ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Time Jumper [บันทึกการเดินทางเหนือกาลเวลา]

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter03

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 57


    "> SQWEEZ


              ก๊อกๆๆ

     

                เสียงเคาะประตูที่ไม่เคยดังมาหลายสิบปีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงลมกับเสียงใบไม้ใบหญ้าเสียดสีกันในป่าลึกที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงออกมาเป็นร้อยๆ ไมล์ นอกจากบ้านสองชั้นทำจากไม้หลังเล็กๆ นี้แล้ว ระแวกนี้แทบไม่มีใครอาศัยอยู่ ไม่มีไฟฟ้าใช้ น้ำประปามาไม่ถึง มีเพียงแม่น้ำลำธารใกล้ๆ ที่ก็เริ่มบอบช้ำเต็มทน จากฝีมือของมนุษย์ โลกก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แต่กลับบั่นทอนสมดุลทางธรรมชาติมากมายเสียจนยากที่จะบูรณะ

     

                ก๊อกๆๆ

     

                คนหน้าประตูยังคงไม่หยุดเคาะ เขาแน่ในว่าที่นี่มีคนอยู่เพียงแต่หวาดระแวงเกินกว่าจะเปิดประตูให้ใคร

     

                “ผมรู้ว่าคุณยังอยู่”เสียงทุ้มต่ำของชายในชุดเสื้อแจ็กเก็ตตัวหน้าสีดำดูลึกลับ เขาสวมฮูทและแว่นกันแดดกรอบโตปิดหน้าปิดตาเอาไว้ แต่อย่างน้อยผมข้างหน้าที่ยาวรุงรังลงมาก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวมีผมสีดำ “ได้โปรด...เปิดประตูเถอะ”ชายหน้าประตูยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขายังรอคอยเจ้าของบ้านออกมาเปิดประตูให้แม้บ้านจะดูเก่าโทรมราวกับเป็นบ้านรกร้างก็ตาม

     

                “เสียงนั่น...หรือว่าเธอ...”การรอคอยไม่เสียเวลาเปล่าเมื่อเขาได้ยินเสียงใครบางคนเล็ดลอดผ่านช่องประตูออกมา ก่อนที่ประตูไม้ผุๆ บานนั้นจะค่อยๆ เปิดออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ก็ไม่อาจเก็บซ่อนเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากสนิมบนบานพับประตูได้...

     

                เจ้าของบ้านเป็นชายสูงอายุค่อนไปทางชรา หัวของเขาล้านตรงกลางศรีษะส่วนผมที่ขึ้นอยู่รอบๆ ก็หงอกขาวเสียจนไม่เหลือสีเดิม เขายื่นหัวผ่านช่องประตูที่จงใจเปิดออกมาเพียงน้องนิดเพื่อมองว่าแขกไม่ได้รับเชิญคือใคร และแล้วดวงตาสีน้ำตาลอมเทาเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อ เมื่อทอดสายตามองผ่านแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมที่ห้อยอยู่ปลายจมูกไปสบเข้ากับใบหน้าคมคายมีหนวดเคราเล็กน้อย แม้มันจะถูกปิดบังไปด้วยเงาฮูทและแว่นกันแดด แต่เขายังจำมันได้ดี

     

                “โอพระเจ้า นี่เธอ...เธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่...”ประตูเปิดกว้างขึ้นอีกนิดเพื่อเชิญให้คนตรงหน้ารีบเข้ามาก่อนจะมีใครมาเห็นเข้า เขากวาดสายตามองรอบๆ บ้านอยู่ครู่ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเก่า “ใครตามเธอมาหรือเปล่า...”เขาหันกลับมาพูดกับคนอายุน้อยกว่าที่เขาเพิ่งเชิญเข้ามา

     

                “ผมสลัดพวกเขาได้ตั้งแต่ก่อนหนีออกมาจากนิวยอร์ก”เสียงเรียบๆ ตอบกลับมาพร้อมกับที่เจ้าตัวถอดแจ็คเก็ตออกแล้ววางมันลงบนโต๊ะไม้ที่มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว “คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ”

     

                “ใช่...และมันปลอดภัยดี อย่างน้อยก็ก่อนที่เธอจะก้าวเข้ามา”ชายชรากล่าวแล้วเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาเขา “รู้ใช่ไหมว่าที่ทำอยู่มันเสี่ยง...”

