ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm Yours[งานนี้...รักหมดใจ ยัยจอมเหี๊ยว!]

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 55


     

             สวัสดีครับ ผมโดเรมีนะครับ หา? ว่าไงนะ? ม...ไม่เชื่อเหรอ? ไม่เอาน่า นี่ผมพูดจริง...หืม? อะไรนะ? โลกนี้ไม่มีผู้ชายที่ไหนชื่อโดเรมีหรอก’ เหรอ? แหม...มันอาจจะมีก็ได้นะ เอาล่ะๆ ถ้าสงสัยกันนักล่ะก็...ผมจะย้อนอดีตไปเล่าถึงที่มาขอชื่อนี้ให้ฟังก็แล้วกัน

     

              เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่โบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศเยอรมัน ตอนนั้นอายุน่าจะสักประมาณสิบขวบได้ โบสถ์นั้นคือโบสถ์ใหญ่ที่เป็นโรงเรียนประจำของเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กเอเชียคนเดียวที่นั่นซึ่งก็มไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

     

               เล่าย้อนถึงเรื่องก่อนหน้านั้นไปอีกสองปี...ตอนที่ผมเพิ่งย้ายจากบ้านเด็กกำพร้าที่เก่าไปอยู่ที่นั่น เนื่องจากบ้านแห่งแรกที่ผมโตมาเป็นบ้านเด็กกำพร้าเอกชนและบริหารโดยคนอเมริกา ผมจึงมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ หลังจากที่นั่นล้มละลายและเด็กๆ ทุกคนต้องแยกย้ายกันไปอยู่สถานของรัฐบาล ผมย้ายมาอยู่ที่โบสถ์นี้แบงงๆ และด้วยเหตุนั้น จึงเป็นสาเหตุที่นอกจากผมจะไม่ได้เป็นเด็กผมทองตาฟ้าเหมือนคนอื่นๆ เค้าล้ว ผมยังมีสกิลการพูด อ่าน เขียน เยอรมันที่ติดลบอีกต่างหาก...จึงไม่แปลกเลยที่เพื่อนๆ ทุกคนจะอยากพูดคุยกับผมถึงขนาดต้องเดินหนีทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้...

     

              ระยะเวลาสองปีมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากเรื่องการสื่อสาร...บวกกับการที่ผมชอบคลุกคลีกับผู้ใหญ่อย่างหลวงพ่อหรือซิสเตอร์...มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน ทำให้ผมไม่เคยคิดมากเรื่องไม่มีคนคบ...ผมเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสแข็งแรงสมบูรณ์ เหมือนเด็กปกตินั่นแหละครับ...งานอดิเรกที่ชอบก็คืออ่านหนังสือ

     

              หลายคนชอบคิดว่าเด็กกำพร้าคือพวกเด็กมีปมด้อย...? ผมล่ะคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองหรือใครสักคนที่นี่เป็นอย่างที่ว่าเลย ที่อื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับเราแล้ว...ชีวิตก็มีความสุขดี ถึงเวลาเรียนก็ไปเรียน ถึงเวลางานก็ไปทำงาน(ล้างห้องน้ำ ปัดฝุ่นกางเขน กวาดลานกว้าง หรืออะไรเทือกๆ นั้นน่ะครับ) เวลากินก็กน และเวลานอนก็นอน แถมมีหนังสือบริจาคและเงินช่วยจากรัฐเข้ามาเรื่อยๆ วันๆ มีอะไรให้ทำตั้งมาก...

     

               แน่นอน...อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่าผมเป็นเด็กร่างเริงเหมือนเด็กทั่วไป แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือ...ผมไม่เคยคิดเรื่องถูกรับไปเลี้ยงหรืออะไรทำนองนั้นเหมือนคนอื่นๆ ผมรักที่นี่...พลวงพ่อ ซิสเตอร์ และอาสาสมัครทุกคนเป็นเหมือนผู้ปกครองของผม เพราะงั้น สำหรับผมแล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยกับการที่จะต้องไปอยู่ที่อื่น ถึงมันจะสบายขึ้นก็ตาม...

     

               แต่ก็นั่นแหละ...เขาว่ากันว่า ความปรารถนามันจะไม่วิ่งตามไปหาคนที่ร้องขอ แต่มันจะลอยไปหาคนที่ไม่ต้องการแทน...ผมเคยทำเป็นไม่สนใจปรัชญาข้อนี้ เพราะมันก็แค่คำพูดสวยหรูของนักกวีคนหนึ่งที่อาจจะผิดหวังกับชีวิต ซึ่งก็น่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง...มันก็เกิดขึ้นกับตัวผมเอง...

     

     

            ห้องเก็บหนังสือชั้นสอง โบสถ์ เซ้นท์ ปีเตอร์ แอนด์ เวลา 17.30 น.

