อีตาทาสแท้ๆ! ทำไมใครๆ ก็ชอบมันกันหมด ไม่เว้นแม้แต่พวกผู้ชาย...ปกติแล้วประเภทที่ว่าป๊อปปูล่าในหมู่เพศตรงข้ามทั้งหลายมันมักจะโดนเพศเดียวกันหมั่นไส้...แต่กับไอ้หมอนี่ ไปที่ไหนก็มีแต่คนทัก คนยิ้มให้ หมั่นไส้โว้ย!
เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีกาแฟแก่ ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูกับคนข้างๆ
“เย็นนี้ถ้านายต้องให้ฉันนั่งรอละก็ ตาย!!”
“คร้าบๆ ทราบแล้วคร้าบ”คนขับพูดพลางกลั้วหัวเราะ “แล้ววันนี้เธอจะไปซื้อเสื้อผ้าที่ไหน?”
“จะพาไปเหรอ?”
“อืม”เด็กหนุ่มตอบเนิบๆ เพราะต้องใช้สมาธิกับการขับรถ
“งานเลี้ยงพ่อ...งั้นเอาเป็นร้านพี่พลอยเหมือนเดิมแล้วกัน”คำตอบที่ทำให้คนฟังอยากจะเอาหัวโขกกับพวงมาลัย
“ไหนๆ จะไปไกลขนาดนั้น ไม่บินไปปารีสเลยล่ะคุณ!”เด็กหนุ่มบ่นเล็กน้อย
“จะไปไม่ไป?”น้ำเสียงแข็งกระด้างถูกส่งมา
“ไปครับ ไป”
ในที่สุดก็มาถึงลานจอดรถ เมื่อรถจอเรียบร้อย คนขับรถก็เปิดประตูลงไปแล้วเดินอ้อมมาที่ที่นั่งข้างคนขับเพื่อเปิดประตูให้เด็กสาวที่กำลังปะแป้งพับบนหน้าพอเป็นพิธี
เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยเธอก็ก้าวลงมาจากรถ แต่ก่อนที่เธอจะได้เดินไปไหนนั้น...
“เดี๋ยวก่อน แซฟไฟร์...”เด็กหนุ่มรั้งเธอไว้ในขณะที่กำลังล็อครถ เขาวิ่งมาหาเอแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ เล่นเอาอีกฝ่ายผวาตัวเกร็ง “อยู่นิ่งๆ สิ”มือหนายกขึ้นมาจับเส้นผมที่ปรกอยุ่ด้านข้าง แล้วใช้เล็บรูดลงไปจนถึงปลาย “แป้งเลอะผมน่ะ”
“อ...อ้อ อา...อือ ขอบใจ”แซฟไฟร์เอ่ยแบบงงๆ เล็กน้อย แล้วหันหลังเดิน “ตามมาเร็วๆ เดี๋ยวฉันก็สายหรอก”
โดเรมีมองตามหลังเธอแล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย...เขาวิ่งเหยาะๆ ตามเธอไปติดๆ เขานึกขำอยู่ในใจ
...เมื่อกี้นี้คือเขินสินะ...
ถึงเจ้าหล่อนจะแสดงออกมาเหมือนเป็นคนเย็นชากับคนอื่นตลอดเวลา แต่ข้างใน็คือเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่ทั้งเปราะบางและอ่อนไหว...มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ แซฟไฟร์น่ะ...ความจริงใจดีจะตายไป...
อารมณ์เสีย...
คำนิยาเดียวสั้นๆ สำหรับความรู้สึกของเธอตอนนี้ เธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเรื่องงี้เง่านี่จะต้องเกิดกับเธอทุกวัน
“เฮ้อ...”สาวน้อยถอนายใจออกมายาวๆ แล้วพยายามทำใจมองข้ามทุกสายตารอบตัวที่จับจ้องมาทางนี้ มันไม่ใช่สายตาด้านบวกเหมือนที่ใครๆ มองอีตบ้าที่เดินตามหลังเธออยู่ แต่มันเป็นสายตากรีดแทงเพราะความหมั่นใส้ บวกกับข่าวลือต่างๆ นาๆ ที่นำพามาซึ่งเสียงกระซิบกระซาบรอบด้าน บอกได้คำเดียวว่า เซง!
“แซฟไฟร์...”คนข้างหลังเอ่ยเรียกเธอเบาๆ
“อะไร?”เธอตอบกลับไปห้วนๆ
“ทีหลังขับรถมาส่งหน้าคณะดีไหม?”เด็กหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง วันนี้สาวเจ้าดูอารมณ์บ่ จอยมากกว่าทุกวัน เขาเอามือมาจับบ่าเธอ...แซฟไฟร์สะดุ้ง!
“หยุด!”เธอรีบเอามือนั้นออกไปแล้วหันควับมาถลึงตาใส่อีกฝ่าย “อย่าแตะตัวฉัน”
“ค...ครับ?”คนถูกปรามทำหน้างง
“แค่นี้ฉันก็แย่พอแล้ว อย่าหาเรื่องให้ฉันได้ไหม”ขืนหมอนี่วุ่นวายกับเธอมากกว่านี้ ต่อหน้ายัยพวกรอบตัวนี่ ไม่รู้จะไปปลุกระดมใครให้รุมเกลียดเธออีก ทุกวันนี้ที่เป็นอยุ่นี่แค่นั่งเฉยๆ ยังโดนจิก ไม่รู้เธอไปทำอะไรผิดนักหนา
“ผม...ทำให้โกรธเหรอ? ขอโทษ...แซฟไฟร์ผมทำอะไร...?”เด็กหนุ่มพยายามทำให้อีกฝ่ายที่เดินนำไปหันหน้ามา
“โอ้ย! ไม่ได้ทำหรอก! บอกว่าอย่าแตะตัวไง ไปตึกคณะนายโน่นไป มันคนละทางไม่ใช่เหรอ!?”เด็กสาวหยุดแล้วหันมาชักสีหน้าใส่คนข้างหลังที่ยังงงไม่หาย
“ก...ก็ไปส่งเหมือนทุกที...ไม่ใช่เหรอ?”