     

                “ไม่มีคำนั้นในพจนานุกรมของผมมานานแล้ว”ชายหนุ่มถอดแวนตาออกมาเสียบไว้ที่คอเสื้อ แล้วหันมองควับกลับมาหาเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ที่แม้ข้างขวาจะถูกผ้าปิดตาสีดำปิดเอาไว้มิดชิดแต่ข้างที่เหลือก็ยังส่งผ่านความเยือกเย็นมาได้ดีไม่น้อย นัยน์ตาข้างเดียวสีเขียวมรกตจับจ้องมองตรงไปข้างหน้าราวกับกำลังมองตรงไปที่เป้าหมายของตัวเองอย่างแน่วแน่

     

                “ฉันจะไม่ถามหรอกว่าเธอแหกคุกออกมาได้ยังไง แต่...ทำไม? เพื่ออะไรกัน?”ชายชราหรี่ตามองเขาอย่างต้องการคำตอบ เขาเอื้อมมือมาบีบแขนของชายหนุ่มแล้วกระตุกเล็กน้อย

     

    “ผมมีสิ่งที่อยากจะทำ”เขาตอบกลับมาสั้นๆ

     

    “ที่กระท่อมกบดานของฉันเนี่ยนะ?”เขาถามกลับเพราะเชื่อว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างที่กำลังปิดบังอยู่

     

    “ผมมาที่นี่เพื่อมาหาคุณ...ผมต้องให้ช่วย”

     

    “วันแรกที่ฉันหนีตายมาได้ และซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ตอนนั้นฉันคิดว่า...พอกันทีสำหรับการช่วยเธอ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”เป็นคำปฏิเสธที่ฟังดูเหมือนนุ่มนวลแต่ก็เด็ดขาดหนักแน่นอย่างที่คนฟังไม่อยากให้มันเป็น “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น...เธอรู้ไหม? มันเกิดขึ้น เพราะฉันช่วยเธอ และมันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้น...ไปซะ”ชายชราผายมือไปทางประตู แล้วมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง

     

    ชายหนุ่มยืนนิ่งสบตากับชายชราอยู่ครู่ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำแล้วถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

     

    “คุณดูแก่ลงไปมากกว่าที่ผมคิดนะ”อยู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาลอยๆ ชายชราไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าพยายามจะสื่ออะไร “เวลาเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”ชายหนุ่มหยิบแจ็คเก็ตตัวเดิมขึ้นมาสวม ก่อนจะเดินอย่างเชื่องช้าไปหยุดหันหน้าเข้ากับประตูบานเดิมที่เขาเดินเข้ามา “คุณรู้ไหม...สิบปีที่ผมอยู่ข้างในนั่น ผมได้คิดอะไรมากมาย ถึงทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น...เพราะสิ่งที่ผมทำ ทุกคนที่ต้องตายไปกับเรื่องนี้...”

     

    ชายชรามองแผ่นหลังของชายหนุ่มโดยไม่พูดอะไร

     

    “มันเหมือนเห็นแก่ตัว...ที่ผมก็แค่ไม่อยากจะรู้สึกแบบนี้อีกต่อไป ความรู้สึกของการทำผิดพลาดครั้งใหญ่...ความสงสัยที่ว่าทำไมถึงเป็นผมที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ ความเจ็บใจจากการที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้หมอนั่น และอีกหลายๆ คนต้องตาย...คุณต้องเข้าใจมันพอๆ กับผมแน่...ผมถึงได้มา”ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนจะหันหน้าข้างมาเหลียวหลัง “รู้ไหม...คุณดูแก่ลงมากจริงๆ และนั่นย้ำเตือนเราเสมอว่าเวลาเดินไปข้างหน้า แม้มนุษย์จะพยายามเหลือเกินที่จะวิ่งย้อนไปข้างหลัง แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน มนุษย์มักเป็นฝ่ายผิดเสมอ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำมันไม่ถูกและไม่เคยถูก...แต่ผมก็แค่อยากจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง มันก็เท่านั้น...”

