คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
สวัสดีครับ ผมโดเรมีนะครับ หา? ว่าไงนะ? ม...ไม่เชื่อเหรอ? ไม่เอาน่า นี่ผมพูดจริง...หืม? อะไรนะ? ‘โลกนี้ไม่มีผู้ชายที่ไหนชื่อโดเรมีหรอก’ เหรอ? แหม...มันอาจจะมีก็ได้นะ เอาล่ะๆ ถ้าสงสัยกันนักล่ะก็...ผมจะย้อนอดีตไปเล่าถึงที่มาขอชื่อนี้ให้ฟังก็แล้วกัน
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่โบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศเยอรมัน ตอนนั้นอายุน่าจะสักประมาณสิบขวบได้ โบสถ์นั้นคือโบสถ์ใหญ่ที่เป็นโรงเรียนประจำของเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กเอเชียคนเดียวที่นั่นซึ่งก็มไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เล่าย้อนถึงเรื่องก่อนหน้านั้นไปอีกสองปี...ตอนที่ผมเพิ่งย้ายจากบ้านเด็กกำพร้าที่เก่าไปอยู่ที่นั่น เนื่องจากบ้านแห่งแรกที่ผมโตมาเป็นบ้านเด็กกำพร้าเอกชนและบริหารโดยคนอเมริกา ผมจึงมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ หลังจากที่นั่นล้มละลายและเด็กๆ ทุกคนต้องแยกย้ายกันไปอยู่สถานของรัฐบาล ผมย้ายมาอยู่ที่โบสถ์นี้แบงงๆ และด้วยเหตุนั้น จึงเป็นสาเหตุที่นอกจากผมจะไม่ได้เป็นเด็กผมทองตาฟ้าเหมือนคนอื่นๆ เค้าล้ว ผมยังมีสกิลการพูด อ่าน เขียน เยอรมันที่ติดลบอีกต่างหาก...จึงไม่แปลกเลยที่เพื่อนๆ ทุกคนจะอยากพูดคุยกับผมถึงขนาดต้องเดินหนีทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้...
ระยะเวลาสองปีมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากเรื่องการสื่อสาร...บวกกับการที่ผมชอบคลุกคลีกับผู้ใหญ่อย่างหลวงพ่อหรือซิสเตอร์...มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน ทำให้ผมไม่เคยคิดมากเรื่องไม่มีคนคบ...ผมเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสแข็งแรงสมบูรณ์ เหมือนเด็กปกตินั่นแหละครับ...งานอดิเรกที่ชอบก็คืออ่านหนังสือ
หลายคนชอบคิดว่าเด็กกำพร้าคือพวกเด็กมีปมด้อย...? ผมล่ะคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองหรือใครสักคนที่นี่เป็นอย่างที่ว่าเลย ที่อื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับเราแล้ว...ชีวิตก็มีความสุขดี ถึงเวลาเรียนก็ไปเรียน ถึงเวลางานก็ไปทำงาน(ล้างห้องน้ำ ปัดฝุ่นกางเขน กวาดลานกว้าง หรืออะไรเทือกๆ นั้นน่ะครับ) เวลากินก็กน และเวลานอนก็นอน แถมมีหนังสือบริจาคและเงินช่วยจากรัฐเข้ามาเรื่อยๆ วันๆ มีอะไรให้ทำตั้งมาก...
แน่นอน...อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่าผมเป็นเด็กร่างเริงเหมือนเด็กทั่วไป แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือ...ผมไม่เคยคิดเรื่องถูกรับไปเลี้ยงหรืออะไรทำนองนั้นเหมือนคนอื่นๆ ผมรักที่นี่...พลวงพ่อ ซิสเตอร์ และอาสาสมัครทุกคนเป็นเหมือนผู้ปกครองของผม เพราะงั้น สำหรับผมแล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยกับการที่จะต้องไปอยู่ที่อื่น ถึงมันจะสบายขึ้นก็ตาม...
แต่ก็นั่นแหละ...เขาว่ากันว่า ความปรารถนามันจะไม่วิ่งตามไปหาคนที่ร้องขอ แต่มันจะลอยไปหาคนที่ไม่ต้องการแทน...ผมเคยทำเป็นไม่สนใจปรัชญาข้อนี้ เพราะมันก็แค่คำพูดสวยหรูของนักกวีคนหนึ่งที่อาจจะผิดหวังกับชีวิต ซึ่งก็น่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง...มันก็เกิดขึ้นกับตัวผมเอง...
ห้องเก็บหนังสือชั้นสอง โบสถ์ เซ้นท์ ปีเตอร์ แอนด์ เวลา 17.30 น.