...เออ...จริง...
เด็กสาวฉุกคิดก่อนจะมองใบห้าหล่อเหลาที่เปื้อนรอยยิ้มนิดๆ
“อ๋อผมรู้ล่ะ! เพราะเรื่องเมื่อเช้าใช่ม้า”เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้แล้วดีดนิ้ว แซฟไฟร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย...ก็อาจจะใช่ เพราะเธอหงุดหงิดมาแต่เช้าแล้ว มอเจอแบบนี้เลยยิ่มโมโห “โป๊ะเช๊ะเลยสินะครับ”เด็กหนุ่มยักคิ้วให้เธอ
แซฟไฟร์ถอนหายใจแล้วเบือนหน้านี่ ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานาน เขาพอจะเข้าใจได้ว่ามันเหมือนเป็นการบอกว่า ‘อาจจะใช่’
“แซฟไฟร์โกรธคุณวรภพมาลงกับผมได้ครับ แต่อย่าไปลงกับคนอื่นนะ สงสารเค้า”เด็กหนุ่มฉีกยิ้มยักคิ้ว ที่พูดเมื่อกี้เหมือนจะเป็นการปลอบใจ แต่ฟังไปฟังมทำไมรู้สึกว่ามันไม่ใช่วะ!?
“นี่นาย!”แซฟไฟร์ขึ้นเสียงพลางทำท่าง้างหมัด แต่ร่างเล็กก็ต้องชะงักเมื่อเธอเปรยตาไปสบเข้ากับสายตาไม่เป็นมิตรมากมายที่จ้องเธออยู่ก่อนแล้ว...สาวน้อยถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วลดมือลงอย่างเหวี่ยงๆ ขืนเธอทำอะไรหมอนี่ ถึงปกติอยู่บ้านเธอจะทุบตีหมอนี่เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นที่นี่...ไม่รู้กี่ที่คนพร้อมที่ะจปกป้องมันแม้มันจะไม่ได้ร้องขอ... “ไปเรียนไป วันนี้ส่งแค่นี้พอ”
“อ้าว...”
“บอกก็ทำเหอะน่า! ไม่ต้องสงสัยมาก น่ารำคาณ!”แซฟไฟร์ถลึงตาใส่คนตรงหน้าที่ดูจะมึนๆ งงๆ เล็กน้อย แต่แน่นอนว่าเขาไม่ขัดข้องอยู่แล้ว เพราะคำพูดของเธอคนนี้...สำหรับเขาแล้ว มันต้องมาก่อนทุกสิ่งในโลก
“โอเครับ งั้น...เจอกันตอนเย็น”
“อือ”
“เฮ้ย! ไอ้เผือกมาแล้วเว้ย”เสียงตะโกนมาแต่ไก จากเด็กหนุ่มกลุ่มที่กำลังผลัดกันชูตบาส อยู่ในสนาม เอ่ยเรียกเด็กหนุ่มผิวขาวสว่างแทบจะเรืองแสงในความมืดยกมือขึ้นมาโบกไปมาทักทาย
“ทำไมวันนี้มาไวได้วะ”เด็กหนุ่มผมน้ำตาลอีกคนเอ่ยถามบ้าง
“แซฟไฟร์บอกว่าไม่ต้องไปส่งน่ะ”คนถูกถามตอบยิ้มๆ แล้ววิ่เงหยาะๆ มาที่แป้นบาส ก่อนจะตั้งท่ารับลูกบาสที่ถูกส่งมาให้แบบไม่บอกกล่าว เมื่อได้ยินคำตอบ คนฟังถึงกับเบ้ปาก
“แม่นั่นอีกและ”เป็นน้ำเสียงเบื่อหน่ายของเด็กหนุ่มคนแรก
คนผิวขาวกระโดดชูตลูกบาสงห่วงอย่างสวยงาม ก่อนจะหันไปมองคนพูด
“ทำไมอะ ผมไม่เข้าใจ ทำไมใครๆ ไม่ชอบแซฟไฟร์”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามนาย ไอ้เผือก ว่านายทนคบกับยัยคุณหนูนิสัยเสียนั่นมาได้ไงแทบครึ่งขีวิต คนเขาเกลียดกันทั้งมหาลัยแล้ว”
“แซฟไฟร์ไม่ได้นิสัยเสีย”เด็กหนุ่มเอ่ยพลางวิ่งเข้าไปแย่งลูกบาสมาจากเด็กหนุ่มหมอสีน้ำตาลอ่อน “ไม่มีใครรู้จักคุณหนูดีกว่าผม พวกนายไม่เชื่อผมแต่ไปเชื่อขาวลือที่คนเขาพูดกัน มันก็ป่วยการจะอธิบายอะ เอเถอะน่า ผมบังคับนายให้เลิกแอนตี้ไม่ได้ แต่นยก็จะมาบังคับผมให้เกลียดคุณหนูไปด้วยก็ไม่ได้เหมือนกัน พ่อของคคุณหนูท่านมีบุญคุณกับผมมาก นายก็รู้นี่”เขาร่ยยาวพลางส่งบาสไปให้เพื่อน “ทั้งเอก ทั้งพอร์ชเลย อย่าว่าคุณหนูให้ผมได้ยินอีกนะ”
น้ำเสียงและสีหน้จริงจังของคนตรงหน้าที่ส่งมาเล่นเอาเถียงไม่ออก พอร์ชเอามือขยี่หัวสีหน้าตาลของตัวเองอย่างหนักใจก่อนจะหันไปยักใหล่ให้เอก แล้วทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมา
“นี่ถ้านายไม่เป็นคนนิสัยดีแหล่มเลิศประเสิร์ฐศรีมณีส่องแสงขนาดนี้ ฉันว่าพวกฉันคงปลุกระดมให้ชาวบ้านเขาเกลียดนายไปอีกแล้วว่ะ เกลอรัก แม่ง!”พอร์ชพูด
“เออ! กูเห็นด้วย แล้วยิ่งคนที่ยุ่งกับแม่นั่น เอ้ย! เกล้าภัสสร...แล้วยังมีแต่คนชอบแบบแกนี่มัน โคตรไม่ปกติเลย นายทำยังไงถึงเรียกเรตติ้งพุ่งกระฉูดแบบนี้ได้วะ สอนมั่งดิ!”