     

    พูดจบเขาก็หันหน้ากลับไปทางเดิมแล้วคลุมฮูทไว้บนหัวก่อนจะสวมแว่นตากลับไปอย่างเดิม

     

    “ลาก่อน...คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ”เขาพูดโดยไม่ได้หันหลับมามองชายชรา ก่อนจะก้าวเท้าพร้อมกับเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู...แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดมันออกไปนั้น...

     

    “เดี๋ยวก่อน...”เสียงนี้รั้งร่างของชายหนุ่มเอาไว้ เขาหันกลับมามองช้าๆ ในขณะที่ชายชราได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็ใจอ่อนให้คนตรงหน้าไปเสียทุกที “สัญญากับฉัน ว่าจะทำให้เรื่องทุกอย่างถูกต้องจริงๆ...”ชายชราว่า...ชายหนุ่มหันกลับมาสบตากับชายชราอยู่ครู่ราวกับต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง

     

    “ผมสัญญา”อีกฝ่ายตอบมาแล้วปล่อยมือจากลูกบิดประตู

     

    ชายชรามองซ้ายมองขวาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่เก๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่งแล้วเปิดค้นบางอย่างอยู่ครู่ สุดท้ายเขาก็คว้าเอากล่องไม้ทรงยาวขนาดพอจะใส่ปากกาสักแท่งออกมา แล้วจ้องมันอยู่ครู่

     

    “มาที่นี่เพื่อเจ้านี่สินะ”ชายชราเอ่ยอย่างรู้ทัน คนตรงหน้าใช้ความเงียบแทนคำตอบ แต่สายตาที่จับจ้องไปที่กล่องในมือเป็นที่รู้กันว่าเขาเดาไม่ผิด “มันเป็นอันสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ หลังเกิดเรื่องพวกเขาบุกเข้ามา ทำลายทุกอย่าง...เจ้านี่โชคดีที่รอดมาได้”

     

    “ขอโทษที่ผมมาเพื่อพรากมันไปจากคุณ”ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ แต่เจตนาเขาหมายความอย่างที่ว่าจริงๆ “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ผมก็ได้...”

     

    “ถ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ เธอคงไม่มาที่นี่แต่แรก ใช่ไหมล่ะ หืม...”ชายชรายิ้มออกมาเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มเบาบางผุดพลายขึ้นมาบนใบหน้าเฉยชาของชายหนุ่ม ทั้งคู่เดินเข้ามาหากันช้าๆ “สุขสันต์วันเกิดครบ32ปี เธอเองก็ดูโตขึ้นมากเหมือนกันนะ...”

     

    “ขอบคุณมากครับ...”

     

     

    ที่ใต้ดินอึกทึกครึกโครมเหมือนเช่นเคย โดยเฉพาะตอนนี้เป็นเวลามือเที่ยงทุกคนจึงมารวมกันข้างล่างมากกว่าปกติ แดเนียลและพรรคพวกในครัวงานยุ่งกว่าใครๆ เพราะเดี๋ยวคนนั้นก็อยากได้ไอ้นั่น คนนี้ก็อยากได้ไอ้โน่น วุ่นวายนิดๆ แต่ก็สนุกดี อย่างน้อยพวกหลังครัวก็มีเวลาให้ครึกครืนตื่นตัวไม่แพ้พวกมดงานที่ต้องคอยออกไปผจญเรื่องเสียงๆ หาเงินเข้ามา

     