     

             เด็กๆ ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาที่นี่กับเท่าไหร่ เพราะตำราส่วนใหญ่ที่ได้รับบริจาคมาเขียนด้วยภาษาอังกฤษ และนอกจากนนั้นนี่ก็เป็นเวลาของการเล่นสนุกก่อนที่จะต้องไปรับประทานมื้อเย็น สวดภาวนา และเข้านอน...ไม่มีใครอยากทำอะไรน่าเบื่ออย่างนั่งจมกงอหนังสืออยู่ในห้องที่ก็มีแต่หนังสืออย่างที่นี่ กระนั้นแล้ว ก็ยังมีคนอย่างผมที่มีที่นี่เป็นฐานทัพลับ ชนิดที่ว่า ถ้าแม่ชีกำลังตามหาผม ก็ให้มาที่นี่เป็นแห่งแรก...

     

              แอ๊ด...

     

              เสียงเอี๊ยดจากของประตูม้เก่าๆ ดังมาจากชั้นล่าง ผมมองลอดผ่านราวบันไดลงไปเพื่อสำรวจหาว่าใครมา ก็พบกับหลวงพ่อที่เป็นเจ้าของที่นี่เดินเข้ามาอย่างนุ่มนวลในชุดาทหลวงสีขาวลายทองเหมือนทุกครั้ง และมองขึ้นมาทางนี้

     

               อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย...ยอร์แซฟหลวงพ่อยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเรียกชื่อผม...ที่นี่เราทุกคนแทนชื่อตัวเองด้วยชื่อนักบุญ อย่าเพิ่งถามถึงชื่อโดเรมีสิ ยังเล่าไม่ถึงเลย! กลับมาเรื่องเดิม...ผมคุ่นหนังสือแล้วเอาวางไว้แถวนั้น ก่อนจะลุกจากโต๊ะไม้และวิ่งลงไปหาท่าน

     

               คุณพ่อหาผมเหรอครับผมพูดภาษาอังกฤษตอบกลับไป หลวงพ่อเป็นคนเดียวที่นี่ที่ผมพูดภาษาอังกฤษด้วย เพราะท่านบอกว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของผมออกเสียงได้ไพเราะมาก...แน่นอนว่าด้วยวัยในตอนนั้น มันไม่ยากเลยที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งดีใจและยินดีจะทำสิ่งๆ หนึ่ง เพียงเพราะมีคนที่เขาเคารพรักมาบอกว่า เขาชอบมัน

     

               ไม่ถึงกับหาหรอก...พ่อรู้ว่าลูกอยู่นี่หลวงพ่อพูดยิ้มๆ พลางเดินไปที่โซฟาตัวยาวในห้องนั้นแล้วนั่งลง... มานั่นกับพ่อนี่สิ พ่อมีเรื่องต้องบอกลูก

     

     

              รถเบ้นซ์ทรงยาวสีดำแล่นมาจอดตรงหน้าโบสถ์ใหญ่แห่งรัฐเบอร์ลิน ตามด้วยร่างของคนขับในชุดสูทสีดำกับแว่นตากันแดดที่ก้าวลงมาจารถ พร้อมกับผู้โดยสารในเบาะหังที่มีคาร์แรกเตอร์แบบเดียวกันอีกสองคน ลงตามกันมา นี่ถ้าไม่บอกกันคงจะมีคนแถวนั้นคิดว่าพวกเขากำลังถ่ายทำหนังเรื่อง เดอะแมทริก กันอยู่เป็นแน่

     

              หนึ่งในสามชายชุดดำเดินไปเปิดประตูให้ร่างท่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งข้างคนขับ...เขาเป้นชายวัยกลางคนในชุดสูททางการสีเทาดูเป็นนักธุรกิจ รูปร่างหน้าตาแบบคนเอเชียผิเหลือง เขาถอดสูทตัวนอกส่งให้ชายชุดดำที่เปิดประตูให้เขา แล้วแหวนหน้ามองวิหารศาสนาตรงหน้าอย่างพิจารณา

     

              ที่นี่เรอะ?”เขาเอ่ยเรียบๆ

     

              ครับท่านหนึ่งในชายชุดดำเอ่ย เราส่งคนมาติดต่อเรื่องเด็กกับบาทหลวงที่นี่แล้ว ท่านสามารถรับเขาไปได้เลย

     

              นำทางไปคำสั่งเด็ดขาดจากผู้เป็นนายเรียกให้ชายผู้เป้นคนขับรถเดินนำไปข้างหน้า และอีกสองคนเดินตามหลัง

     

              ประตูเบสถ์เปิดออก...สิ่งแรกที่เห็นคือรูปสลักไม้พระเยซูถูกตรึงกางเขนขนาดใหญ่เกือบถึงเพดานโดมที่ทำด้วยแก้วของที่นี่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางส่วนในสุดของโบสต์ รอบด้านเป็นดอกไม้ รูปปั้น และภาพประดับมากมาย ถัดมาด้านหน้าเป็นแท่นโอวาทและเก้าอี้ยาวสำหรับผู้มาเข้าพิธีเรียงกับเป้นแถว...บางทีอาจเป็นเพราะปฏิมากรรมสวยงามของที่นี่ดึงดูใจมากจนไม่มีใครสังเกตเห็นร่างบอบบางของเณรี*ที่กำลังนั่งคุกเขาสวดภาวนาอยู่หน้ากางเขน...