“ทำยังไงเหรอ...”เด็กหนุ่มทำสีหน้ครุ่นคิด...ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว “ช่วยไม่ได้...ก็คนมันหล่ออะครับ...”
เพียงเท่านั้น...สองสหายเพื่อนรักก็กระโจนเข้ฟัดเหวี่ยง ‘คนหล่อ’ จนต้องโกยแนบ
...ผมรู้ดีมาตลอดว่คุณหนูถูกคนรอบข้างมองยังไง รู้ด้วยว่าเธอร้สึกแย่มากแคไหนที่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเองเอาไว้โดยไม่สามารถระบายกับใครๆ ได้ เบื้องหน้าท่าทางเข้มแข็งหยิ่งยโสนั้น ก็แค่เด็กผู้หญิง...แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาเท่านั้นจริงๆ คววามจริงข้อนี้ที่ไม่มีใครเคยรับรู้...ทั้งไม่รู้และไม่อยากจะรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถเปลี่ยนความคิดใครๆ ได้ เพราะอย่างนั้น...
หากโลกนี้ไร้แล้วซึ่งคนที่รักคุณหนู...ก็จะมีผมหนึ่งคนที่จะคอยยืนอยู่ข้างหลัง และยื่นมือไปช่วยทุกเวลาที่เธอต้องการ และในยามที่เธอไม่ต้องการเห็นหน้า ผมก็จะหายไป...ทั้งหมดนี้...ไม่ใช่เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับคคุณวรภพ แต่เป็นเพราะคุณหนูต้องการผม แม้เธอจะไม่รู้ตัวก็ตาม...
...ผมจะไม่ปล่อยให้เธอต้องอยู่คนเดียวเป็นอันขาด...
ตึกสถาปนิก มหาวิทลัยXXX เวลา15.49น.
ร่างสูงสง่าของเด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายสะดุดตาที่นั่งเสียบสายซาวด์เบ้าท์ฟังเพลงกับไอพอทบนเก้าอี้ม้านั่งยาวใต้ตึก เรียกให้คนแถวนั้นจับกลุ่มกันกระซิบกระสาบและมองสอดส่องกันตาเป็นประกาย เขามองซ้ายมองขวาหาใครบางคนที่นัดเขาให้มารับ แต่จนบัดนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา แต่ก็นะ...มันยังไม่ถึงเวลาเลย
“แก...คนนั้นอะ น่ารักว่ะ”
“หืม...เอ้ย! เดือนคณะวิศวะไม่ใช่เหรอ?”
“แกๆ ดูพี่คนนั้นดิ”
เด็กหนุ่มไม่มีโอกาสรู้ยว่าเสียงกระซิบกระวาบอื้อึ่งรอบตัวนั้นพูดถึงเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะที่อุดอยู่สองข้างทำให้เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น กระนั้นสายตาของเขายังคงดีพอที่จะเห็นเด็กสาวสองคนที่เดินดันกันมาทางนี้
“เฮ้ย! อย่าดัดสิแก พ่เขาเห็นหมดแล้ว”
“อย่าป๊อดน่า! เข้าไปเลย!!”
เด็กหนุ่มแน่ใจว่าเธอคงมีธุระกับเขา เขาจึงถอนหูฟังออกแล้วมองหน้าเธอทั้งสองอย่างงงๆ
“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”เด็กหนุ่มพูดพลางค่อยๆ หยัดกายยืนขึ้น
“เอาไงดีอะแก๊>////<”
“ถึงขั้นนี้ไม่มีถอยแล้วเว้ย! ไปเล้ย~ สอยมาให้ได้!”ทั้งคู่กระซิบกระซบกันอยู่ครู่ ก่อนที่สาวน้อยคนข้างหลังจะผลักคนข้างหน้ามาทางเขา
“อ๊าย!”เธอเกือบจะหัวทิ่มไปแล้วถ้าไม่ได้มือใหญ่หนาสองข้างที่ประคองไว้
“หวา!”เด็กหนุ่มอุทานแล้วมองสำรวจคนตรงหน้าให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้เจ็บตัวตรงไหน แล้วถามไถ่อย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรนะครับ?”