เด็กๆ ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาที่นี่กับเท่าไหร่ เพราะตำราส่วนใหญ่ที่ได้รับบริจาคมาเขียนด้วยภาษาอังกฤษ และนอกจากนนั้นนี่ก็เป็นเวลาของการเล่นสนุกก่อนที่จะต้องไปรับประทานมื้อเย็น สวดภาวนา และเข้านอน...ไม่มีใครอยากทำอะไรน่าเบื่ออย่างนั่งจมกงอหนังสืออยู่ในห้องที่ก็มีแต่หนังสืออย่างที่นี่ กระนั้นแล้ว ก็ยังมีคนอย่างผมที่มีที่นี่เป็นฐานทัพลับ ชนิดที่ว่า ถ้าแม่ชีกำลังตามหาผม ก็ให้มาที่นี่เป็นแห่งแรก...
แอ๊ด...
เสียงเอี๊ยดจากของประตูม้เก่าๆ ดังมาจากชั้นล่าง ผมมองลอดผ่านราวบันไดลงไปเพื่อสำรวจหาว่าใครมา ก็พบกับหลวงพ่อที่เป็นเจ้าของที่นี่เดินเข้ามาอย่างนุ่มนวลในชุดาทหลวงสีขาวลายทองเหมือนทุกครั้ง และมองขึ้นมาทางนี้
“อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย...ยอร์แซฟ”หลวงพ่อยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเรียกชื่อผม...ที่นี่เราทุกคนแทนชื่อตัวเองด้วยชื่อนักบุญ อย่าเพิ่งถามถึงชื่อโดเรมีสิ ยังเล่าไม่ถึงเลย! กลับมาเรื่องเดิม...ผมคุ่นหนังสือแล้วเอาวางไว้แถวนั้น ก่อนจะลุกจากโต๊ะไม้และวิ่งลงไปหาท่าน
“คุณพ่อหาผมเหรอครับ”ผมพูดภาษาอังกฤษตอบกลับไป หลวงพ่อเป็นคนเดียวที่นี่ที่ผมพูดภาษาอังกฤษด้วย เพราะท่านบอกว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของผมออกเสียงได้ไพเราะมาก...แน่นอนว่าด้วยวัยในตอนนั้น มันไม่ยากเลยที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งดีใจและยินดีจะทำสิ่งๆ หนึ่ง เพียงเพราะมีคนที่เขาเคารพรักมาบอกว่า ‘เขาชอบมัน’
“ไม่ถึงกับหาหรอก...พ่อรู้ว่าลูกอยู่นี่”หลวงพ่อพูดยิ้มๆ พลางเดินไปที่โซฟาตัวยาวในห้องนั้นแล้วนั่งลง... “มานั่นกับพ่อนี่สิ พ่อมีเรื่องต้องบอกลูก”
รถเบ้นซ์ทรงยาวสีดำแล่นมาจอดตรงหน้าโบสถ์ใหญ่แห่งรัฐเบอร์ลิน ตามด้วยร่างของคนขับในชุดสูทสีดำกับแว่นตากันแดดที่ก้าวลงมาจารถ พร้อมกับผู้โดยสารในเบาะหังที่มีคาร์แรกเตอร์แบบเดียวกันอีกสองคน ลงตามกันมา นี่ถ้าไม่บอกกันคงจะมีคนแถวนั้นคิดว่าพวกเขากำลังถ่ายทำหนังเรื่อง ‘เดอะแมทริก’ กันอยู่เป็นแน่
หนึ่งในสามชายชุดดำเดินไปเปิดประตูให้ร่างท่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งข้างคนขับ...เขาเป้นชายวัยกลางคนในชุดสูททางการสีเทาดูเป็นนักธุรกิจ รูปร่างหน้าตาแบบคนเอเชียผิเหลือง เขาถอดสูทตัวนอกส่งให้ชายชุดดำที่เปิดประตูให้เขา แล้วแหวนหน้ามองวิหารศาสนาตรงหน้าอย่างพิจารณา
“ที่นี่เรอะ?”เขาเอ่ยเรียบๆ
“ครับท่าน”หนึ่งในชายชุดดำเอ่ย “เราส่งคนมาติดต่อเรื่องเด็กกับบาทหลวงที่นี่แล้ว ท่านสามารถรับเขาไปได้เลย”
“นำทางไป”คำสั่งเด็ดขาดจากผู้เป็นนายเรียกให้ชายผู้เป้นคนขับรถเดินนำไปข้างหน้า และอีกสองคนเดินตามหลัง
ประตูเบสถ์เปิดออก...สิ่งแรกที่เห็นคือรูปสลักไม้พระเยซูถูกตรึงกางเขนขนาดใหญ่เกือบถึงเพดานโดมที่ทำด้วยแก้วของที่นี่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางส่วนในสุดของโบสต์ รอบด้านเป็นดอกไม้ รูปปั้น และภาพประดับมากมาย ถัดมาด้านหน้าเป็นแท่นโอวาทและเก้าอี้ยาวสำหรับผู้มาเข้าพิธีเรียงกับเป้นแถว...บางทีอาจเป็นเพราะปฏิมากรรมสวยงามของที่นี่ดึงดูใจมากจนไม่มีใครสังเกตเห็นร่างบอบบางของเณรี*ที่กำลังนั่งคุกเขาสวดภาวนาอยู่หน้ากางเขน...
