คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter04
เบลล์สตรีทที่ดูเหมือนจะเงียบงัน..
ชายในชุดสูทดูภูมิฐานสองคนเดินลัดเลาะไปตามฟุตบาท ทั้งคู่สวมแว่นกันแดดราคาแพงดูเป็นผู้ดีมีเงินที่มักไม่ค่อยพบเจอในย่านแถวๆ นี้เท่าไหร่...ก็แหงล่ะ เบลล์สตรีทมันทำมาค้าขึ้นเสียที่ไหน
“คุณแน่ใจแล้วเหรอว่ามาถูกที่...”เสียงนี้มาชายคนที่หัวล้านเงาวับแต่ดูจากผิวหน้าและรูปพรรณสัณฐานไม่ใช่คนสูงอายุเท่าไหร่ หนวดที่ไว้พอสวยงามดูรับกับแว่นและเสื้อผ้าที่ใส่ราวกับหลุดออกมาจากหนังเรื่องเดอะแมททริกส์อย่างไรไม่ทราบ
“ฉันเชื่อว่าแหล่งข่าวของเราน่าเชื่อถือเสมอ ไดเรน”ชายอีกคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูแผนที่ แล้วสั่งให้แสดงภาพสามมิติขึ้นมา “น่าจะอยู่ตรงสุดมุมถนนนั่นล่ะ”
ทั้งคู่เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหารที่ดูจะเจ๊งมานานแล้วแห่งหนึ่ง
“พวกใต้ดินนี่ช่างสรรค์หาที่กบดานจริงๆ นะครับ”ชายหัวล้านพูดขึ้นมาลอยๆ เรียกรอยยิ้มมุมปากของชายอีกคนปรากฎขึ้นมาเบาบางในขณะที่มือเอื้อมไปเปิดประตูที่เต็มไปด้วยฝุ่นบานทั้งเก่าและโทรมอย่างเบามือ และก้าวเท้าเข้าไปในร้านที่มีฝุ่นเยอะกว่าบนบานประตูประมาณห้าเท่า ทั้งคู่หันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนคนไม่มีผมจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวส่งให้อีกคนไปปัดเอาฝุ่นออกจากสูทราคาแพงที่สวมอยู่
“เราอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก”ชายผมบลอนส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแล้วกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านในร้านซึ่งมีเค้าท์เตอร์อยู่
อ้อมไปด้านหลังเค้าท์เตอร์นั้นมีบันไดลงไปสู่ชั้นใต้ดิน ตามข้อมูลที่ได้มา ที่นี่เป็นที่กบดานของทามเมอร์ผิดกฎหมายกลุ่มแถวหน้าที่คิดค่าจ้างแพงหูฉี่ นอกจากนั้นยังเลือกรับงานอย่างเข้มงวดและทำงานพลาดน้อยมากด้วย ปกติแล้วกลุ่มทามเมอร์เถื่อนลักษณะนี้มีจะกระจายอยู่ทั่วทั้งนิวยอร์ก และมีชื่อเรียกเฉพาะที่รู้จักกันในวงใน แต่สำหรับทีมนี้เป็นทีมที่ไม่มีใครรู้จักชื่อ ซึ่งก็โด่งดังเกินหน้าเกินตาหลายๆ ทีม จนทั้งคนวงใน และนักล่าเงินรางวัลทั้งหลายที่พยายามจะตามจับสมาชิกของทีมนี้ต้องสรรหาชื่อมาเรียกแทนพวกเขาว่า ‘พวกนิรนาม’
แน่นอนว่าจากชื่อเสียงเรียงนามที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่ามันจะเป็นแค่ข่าวโคมลอยหรืออะไรก็ตาม แต่ก็คงไม่มีใครโง่ที่จะบุกเข้ามาตีรังโจรระดับนี้กันโต้งๆ แค่สองคน...พวกเขาไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่องพวกทามเมอร์ผิดกฎหมาย เพียงแต่ไม่มีเวลาจะมานั่งรอฝ่ายคัดกรองว่าจะเลือกรับงานที่พวกเขาจะว่าจ้างหรือไม่รับก็เท่านั้น...
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินลงบันไดเพื่อตรงไปหาประตูที่อยู่ปลายทาง แต่ก่อนที่เขาจะเข้าถึงมันเพื่อที่จะหมุนลูกบิดด้วยตัวเองนั้น ก็มีคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังบานประตูนั้นเปิดมันออกมาต้อนรับพวกเขาก่อนเสียแล้ว...