     

              เธอค่อยๆ รวบกระโปรงและยืนขึ้นช้าๆ เมื่อรู้ตัวว่าที่นี่มีแขก และเมื่อเหลือบมาเห็นสี่ร่างผู้มาเยือนใหม่...เธอก็วิ่งหายเข้าไปในห้องข้างๆ นั้น ไม่นานนัก...

     

              ประตูบ้านเดียวกันเปิดออก ตามมาด้วยร่างของบาทหลวงเจ้าของที่นี่ เดินออกมา ใบหน้านั้นดูอ่อนโยนตลอดเวลา นำมาซ่งความอบอุ่นในใจอย่างหน้าประหลาด เขาเดินอย่างเชื่องช้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าท่นโอวาท

     

               กำลังคอยอยู่เลยชายชราเอ่ย...เสียงของเขาสะท้อนกลับมาจากโดมแก้ว

     

               บาทหลวงปีเตอรืแอนด์ชายหนุ่มเอ่ยพลางยื่นไปจับเพื่อทักทาย ผมมารับเด็ก

     

               พ่อทราบแล้ว...บาทหลวงเอ่ยอย่างนุ่มน้อย ทีแรกพ่อคิดว่าคุณจะส่งคนมารับเขา เหมือนตอนที่คุณให้คนของคุณมาติดต่อ...เห็นมารับด้ยตัวเองแบบนี้น่าดีใจจริงๆ

     

               เขาอยู่ไหนครับเศรษฐีหนุ่มเอ่ยถาม บาทหลวงยิ้มเบาบาง

     

               ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก คุณวงภพ แกกำลังมา...พ่อเพิ่งคุยกับแกเมื่อวาน แกยินดีจะไปกับคุณ

     

               ก็แหงล่ะ...เด็กกำพร้าที่ไหนไม่ดีใจเวลามีคนมารับไปเลี้ยง

     

               พ่อว่า...แกไม่ได้ดีใจเรื่องนั้นหรอกบาทหลวงวัยชราเอ่ยเป็นนัยน์ ใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มของเขาทำให้ดวงตาที่ดูเหมือนจะปิดอยู่ตลอดเวลาโตขึ้นมานิดหนึ่ง เด็กทุกคนเลือกไป...ไม่ใช่เด็กที่หาได้ง่ายๆ ตามท้องถนน ช่วยดูแลเขาให้ดีๆ อย่าให้แพ้พ่อแล้วกันเขาพูดด้วยท่าทางที่ต่างไปจากเดิม ไม่ทันขาดคำ...ประตูหลังโบสถ์ก็เปิดออก เรียกความสนใจของคนในห้องให้หันไปมอง...

     

                ร่างเล็กๆ ในชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงขาสามส่วนสีออกน้ำตาล พร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างที่บรรจุของส่วนตัวอันน้อยนิด เขาค่อยๆ เดินเข้ามาในโบสถ์เงียบๆ แล้วหันไปเหลือบมองชายแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเห็นหน้าแวบหนึ่ง แล้ววิ่งมาหาบาทหลวง

     

                ขอโทษครับ ผมสายเด็กน้อยพูดออกมาเป็นภาษาเยอรมัน เพราะคิดว่าคนแปลกหน้ากลุ่มนี้อาจพูดเยอรมันก็ได้...

     

                ไม่เป็นไรชายชรายกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ นี่ยอร์แซฟ...ที่นี่เราาเรียกชื่อเด็กๆ ด้วยชื่อนักบุญครับบาทหลวงเอ่ยแนะนำเป็นภาษาอังกฤษ เด็กน้อยโค้งทักทายอย่างสุภาพ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ดูไม่เหมือนนที่กำลังตื่นเต้นดีใจเท่าไหร่นัก ยอร์แซฟ นี่...คุณรภาพ พ่อบุญธรรมของลูก

     

                สองคนที่เพิ่งจะรู้จักกันมองหน้ากันอยู่ครู่ ก่อนที่ผู้อวุโสกว่าจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

     

                หวัดดีเด็กชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองไม่เห็นสีหน้าอ่อนโยนรักเด็ก อย่างที่เขาเคยคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่มีอยู่ในตัวคนที่จะมาอุปถัมใครไปเลี้ยง

     

                หวัดดีฮะเขาเลือกที่จะไม่เอ่ยชื่อนั้น เพราะฟังดูไม่ใช่ทั้งอังกฤษและเยอรมัน แน่นอน...มันออกเสียงได้ยากเหลือเกิน

     

                เธอไม่ใช่คนยุโรปนี่ ผมต้องการเด็กพูดอังกฤษได้ หวังว่าคุณคงไม่ได้ลืม...เศรษฐีหนุ่มหันไปถามกับบาทหลวง...แต่ยังถามไม่ทันจบดี

     

                ผมพูดอังกฤษครับเด็กน้อยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาคนขี้สงสัยถึงบางอ้อ เออ...เยอรมันก็ด้วย...