เธอค่อยๆ รวบกระโปรงและยืนขึ้นช้าๆ เมื่อรู้ตัวว่าที่นี่มีแขก และเมื่อเหลือบมาเห็นสี่ร่างผู้มาเยือนใหม่...เธอก็วิ่งหายเข้าไปในห้องข้างๆ นั้น ไม่นานนัก...
ประตูบ้านเดียวกันเปิดออก ตามมาด้วยร่างของบาทหลวงเจ้าของที่นี่ เดินออกมา ใบหน้านั้นดูอ่อนโยนตลอดเวลา นำมาซ่งความอบอุ่นในใจอย่างหน้าประหลาด เขาเดินอย่างเชื่องช้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าท่นโอวาท
“กำลังคอยอยู่เลย”ชายชราเอ่ย...เสียงของเขาสะท้อนกลับมาจากโดมแก้ว
“บาทหลวงปีเตอรืแอนด์”ชายหนุ่มเอ่ยพลางยื่นไปจับเพื่อทักทาย “ผมมารับเด็ก”
“พ่อทราบแล้ว...”บาทหลวงเอ่ยอย่างนุ่มน้อย “ทีแรกพ่อคิดว่าคุณจะส่งคนมารับเขา เหมือนตอนที่คุณให้คนของคุณมาติดต่อ...เห็นมารับด้ยตัวเองแบบนี้น่าดีใจจริงๆ”
“เขาอยู่ไหนครับ”เศรษฐีหนุ่มเอ่ยถาม บาทหลวงยิ้มเบาบาง
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก คุณวงภพ แกกำลังมา...พ่อเพิ่งคุยกับแกเมื่อวาน แกยินดีจะไปกับคุณ”
“ก็แหงล่ะ...เด็กกำพร้าที่ไหนไม่ดีใจเวลามีคนมารับไปเลี้ยง”
“พ่อว่า...แกไม่ได้ดีใจเรื่องนั้นหรอก”บาทหลวงวัยชราเอ่ยเป็นนัยน์ ใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มของเขาทำให้ดวงตาที่ดูเหมือนจะปิดอยู่ตลอดเวลาโตขึ้นมานิดหนึ่ง “เด็กทุกคนเลือกไป...ไม่ใช่เด็กที่หาได้ง่ายๆ ตามท้องถนน ช่วยดูแลเขาให้ดีๆ อย่าให้แพ้พ่อแล้วกัน”เขาพูดด้วยท่าทางที่ต่างไปจากเดิม ไม่ทันขาดคำ...ประตูหลังโบสถ์ก็เปิดออก เรียกความสนใจของคนในห้องให้หันไปมอง...
ร่างเล็กๆ ในชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงขาสามส่วนสีออกน้ำตาล พร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างที่บรรจุของส่วนตัวอันน้อยนิด เขาค่อยๆ เดินเข้ามาในโบสถ์เงียบๆ แล้วหันไปเหลือบมองชายแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าแวบหนึ่ง แล้ววิ่งมาหาบาทหลวง
“ขอโทษครับ ผมสาย”เด็กน้อยพูดออกมาเป็นภาษาเยอรมัน เพราะคิดว่าคนแปลกหน้ากลุ่มนี้อาจพูดเยอรมันก็ได้...
“ไม่เป็นไร”ชายชรายกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ “นี่ยอร์แซฟ...ที่นี่เราาเรียกชื่อเด็กๆ ด้วยชื่อนักบุญครับ”บาทหลวงเอ่ยแนะนำเป็นภาษาอังกฤษ เด็กน้อยโค้งทักทายอย่างสุภาพ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ดูไม่เหมือนนที่กำลังตื่นเต้นดีใจเท่าไหร่นัก “ยอร์แซฟ นี่...คุณรภาพ พ่อบุญธรรมของลูก”
สองคนที่เพิ่งจะรู้จักกันมองหน้ากันอยู่ครู่ ก่อนที่ผู้อวุโสกว่าจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
“หวัดดี”เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองไม่เห็นสีหน้าอ่อนโยนรักเด็ก อย่างที่เขาเคยคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่มีอยู่ในตัวคนที่จะมาอุปถัมใครไปเลี้ยง
“หวัดดีฮะ”เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยชื่อนั้น เพราะฟังดูไม่ใช่ทั้งอังกฤษและเยอรมัน แน่นอน...มันออกเสียงได้ยากเหลือเกิน
“เธอไม่ใช่คนยุโรปนี่ ผมต้องการเด็กพูดอังกฤษได้ หวังว่าคุณคงไม่ได้ลืม...”เศรษฐีหนุ่มหันไปถามกับบาทหลวง...แต่ยังถามไม่ทันจบดี
“ผมพูดอังกฤษครับ”เด็กน้อยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาคนขี้สงสัยถึงบางอ้อ “เออ...เยอรมันก็ด้วย...”