เด็กหนุ่มผมทองยาวประบ่า ร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับวัยรุ่นเล่นกล้ามทั่วไป เมื่อดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั้นสบเข้ากับร่างไม่คุ้นเคยสองร่างของแขกไม่ได้รับเชิญนั้นก็มีทีท่าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะผลักมือเพื่อปิดประตูบานนั้นลงแล้วเอาตัวมายืนขวางมันไว้ เขาจ้องมองสองร่างที่กำลังเดินลงบันไดมาด้วยแววตาฉงน
“พวกคุณคือ...?”เด็กหนุ่มเอียงคอเล็กน้อย เมื่อสองร่างกำลังจะเดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“ลูกค้าน่ะ...แค่ลูกค้า”ชายแปลกหน้าตอบ เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“ปกติลูกค้ามักไม่บุกมาที่นี่นะ และพวกเราก็ไม่ค่อยต้อนรับพวกลัดคิวซะด้วย”เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก มองสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกไปจากเดิม ก่อนจะหลุบตามองจอโทรศัพท์แล้วกดอะไรบางอย่างด้วยท่าทางสบายๆ “ถ้ารู้ลึกถึงขนาดรู้จักที่นี่ ก็น่าจะเข้าใจระบบการจ้างงานของพวกเรา ผมจะเตือนเพราะความหวังดีแล้วกัน ถ้าไม่อยากเดือดร้อนคุณน่าจะรีบกลับออกไปดีกว่านะ”
“โอ้ๆ ใจเย็นๆ สิหนุ่มน้อย พวกเราแค่มีเหตุผลนิดหน่อยทำให้ไม่สามารถต่อคิวได้ก็เลย...”คำอธิบายถูกขัดลงกลางคันเมื่อโทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาแนบหู แล้วมืออีกข้างที่ว่างก็ยกขึ้นมาทำปางห้ามญาติราวกับจะบอกให้เขาหยุดทำเสียงหนวกหูระหว่างที่ตัวเองกำลังจะคุยโทรศัพท์ เด็กหนุ่มตรงหน้าดูไม่ได้เป็นกังวลกับการที่มีคนแปลกหน้าบุกมาอยู่หน้าประตูที่กบดานเท่าไหร่เลย นี่ไม่คิดจะระวังตัวอะไรกันเลยเหรอ
[ไง เจเรมี่ เหมือนเราเพิ่งคุยกันเมื่อกี้เองไม่ใช่เหรอ?]
“ฮ๊าย บอส ใช่ แต่นั่นมันก่อนที่ผมจะได้คุยกับตาลุงใส่สูทหน้าไม่คุ้นสองคนที่หน้าประตูนี่ เขาบอกว่าตัวเองเป็นลูกค้า ผมว่าคุณน่าจะอยากรู้นะ”เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ คนโดนพาดพิงคิ้วกระตุกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร แม้จะรู้ว่าถูกกล่าวถึงก็ตาม
[ลูกค้าเหรอ งั้นรอนั่นเดี๋ยว กำลังออกไป]
“โอเค ตามนั้น”เด็กหนุ่มวางหูโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมามองสองคนตรงหน้า “ผมโทรเรียกบอสมาให้แล้ว แต่ขอบอกว่าเป็นไปได้ยากที่จะจ้างงานลัดคิว ออ...แล้วก็ยากอีกเหมือนกันที่จะแอ๊บเป็นลูกค้ามาลากคอใครสักคนที่นี่ไปแลกกับเงินรางวัลนำจับ หรืออะไรทำนองนั้น ไม่ใช่แค่พวกคุณหรอกนะที่พยายามจะเริ่มน่ะ”เด็กหนุ่มยักใหล่อย่างกวนๆ ท่าทางสบายๆ แบบนั้นไม่ค่อยสอดคล้องกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมาเท่าไหร่ แต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสักคำเดียว
“วางใจเถอะ พวกเราไมได้มาหาเรื่องหรอก”เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีอย่างไม่สนใจ พลางคิดดูถูกในใจว่า ถึงจะมาหา แต่ก็คงไม่ได้เรื่องหรอก “ดูเหมือนไม่แปลกใจเท่าไหร่เลยนะ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเหรอ”
“ก็ไม่บ่อยมากหรอก”เด็กหนุ่มตอบห้วนๆ แล้วก้มลงเล่นโทรศัพท์ในมือไปพลาง
“แล้วถ้าพวกฉันเป็นคนของม็อทล่ะ?”ประโยคนี้ทำให้คนถูกทามชอนตาขึ้นมามอง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วหันไปสนใจกับวัตถุในมือต่อ
“ม็อทไม่โง่พอจะส่งคนบุกเข้ามาที่นี่โต้งๆ แบบนี้ พูดให้ถูกคือ พวกเขาไม่ทำเรื่องผิดพลาดเดิมๆ ซ้ำหลายๆ รอบหรอก นี่คุณ...ผมต้องยืนเฝ้าคุณก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าต้องมาคอยตอบที่ชวนคุยด้วยนะ ยืนรอไปเงียบๆ เถอะ”
“เสียมารยาทจริงนะ เจเรมี่”เสียงนี้ดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูถูกเปิดออก คนโดนดุว่าเสียมารยาทละสายตาจากโทรศัพท์หันมาสนใจคนที่เพิ่งออกมาทันที “ต้องขอโทษที่ลูกทีมผมพูดจาไม่สุภาพ เขาว่าคุณอ้างตัวว่าเป็นลูกค้า มีธุระอะไรไม่ทราบครับ”ท่าทางสุภาพเหมือนเป็นคนละคนกับคนเดิมที่เขาเคยรู้จักเรียกเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจในลำคอเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อเจเรมี่เล็กน้อย เขากรอกตาไปมาก่อนจะเอ่ย
“เออ แค่นี้ใช่ไหม ผมอยากกลับไปนอนเต็มทีแล้ว”ไม่รอคำตอบ เด็กหนุ่มเดินออกไปจากตรงนั่น ผ่านร่างสองคนบนบันไดไปแบบเซ็งๆ คนเพิ่งออกมาจากประตูมองตามร่างเด็กหนุ่มแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันมาสนใจกับแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้า
“แล้วสรุปว่าธุระของพวกคุณคือ...?”