    ร่างของเด็กหนุ่มผมยาวสีเงินกับเด็กสาวผมน้ำตาลอีกคนเปิดประตูเข้ามาข้างในหลังจากเพิ่งกลับมาจากข้างบน ดวงตาสีเขียวมรกตกวาดมองทั่วราวกับหาใครอยู่ แล้วมันก็ไปสบเข้าใบหน้าคุ้นๆ ของใครบางคนที่วางแหมะอยู่กับเค้าท์เตอร์บาร์ และเมื่อแน่ใจว่าเป็นคนๆ เดียวกับที่เขาถามตา ร่างสูงก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วตรงเข้าไปหาทันที

     

    ทางด้านคนถูกตามหาเมื่อเงยหน้ามาเจอสีหน้าดุๆ ของที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขา ก็ยิ้มออกมาอย่างล่องลอยก่อนจะเอ่ย

     

    “งายยย ริออร์ ไหนๆ วันนี้ก็ว่างขนาดนี้  ไปทูเล่กันไหม?”เสียงชักชวนแสนอ่อย ยานและยืด ดังมาจากเด็กหนุ่มที่ดูตาจะปรือๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอลในมือที่กรึ๊บเกินลิมิตไปมากโข คนโดนชวนหันมามองเป็นพี่ที่เอาหน้ายื่นเข้ามาจนแทบจะจูบกันอยู่มะรอมมะร่อแล้วใช้มือสองข้างขย่ำเข้าที่เรือนผมสั้นๆ สีเงินนั่นแล้วจิกหัวให้ออกไปห่างๆ อย่างขยะแขยง

     

    ทูเล่คือลานไอซ์สเก็ตเก่าใกล้ๆ แถวนี้ที่ปิดร้างไปนานแล้วตั้งแต่เขาสองคนยังไม่เกิดด้วยซ้ำ แต่สมัยที่มันยังเปิดก็ถือว่าเป็นที่ที่เยี่ยมยอดไม่น้อย พี่น้องซัลปิแอร์เริ่มย้อนเวลาไปที่นั่นตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เข้าร่วมกับใต้ดิน มันเป็นงานอดิเรกลับๆ ของสองพี่น้องที่ทั้งคู่ค่อนข้างมีฝีมือพอตัวเลยทีเดียว

     

    “เมาจะแย่ขนาดนี้ยังมีน่ามาชวนอีกเหรอ ใครเป็นคนเอาเหล้าให้เขาดื่มเนี่ย”ริออร์หันไปมองคนรอบๆ หวังจะหาตัวคนมือบอน แม้มันจะยากที่จะเชื่อสำหรับคนบุคลิคแบบนี้ แต่พี่ชายเขาคออ่อนอย่าบอกใคร แค่กรึ๊บสองกรึ๊บก็ทำเอาลงไปนอนเลื้อยกับพื้นได้แบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว

     

    “โทษที พอดีแก้วเราสลับกันน่ะ โคล่าเขาหวานจนเลี่ยนเลย”เสียงใสๆ ดังมาจากที่นั่งข้างๆ ถนัดจากพี่ชายเขา ไม่ต้องหันไปมองก็จำได้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร  โดยเฉพาะเมื่อคนพูดเดินอ้อมมาเอานิ้วลูบไล้ลงบนแก้มแดงๆ ของคนเมาอย่างเอ็นดู

     

    “สนุกใหญ่เลยนะ เบ็ตตี้”ริออร์กรอกตาไปมองสาวเจ้าที่กำลังหัวเราะชอบใจเมื่อได้แกล้งคนกะล่อนกลับสำเร็จ ในขณะที่เด็กหนุ่มผมยาวได้แต่ส่ายหน้ายอย่างเหนื่อยใจ

     

    “เขาดูน่ารักขึ้นเยอะนะ โอ๊ะ...ฮ้าย เซน โทษทีไม่ทันสังเกตเธอ”เบ็ตตี้มองข้ามใหล่ของริออร์ไปทักทายเซนที่เดินตามมา

     

    “หวัดดี เบ็ต เอ่อ ซ...ซิมิท? นายเมา?”เซนถามกลับอย่างไม่แน่ใจหลังจากเห็นสภาพเหมือนตุ๊กตาล้มลุกของคนที่เมื่อครู่ยังพูดเล่นลิ้นกวนประสาทเธออยู่ข้างบนอยู่เลย