     

                เศรษฐีหนุ่มก้มมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา...

     

                งั้นดีแล้วเขาเอ่ยพลางค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยองๆ ให้อยู่ในระดับสายตาของเด็กน้อย ชื่อยอร์แซฟสินะ

     

                ครับ

     

                ฉันจะรับเธอไปอยู่ด้วย ให้การศึกษา ให้ชีวิตที่ดีกว่านี้ เธอคิดว่าไง?”เขาถามออกไปตรงๆ หวังลองเชิงนิเสียของเด็กคนนี้

     

                เงินที่คุณจ่ายให้ที่นี่เพื่อซื้อผม สามารถะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกเยอะ ผมซาบซึ้งใจมากครับเขาตอบกลับทันทีราวกับไม่ต้องคิด เป็นคำตอบที่ผิดคาดเสียจนน่าตกใจ ถ้าบอกว่านี่คือคำพูดของเด็กกำพร้าที่เขากำลังจะรับไปเลี้ยงก็ปั่นป่วนประสาทจะแย่อยู่แล้ว นี่กับวัยเพียงแค่สิบขวบ?

     

                วรภพเหยียดยิ้มมุมปากแล้วหลุดหัวเราะออกมา

     

                เธอดูเป็นคนมีสมองดีนี่...ดี! งั้นพูดตามหลังของธุรกิจ เราก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน มาเจรจากันต่อ...วรภพเอ่ยพลางยิ้มอย่างพอใจ ฉันคิว่าภาษาอังกฤษของเธอดีมาก...แต่ฉันเป็นคนไทยเขาเอื้อมมือไปตบบ่าเด็กน้อยแล้วยืนขึ้น พรุ่งนี้...ฉันจะกลับไปทำงานที่อเมริกา และอีกสามเดือนจะกลับบ้านไปหาลูกสาวที่ไทย ในระหว่างน้น ฉันมีครูสอนภาษาไทยให้เธอเขามองไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยนั้นแล้วเอ่ยต่อ ถ้าเธอสามารถพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้ภายในสามเดือน ฉันจะจ่ายเงินสนับสนุนที่นี่ทุกๆ ปี แบบนั้นเข้าท่าไหม?”

     

              เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ แล้วทำสีหน้าครุ่นคิไปครู่...ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาไปบาทหลวงของเขาอย่างขอความเห็น แต่คำตอบที่ได้มาก็มีแค่รอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้บอกอะไรเลย...สรุปว่าเขาก็ต้องตัดสินใจเองอยู่ดี

     

              เมื่อคิดออกแล้วรอยยิ้มเบาบางก็ผุดพลายขึ้นที่มุมปาก เด็กน้อยเงยหน้าไปสบตากับผู้อุปถัมของเขา

     

              ตกลงฮะ

     

     

            หลังจากพูดคุยกันไปได้พอสมควร เนื่องจากเวลาที่มีจำกัดของเศรษฐีหนุ่ม เขาจึงต้องรีบออกจากที่นั่นเพื่อพาเด็กในอุปถัมของเขาไปจัดการเรื่องเอสารทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางพรุ่งนี้ และตลอดทางเขาก็คิดแต่เรื่องของเด็กนี่ตลอด

     

              และระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น...

     

              นี่คุณ...วอรอโพบครับเสียงเล็กๆ ากเบาะหลังเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ ด้วยน้ำเนียงออกเสียงประหลาดๆ เขาจึงไม่ค่อยแน่ใจว่านั่นใช่ชื่อเขาหรือเปล่า

     

              หืม...ต้องพูดว่าวรภพ’”เขาเอ่ยเน้นคำฉะฉาน มีอะไร?”

     

              ผมต้องเรียกคุณว่าพ่อด้วยหรือเปล่าเด็กน้อยถาม...เป็นคำถามที่ย้ำเตือนให้เขานึกขึ้นได้ เขาลืมอธิบายเรื่องสถานะให้เด็กนี่ฟัง

     

              ความจริง...ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก เพราะผู้ปกครองจริงๆ ของเธอหลังจากนี้ก็ไม่ใช่ฉํน แต่ถ้าเธออยากจะเรียกฉันก็ไม่ขัด จะเรียกไหมล่ะ?”เขาหันไปถาม

     

              งั้นไม่ล่ะครับตอบกลับมารวดเร็วฉะฉานอย่างไม่น่าเชื่อ หรือเพราะเด็กนี่มีความเด็กขาดหนักแน่นไม่เหมือนใครแบบนี้หรือเปล่า? เขาถึงได้ถูกชะตากับมันนัก งั้นถามอีกอย่าง...คุณบอกว่าคุณไม่ได้เป็นผู้ปกครองผม งั้น...คุณซื้อผมให้ใครครับ?”