“เราอยากจะมาจ้างทามเมอร์ของคุณทำงานง่ายๆ ชิ้นนึงให้เรา ค่าลัดคิวเรียกกี่หลักก็ได้ ขอแค่งานสำเร็จก็พอ”เป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“แหม่...ปกติแล้วทีมเราก็ไม่มีระบบลัดคิวเสียด้วย”บาลุสยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะพิงหลังกับประตู
“อันที่จริง เราไม่ได้มาจ้างทีมคุณ แต่มาเจาะจงจ้างเฉพาะทามเมอร์ในทีมคุณนะครับ”ประโยคนื้ทำให้คนฟังเริ่มขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาเริ่มคิดว่าเวลาอันมีค่าของเขาไม่ควรเอามาเสียกับการเสวนากับชายในชุดสูทราคาแพงที่ดูเหมือนจะผ่านโลกมืดมาน้อยเกินกว่าที่เขาจะยอมรับให้มาเป็นลูกค้า
“ระบบนี้ยิ่งไม่มีใหญ่เลยครับ”
“โอ้ว...แน่นอน มันไม่มี”ชายผมน้ำตาลเฉกเช่นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลของเขาเอ่ยพลางหันไปยิ้มแปลกๆ ให้กับชายหัวโล้นที่มาด้วยกัน “ถ้าเราตั้งใจจะเล่นไปตามระบบของคุณ เราคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่หรอก คุณบาลุส”ประโยคนี้เรียกความสนใจของคนฟังกลับมาอีกครั้ง บาลุสมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอย่างแปลกใจ เขาพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาลลุ่มลึกนั่น
“คุณรู้ชื่อจริงผม”บาลุสพูดขึ้นมาลอยๆ
“ใช่ ผมรู้”ชายตรงหน้าเอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “และเชื่อเถอะ...ไม่ใช่แค่ชื่อคุณหรอกพี่ผมรู้”
สองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่ครู่โดยไม่มีใครพูดอะไร บาลุสครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ นอกจากคนในทีมแล้วไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขา คนตรงหน้านี้เป็นใครกันแน่?
“ผมชักจะอยากรู้แล้วสิว่าเด็กผมคนไหนที่ไปทำคุณพิศวาสขนาดต้องลงทุนจ้างเป็นรายบุคคล ดูเหมือนเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวนะครับ สนใจจะเข้าไปดื่มอะไรข้างในไหม”บอสใหญ่ออกปากชวนแล้วเปิดประตูบานที่พิงอยู่เมื่อสักครู่เป็นการเชื้อเชิญ และดูเหมือนคนถูกเชิญจะถือคติว่า กล้าเชิญก็กล้ารับ
“ด้วยความยินดีครับ”
ภายในเงียบสนิทผิดกับปกติที่เป็น พลั้มส์ที่ปกติจะสนุกสนานกับการเป็นดีเจก็สละหน้าที่ ปิดเพลงปิดเครื่องกระจายเสียงแล้วหันมานั่งขัดสมาทบนเค้าท์เตอร์บาร์แทน ทุกสายตาจับจ้องมาที่สองร่างซึ่งเดินตามบอสใหญ่ของพวกเขาเข้ามาในนี้ แน่นอนว่าให้ความรู้สึกเป็นมิตรและอบอุ่นสุดๆ ดูเหมือนทุกคนจะรู้ว่าโซฟากำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เจรจาธุรกิจ จึงไม่มีใครนั่งอยู่บนนั้นเลย
“พวกนั้นใคร?”ซิมิทรี่พูดขึ้นมาลอยๆ ขณะที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงๆ ไม่ต่างจากคนอื่น ปกติมีคนแปลกหน้าโผล่มาหาเรื่องที่นี่เป็นครั้งคราวก็จริง แต่ไม่ค่อยมีที่โดนเชิญเข้ามาข้างในแบบนี้หรอก ส่วนใหญ่จะซี้ม่องเท่งตายกันตั้งแต่หน้าประตู หรือไม่ทุกคนก็ชิ่งหนีไปก่อนแบบรวดเร็วสายฟ้าแลบซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนที่นี่ถนัดอยู่แล้ว แต่แบบนี้มันออกจะแปลก บาลุสเป็นพวกไม่ค่อยชอบเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี่นา...?