“ค...ค่ะ”เมื่อได้รับคำตอบแน่ชัดเขาก็โล่งใจ แล้วส่งสายตาดุๆ เล็กน้อยไปหาเด็กสาวอีกคน
“อย่าเล่นอย่างนี้สิครับน้อง มันอันตรายนะ”ร่างสูงกล่าวตักเตือน
“ข...ขอโทษค่ะ”เธอคนน้นเอ่ยอย่างเคลิ้มๆ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายยิ้มหวานๆ ให้เธอเป็นการตอบรับ เธอรู้สึกว่าอากาศรอบด้านมันลดลงอย่างผิดปกติ โอ้ย! นี่มันเทวดาชัดๆ เล้ย! ไปสอยมาแล้วแบ่งกันใช้โล๊ดจ้า ยัยฝ้ายยย!~
“ว่าแต่...น้องสองคนมีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่าครับ”เด็กหนุ่มเปิดคำถามเอง
“อ...เอ่อ...”เด็กสาวที่ถูกผลักมาเมื่อครู่อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก จนอีกคนชักหมั่นใส้ วิ่เข้ามาจับใหล่เพื่อนแล้วเสนอหน้าพูดเอง
“คือว่า! ฉันชื่อน้ำค้างนะคะ! ส่วนยัยนี่ชื่อฝ้าย อยู่ปีหนึ่งสถาปัตย์ค่ะ แล้ว...พี่ชื่อไรคะ?”เธอยิ้มหวานยีฟันครบสามสิบสองซี่แล้วหันไปยักคิ้วให้เพื่อนตัวเองที่ยังเขินไม่เลิก
“พี่ชื่อโดเรมีครับ ปีสามวิศวะ”แขนที่รัดคอเพื่อนสาวจอมขี้อายอยู่ห่อลงทันใดเมื่อได้ยินชื่อของอีกฝ่าย...ผู้ชายบ้าอะไรวะชื่อโดเรมี!? แต่ไม่เป็นไร...คนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิด
“ด...โดเรมีเหรอคะ”น้ำค้างเอ่ยพลางยิ้มแห่งๆ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อนตวเองแล้วหยิบโทรศัพท์ของหล่อนออกมา “หนูขอเบอร์พี่ไว้ได้มั้ยคะ เพื่อจะได้เจอกันอีก”
“หืม...? เบอร์พี่เหรอครับ”เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้รังเกียจอะไรน้องสองคนนี้หรอกนะ แต่กำลังเสียวสันหลังวาบว่าถ้าให้ไปแล้วถ้าใครบางคนรู้เข้าจะก็ชะตาชีวิตเขาจะเป็นอย่างไง
...ปฏิเสธไปก็เสียมารยาท เอาไงดีวะเนี่ย!...
เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วความหนักใจก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อโทรศัพท์เครื่องนั้นถูกวางลงบนมือเขาอย่างยัดเยียด เขามองมันอย่างพินิจพิจารณา และก่อนที่เขาจะได้กดอะไรนั้น...
“อะแฮ่ม!”เสียงกระแอมดังสนั่นอย่างจงใจดังขึ้นข้างๆ เขา เสียงนี้ทำไมเขาจะจำไม่ได้! เด็กหนุ่มหันควับไปตามต้นเสียงแล้วกลือนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ลงคอไปอย่างยากลำบาก คิดในใจว่า งานเข้าแล้ว!
ร่างเล็กๆ ดูคุ้นตาที่อยู่ๆ ก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ก็จะไม่คุ้นตาได้ไงล่ะ ก็นี่มันเจ้านายของเขา!!
“ซ...แซฟไฟร์...”โดเรมียิ้มแห้งๆ ก่อนจะสบเข้ากับนัยน์ตาคมกริบน่าหวานเสียวของคนตัวเล็กที่มองหน้าเขาสลับกับมือถือในมืออย่างมีเลศนัยน์ “ม...มาสายนะครับ”เขาพยายามเบี่ยงประเด็น
สาวน้อยหรี่ตาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรตอบไป และละสายตาจากเขาไปสนใจสองคนแปลกหน้าแทน
“มีธุระอะไรเหรอคะน้องทั้งสอง”เธอถามกลับไปหน้าตาย เล่นเอาคนโดนถามขนลุกซู่
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างลังเล...พวกเธอไม่รู้จักพี่โดเรมีก็จริง อาจจะเพราะพี่เขาอยู่คนละคณะ และพวกเธอเพิ่งจะเข้ามาที่นี่เป็นปีแรก แต่เธอรู้จักพี่คนนี้...เธอเคยได้ยินข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับหล่อนมาไม่น้อยจากพี่รหัส แน่นอนว่าเธอยังไม่อยากรีบหาเหาใส่หัวให้ใครๆ ได้หยิบยกไปเป็นหัวข้อสนทนาทั้งแต่ปีหนึ่งแน่ๆ
“ป...เปล่าค่ะ”น้ำค้างเอ่ยเบาๆ
“ถ้าไม่มีอะไร พี่ขอตัวอีตานี่นะคะ พอดีมีธุระ...”เธอยิ้มให้อย่างส่งๆ แล้วเบือนหน้าไอีกทางทันที โดยที่มือข้างหนึ่งก็คว้าแขนของร่างสูงไปด้วย
เด็กหนุมเลิกลักทำอะไรไม่ถูก คิดได้ว่าต้องคืนโทรศัพท์ให้สาวน้อย จึงหยุดรั้งร่างที่กระชาดเขาเอาไว้ก่อน
อา...นี่ครับน้อง โทษทีนะครับ”เด็กหนุ่มยื่นโทรศัพท์คืนเธอไปแล้วใช้มือข้างเดียวกันยกขึ้นขอโทษ ในขณะที่คนตัวเล็กผู้กำลังดึงเขาก็แรงดีไม่ใช่เล่น
“ไป-ได้-แล้ว!”
และแล้ว...เทพบุตรก็โดนปีสาจลักพาตัวไปเสียแล้ว...ฝ้ายมองตามรถที่แล่นออกไปอย่างผิดหวัง ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย
ไม่ทันไร เสียงอึกทึกครึกโครมรอบด้านก็ดังขึ้น ทุกคนกระซิบกระวาบกันใหญ่ บ้างก็ยิ้มมาทางนี้ เธอมาลองคิดทบทวนดูแล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของทุกคนรอบด้านเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เองหลังจากรุ่นพี่ทั้งสองขับรถไป ระหว่างที่พวกเธอกำลังสนทากับพวกเขาอยู่นั้น รอบด้านดูจะนิ่งเป็นพิเศษ
“เก่งแล้วน้อย กล้าขนาดนี้!”