     

              อ้อ...วรภพเอ็ดขึ้น ถามก็ดี...ฉันจะอธิบายหน้าที่ของเธอหลังจากนี้ให้ฟังแล้วกัน

     

              ชายหนุ่มพูดแล้วกดปุ่มบางอย่างตรงข้างเบาะที่นั่งของตน ทันใดนั้นที่นั่งของของเขาก็หมุนกลับหลังหันมาอีกด้านอย่างอัตโนมัต...นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กนอ้ยได้เห็นอะไรแบบนี้ เป็นธรรมดาที่จะตื่นเต้นชอบใจ

     

              ว้าว!”เขาอุทาน

     

              ชอบไมล่ะ นี่...สั่งทำพิเศษเลยนะเศรษฐฐีหนุ่มยักคิ้ว

     

               ชอบฮะ แต่ฟังดูฟุ่มเฟือยคำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาคนฟังทบจะหัวเราะก๊าก เมื่อเด็กน้อยรู้ว่าคำพูดของเขาเรียกความขบขันให้ชายตรงหน้าเขาจึงหัวเราะบ้าง

     

               เธอนี่...น่าจะบริหารเงินเก่งนะวรภพยังไม่หยุดขำ เขาถูกใจเด็กนี่เหลือเกิน ก่อนจะบอกอะไรฉันขอถามเธอหน่อย...เอาตั้งศอกกับหัวเขา แล้วมองใบหน้าของเด็กชายที่ยักใหล่ให้เขาราวกับจะบอกว่า ตามสบายครับ ไม่อึดอัดใจบ้างเหรอ ที่ต้องไปอยู่กับคนที่ไม่รู้จักแบบนี้เป็นคำถามที่เขาอยากรู้จริงๆ เด็กนี่ไม่มีแววจะขี้อาย หรือประหม่ากับคนที่เพิ่งรู้จักเลย มิหนำซ้ำยังทำตัวเป็นธรรมชาติเสียจนเขาเกือบคิดว่าอาจเคยรู้จักมันมาก่อนหน้านี้...

     

               ก็...ตอนแรกก็อึดอัดใจบ้างฮะ แต่ผมน่ะอยู่ที่ไหนก็ได้ทังนั้นแหละเด็กชายพูดเนิบๆ คุณพ่อบอกว่าว่างๆ ให้เขียนจดหมายมา แล้วท่านยังบอกอีกว่าคุณเป็นเจ้าของแบรนโทรศัพท์มือถือชื่อดัง เป็นเศรษฐีรายใหญ่ มีธุรกิจย่อยอื่นๆ อีกเยอะแยะ ก็ฟังดูดีออกนี่ฮะ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดเรื่องจะมีใครมาอุปถัมก็จริง แต่จะให้ไปอยู่ที่อื่นผมก็ไม่ขัดข้อง แถม...ได้เรียนหนังสือ แล้วคุณก็ต้องบริจาคให้โบสถ์ด้วย ไม่มีอะไรต้องเสียนี่ฮะ...?”

     

                ...ไอ้เด็กเวรนี่...

     

                ...เป็นเด็กอุปถัมของเขาแท้ๆ แต่ฟังมันพูดเข้า เหมือนกับว่าเขาโดนมันหลอกเอาผลประโยชน์ยังไงอย่างงั้น...

     

                นี่แกโตเกินวัยไปหน่อยไหมเนี่ย...ชายหนุมพูดติดตลก เอล่ะ ไม่อึดอัดก็ดี ฉันอยากจะแน่ใจว่าเธอจะทำหน้าที่ที่ฉันจะมอบหมายให้จากนี้ให้ดีที่สุด แลกเปลี่ยนกับทุกอย่าที่ฉันจะให้เธอหลังจากนี้ เราอยู่กันอย่างเท่าเทียม เธอให้ฉัน ฉันก็ให้เธอ แบบนี้แฟร์ดีใช่ไหม

     

                ครับผมเด็กน้อยขานรับ อยากได้อะไรฮะ

     

                อย่างแรกก็ภาษา...สามเดือนหลังจากนี้ก็ขลุกอยู่ที่บริษัทกับฉัน หมกมุ่นเรียนภาษาไทยทุกวันๆ ฉันว่าอย่างเธอคงได้อย่างน้อยก็ฟังกับพูด เรื่อยสำเนียงคงฝึกกันได้

     

                แล้วหลังจากนั้นล่ะฮะ

     

                ฉันจะกลับไปหาลูกสาว...เขาเอ่ยแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะฉันงานยุ่งมาก นานๆ จะได้กลับไปเยี่ยมลูก ฉันก็เยต้องมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง...ซึ่งนั่นก็คือ...วรภพเปรยตาไปมองเด็กชายแล้วชี้นิ้วไปที่เขา เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง

     

                ผม?”

     

                ถูกต้องชายหนุ่มเอ่ยเน้นย้ำ คนเป็นของฝากกระพริบตาปริบๆ แล้วนึกย้อนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เขาเพิ่งลืมตาดูโลกมาแค่สิบปีกว่าๆ ก็จริง แต่ตลอดระยะเวลานั้นเขาน่ใจว่าไม่เคยได้ยินเรื่องธรรมเนียมพิลึกกึกกืออย่างซื้อคนเป็นฝากให้ลูกแน่ๆ

     

               ...เอ้อ...ดีเว้ย...จากเด็กกำพร้ามาเป็นของฝาก...