“เห็นว่า เขาอ้างตัวว่าเป็นลูกค้าน่ะครับ”แดเนียลที่ย้ายมานั่งข้างๆ สองพี่น้องเป็นคนไขข้อข้องใจให้คำถามลอยๆ นั้น ซิมิทรี่ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก นี่มันยิ่งกว่าไร้สาระเสียอีก บอสของเขาไม่เคยรับงานนอกระบบอยู่แล้ว นี่หมอนั่นเป็นใคร แล้วทำอะไรกับตาแก่งั่งบาลุส
นึกประชดอยู่ในใจ แต่ในเมื่อหาคำตอบให้กับความสงสัยของตัวเองไม่ได้จึงทำได้แต่นั่งมองเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ
“ริชาร์ท ขอกาแฟให้แขกหน่อย ของฉันเอาเหมือนเดิม”บาลุสหันมาพูดกับคนชงเครื่องดื่มที่อยู่ในภวังค์ความงงไม่ต่างจากคนอื่นๆ หลังจากถูกสั่งแล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาชงกาแฟตามที่ว่า ชายหนุ่มหันมาสนใจกับวงสนทนาอีกครั้ง เขาหย่อนก้นลงบนโซฟาแล้วเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม “เรามาเริ่มที่ว่าคุณเป็นใครก่อนดีไหม”
“ผมชื่อ ซีซาร์ ลูอัส มัวร์ ครับ ส่วนนี่เลขาผม ไดเรน เผื่อเราจะซื้อความไว้ใจจากคุณมาได้บ้าง ผมจะบอกสิ่งที่คุณควรรู้ให้หมดเลยแล้วกัน...พวกเรามาที่นี่ตามคำสั่งของเจ้านายใหญ่อีกที เขาคือ กิลเบิร์ด อเล็กซัส เคยเป็นนักวิจัยเวลาของม็อทเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นแค่เจ้าของกิจการทำนาฬิกาธรรมดา”
“บอกว่าหัวหน้าเคยเป็นนักวิจัยของม็อทนี่มันเพิ่มความน่าไว้วางใจตรงไหนวะ”ซิมิทรี่หันไปกระซิบกับริออร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งน้องชายของเขาก็ทำเพียงส่งเสียงชู่วให้เขาเงียบลงเท่านั้น คนโดนขัดใจหรี่ตาเล็กน้อยแล้วหันมาสนใจบทสนทนาตรงหน้าต่อ
“เชิญว่าต่อครับ”บาลุสกล่าวแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง
“เขาต้องการจ้างงานทามเมอร์ของคุณให้ทำงานบางอย่างให้เขา ซึ่งรายละเอียดงานคงต้องขอเชิญทามเมอร์ตามไปคุยที่สำนักงานเป็นการส่วนตัว”ซีซาร์อธิบายเพียงเท่านั้น เรียกคิ้วเรียวของคนฟังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ผมมีเหตุผลที่จะเอามาใช้ปฏิเสธหลายร้อยข้อมากเลยครับ อยากจะฟังไหม?”บาลุสพูดเชิงประชดหลังจากเขาได้ยินข้อเสนอการจ้างงานที่สุดแสนจะไม่เข้าท่า ดูเหมือนการเจรจานี้ได้ข้อสรุปแล้ว
“คุณกิลเบิร์ดคาดไว้แล้วว่าคุณจะปฏิเสธในทันทีครับ แต่ท่านบอกว่า ให้ผมคุยกับทามเมอร์โดยตรงจะง่ายกว่า”ผู้ว่าจ้างยังคงยืนยันจะเจรจาต่อ บาลุสกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย เขาเริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลากับเรื่องนี้มากเกินไปเข้าทุกที
“ผมคงจะต้องถามแล้วล่ะครับ ว่าคุณมาเพื่อจ้างใครกัน?”เขาเริ่มเจาะประเด็นที่สงสัยมานาน เป็นจังหวะเดียวกับที่ริชาร์ทนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม
สองคนตรงหน้าเงียบไปครู่ก่อนจะยิ้มออกมาเบาบาง ขณะที่เขากวาดสายตาไปรอบห้องราวกับมองหาใครอยู่ และดวงตาคู่สีน้ำตาก็มาหยุดที่สองพี่น้องผมเงินที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองคู่สนทนาอีกครั้ง
“ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นมือหนึ่งของทีมคุณ”ซีซาร์หยิบน้ำตาลก้อนใส่ลงไปในถ้วยกาแฟของเขาแล้วพูดไปด้วย เขาใช้ช้อนคนให้มันละลายก่อนที่จะจิบมันไปหนึ่งคำพร้อมกับเปรยตากลับไปมองที่สองพี่น้องคนเดิมอีกครั้ง “สองพี่น้องซัลปิแอร์ ผมมาที่นี่เพื่อเจรจากับพวกเขา”