     

    “หือ...ใครเมา? ฉันเนี่ยนะ!? ม่ายมี๊~ ฉันกินไปนิดเดียว สาบาญ นี๊ดดด เดียว”คนไม่เมายัดกายยืนตรงแล้วเดินตุปัดตุเป๋อยู่สองสามก้าวก่อนจะทำท่าจะหน้าทิ่มใส่กระถางต้นไม้ ดีที่ริออร์ไปคว้าตัวเอาไว้ทัน

     

    “ขอมะนาวโซดาให้เขาสักแก้วสิ คงช่วยให้ดีขึ้นนิดหน่อย”ริออร์หันไปพูดกับริชาร์ทที่เป็นคนชงเครื่องดื่มที่บาร์ เขาพยักหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อยอย่างขำๆ

     

    “ช่าย ม้านาว ฉันชอบ ม้านาวววว”

     

     

              ผ่านไปประมาณยี่สิบนาที...

     

                “หัวฉัน อูยยย...”เสียงโอดครวญจากคนเพิ่งสร่างเมาที่นั่งเอามาข้างนึงกุมหัวอยู่ที่บาร์ มืออีกข้างจับหลอดจากแก้วเลม่อนโซดาที่เพิ่งช่วยเรียกสติสตางค์เขากลับคืนมาเมื่อครู่ “ถ้าจะเอาคืนหลายดอกขนาดนี้ บอกฉันแต่แรกจะไม่แกล้งเธอเลย ยัยปีศาจ”

     

                “สมน้ำหน้าเนอะ”สองสาวหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนในขณะที่คนโดนหัวเราะแทบจะยิ้มไม่ออก เขาอยากจะตะโกนบอกคนที่กำลังหมุนห้องให้ช่วยหยุดทีก่อนเขาจะพ่นเอาข้าวกลางวันออกมาจนหมดใส้หมดพุง

     

                “พี่น่าจะกลับบ้านไปพักนะ”ริออร์พูดขึ้นมา

     

                “แล้วปล่อยแม่สาวสวยสองคนสนุกสนานกับการเม้ามอยฉันน่ะเหรอ? ไม่มีทางอะ”ซิมิทรี่ยืนกรานเสียงแข็งก่อนจะดูดน้ำเลม่อนโซดาในแก้วของตัวเองรวดเดียวหมดแล้วพ่นลมออกมาทางปากพร้อมกันเสียงฮ้ายาวๆ ริออร์ได้แต่มองสภาพพี่ชายที่พยายามจะรักษาคาแร็คเตอร์ของตัวเองเอาไว้แม้หัวเขาจะกำลังหมดติ้วก็ตาม

     

                “โถ อย่าฉุนน่าซิมิท คิดซะว่านานๆ ที นายใช้ชีวิตมา21ปีแล้วของแบบนี้มันต้องหัดนะรู้ไหม”เบ็ตตี้ยักใหล่แล้วยิ้มเย้าแหย่ก่อนจะอวดแก้วว็อทก้าในมือแล้วกระดกกรึ๊บเดียวหมดต่อหน้าคนคออ่อนที่ก็ทำเพียงกรอกตาไปมาแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น สาวผมทองหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะหันไปพูดกับซัลปิแอร์คนน้อง “เอาหน่อยไหมริออร์”

     

                “ไม่ล่ะ ขอบใจเบ็ต”เขาปฎิเสธไปอย่างมีมารยาท เบ็ตตี้ โคลสต้ายักใหล่น้อยๆ ก่อนจะกระดกค็อกเทลในมือเข้าปากอีก

     

                “ดูเหมือนวันนี้มีคนตายทั้งๆ งานก็ไม่มีทำนะ”เสียงปริศนาดังมาจากผู้มาเยือนใหม่ที่อยู่ๆ ก็โผล่มาข้างหลังอย่างเงียบๆ เรียกให้สี่คนที่นั่งเกาะกลุ่มหันหน้าเข้าบาร์ต้องหันหน้าไปมองตามต้นเสียง