เศรษฐีหนุ่มก้มมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา...
“งั้นดีแล้ว”เขาเอ่ยพลางค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยองๆ ให้อยู่ในระดับสายตาของเด็กน้อย “ชื่อยอร์แซฟสินะ”
“ครับ”
“ฉันจะรับเธอไปอยู่ด้วย ให้การศึกษา ให้ชีวิตที่ดีกว่านี้ เธอคิดว่าไง?”เขาถามออกไปตรงๆ หวังลองเชิงนิเสียของเด็กคนนี้
“เงินที่คุณจ่ายให้ที่นี่เพื่อซื้อผม สามารถะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกเยอะ ผมซาบซึ้งใจมากครับ”เขาตอบกลับทันทีราวกับไม่ต้องคิด เป็นคำตอบที่ผิดคาดเสียจนน่าตกใจ ถ้าบอกว่านี่คือคำพูดของเด็กกำพร้าที่เขากำลังจะรับไปเลี้ยงก็ปั่นป่วนประสาทจะแย่อยู่แล้ว นี่กับวัยเพียงแค่สิบขวบ?
วรภพเหยียดยิ้มมุมปากแล้วหลุดหัวเราะออกมา
“เธอดูเป็นคนมีสมองดีนี่...ดี! งั้นพูดตามหลังของธุรกิจ เราก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน มาเจรจากันต่อ...”วรภพเอ่ยพลางยิ้มอย่างพอใจ “ฉันคิว่าภาษาอังกฤษของเธอดีมาก...แต่ฉันเป็นคนไทย”เขาเอื้อมมือไปตบบ่าเด็กน้อยแล้วยืนขึ้น “พรุ่งนี้...ฉันจะกลับไปทำงานที่อเมริกา และอีกสามเดือนจะกลับบ้านไปหาลูกสาวที่ไทย ในระหว่างน้น ฉันมีครูสอนภาษาไทยให้เธอ”เขามองไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยนั้นแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าเธอสามารถพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้ภายในสามเดือน ฉันจะจ่ายเงินสนับสนุนที่นี่ทุกๆ ปี แบบนั้นเข้าท่าไหม?”
เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ แล้วทำสีหน้าครุ่นคิไปครู่...ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาไปบาทหลวงของเขาอย่างขอความเห็น แต่คำตอบที่ได้มาก็มีแค่รอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้บอกอะไรเลย...สรุปว่าเขาก็ต้องตัดสินใจเองอยู่ดี
เมื่อคิดออกแล้วรอยยิ้มเบาบางก็ผุดพลายขึ้นที่มุมปาก เด็กน้อยเงยหน้าไปสบตากับผู้อุปถัมของเขา
“ตกลงฮะ”
หลังจากพูดคุยกันไปได้พอสมควร เนื่องจากเวลาที่มีจำกัดของเศรษฐีหนุ่ม เขาจึงต้องรีบออกจากที่นั่นเพื่อพาเด็กในอุปถัมของเขาไปจัดการเรื่องเอสารทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางพรุ่งนี้ และตลอดทางเขาก็คิดแต่เรื่องของเด็กนี่ตลอด
และระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น...
“นี่คุณ...วอรอโพบครับ”เสียงเล็กๆ ากเบาะหลังเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ ด้วยน้ำเนียงออกเสียงประหลาดๆ เขาจึงไม่ค่อยแน่ใจว่านั่นใช่ชื่อเขาหรือเปล่า
“หืม...ต้องพูดว่า ‘วรภพ’”เขาเอ่ยเน้นคำฉะฉาน “มีอะไร?”
“ผมต้องเรียกคุณว่าพ่อด้วยหรือเปล่า”เด็กน้อยถาม...เป็นคำถามที่ย้ำเตือนให้เขานึกขึ้นได้ เขาลืมอธิบายเรื่องสถานะให้เด็กนี่ฟัง
“ความจริง...ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก เพราะผู้ปกครองจริงๆ ของเธอหลังจากนี้ก็ไม่ใช่ฉํน แต่ถ้าเธออยากจะเรียกฉันก็ไม่ขัด จะเรียกไหมล่ะ?”เขาหันไปถาม
“งั้นไม่ล่ะครับ”ตอบกลับมารวดเร็วฉะฉานอย่างไม่น่าเชื่อ หรือเพราะเด็กนี่มีความเด็กขาดหนักแน่นไม่เหมือนใครแบบนี้หรือเปล่า? เขาถึงได้ถูกชะตากับมันนัก “งั้นถามอีกอย่าง...คุณบอกว่าคุณไม่ได้เป็นผู้ปกครองผม งั้น...คุณซื้อผมให้ใครครับ?”