คราวนี้ทุกสายตาในห้องเปลี่ยนจุดโฟกัสทันใดแบบมิได้นัดหมาย ทำเอาคนถูกพูดถึงสะดุ้งโหยงแล้วมองหน้ากันอย่างงุนงง
“หา??”ซิมิทรี่อุทานขึ้นมาเสียงหลง
“แฟนคลับเหรอ ซัลปี้”บาลุสเอ่ยแซวสองพี่น้องเรียกเสียงหัวเราะอื้ออึ่งในห้องดังขึ้นมาประปราย ทำเอาซัลปิแอร์คนพี่ยกมือขึ้นมากอดอกหรี่ตาใส่คนพูดมากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร “คุณถามเขาเอาเองแล้วกันนะว่าอยากจะคุยกับคุณหรือเปล่า ว่าไงซัลปี้?”บาลุสหัสไปมองสองพี่น้องอย่างขอความเห็น แต่แค่มองตาก็รู้ว่ามันเหมือนเป็นประโยคคำสั่งมากกว่า แต่ถ้าบาลุสไม่สบอารมณ์คนตรงหน้า พวกเขาก็คงไม่จำเป็นจะต้องเสวนาอะไรไปให้เสียเวลา
สองพี่น้องซัลปิแอร์มองหน้ากันอยู่ครู่แล้วยักใหล่ให้กันและกัน
“ไม่ต้องทำให้วุ่นวายหรอกบาลุส พวกเรายอมรับทุกการตัดสินใจของคุณอยู่แล้ว”ซิมิทรี่เป็นคนพูดขึ้นมา แล้วยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง คนเป็นเจ้านายมองเขาแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะสลับไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“น่าเสียดายนะครับ”บาลุสเหยียดตัวเชิงบินขี้เกียจเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งไขว่ห้าง ก่อนจะพาดมือทั้งสองข้างไว้กับพนักพิงหลัง
แขกคนพิเศษมองท่าทางของเขาด้วยสายตาเรียบเฉยๆ แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากเผยอยิ้มเล็กๆ แบบที่ไม่มีใครรู้ ก่อนที่เขาจะหันไปพูดกับสองพี่น้องคนเก่งหน้าตาเฉย ราวมองข้ามบทสนทนาเล็กๆ เมื่อครู่ไปเฉยๆ
“ผมได้ยินจากเจ้านายว่าก่อนหน้านี้คุณสองคนใช้ชีวิตโตมาในโบสถ์...”ซีซาร์พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาลอยๆ ที่ไปสะกิดบางอย่างให้สองพี่น้องซึ่งแกล้งทำเป็นไม่ได้ฟังให้หยุดคิดอย่างสงสัย ปกติเขาไม่เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กอย่างละเอียดให้ใครฟัง แม้แต่บาลุสก็ยังรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น “สาเหตุที่ต้องจากมา...ดูเหมือนจะเกี่ยวกับความสามารถพิเศษที่ไม่ทราบที่มาสินะครับ”
ถึงตรงนี้พวกเขาคงแกล้งทำหูทวนลมต่อไปไม่ได้ ดวงตาสีเขียวมรกตสองคู่เปรยมาสบกับชายคนพูดช้าๆ คนตรงหน้าไปสืบคนข้อมูลเหล่านั้นมาจากไหนเขาไม่สน แต่คนตรงหน้าชักจะรู้เยอะเกินไปหน่อยแล้ว
“รู้มากจังนะครับ”ซิมิทรี่หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นมากอดอก พิงหลังกับเค้าท์เตอร์บาร์ เรียกร้อยยิ้มหวานๆ ที่ดูเสแสร้างที่สุดเท่าที่เคยเห็นจากคนที่เขาเพิ่งประณามว่าเป็นคนรู้มากชนิดที่ว่ามองแล้วรู้สึกเหมือนโดนใครมากระตุกหนวดเล่น แม้เขาจะไม่ได้ไว้หนวดก็ตาม
“เท่านี้ยังไม่เรียกว่ามากหรอกครับ บางทีพวกคุณอาจลองคิดดูใหม่เรื่องการสทนาเล็กๆ น้อยของเรา”ซีซาร์กล่าวอย่างสุภาพ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด เหมือนมีอะไรบางอย่างพยายามบอกเขาว่าการหลีกเลี่ยงที่จะเจรจากับคนพวกนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดอีกต่อไป