“พี่ชอบมาสามปยังไม่กล้าเดินเข้าไปคุยเลย น้องใจถึงมาก!”
“พยายามต่อไปนะ!”กลุ่มคนแถวนั้นเริ่มซาลง ทำให้เธอรู้ว่าเมื่อครู่ที่เห็นคนเยอะๆ นั้นคือกลุ่มคนที่ทำเนียนลุ้นให้เธออยู่นั่นเอง สาวน้อยหน้าแดงแจ๋เขินอายแบบม้วนเป็นเกลียว โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนซี้ตบหลังเธอป๊าบๆ แล้วยิ้มอย่างแซวๆ
“อีบ้า! ยิ้มอะไรของแก!”
“เฮ้ย! ไม่ยิ้มได้ไง พี่เขาเกือบให้เบอร์แล้วนะเว้ย!”ฝ้ยขึงตาใส่น้ำค้างที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เลิก พลางปั้นหน้าแสนงอน
“น้องจ๊ะ!”อยู่ๆ เสียงหวานๆ ของใครแปลกหน้าก็ดังโพล่งขึ้น เล่นเอาทั้งคู่สะดุ้ง...
ฝ้ายหันไปมองตามเสียงนั้นอย่างงงๆ
“ค...คะ?”
“น้องปีหนึ่งใช่ปะ เพิ่งเข้ามาเลยยังไม่รู้อะดิ”เจ้าของเสียงนั้นคือเด็กสาวที่ดูจะเป็นรุ่นพี่ หน้าตาน่ารักทีเดียว เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “เพิ่งเคยเจอเดือนวิศวะครั้งแรกใช่มะ?”
“เดือนวิศวะ!? พี่คนเมื่อกี้เหรอคะ!?”น้ำค้างอุทานตาโดน และเมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า เธอก็เม้มปาก “มิน่า...”เธอหันไปหรี่ตาใส่เพื่อนซี้แล้วแซวออกมาเป็นเพลง “รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง~ รู้ว่าเหนื่อยแต่อย่างได้ของที่อยู่สู๊งงงง”
“อ๊าย! อย่าย้ำได้มั้ยอีน้ำ!”ฝ้ายหวีดขึ้นมา หญิงสาวอีกคนจึงหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ น้องอยากร้เรื่องอะไรถามพี่ได้นะ ถือว่าหัวอกเดียวกัน เมื่อกี้ถ้ายัยคุณหนูนั่นไม่มาเสนอหน้าก่อน พี่ว่าน้องได้เบอร์เขาแน่เลย โคตรเสียดายอะ! ยืนลุ้นตั้งนาน!”เอยกกำปั้นขึ้นสะบัด “เอ้อ! ลืมบอกไป พี่ชื่อเทมนะ อยู่ปีสาม”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่เทม หนูน้ำค้าง และนี่ฝ้ายค่ะ พี่ช่วยบอกเรื่องเกี่ยวกับพี่เอ่อ...โดเรมีอีกได้ไหมคะ”รู้สึกขัดๆ ปากทุกทีที่พูดชื่อนั้น ใครกันเป็นคนต้นคิดให้ชื่อนี้นะเนี่ย!
“ก็...คร่าวๆ นะ ชื่อจริงเขาชื่อยอร์แซฟ ศรีหราชเดโชชัย ชื่อเล่นก็อย่างที่เขาบอกอะ แต่บางคนก็เรียกแค่ เร เฉยๆ จะได้ไม่แปลกๆ”
“โห...แปลกทั้งชื่อเล่นชื่อจริงเลยอะพี่ เขาใช่คนไทยปะเนี่ย?”น้ำค้างถามอีก
“ไม่ๆ เรื่องมันซับซ้อนอะ คือ...เอาเท่าที่พี่รู้มาก เขาเป็นเด็กอุปภัมขอเจ้าของบริษัทWSรับมาจากเยอรมันน่ะ ก็เลยพูดได้คล่องสามภาษาเลย ไทย อิ้ง เยอร์”พี่เทมอธิบาย
“เห้ย! อย่างล้ำอะ! ฝ้าย...ตาแกโคตรถึงเลย”
“แล้ว...ผู้หญิงคนเมื่อกี้...แฟนพี่เขาเหรอคะ?”ฝ้ายถามด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย
“โอ๊ย! ใช่ที่ไหนล่ะยัยนั่นอะ”สีหน้าพี่เทมดูเปี่ยนไปทันที “คนนั้นอะ ลูกสาวของเจ้าของบรัษัทWS โคตรน่าหมั่นใส้อะ ทำตัวจอแจเรตลอด ต้องคอยไปรับไปส่ง คนเขาหมั่นไส้กันทั้งมหาลัย”
“เดี๋ยวนะ...ลูกสาว? แปลว่าอยู่บ้านเเดียวกัน!?”น้ำค้างถามตาโต
“อือ...รู้สึกจะใช่นะ”พี่เทมพยักหน้าหงึกๆ
“ไม่ชอบพี่เขาเพราะสนิทกับพี่โดเรมีแค่นั้นเองเหรอคะ?”ฝ้ายถามอีก
“ไม่ใช่หรอก เมื่อกี้เห็นแม่คุณทำหน้าทำตาแล้วนี่? เค้าบอกกันมาน่ะ พอบ้านรวยแล้วก็หยิ่ง ไม่พอใจใครก็ใช้เส้นพ่อไล่คนนั้นคนนี้ออก ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยหรอก หน้าตาก้ออกจะดูดี เป็นคนแบบนี้ได้ไงก็ไม่รู้”พี่เทมเบ้ปาก “แล้วก็นะ...แม่นางน่ะ หวงเรเสียอย่างกับอะไรดี หวังจะงาบเขาก็ต้องตีสนิทยัยนั่น เพราะถ้าอยู่ๆ ไปแย่งมาน่ะนะ ได้มีปัญหาแน่ๆ เลย ที่ผ่านามีหลายคนพยายามน่ะนะ แต่ไม่สำเร็จ”
“เกมนี้เห็นจะยากว่ะฝ้าย เอาไง? เลิกหวังมะ?”น้ำหันไปถามฝ้าย
สาวน้อยผู้ถูกถามก้มหน้าคิดไปอยู่ครู่...