“อ้อ...”วรภพเอ็ดขึ้น “ถามก็ดี...ฉันจะอธิบายหน้าที่ของเธอหลังจากนี้ให้ฟังแล้วกัน”
ชายหนุ่มพูดแล้วกดปุ่มบางอย่างตรงข้างเบาะที่นั่งของตน ทันใดนั้นที่นั่งของของเขาก็หมุนกลับหลังหันมาอีกด้านอย่างอัตโนมัต...นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กนอ้ยได้เห็นอะไรแบบนี้ เป็นธรรมดาที่จะตื่นเต้นชอบใจ
“ว้าว!”เขาอุทาน
“ชอบไมล่ะ นี่...สั่งทำพิเศษเลยนะ”เศรษฐฐีหนุ่มยักคิ้ว
“ชอบฮะ แต่ฟังดูฟุ่มเฟือย”คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาคนฟังทบจะหัวเราะก๊าก เมื่อเด็กน้อยรู้ว่าคำพูดของเขาเรียกความขบขันให้ชายตรงหน้าเขาจึงหัวเราะบ้าง
“เธอนี่...น่าจะบริหารเงินเก่งนะ”วรภพยังไม่หยุดขำ เขาถูกใจเด็กนี่เหลือเกิน “ก่อนจะบอกอะไรฉันขอถามเธอหน่อย...”เอาตั้งศอกกับหัวเขา แล้วมองใบหน้าของเด็กชายที่ยักใหล่ให้เขาราวกับจะบอกว่า ‘ตามสบายครับ’ “ไม่อึดอัดใจบ้างเหรอ ที่ต้องไปอยู่กับคนที่ไม่รู้จักแบบนี้”เป็นคำถามที่เขาอยากรู้จริงๆ เด็กนี่ไม่มีแววจะขี้อาย หรือประหม่ากับคนที่เพิ่งรู้จักเลย มิหนำซ้ำยังทำตัวเป็นธรรมชาติเสียจนเขาเกือบคิดว่าอาจเคยรู้จักมันมาก่อนหน้านี้...
“ก็...ตอนแรกก็อึดอัดใจบ้างฮะ แต่ผมน่ะอยู่ที่ไหนก็ได้ทังนั้นแหละ”เด็กชายพูดเนิบๆ “คุณพ่อบอกว่าว่างๆ ให้เขียนจดหมายมา แล้วท่านยังบอกอีกว่าคุณเป็นเจ้าของแบรนโทรศัพท์มือถือชื่อดัง เป็นเศรษฐีรายใหญ่ มีธุรกิจย่อยอื่นๆ อีกเยอะแยะ ก็ฟังดูดีออกนี่ฮะ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดเรื่องจะมีใครมาอุปถัมก็จริง แต่จะให้ไปอยู่ที่อื่นผมก็ไม่ขัดข้อง แถม...ได้เรียนหนังสือ แล้วคุณก็ต้องบริจาคให้โบสถ์ด้วย ไม่มีอะไรต้องเสียนี่ฮะ...?”
...ไอ้เด็กเวรนี่...
...เป็นเด็กอุปถัมของเขาแท้ๆ แต่ฟังมันพูดเข้า เหมือนกับว่าเขาโดนมันหลอกเอาผลประโยชน์ยังไงอย่างงั้น...
“นี่แกโตเกินวัยไปหน่อยไหมเนี่ย...”ชายหนุมพูดติดตลก “เอล่ะ ไม่อึดอัดก็ดี ฉันอยากจะแน่ใจว่าเธอจะทำหน้าที่ที่ฉันจะมอบหมายให้จากนี้ให้ดีที่สุด แลกเปลี่ยนกับทุกอย่าที่ฉันจะให้เธอหลังจากนี้ เราอยู่กันอย่างเท่าเทียม เธอให้ฉัน ฉันก็ให้เธอ แบบนี้แฟร์ดีใช่ไหม”
“ครับผม”เด็กน้อยขานรับ “อยากได้อะไรฮะ”
“อย่างแรกก็ภาษา...สามเดือนหลังจากนี้ก็ขลุกอยู่ที่บริษัทกับฉัน หมกมุ่นเรียนภาษาไทยทุกวันๆ ฉันว่าอย่างเธอคงได้อย่างน้อยก็ฟังกับพูด เรื่อยสำเนียงคงฝึกกันได้”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะฮะ”
“ฉันจะกลับไปหาลูกสาว...”เขาเอ่ยแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เพราะฉันงานยุ่งมาก นานๆ จะได้กลับไปเยี่ยมลูก ฉันก็เยต้องมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง...ซึ่งนั่นก็คือ...”วรภพเปรยตาไปมองเด็กชายแล้วชี้นิ้วไปที่เขา เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง
“ผม?”
“ถูกต้อง”ชายหนุ่มเอ่ยเน้นย้ำ คนเป็นของฝากกระพริบตาปริบๆ แล้วนึกย้อนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เขาเพิ่งลืมตาดูโลกมาแค่สิบปีกว่าๆ ก็จริง แต่ตลอดระยะเวลานั้นเขาน่ใจว่าไม่เคยได้ยินเรื่องธรรมเนียมพิลึกกึกกืออย่างซื้อคนเป็นฝากให้ลูกแน่ๆ
...เอ้อ...ดีเว้ย...จากเด็กกำพร้ามาเป็นของฝาก...