สองพี่น้องซัลปิแอร์หันไปมองหน้าบาลุสราวกับจะขออนุญาต คนถูกส่งสายตาอ้อนวอนเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“ตามใจก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำอนุญาต ทั้งสองคนจึงค่อยๆ ก้าวเท้าตรงมาที่โซฟา แล้วหย่อนก้นลงข้างๆ บาลุสอย่างช้าๆ พร้อมกับสีหน้าเรียบเฉยๆ ที่เจือปนความไม่เป็นมิตรประปราย เมื่อทุกคนอยุ่ในท่าทางพร้อมที่จะพูดคุยแล้ว แขกไม่ได้รับเชิญจึงตัดสินใจพูดต่อ
“ค่อยยังชั่วหน่อย ผมล่ะกลัวอยู่ว่าจะต้องกลับไปแบบคว้าน้ำเหลว เอาล่ะในเมื่อทุกคนดูกระตือรือร้นขนาดนี้เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ"คราวนี้คนที่ทำท่าทางสบายกลับกลายเป็นฝ่ายซีซาร์ที่ยิ้มตาปรือดูเกือบจะเป็นมิตร ในขณะที่สองพี่น้องนั่งขมวดคิ้วจ้องเขาเสียหน้าผากแทบทะลุแต่แน่นอนว่าก็ทำได้เพียงแค่นั้นเท่านั้น “ตามที่ผมได้บอกไป เจ้านายของผมไม่ได้ต้องการจ้างทีมของคุณ แต่ต้องการจ้างพวกคุณสองคนเป็นการส่วนตัว รายละเอียดงานยังไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะอธิบาย ถ้าพวกคุณสนใจทำสัญญาว่าจ้างเมื่อไหร่ท่านจะเป็นคนบอกพวกคุณเองครับ"ซีซาร์กล่าวเรียบๆ เด็กสองคนมองหน้ากันอยู่ครู่เหมือนสื่อสารกันได้ทางจิต ก่อนที่ซิมิทรี่จะเป็นคนหันมาพูด
"พวกคุณนี่ประสาทกลับหรือเปล่า ไม่บอกรายละเอียดงานแล้วใครมันจะไปทำสัญญาจ้างกัน อีกอย่าง...คุณพูดถึงสัญญาในที่กบดานของอาชญากรเนี่ยนะ ของผูกมัดพรรค์นั้นไม่มีอยู่ในสารานุกรมใครที่นี่ทั้งนั้น ไม่ไว้ใจก็ไม่ต้องจ้าง จบข่าว"น้ำเสียงยียวนกวนประสาทบวกกับสายตาเอาเรื่องนั้นเป็นตัวบ่งบอกว่าซัลปิแอร์คนพี่เริ่มมีน้ำโหแล้ว แม้ซิมิทรี่จะเก่งเรื่องการพูดคุยและผูกมิตรกับคนอื่นๆ มากกว่าริออร์ แต่ก็ต้องยอมรับกันตรงนี้ว่าเรื่องที่คนเป็นน้องเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิงคือการควบคุมอารมณ์และอดกลั้นในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ต้องพูดถึงการหักห้ามใจไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่ามวู่วามตอนที่อารมณ์ไม่ปกติ ซิมิทรี่ ซัลปิแอร์ ทำไม่เป็นอยู่แล้ว
ริออร์เปรยหางตาไปสังเกตท่าทางของพี่ชายอย่างหวานเสียว เขาต้องคอยจับตาดูคนตรงหน้าเอาไว้ เกิดมีทีท่าจะทำอะไรไม่คิดขึ้นมาจะได้ลุกขึ้นไปห้ามทัน แม้ที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยทันก็ตาม
"แหม...พูดแบบนี้ผมก็ลำบากใจเลยนะเนี่ย"ซีซาร์ยกมือขึ้นมาลูบคางแล้วทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย "แต่ยังไงก็คงไม่ได้หรอกครับ เพราะท่านกำชับผมมาเสียด้วยว่าอยากจะเป็นคนบอกรายละเอียดงานด้วยตัวเอง เอาเป็นว่า...พวกผมไม่เร่งรัดแล้วกัน คำตอบขึ้นอยู่กับพวกคุณทั้งคู่ ช่วยลองเก็บเอาไปคิดหลังจากนี้ด้วยแล้วกันนะครับ"คนตรงหน้ายิ้มแปลกๆ ให้ทั้งสองคนอีกครั้ง ยิ่งกระตุกต่อมน้ำโหให้คนตัวเตี้ย ขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ
พวกบ้านี่มันคิดอะไรของมัน...ต่อให้ให้เวลาคิดอีกกี่ชาติคำตอบก็เหมือนเดิมอยู่ดี ถึงจะแปลกใจที่คนตรงหน้ามีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขามากมาย แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่จะเอามาเป็นเงื่อนไขในการรับงานงี่เง่านี่ได้ ยิ่งโปรไฟล์เลิศหรูอลังการไปด้วยความลับแบบนี้มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดจะไปเสี่ยง และโชคร้ายของพวกนั้นที่พวกเขาก็ไม่ได้บ้าเสียด้วย