     

                 เด็กหนุ่มคิดอย่างขำๆ

     

                 ยัยเด็กนั่นน่ะเอาใจยาก ซื้อของธรรมดาไปให้เดี๋ยวก็งอนป่องๆ ฉันไม่ถนัดเอาใจเด็กๆ เสียด้วยชายหนุ่มยักใหล่เล็กน้อย ขืนยังปล่อยให้อยู่คนเดียวบบนี้ เหงาเมื่อไหร่คงหยิบโทรศัพท์ขึ้นาโทรหาฉัน ไม่เป็นอันทำงาน

     

                 แล้วผม...ในฐานะของฝากต้องทำตัวยังไงฮะ

     

                 อ้อ...ไม่ยากหรอก ก็แค่...วรภพทำสีหน้าครุ่งคิดไปครู่ ทำตามคำสั่งของเธอทุกอย่าง...

     

                 ทุกอย่างเหรอฮะ?”

     

                 ใช่...?ุกอย่างรอยยิ้มที่บอกความหมายไม่ได้ถูกส่งมาให้เขา เด็กน้อยเลิกคิ้วเล็กน้อย ชีวิตของเธอหลังจากนี้ เริ่มต้นภายใต้คำสั่งของลูกสาวฉัน เธอต้องปกป้อง รับใช้ ดูแล และทำตามทุกอย่างที่เอต้องการ แม้แต่ชื่อ เธอก็จะตั้งให้ใหม่...เข้าใจไหม?”

     

                 ข...เข้าใจ...(ก็ได้)ครับ...

     

                 ผมตบปากรับคำออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร...และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด...เรื่องราวที่จะเปลี่ยนชีวิตของผมชนิดที่ว่าแทบจะกลายเป็นคนอีกคน...ณ วินาทีนั้น...ผมคิดว่าสาวน้อยที่ผมจะได้เจอในเร็วๆ นี้...คงจะเป็นเด็กผู้หญิงอ่อนแอน่ารัก ที่ต้องการการปกป้องดูแล...ต้องยอมรับว่าภาพในจินตนาการนั้นทำให้ผมตื่นเต้นที่จะได้เจอเธอไม่น้อย...อีกสามเดือนเท่านั้น รอหน่อยนะ องค์หญิงน้อยของผม...

     

     

              บ้านศรีหราชเดโชชัย จ.กรุงเทพ ประเทศไทย

     

              ดาว! เมื่อไหร่คุณพ่อจะมาสักทีคะเสียงแหมปรี๊ดของสาวน้อยในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีชมพู ผมตรงสีดำเงางามถูกถักเป็นเปียเดียวแฉลบข้าง และติโดบว์สวยงาม เธอสวมถุงเท้ามีลูกไม้และรองเท้าคัดชูสำหรับเด็กเข้าชุด ดวงตากลมโตสีกาแฟแก่คู่สวยฉายแววหงุดหงิดขัดใจเล็กน้อยภายใต้แพขนตางอนยาวดูน่ารัก

     

              คุณท่านออกจากสนามบินมาได้สักพักแล้วค่ะคุณหนู อีกสักพักคงถึง...

     

              ก็พูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว! หนูไม่อยากรอแล้วนะคะ ทำไมคุณพ่อไม่เคยตรงเวลากับหนูเลย...

     

              รถอาจจะติดก็ได้นะคะ ถ้าคุณหนูอยากเจอคุณท่าน ก็ต้องอดทนนะคะ มามะคนดี ทำหน้ามุ่ยแบบนี้ คุณท่านกลับมาเห็นก็งานกร่อยหมอสิคะดุจดาว หัวหน้าแม่บ้านและพี่เลี้ยงประจำบ้านแห่งนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วเดินไปประครองร่างเล็กๆ ที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาตัวใหญ่สีขาวที่นุ่มนิ่มเสียจนเธอจมไปแทบทั้งตัว

     

              หนูเบื่อ...เล่นวิ่งไล่จับกันนะดาวสาวน้อยเด้งตัวลุกขึ้นแล้วชอนสายตาออดอ้อน หญิงสาวทำสีหน้าลำบากใจ เธอเห็นใจหนูน้อยที่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนเล่น แต่ดูจากอายุเธอแล้วจะให้ไปเล่นไล่จับด้วยมีหวังสังขารคงไม่ปราณี...