เด็กหนุ่มคิดอย่างขำๆ
“ยัยเด็กนั่นน่ะเอาใจยาก ซื้อของธรรมดาไปให้เดี๋ยวก็งอนป่องๆ ฉันไม่ถนัดเอาใจเด็กๆ เสียด้วย”ชายหนุ่มยักใหล่เล็กน้อย “ขืนยังปล่อยให้อยู่คนเดียวบบนี้ เหงาเมื่อไหร่คงหยิบโทรศัพท์ขึ้นาโทรหาฉัน ไม่เป็นอันทำงาน”
“แล้วผม...ในฐานะของฝากต้องทำตัวยังไงฮะ”
“อ้อ...ไม่ยากหรอก ก็แค่...”วรภพทำสีหน้าครุ่งคิดไปครู่ “ทำตามคำสั่งของเธอทุกอย่าง...”
“ทุกอย่างเหรอฮะ?”
“ใช่...?ุกอย่าง”รอยยิ้มที่บอกความหมายไม่ได้ถูกส่งมาให้เขา เด็กน้อยเลิกคิ้วเล็กน้อย “ชีวิตของเธอหลังจากนี้ เริ่มต้นภายใต้คำสั่งของลูกสาวฉัน เธอต้องปกป้อง รับใช้ ดูแล และทำตามทุกอย่างที่เอต้องการ แม้แต่ชื่อ เธอก็จะตั้งให้ใหม่...เข้าใจไหม?”
“ข...เข้าใจ...(ก็ได้)ครับ...”
ผมตบปากรับคำออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร...และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด...เรื่องราวที่จะเปลี่ยนชีวิตของผมชนิดที่ว่าแทบจะกลายเป็นคนอีกคน...ณ วินาทีนั้น...ผมคิดว่าสาวน้อยที่ผมจะได้เจอในเร็วๆ นี้...คงจะเป็นเด็กผู้หญิงอ่อนแอน่ารัก ที่ต้องการการปกป้องดูแล...ต้องยอมรับว่าภาพในจินตนาการนั้นทำให้ผมตื่นเต้นที่จะได้เจอเธอไม่น้อย...อีกสามเดือนเท่านั้น รอหน่อยนะ องค์หญิงน้อยของผม...
บ้านศรีหราชเดโชชัย จ.กรุงเทพ ประเทศไทย
“ดาว! เมื่อไหร่คุณพ่อจะมาสักทีคะ”เสียงแหมปรี๊ดของสาวน้อยในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีชมพู ผมตรงสีดำเงางามถูกถักเป็นเปียเดียวแฉลบข้าง และติโดบว์สวยงาม เธอสวมถุงเท้ามีลูกไม้และรองเท้าคัดชูสำหรับเด็กเข้าชุด ดวงตากลมโตสีกาแฟแก่คู่สวยฉายแววหงุดหงิดขัดใจเล็กน้อยภายใต้แพขนตางอนยาวดูน่ารัก
“คุณท่านออกจากสนามบินมาได้สักพักแล้วค่ะคุณหนู อีกสักพักคงถึง...”
“ก็พูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว! หนูไม่อยากรอแล้วนะคะ ทำไมคุณพ่อไม่เคยตรงเวลากับหนูเลย...”
“รถอาจจะติดก็ได้นะคะ ถ้าคุณหนูอยากเจอคุณท่าน ก็ต้องอดทนนะคะ มามะคนดี ทำหน้ามุ่ยแบบนี้ คุณท่านกลับมาเห็นก็งานกร่อยหมอสิคะ”ดุจดาว หัวหน้าแม่บ้านและพี่เลี้ยงประจำบ้านแห่งนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วเดินไปประครองร่างเล็กๆ ที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาตัวใหญ่สีขาวที่นุ่มนิ่มเสียจนเธอจมไปแทบทั้งตัว
“หนูเบื่อ...เล่นวิ่งไล่จับกันนะดาว”สาวน้อยเด้งตัวลุกขึ้นแล้วชอนสายตาออดอ้อน หญิงสาวทำสีหน้าลำบากใจ เธอเห็นใจหนูน้อยที่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนเล่น แต่ดูจากอายุเธอแล้วจะให้ไปเล่นไล่จับด้วยมีหวังสังขารคงไม่ปราณี...