"ขอบคุณครับ แต่ผมว่าเรามีคำตอบแล้วล่ะ"ซิมิทรี่ตัดบท
“ผมว่าคุณคงไม่อยากด่วนตัดสินใจหรอกครับ"ซีซาร์วางแก้วกาแฟลงที่แล้ว เหมือนไดเรนจะรู้จังหวะดีจึงส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้คนเป็นเจ้านายเอามาเช็ดปาก "ดูเหมือนเรารบกวนเวลาพวกคุณมามากแล้ว ขอพูดอีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่พวกผมจะไป”
แขกทั้งสองหยัดกายลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกัน แล้วหยุดมองหน้าสองพี่น้องสลับกันอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ย
“ท่านบอกว่าโบสถ์ เซ็นต์ บรัสวิก เป็นโบสถ์ที่สวยงามมากครับ และบาทหลวงใหญ่ที่นั่นก็ให้คำปรึกษาได้ดีทีเดียว คุณกิลเบิร์ตท่านฝากมากำชับคุณทั้งสองคนด้วยว่า ‘ตอนนี้’ หลวงพ่อปีเตอร์ ‘ยัง’ สบายดีนะครับ”ถึงตรงนี้ดูเหมือนเส้นอารมณ์ที่ตึงมาจากการนั่งคุยธุรกิจที่เหมือนจะเป็นการเจรจาฝ่ายเดียวขาดดังเปรี๊ยะ ซัลปิแอร์คนพี่หยัดพรวดขึ้นหลังจากที่ทนฟังประโยคใจความกำกวมมามากพอแล้ว ริออร์ใช้แขนล็อกบ่าข้างหนึ่งของพี่ชายเอาไว้ ก่อนที่เขาจะทำอะไรวู่วามไปมากกว่านี้
“หวังว่านี่คงจะไม่ใช่การขู่นะครับ”ริออร์พูดขึ้นมาแทนซิมิทรี่ที่มองข้ามการเจรจาไปถึงการใช้กำลังเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้พวกผมมีธุระแค่นี้แหละครับ ส่วนเรื่องคำตอบก็แล้วแต่คุณทั้งสองคน ถ้าสนใจจะเจรจาธุรกิจต่อเป็นการส่วนตัว อีกสองวันก็ให้ไปตามที่อยู่นี้นะครับ”ซีซาร์รับกระดาษใบเล็กๆ ขนาดเท่านามบัตรจากไดเรน แล้ววางมันลงบนโต๊ะเล็กซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่คั่นกลางระหว่างเด็กหนุ่มที่ดูเริ่มมีน้ำโหกับเขาเอาไว้
“บุกมาถึงที่นี่คิดว่าอยากจะกลับก็กลับได้เหรอครับคุณซีซาร์”ซิมิทรี่หรี่ตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างที่เขามักไม่ค่อยใช้มองกับใครเท่าไหร่ ริออร์มองตาคนเป็นพี่ก็รู้เลยว่าตอนนี้ซิมิทรี่กำลังอดกลั้นอารมณ์เป็นอย่างมาก แม้พี่ชายเขาจะเป็นคนอารมณ์ขัน แต่ลึกๆ แล้วก็เป็นคนที่โมโหได้รุนแรงพอตัวถ้ายั่วถูกจุด และครั้งก็ดูเหมือนลูกศรจะยิงตรงเป้าเป๊ะเลยทีเดียว
“ผมเห็นว่าประตูมันก็ยังอยู่ที่เดิมนี่ครับ”ซีซาร์กล่าวเรียบๆ แล้วเดินตรงไปที่ประตูบานเดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร
คนอื่นๆ ในห้องนั้นดูเหมือนจะเริ่มอ่านสถานการณ์ออกว่าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นมิตรเท่าไหร่ จึงพากันมายืนขวางทางแขกพิเศษสองคนเอาไว้ เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ลองคิดดีๆ นะครับมิสเตอร์ซัลปิแอร์ จะดีเหรอ ที่จะปล่อยพวกเพื่อนๆ คุณทำอะไรผมตรงนี้ ถ้าผมไม่ได้กลับไปรายงานผลกับเจ้านายภายในเย็นวันนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัยของหลวงพ่อปีเตอร์เท่าไหร่”ไม่ต้องรอให้พูดจบประโยค ร่างเตี้ยๆ ของซัลปิแอร์คนพี่ก็แทบจะโจนเข้าใส่อาคันตุกะปากดีตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด ติดตรงที่น้องชายผู้แสนจะใจเย็นของเขามาห้ามเอาไว้อีกจนได้ ซิมิทรี่หันไปค้อนใส่น้องชายที่วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง แต่แล้วก็ได้รับสายตาแบบเดียวกันส่งกลับมา