     

                “ฮ๊าย บอส”เบ็ตตี้เอ่ยทักทายเสียงหวาน แล้วยิ้มแฉ่งใส่ชายวัยกลางคน อายุราวๆ สี่สิบปลายๆ ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทากับกางเกงยีนขายาว เขามีนัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาชวนฝัน สีเดียวกับเส้นผมที่มีหมวกทรงทริลบี้สีขาวสวมทับเอาไว้ อันที่จริงมันอยู่ตรงนั้นเพื่อปกปิดความเบาบางของเส้นผมที่เริ่มหลุดร่วงอันเนื่องมาจากอายุนั่นเอง

     

                “คุณนี่มักจะโผล่มาในเวลาดีๆ แบบนี้เสมอเหรอ บาลุส”ซิมิทรี่กรอกตาไปมาแล้วหันหน้ากลับไปฟุบกับโต๊ะ อะไรเล่าจะยอดเยี่ยมไปกว่าการที่เจ้านายมาเห็นสภาพเมาเละจนหัวราน้ำขนาดนี้

     

                “ไม่ได้เห็นเธอแบบนี้มานานนะ ซิมิท”เสียงทุ้มของคนเป็นเจ้านายเอ่ยอย่างขบกัน เรียกเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจจากคนเมาที่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ “อเลนกับเกรเกอร์เป็นไงบ้างล่ะ”เขาถามแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หลังจากที่โบกมือทักทายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วเห็นเขา

     

    บาลุส สติฟเว่น ชายวัยกลางคนแต่หัวใจวัยรุ่นคนนี้ เป็นบอสใหญ่และผู้มีอิทธิพลสูงสุดในทีมของเรา ทุกอย่างที่ทำแล้วส่งผลกระทบกับทีมต้องผ่านการพิจารณาจากเขาก่อนเป็นอันดับแรก บาลุสเป็นคนเริ่มต้นก่อตั้งทีมของเราขึ้นมา เหล่าผู้ข้ามเวลาผิดกฎหมายที่ล้วนแล้วแต่มีปัญหาชีวิตสารพัดที่ทำให้ต้องหันตัวเองมาเป็นอาชญากรที่นี่รักและเคารพบาลุสมาก แม้เขาจะไม่ได้ทำตัวมีอำนาจแผ่รังศีความน่ากลัวใส่ใครๆ แต่เพียงเขาพูดคำเดียว ทุกคนพร้อมจะเชื่อฟัง แน่นอนว่านับรวมสองพี่น้องซัลปิแอร์คนเก่งด้วยเช่นกัน

     

    “ก็ดีครับ พวกนั้นเรียนรู้ได้ไวดี”ซิมิทรี่หยัดกายตรงแล้วสะบัดหัวสองสามทีหวังจะให้หัวของเขาเบาขึ้นบ้าง“เด็กอเลนนั่น...พี่ชายเขาทำงานให้ม็อท คุณรู้ใช่ไหม”

     

    “ใช่ เขาเคย”บาลุสยักใหล่ตอบ “จนกระทั่งถูกส่งไปตายในภารกิจแรกน่ะนะ”

     

    “คุณสืบเรื่องของเขา...”

     

    “แน่นอนฉันต้องสืบสิ ฉันดูเหมือนเป็นคนรับเด็กสุ่มสี่สุ่มห้าหรือไง”คนอายุมากสุดในวงนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “อริสมอนด์ บรู๊ค ถูกพบศพในปี2202 ที่ฟลอริด้า แต่เวลาจริงเขาตายในยุคเดียวกับเรา เมื่อสิบปีก่อน”

     

    “ฟลอริด้า...?”จู่ๆ ริออร์ก็อุทานขึ้นมาแล้วหันไปมองหน้าพี่ชายอย่างฉงน ซิมิทรี่สบตาน้องชายแล้วยักใหล่อย่างไม่มีความเห็น...ก็คงจะเป็นแค่ความบังเอิญกระมัง