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณหนู ดิเล่นเล่นไล่จับไม่ไหวหรอกค่ะ อีกอย่าง คุณหนูจะเหงือออกเอานะคะ ชุดสวยๆ ก็เสียหายด้วย”ดุจดาวพูดอย่างเกรงใจ
“แย่จัง...”หนูน้อยอมมะนาวอย่างผิดหวัง แต่แล้วใบหน้านั้นก็แปรเปลี่ยนไปถนัดเมือ่ได้ยินเสียงประตูบ้านที่เปิดออก และร่างของใครบางคนที่นานครั้งจะได้เห็นก็เดินเข้าบ้านมา
สาวน้อยหันควับไปอย่างกระตือรือร้น
“ใครกันทำหน้ามุ่ยวันที่พ่อกลับบ้านน่ะหืม...”เสียงทุ้มต่ำที่แสนคิดถึง สาวน้อยไม่รอช้า วิ่งกรูเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงและกระโจนเข้าใส่อย่างโหยหา
“คุณพ่อ!!!”สาวน้อยหัวเราะชอบใจ แล้วโอบกอดคนเป็นพ่อ
“โอย~ แซฟไฟร์ นี่ลูกอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย...”ชายหนุ่มพูดพลางอุ้มสาวน้อยขึ้น
“หนูเป็นหมูน้อยค่ะ! แล้วเป็นไงบ้างคะ เห็นว่าไปเยอรมันมาด้วย สนุกมั้ย!”
“สนุกอะไรล่ะ พ่อไปทำงานนลูก”ชายหนุ่มกลัวหัวเราะ “พ่อมีของฝากจากเยอรมันให้ลูกด้วย”
“ของฝากเหรอคะ?”สาวน้อยทวนซ้ำอีกครั้งอย่างตื่นเต้น คนเป้นพ่อมองไปที่ประตูหน้าบ้านแล้วเอ่ย
“ไอ้หนู...เข้ามาได้แล้ว”
เด็กสาวมองตามไปอย่างสงสัย...ครั้งแล้วเมื่อคนที่เป็นคำตอบเดินก้าวผ่านประตูเข้ามาก็ไม่ได้ลบเลือนความไม่เข้าใจเหล่านั้น สาวน้อยถูกปล่อยลงจากอ้อมแขนของพ่อ สายตาเธอยังจับจ้องอยูที่ร่างเล็กๆ ของเด็กชายอายุพอๆ กับเธอ ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้เรื่องผมสีเดียวกันทรงหน้าม้าปัดยาวระต้นคอดูโดดเด่นเมื่อตัดกับสีผิวขาวสว่างไม่เหมือนผิวคนไทย เด็กคนนนั้นอยู่ในชุดสูทไม่ทางการของเด็กดูคล้ายๆ บาร์เทนเดอร์ แต่กางเกงเป็นขาสามส่วน ดูไปดูมาก็เท่ดีไม่หยอก
เด็กคนนั้นยิ้มละก้มหัวให้เธอเล็กน้อย
“ใครคะคุณพ่อ”เธอหันไปถามคนเป็นพ่อ
“ของขวัญของลูก”ชายหนุ่มเดินไปพาเด็กชายมาทางนี้ “เดิมเขาชื่อยอร์แซฟ แต่ลูกตั้งชื่อให้เขาใหม่ได้”
“ตั้งชื่อได้เหรอคะ!!”เมื่อได้ยินประโยคหลังเด็กน้อยดูจะตื่นเต้นไม่น้อย เธอเดินวนรอบเด็กชยแล้วมองไปทั่วอย่างสำรวจ “ชื่ออะไรดีล่ะ...”
“ยังไม่ต้องรีบหรอกลูก เรามีเวลาทั้งอาทิตย์ ก่อนพ่อจะกลับไปอีกรอบ”
เธอฟังคำพูดของพ่อเธออย่างผ่านๆ แล้วพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวก่อนจะกระโดดมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชาย แล้วโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“โดเรมี!!”
“เอ๋?”คนโดนตั้งชื่อใหม่อุทานหน้าเหวอ ไม่แพ้ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อก็เลิกคิ้วขึ้น
“โดเรมี? ลูกจะหมายถึงชื่อเขา?”วรภพทวนซ้ำเพื่อความแน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิด และเมื่อเด็กน้อยพยักหน้าหงึกเป็นคำตอบ เขาคิ้วของเขาก็ค่อยๆ หมุนเข้าหากัน “ลูกแน่ใจเหรอ?”
“อื้อ! ก็หนูชอบดูโดเรมีนี่...ให้ชื่อโดเรมีดีแล้ว! ส่วนชื่อจริง...เมื่อกี้พ่อบอกว่านายชื่ออะไรนะ?”เด็กหญิงมองตาคนตรงหน้าแล้วถาม
“ย...ยอร์แซฟ โผมชือ ยอร์แซฟ”ภาษาไทยสำเนียงแปลกๆ ของเาทำให้สาวน้อยหน้าเบ้
“อะไรเนี่ย พูดก็ไม่ชัด! ยอร์แซฟใช่มะ ไอ้นั่นให้เป็นชื่อจริงแล้วกัน!”เธอกอดอกพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วมองทะลุเข้ามาในตาเขา “ฉันชื่อแซฟไฟร์ ชื่อจริงชื่อเกล้าภัสสร อายุสิบขวบ!”