“ไม่อยู่แล้ว...”
“ผมรอในลานจอดรถนะครับ จะกลับก็โทรตามแล้วกัน”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยพลางหันไปยิ้มให้คนข้างๆ ก่อนจะปลดล็อคประตู “ใส่ชุดนี้แล้วสวยงามมากเลยครับ”คนถูกชมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันอยากได้ตัวสีดำมากกว่า”เธอพูดอย่างงอนๆ
“แหวกกลางหลังซะขนาดนั้น คุณท่านโกรธตาย”เด็กหนุ่มพูดพลางกลั้วหัวเราะ “อีกอย่างแซฟไฟร์เหมาะกับสีอ่อนๆ แบบนี้มากกว่า แล้วก็...นี่ครับ”เขาล้วงมือไปหยิบบางอย่างในกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ
เธอมองหน้าหมอนั่นแวบหนึ่งแล้วรับมันมา...มันคือกลองกำมะหยี่คล้ายกล่องใส่แหวน แต่ยาวและแบนกว่า
“อะไรอะ?”เธอถาม
“เหลือบไปเห็นตอนเธอลองชุดเลยซื้อมาเผื่อไว้น่ะ สีมันดูคล้ายกับแซฟไฟร์ อ่ะ...แต่ไม่ใช่ของแท้หรอกนะ ผมคงไม่มีปัญญาวื้อแซฟไฟร์ของจริงให้เธอหรอก ถ้าไม่ชอบก็ทิ้งไว้นี่แล้วกัน”เด็กหนุ่มยิ้มแล้วยักคิ้วมองมัน หวังจะให้เธอเปิดดู
สาวน้อยเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วเปิดมันออก...มันคือต่างหูเป็นจี้เล็กๆ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่มีหินเรืองแสงสีน้ำเงินอยู่ตรงกลาง แน่นอนว่าคนที่คลุกคลีกับอัญมณีที่ชื่อ ‘แซฟไฟร์’ มาตั้งแต่เล้กๆ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าของเก๊...
มันเป็นที่มาของชื่อเธอ ‘แซฟไฟร์’ พ่อบอกว่าแม่เป็นคนตั้งชื่อนี้ตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มท้องเธออ่อนๆ เพราะมัเนป็นอัญมณีที่แม่ชอบที่สุด...แม่เคยบอกพ่อว่า ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงหรือผุ้ชายก็จะให้ชื่อนี้ให้ได้ แต่ท้ายที่สุด...เธอกลับไม่เคยมีโอกาสได้ยินแม่เรียกเธอด้วยชื่อนั้น เพราะการเกิดมาของเธอ แลกเปี่ยนด้วยการจากไปอย่างไม่หวนกลับของแม่...เรื่องนี้ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคิดโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุทำให้แม่ตาย...
“สวยสู้ของแท้ไม่ได้”แซฟไฟร์หันไปยักคิ้วให้คนให้ ก่อนจะหยิบมันออกมาเกี่ยวที่ติ่งหูแล้วส่งกล่องคืนไป “ให้ได้แค่คะแนนความพยายามนะ”
เด็กหนุ่มยิ้มเบาอย่าง แล้วมองตามร่างที่เปิดประตูออกจากรถและเดินผ่านประตูอัตโนมัตเข้าไปในโรงแรมห้าดาวชื่อดังซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง...โดเรมีรอูสาวเจ้าอยู่ครู่แล้วออกรถเพื่อนำไปจอด และรอจนกว่าเธอจะโทรเรียก...
ร่างบอบบางในชุดกระโปรงระบายพลิ้วสีฟ้าอ่อนยาวกรอมเข่า เดินผ่านประตูงานที่มีบอด้การ์ดหน้าตาคุ้นๆ ยืนเฝ้าอยู่ แน่นอนว่าบอดี้การ์ดที่บ้านเธอจำได้ไม่หมดทุกคนหรอก...แต่ใครจะสนล่ะ...พวกเขาจำเธอได้ก็พอแล้ว
“คุณหนู...”หนึ่งในบอดี้การ์ดพูดขึ้นแล้วโค้งหัวให้เธอ เธอพยักนห้ารับเนิบๆ
“พ่อล่ะ?”เธอถาม
“กำลังเดินทางมาครับ เจ้านายบอกให้คุณหนูไปนั่งที่โต๊ะแล้วคอยยิ้มพูดคุยกับคที่มาพูดด้วยแค่นั้นก็พอครับ”บอดี้การ์ดชุดน้ำเอ่ย
“ถึงไม่บอก ฉันก็ทำแค่นั้นอยู่แล้ว”แซฟไฟร์กรอกตาไปมา “ขอบใจมาก ถ้าทำให้ฝากบอกพ่อด้วยเร็วๆ ฉันไม่อยากกลับดึก”
“ครับคุณหนู”
...ก็คงเลทอีกตามเคย
กับลูกค้าน่ะไม่เคยไปสาย! ไปก่อนเวลาเรื่อย แต่ทีกับ ลูกขา~ เนี่ย ทำไมไม่รู้จักรักษาเวลาบ้างวะ!
สาวน้อยหย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะ VIP ตัวในสุดของฮอล แล้วเหลือบไปเห็นแก้วน้ำส้มที่บริกรหนุ่มกำลังเสิร์ฟอยู่จึงกวักมือเรียกแล้วหยิบมาแก้วหนึ่งจิบไปพลางๆ
และในขณะที่เอกำลังปลกวิเวกอย่างมีความสุขอยู่ในโลกของเธอนั้น...