     

              ไม่ได้หรอกค่ะคุณหนู ดิเล่นเล่นไล่จับไม่ไหวหรอกค่ะ อีกอย่าง คุณหนูจะเหงือออกเอานะคะ ชุดสวยๆ ก็เสียหายด้วยดุจดาวพูดอย่างเกรงใจ

     

              แย่จัง...หนูน้อยอมมะนาวอย่างผิดหวัง แต่แล้วใบหน้านั้นก็แปรเปลี่ยนไปถนัดเมือ่ได้ยินเสียงประตูบ้านที่เปิดออก และร่างของใครบางคนที่นานครั้งจะได้เห็นก็เดินเข้าบ้านมา

     

              สาวน้อยหันควับไปอย่างกระตือรือร้น

     

              ใครกันทำหน้ามุ่ยวันที่พ่อกลับบ้านน่ะหืม...เสียงทุ้มต่ำที่แสนคิดถึง สาวน้อยไม่รอช้า วิ่งกรูเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงและกระโจนเข้าใส่อย่างโหยหา

     

              คุณพ่อ!!!”สาวน้อยหัวเราะชอบใจ แล้วโอบกอดคนเป็นพ่อ

     

              โอย~ แซฟไฟร์ นี่ลูกอ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย...ชายหนุ่มพูดพลางอุ้มสาวน้อยขึ้น

     

              หนูเป็นหมูน้อยค่ะ! แล้วเป็นไงบ้างคะ เห็นว่าไปเยอรมันมาด้วย สนุกมั้ย!”

     

              สนุกอะไรล่ะ พ่อไปทำงานนลูกชายหนุ่มกลัวหัวเราะ พ่อมีของฝากจากเยอรมันให้ลูกด้วย

     

              ของฝากเหรอคะ?”สาวน้อยทวนซ้ำอีกครั้งอย่างตื่นเต้น คนเป้นพ่อมองไปที่ประตูหน้าบ้านแล้วเอ่ย

     

              ไอ้หนู...เข้ามาได้แล้ว

     

              เด็กสาวมองตามไปอย่างสงสัย...ครั้งแล้วเมื่อคนที่เป็นคำตอบเดินก้าวผ่านประตูเข้ามาก็ไม่ได้ลบเลือนความไม่เข้าใจเหล่านั้น สาวน้อยถูกปล่อยลงจากอ้อมแขนของพ่อ สายตาเธอยังจับจ้องอยูที่ร่างเล็กๆ ของเด็กชายอายุพอๆ กับเธอ ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้เรื่องผมสีเดียวกันทรงหน้าม้าปัดยาวระต้นคอดูโดดเด่นเมื่อตัดกับสีผิวขาวสว่างไม่เหมือนผิวคนไทย เด็กคนนนั้นอยู่ในชุดสูทไม่ทางการของเด็กดูคล้ายๆ บาร์เทนเดอร์ แต่กางเกงเป็นขาสามส่วน ดูไปดูมาก็เท่ดีไม่หยอก

     

               เด็กคนนั้นยิ้มละก้มหัวให้เธอเล็กน้อย

     

              ใครคะคุณพ่อเธอหันไปถามคนเป็นพ่อ

     

              ของขวัญของลูกชายหนุ่มเดินไปพาเด็กชายมาทางนี้ เดิมเขาชื่อยอร์แซฟ แต่ลูกตั้งชื่อให้เขาใหม่ได้

     

              ตั้งชื่อได้เหรอคะ!!”เมื่อได้ยินประโยคหลังเด็กน้อยดูจะตื่นเต้นไม่น้อย เธอเดินวนรอบเด็กชยแล้วมองไปทั่วอย่างสำรวจ ชื่ออะไรดีล่ะ...

     

              ยังไม่ต้องรีบหรอกลูก เรามีเวลาทั้งอาทิตย์ ก่อนพ่อจะกลับไปอีกรอบ

     

              เธอฟังคำพูดของพ่อเธออย่างผ่านๆ แล้วพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวก่อนจะกระโดดมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชาย แล้วโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น

     

              โดเรมี!!”

     

              เอ๋?”คนโดนตั้งชื่อใหม่อุทานหน้าเหวอ ไม่แพ้ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อก็เลิกคิ้วขึ้น

     

              โดเรมี? ลูกจะหมายถึงชื่อเขา?”วรภพทวนซ้ำเพื่อความแน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิด และเมื่อเด็กน้อยพยักหน้าหงึกเป็นคำตอบ เขาคิ้วของเขาก็ค่อยๆ หมุนเข้าหากัน ลูกแน่ใจเหรอ?”

     

              อื้อ! ก็หนูชอบดูโดเรมีนี่...ให้ชื่อโดเรมีดีแล้ว! ส่วนชื่อจริง...เมื่อกี้พ่อบอกว่านายชื่ออะไรนะ?”เด็กหญิงมองตาคนตรงหน้าแล้วถาม

     

              ย...ยอร์แซฟ โผมชือ ยอร์แซฟภาษาไทยสำเนียงแปลกๆ ของเาทำให้สาวน้อยหน้าเบ้

     

              อะไรเนี่ย พูดก็ไม่ชัด! ยอร์แซฟใช่มะ ไอ้นั่นให้เป็นชื่อจริงแล้วกัน!”เธอกอดอกพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วมองทะลุเข้ามาในตาเขา ฉันชื่อแซฟไฟร์ ชื่อจริงชื่อเกล้าภัสสร อายุสิบขวบ!”