     

    “ฟลอริด้าทำไม?”บาลุสถามขึ้นมาหลังจากเห็นสองพี่น้องสื่อสารกันทางสายตาปิ๊งๆ แล้วก็เกิดสงสัย

     

    “อ๋อเปล่าครับ ก็แค่...โบสถ์ที่พวกเราโตมาตอนเด็กๆ อยู่ที่ฟอริด้าเหมือนกัน”ซิมิทรี่ตอบกลับไปแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะเขากำลังสนใจเรื่องของอริสมอนด์ บรู๊คมากกว่า “แล้ว...เขาตายยังไง?

     

    “ถูกยิง ตรงนี้พอดี ตายคาที่”บาลุสชี้นิ้วไปที่หน้าผากแล้วทำสีหน้าแหยๆ ให้คนฟังมีอารมณ์ร่วมไปด้วย “กรมตำรวจย้อนเวลาไปดูภาพเหตุการณ์นั้น แต่พบว่าหญิงสาวคนที่เล็งปืนใส่เขายังไม่ได้เหนี่ยวไก แล้วกระสุนที่ยิงเข้าที่แผลก็เป็นคนละชนิดกับปืนในมือด้วย ยังหาคนร้ายไม่เจอเพราะเล็งมาจากที่อื่น”

     

    “อะไรกัน ย้อนเวลากันได้ขนาดนี้แล้ว คดีลอบสังหารแค่นี้ก็จับคนผิดไม่ได้มัวทำอะไรกันอยู่เนี่ย”ซิมิทรี่บ่นอุบอิบ

     

    “มันก็ไม่ใช่คดีที่ง่ายๆ แบบนั้นหรอก ทีมแพทย์ชันสูตรจากบาทแผลของศพ ผลออกมาก็คือ ปืนที่คนร้ายใช้สังหารอริสมอนด์ บรู๊ค คือ SpeerII ส่วนลูเซียน่า บรีแลนด์ สาวที่เล็งปืนคนนั้นถือแค่ปืนลูกซองธรรมดา เธอไม่เคยใช้ปืนมาก่อน คาดว่าคงจะเอามาถือเพื่อป้องกันตัว”

     

    SpeerII…หมายถึงรุ่นเดียวกันกับที่คุณเพิ่งให้พวกเราน่ะเหรอ?”ซิมิทรี่เอียงคอถามอย่างงุนงง เมื่อชื่อปืนที่ว่ามันคล้ายๆ กับกระบอกที่เขาและน้องชายได้รับมาจากคนตรงหน้าเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากเควสที่สองพี่น้องได้รับมักเป็นภารกิจเสี่ยงอันตรายเสมอจึงต้องมีมันไว้ใช้ยามจำเป็น

     

    “ถูกเผง แล้วมันก็เพิ่งจะออกจำหน่ายเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง การที่มีคนถูกspeerIIยิงตายในยุคเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเนี่ย...”บาลุสอธิบายแล้วละข้อความข้างท้ายเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ

     

    “หมายความว่าคนร้ายมาจากอนาคตสินะ”ริออร์จัดการเติมคำในช่องว่างให้เสร็จสรรพ บาลุสทำนิ้วเป็นปืนยิงไปที่ริออร์แล้วทำเสียงฟิ้วออกมาเหมือนจะบอกว่าคำตอบนั้นถูกต้อง ดูเหมือนบทสนทนาชวนมาคุนี่ไม่เป็นที่ถูกใส่ของสาวๆ แถวนั้นเท่าไหร่ เบ็ตตี้ถอนหายใจหาววอด

     

    “เฮ้อ! ผู้ชายพวกนี้คุยอะไรกันก็ไม่รู้ ไปกันเหอะเซน ตรงนี้ไม่สนุกเลย”สาวผมทองคว้าข้อมือเพื่อนให้เดินตามออกไปอย่างงงๆ เซนหันมายิ้มแล้วโบกมือลาสามคนบนโต๊ะแบบรีบๆ แล้วเดินตามแรงฉุดของเบ็ตตี้ไปแม้จะไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่