สองพี่น้องเริ่มกระบวนการสื่อสารกันทางสายตาอีกครั้ง ก่อนที่ซิมิทรี่จะทำตัวให้ดูเหมือนสงบลงโดยการสะบัดมือของน้องชายออกแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นดื้อๆ กลับไปนั่งกุมขมับที่เค้าท์เตอร์บาร์ตามเคย ริออร์มองตามร่างพี่ชายจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครระเบิดตามมาทีหลังแล้วถอนหายใจออกมาเบาก่อนจะหันกลับมา
“บาลุส...ได้โปรด”ซัลปิแอร์คนน้องเอ่ยกับร่างที่นั่งเงียบเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่บนโซฟาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างอ้อนวอน แต่ดูท่าทางคนฟังจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันเท่าไหร่ ริออร์เม้มปากเล็กน้อย “ผมขอร้อง”
คนพูดน้อยลงทุนขอร้องขนาดนี้ แม้จะไม่อยากเข้าใจแต่สุดท้ายคนเสแสร้างทำเป็นนิ่งเฉยก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ แล้วชอนตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกตคู่สวยของคนตรงหน้า
“นายกับพี่นาย ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป นั่งคิดคำอธิบายเตรียมไว้ได้เลย”บาลุสพูดกับเขาพร้อมกับสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเบือนหน้าไปหาคนอื่นๆ ที่ยืนขวางประตูเอาไว้ “ทุกคน...หลีกทางให้พวกเขา”
เสียงกระซิบเซงแส้ดังขึ้นมาน้อยๆ หลังจากที่เจ้านายให้คำสั่ง แม้จะยังอยู่ในความสงสัยแต่เมื่อบาลุสพูดเช่นนั้นทุกคนก็ไม่คิดจะขัดคืน ทางเดินแหวกออกให้แบบแคบๆ แนบชิดอบอุ่น แถมสายตาจิกกันที่มองตามจนกระทั่งสองร่างเดินออกไปจากประตู นี่จะเป็นครั้งแรกที่มีคนบุกเข้ามาที่นี่แล้วรอดกลับไปแบบครบสามสิบสอง ทุกคนนิ่งอยู่ในภวังค์กันแบบนั้นสักครู่ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่มาก่อน
“ขอบคุณครับ”ริออร์ก้มหัวให้บาลุสพอเป็นพิธี
คนถูกขอบคุณที่กำลังนั่งกอดอกครุ่นคิดอะไรบางอย่างเปรยตามองไปตามร่างของริออร์ที่เดินจากตรงนั้นกลับไปหาคนเป็นพี่ชายที่บาร์และดูเหมือนพยายามพูดบางอย่างกับเขาที่ไม่ได้อยู่ในโหมดของคนที่อยากจะฟังเท่าไหร่ ดูจากการที่ริออร์พยายามเอามือไปวางบนใหล่เขาเพื่อเรียกสติแต่กลับถูกปัดทิ้งด้วยมือของคนตัวเตี้ยกว่าพร้อมกับยืนพรวดขึ้นมากระชากคอเสื้อน้องชายด้วยความโมโห
ถึงตรงนี้บาลุสจึงตัดสินใจเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนที่สองพี่น้องจะมาทะเลาะกันเอง
“ฉันเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าห้ามมีเรื่องกันในนี้”เสียงนี้เรียกให้ร่างของซัลปิแอร์คนพี่ชะงักไปจังหวะหนึ่ง เขาหันมามองหน้าบาลุสแล้วสลับไปที่ริออร์ สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือที่ดึงคอเสื้อคนตรงหน้าเสียยืดย้วย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตามเคย
บาลุสลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้น แล้วหันตัวมาทางสองพี่น้องตัวปัญหาพร้อมกับล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป่า
“คุยกันหน่อยไหม ซัลปี้”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เย่ๆ ได้อัฟซักที คือหายนานมาก5555
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อุตส่าห์อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
อ่านแล้วเม้นท์กันบ้างนะ รักทุกคนเลย จุ๊ฟฟฟ 5555
ความคิดเห็น