     

              นี่ดูเหมือนจะเป็นการแนะนำตัวที่มันเนื้อหาแปลกๆ เด็กหนุ่มทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาอีกครั้ง

     

              แซฟไฟร์?”คำนี้เขาออกเสียงได้อย่างชัดเจน ทำให้เด็กสาวพยักหน้าชอบใจ เกาพาดซอน?”ถึงตรงนี้เธอแทบจะเอาหัวโขกกำแพงตาย

     

              เกล้าเว้ย! เกล้า เก้าภัสสร พูดให้มันชัดๆ หน่อยสิ!”

     

              แซฟไฟร์!”เสียงดุๆ ของคนเป็นพ่อเรียกให้เธอหยุดโวยวาย เขาไม่ใช่คนไทยนะลูก เรื่องแบบนี้ได้ดูได้ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง พ่อยกเขาให้ลูก...เขาเป็นของลูกแล้วลูกอยากให้เขาเป็นอะไรต่อจากนี้ก็ตามใจเลยคนเป็นพ่อบีบเบาๆ ที่ใหล่ของลูกสาว

     

               เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ เขาเข้าใจทุกคำพูดที่ชายหนุ่มกล่าว รวมไปถึงประโยคที่มีใจความคล้ายๆ กับจะบอกว่า ลูกจะย่างจะแกงเด็กคนนี้ยังไงก็ได้ พ่ออนุญาต นั่นด้วย...

     

               ทางด้านเด็กสาวก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้ง

     

                อะไรก้ได้เหรอ...งั้น!”สาวน้อยทิ้งจังหวะไปครู่ ต่อจากนี้ นายเป็นผู้ติดตามของฉัน!”

     

               เป็นประโยคที่ทำให้เด็กชายงุนงงไปชั่วขณะ เขาเลิกคิ้วขึ้น...บางทีคงเป็นเพราะระยะเวาแค่สามเดือนอาจจะน้อยเกินไปที่จะทำให้เขาเข้าใจคำนี้...

     

                ผู้ตีดตาม?”เด็กชายทวนซ้ำอย่างงงๆ ทำให้คนถูกถามกรอกตาไปมา

     

                โอย! แค่นี้ก็ไม่เข้าใจเหรอเนี่ย ทาสไงละยะ ทาสอะ! ทาส!”

     

                 ...ทาส(ทาส ทาส ทาส ทาส ทาสสสสส)...

     

               ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ยินคำนี้ได้ชัดเจนและสนั่นหวั่นไหวก้องกังวาน...แถมยังมีเอคโค่อีกต่างหาก เด็กสาวตรงหน้าทำลายภาพพจน์เจ้าหญิงน้อยน่าปกป้องที่เขาเคยเดาเล่นๆ เอาไว้มลายหายไปหมดสิ้น ยังไม่นับรวมชื่อประหลาดที่หล่อนตั้งให้จาการ์ตูน แม่มดน้อยโดเรมี เขาก็คิดว่าชีวิตเขาหลังจากนี้คงไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่า ปกติ อีกแล้ว...

     

                 ...ยอดเยี่ยมที่สุด!...จากเด็กกำพร้าาเป้นของฝาก...จากของฝากก็มาเป็นทาส! มีใคร(อยาก)ทำได้อย่างเขาบ้าง!...

     

                 เด็กหนุ่มคิดอย่างหนักใจ แล้วเหลือบมองเจ้านายคนใหม่ของเขาด้วยสายตาบอกความรู้สึกไม่ได้

     

                 ...ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้รึยัง...ยอร์แซฟ แห่งโบสถ์ปีเตอร์แอนด์...

     

                 ...อ๊ะ...ไม่สิ...ต้องเป็น...

     

                 ...โดเรมี...

     

     

              เฮือก!!

     

              ร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งหลับเอาหลังพิงโคนต้นไม้ใต้ต้นชัยพฤกษ์ที่ออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งสะดุ้งโหยงทั้งตัว เล่นเอาอีกคนที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนตักเขาต้องหัวกระดกไปด้วย...เด็กสาวบนตักปิดหนังสือในมือลงแล้วเด้งตัวขึ้นนั่งถลึงตาใส่อีกฝ่าย

     

              ชักกระตุกอะไรของนายเนี่ย! อีตาทาส!”เธอโวยวาย

     

              อะ...ขอโทครับ คือผมฝันน่ะเด็กหนุ่มยิ้มอย่างขำๆ พลางยกมือขึ้นขอโทษขอโพย

     

              ฝันอะไรของนาย?”

     

              ก็...เด็กหนุ่มทบทวนสิ่งที่อยู่ในความฝันเมื่อครู่แล้วหลุดยิ้มออกมาอย่างขบขัน วันแรกที่ผมเจอเธอน่ะ...


    =============================

    To be continue



    นั่งว่างๆ เลยวาดรูปประกอบบทนี้ดู อาจจะไม่สวยมาก เพราะว่าไม่มีเม้าส์ปากกา ตัดเส้น+ลงสีด้วยเม้าส์หนูล้วนๆ=o= หวังว่าจะชอบกันนะ^ ^



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×