“สวัสดีครับ”เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูไม่คุ้นเอ่ยทัก...เธอหันควับไปมองคนพูและสำรวจอยู่ครู่...
เขาเป็นชายวัยกลางคน อายุน่าจะราวๆ รุ่นพ่อเธอ...ท่าทางเหมือนอาเสี่ยขี้เมากับพุงโย้ๆ ที่ห้อยลงมาจากเข้มขัดนั่นทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอนใจบอกไม่ถูก แซฟไฟร์เม้มปากเล็กน้อยแล้วหลุบสายตาลงต่ำไม่สบด้วย
“ส...สวัสดีค่ะ”เธอเอ่ยรับเบาๆ
“หนูคงเป็นลูกสาวคุณวรภพ แซบ...อะไรนะ”ชายตรงหน้าทำหน้าครุ่นคิด แซฟไฟร์คิ้วกระตุก
“แซฟไฟร์ค่ะ”เธอเอ่ยพลางยิ้มอย่างเสแสร้ง
“ลุงเคยเจอหนูตอนที่ยังตัวเล็กๆ เผลอไม่ทันไรโตเป็นสาวแล้ว สวยเชียวนะ...เราเนี่ย...”คนตรงหน้ามองเธออย่างสำรวจ มันเป็นการกระทำที่น่าขยะแขยงที่สุด โดยเฉพาะถ้คนที่ทำหน้าตาดีไม่พอแล้วล่ะก็!
“อะ...แหะๆ ขอบคุณค่ะ”อนนี้เธอเริ่มนึกเปรียบเทียคนตรงหน้ากับสัตว์ต่างๆ และสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่นึกได้ตอนนี้ก็คือ...อึ่งอ่าง! อีตาลุงอึ่งอ่างน่าขยะแขยง! เธอเกลียดงานสังคม! โดยเฉพาะงานแบบนี้! เพราะมันเป็นแหล่งศุนย์รวมพวกอีตาลุงหื่นกามที่วันๆ ไม่ทำอะไรใช้แต่เงินซื้อผู้หญิง แล้วในบรรดาไฮซในสังคมที่หุ้นส่วนกับบริษัทพ่อก็มีแต่คนพวกนี้ เธอเกลียดที่สุด!! “เดี๋ยว...หนูไปหาเครื่องดื่มก่อนนะคะ คอแห้งจัง”
แซฟไฟร์เอ่ยพลางยิ้มให้เขาแล้วลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะเดินจากไป โดยแกล้งทำเป็นลืมคิดไปว่าบนโต๊ะเธอมีน้ำส้มอยู่แล้ว...
เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างทรมาณ...เธอรู้สึกเหมือนตัวคนเดียวในห้องนี้ แม้ว่าความจริงจะมีผู้คนมากมายเข้ามาวุ่นวายกับเธอตลอดเวลา แต่ที่เธอรู้สึกเช่นนั้นเพราะทุกคนในห้องนี้เหมือนสัตว์คนละชนิดกับเธอ...คำถามเดิมๆ ท่าทางเดิมๆ เธอสงสัยจังว่าถ้าเธอไม่ได้มาที่นี่ในฐานะของลูกสาวเจ้าภาพ...ใครๆ จะอยากเข้ามาตีสนิทเธอแบบนี้อีกไหม
สาวน้อยถอนหายใจออกมยาวๆ แล้วมองเงาสีน้ำเงินของต่างหูทีสะท้อนกับไวน์ในแก้วที่ยังไม่ถูกดื่มของเธอ...
...รู้งี้ให้อีตานั่นมาด้วยก็ดี...
เธอนึกไปถึงคนที่ป่านนี้คงกำลังนั่งเฉาอยู่ในรถไม่ต่างจากเธอ อย่างน้อยหมอนั่นก็คงเข้าใจเธอและหาอะไรให้เธอทำแก้เซงได้เหมือนทุกครั้ง...
ในขณะที่เธอกำลังคิดอะไร เพลินๆ อยู่นั้น...
“คุณแซฟไฟร์...”เสียงทุ้ต่ำรอบที่ร้อยของวัน...สาวน้อยแทบจะหัวทิ่มลงไปกับเธอ...เธออยากจะอยู่คนเดียวให้ได้เกินซัก...ห้านาทีจักได้ไหมนะ...? แซฟไฟร์หายในเขาไปเต็มปอดแล้วผ่อนออกมาแรงๆ ปั้นหน้ายิ้มหวานแล้วหันไป
“ค่ะ^ ^”คนตัวเล็กแทบจะหงายเงิบเมื่อหันมาเจอคนเรียกที่มีคาร์แรกเตอร์แปลกแหวกแนวผิดคาด...สิ่งที่แรกที่เธอหันมาเห็นคือแว่นตาหนาเตอที่ห้อยอยู่บนจมูก และกองกระจุกผมดกหนาที่ฟูงฟ่องยุ่งเหยิงเหมือนมไม่เคยถูกหวีมาก่อนตั้งแต่มันหลุดพ้นหนังหัวออกมา...
คนตรงหน้าแบมือมาทางเธอ เธอมองมือคู่นั้นอย่างงงๆ และได้แต่หวังว่ามันคงจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด...
“ไม่ทราบว่า...สุภาพสตรีคนงามอย่างคุณ...จะให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับ...”
พรืด!!
...กรี๊ดดดด ไอ้หัวรังนก! แกยังจะมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอ! แก! แกมัน!!!