นี่ดูเหมือนจะเป็นการแนะนำตัวที่มันเนื้อหาแปลกๆ เด็กหนุ่มทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาอีกครั้ง
“แซฟไฟร์?”คำนี้เขาออกเสียงได้อย่างชัดเจน ทำให้เด็กสาวพยักหน้าชอบใจ “เกาพาดซอน?”ถึงตรงนี้เธอแทบจะเอาหัวโขกกำแพงตาย
“เกล้าเว้ย! เกล้า เก้าภัสสร พูดให้มันชัดๆ หน่อยสิ!”
“แซฟไฟร์!”เสียงดุๆ ของคนเป็นพ่อเรียกให้เธอหยุดโวยวาย “เขาไม่ใช่คนไทยนะลูก เรื่องแบบนี้ได้ดูได้ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง พ่อยกเขาให้ลูก...เขาเป็นของลูกแล้วลูกอยากให้เขาเป็นอะไรต่อจากนี้ก็ตามใจเลย”คนเป็นพ่อบีบเบาๆ ที่ใหล่ของลูกสาว
เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ เขาเข้าใจทุกคำพูดที่ชายหนุ่มกล่าว รวมไปถึงประโยคที่มีใจความคล้ายๆ กับจะบอกว่า ‘ลูกจะย่างจะแกงเด็กคนนี้ยังไงก็ได้ พ่ออนุญาต’ นั่นด้วย...
ทางด้านเด็กสาวก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้ง
“อะไรก้ได้เหรอ...งั้น!”สาวน้อยทิ้งจังหวะไปครู่ “ต่อจากนี้ นายเป็นผู้ติดตามของฉัน!”
เป็นประโยคที่ทำให้เด็กชายงุนงงไปชั่วขณะ เขาเลิกคิ้วขึ้น...บางทีคงเป็นเพราะระยะเวาแค่สามเดือนอาจจะน้อยเกินไปที่จะทำให้เขาเข้าใจคำนี้...
“ผู้ตีดตาม?”เด็กชายทวนซ้ำอย่างงงๆ ทำให้คนถูกถามกรอกตาไปมา
“โอย! แค่นี้ก็ไม่เข้าใจเหรอเนี่ย ทาสไงละยะ ทาสอะ! ทาส!”
...ทาส(ทาส ทาส ทาส ทาส ทาสสสสส)...
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ยินคำนี้ได้ชัดเจนและสนั่นหวั่นไหวก้องกังวาน...แถมยังมีเอคโค่อีกต่างหาก เด็กสาวตรงหน้าทำลายภาพพจน์เจ้าหญิงน้อยน่าปกป้องที่เขาเคยเดาเล่นๆ เอาไว้มลายหายไปหมดสิ้น ยังไม่นับรวมชื่อประหลาดที่หล่อนตั้งให้จาการ์ตูน ‘แม่มดน้อยโดเรมี’ เขาก็คิดว่าชีวิตเขาหลังจากนี้คงไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่า ‘ปกติ’ อีกแล้ว...
...ยอดเยี่ยมที่สุด!...จากเด็กกำพร้าาเป้นของฝาก...จากของฝากก็มาเป็นทาส! มีใคร(อยาก)ทำได้อย่างเขาบ้าง!...
เด็กหนุ่มคิดอย่างหนักใจ แล้วเหลือบมองเจ้านายคนใหม่ของเขาด้วยสายตาบอกความรู้สึกไม่ได้
...ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้รึยัง...ยอร์แซฟ แห่งโบสถ์ปีเตอร์แอนด์...
...อ๊ะ...ไม่สิ...ต้องเป็น...
...โดเรมี...
เฮือก!!
ร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งหลับเอาหลังพิงโคนต้นไม้ใต้ต้นชัยพฤกษ์ที่ออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งสะดุ้งโหยงทั้งตัว เล่นเอาอีกคนที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนตักเขาต้องหัวกระดกไปด้วย...เด็กสาวบนตักปิดหนังสือในมือลงแล้วเด้งตัวขึ้นนั่งถลึงตาใส่อีกฝ่าย
“ชักกระตุกอะไรของนายเนี่ย! อีตาทาส!”เธอโวยวาย
“อะ...ขอโทครับ คือผมฝันน่ะ”เด็กหนุ่มยิ้มอย่างขำๆ พลางยกมือขึ้นขอโทษขอโพย
“ฝันอะไรของนาย?”
“ก็...”เด็กหนุ่มทบทวนสิ่งที่อยู่ในความฝันเมื่อครู่แล้วหลุดยิ้มออกมาอย่างขบขัน “วันแรกที่ผมเจอเธอน่ะ...”
=============================
To be continue
นั่งว่างๆ เลยวาดรูปประกอบบทนี้ดู อาจจะไม่สวยมาก เพราะว่าไม่มีเม้าส์ปากกา ตัดเส้น+ลงสีด้วยเม้าส์หนูล้วนๆ=o= หวังว่าจะชอบกันนะ^ ^
ความคิดเห็น