เสียงในใจของเธอกับเส้นอารมณ์ที่กำลังปะทุถูกแอบซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอ่อนหวานสุภาพน่ารัก หมอนี่มายืนอยู่ที่นี่ก็แปลว่าคงเป็นลูกคนใหญ่คนโตสักคน...แล้วถ้าเธอเผลอทำอะไรไม่ดีกับมันไปแล้ววิ่งไปฟ้องป่ะป๊าหม่าม๊า...เดี๋ยวก็คงถึงหูพ่อ แล้วงานก็เข้าเธออีก!
บวกลบคูณหารคำนวณอยู่ในใจ แล้วก็ได้คำตอบว่า...วีนไปคงไม่คุ้ม มือบอกบางก็วางลงบนมือของอีกฝ่ายเบาๆ(อย่างรังเกียจ)
“ยินดีค่ะ”
...อย่างน้อยในห้องน้ำมันคงมีเจลล้างมือล่ะวะ!
หมอนั่นพาเธอมาที่ฟลอร์เต้นตำที่มีแต่ผู้ใหญ่...คุยเรื่องรางวัลต่างๆ สาขาฟิสิกส์ที่ตนเคยได้รับ เรื่องที่ตัวเองเป็นลูกเจ้าของห้างดัง รวมทั้งเรื่องที่ได้จับมือกับประานนาธิบดีสหรัฐ...มีแต่เรื่องของตัวเองทั้งนั้น เธอไม่คิดอากรู้อะไรก็ตามที่อีตาแว่นโตนี่พยายามบอก...ณ จุดที่เธอกำลังหัวเสีย และไม่อยู่ในสภาวะรับฟังแบบนี้แล้วมีคนพยายามยัดเยียดอะไรให้เธอ จุดจบมีแค่สองแบบคือ ถ้าเธอไม่อ้วกใส่ เธอก็ระเบิด!
“แล้ววันนั้นนะครับ ผมเดินลงมาหาป๊ะป๋าแล้วบ่นลอยๆ ว่าอยากได้นาฬิกาCasioรุ่นที่มีขายที่ปารีส ราคาเจ็ดแสน...ผมไม่ได้ขออะไรเลยนะครับ แต่ตอนเย็นพอผมกลับจากฟิตเนส...มันก็วางอยู่บนโต๊ะ ท่านน่ารักมาใช่ไหมครับ”คนตรงหน้าเอ่ยพลางหัวเราะผู่ดีน่าหมั่นไส้ สเตปการลีลาศวนซ้ำไปซ้ำมาอยุ่ไม่กี่ท่าจนเธอเริ่มเอียน
“ค...ค่ะ ฟังดูเงินเหลือนะคะ”แซฟไฟรืลอบกัดเบาๆ
“อ๊ะ! ว่าไปแล้ว ต่างหูของคุณแซฟไร์สวยจังนะครับ อ๊า! คงจะเป็นแซฟไฟร์สินะครับ ให้เข้ากับชื่อของคุณเลยแต่งตัวมาสไตล์นี้ เก๋มากเลยครับ! อย่างคุณเนี่ย...คงจะไม่สวมของปลอมอยู่แล้วสินะครับ ซื้อมาราคาเท่าไหร่เหรอครับ...?”นี่เป็นครั้งแรกที่อีตาบ้านี่พูดเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องของตัวเอง กระนั้นแล้วมันกลับทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่าเรื่องที่ผ่านมาร้อยเท่า
เส้นอารมณ์ขาดผึ่ง!
สาวน้อยหยุดนิ่งไม่ไหวติง ทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น...แซฟไฟร์เงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย...
“ต่างหูขอ.ฉันมักน็แค่หินสีฟ้าที่เรืองแสงเหมือนแซฟไฟรืเท่านั้นแหละค่ะ”เธอปล่อยมือจากบ่าของเขาแล้วสะบัดมือซ้ายทีถูกจับออก “สำหรับดิฉัน...คุณค่าของของบางอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาหรือวัตถุดิบว่มันเทียมหรือแท้ แต่มันอยู่ที่ว่าได้มาด้วยเจตนาอย่างไร หรือ...ใครเป็นคนให้”เด็กสาวใช้นิ้วชี้เกี่ยวผมที่ปรงหน้าไปทัดกับหูสองข้างให้เห็นต่างหูได้อย่างชัดเจน “คนอย่างคุณคงไม่เข้าใจหรอกค่ะ พูดไปก็เสียเวลา ดิฉันขอตัวนะคะ”
เธอเดินเชิดหน้าออกไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งคู่เต้นให้ยืนเกาหัวงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่เก้า
...ฉันไม่ทนแล้ว!!...
‘Will you done done me bet I felt it…’เสียงริงโทนมือถือเพลงI’m Yours ของ Jason Mraz ดังขึ้นเรียกให้ร่างสูงที่กำลังเอนเบาะอ่านหนังสืออยู่ สะดุ้ง แล้วรีบหยิบมันขึ้นมา
“ครับ?”เขาตอบรับไป...
[ออกมารับฉันหน้าโรงแรมเดี๋ยวนี้! ตอนนี้เลย!]เสียงตะโกนแห่งความหงุดหงิด บอกชี้ชัดเลยว่าคุรหนูของเขาปรี๊ดแตกแล้ว...งานนี้สงสัยจังว่าเจ้าตัวโดนคุณวรภพทำอะไรมาอีก
“คุณพ่อคุณหนูมาแล้วเหรอครับ?”เขาถามไป
[ยัง! แต่ไม่สนแล้ว ฉันจะกลับ!]น้ำเสียงนั้นฟังดูอารมณ์เสียสุดๆ โดเรมีเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบรับไปอย่างงงๆ
“โอเคครับ...”
=============================
To be continue
บทนี้ยาวหน่อยน๊าาา555 จัดหนักกันตั้งแต่บทแรกเลย
อย่าเพิ่งเหนื่อยกันล๊ะะะ
แล้วอย่าลืมติดตามกันด้วยนะค๊า^ ^
ความคิดเห็น