     

    สองพี่น้องซัลปิแอร์มองตามสองร่างที่เพิ่งเดินจากไปอยู่พักหนึ่ง แล้วหันกลับมาสนใจเรื่องที่คุยค้างไว้ก่อนหน้านี้ต่อ

     

    “แล้ว...เรื่องนี้คุณได้บอกอเลนไหม?”ซิมิทรี่ถาม

     

    “ฉันไม่ได้บอกอะไรเขาทั้งนั้นแหละ ถ้าเขาจะรู้อะไร ก็คือเรื่องที่เขารู้ด้วยตัวเอง”บาลุสยักใหล่เล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกริชาร์ทเพื่อสั่งบานาน่ามิลค์เชค เมนูโปรดของเขา

     

    “หมอนั่นต้องการจะช่วยพี่ชาย”ริออร์พูดขึ้นมา “ถ้าคุณไม่บอก...แล้วถ้าเขาเริ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ไม่ต่างจากส่งตัวเองไปตายในอดีตพร้อมกับพี่ชายนะ บาลุส”

     

    “คิดว่าถ้าบอกเขาไปแล้ว เขาจะไม่ทำเหรอ?”คำถามนี้ทำให้คนฟังหยุดคิด “นายเองก็เป็นน้องชายนี่...ริออร์ ถามตัวนายเองว่าถ้าเป็นซิมิท นายจะทำยังไง”

     

    ริออร์ไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ แต่สายตาที่ค่อยๆ หลุบลงต่ำนั้นแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี...

     

    “นายจะต้องปล่อยให้พี่โดนจ้วงกบาลซี้ม่องเท่งอยู่ในอดีต โดยไม่แม้แต่จะคิดเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยพี่ ไม่มีข้อยกเว้น เข้าใจ้!?”ซิมิทรี่รีบพูดดักคอไว้ต่อ เขารู้ดีว่าคำตอบจริงๆ ของน้องชายเขาคืออะไร แต่พี่ทุกคนก็ต้องไม่อยากให้น้องตัวเองทำเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว “ถ้าฉันเป็นอริสมอนด์ ฉันคงต่อยอเลนปากแตกถ้าเจอหมอนั่นโผล่มาช่วย ริออร์พูดถูก...น่าจะลองคุยกับหมอนั่นนะ”

     

    “ถ้าเธออยากจะลองก็ได้ แต่ฉันว่ามันอาจจะแห้ว เพราะดูเขาทำทุกทางเพื่อตามหาฉันตลอดสิบปีหลังจากพี่ชายตาย และน่าทึ่งที่เขาตามเจอเสียด้วย”บาลุสยักใหล่เล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกับที่ริชาร์ทเอาแก้วของเขามาเสิร์ฟ เขารับมันมาแล้วยกตัวขึ้นจากเก้าอี้ “การจะตามหาทามเมอร์ผิดกฎหมายสักกลุ่มไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่ตามจนเจอกลุ่มแถวหน้าอย่างพวกเราเนี่ย...คาดว่าเขาคงจะคั่งแค้นอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ”

     “งั้นอะไรทำให้คุณรับเขาเข้ากลุ่ม บาลุส?”ซิมิทรี่ถามพร้อมกับสีหน้าจริงจัง คนถูกถามถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมากระดกก่อนจะเอ่ย

     

    “เด็กพวกนั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว นายก็รู้ฉันเป็นพวกใจอ่อนกับเด็กกำพร้า”บาลุสหันมายักคิ้วกวนๆ ใส่เขาตอนที่พูดคำสุดท้ายเป็นเชิงพาดพิง ซิมิทรี่หรี่ตามองเขากับคำตอบล้อเล่นที่ได้รับ คนโดนค้อนยิ้มมุมปากน้อยๆ อย่างชอบใจ “ฉันก็แค่อยากให้มันอยู่ในสายตาเท่านั้นแหละ ซิมิท อย่างน้อยถ้ามันเป็นอาชญากรรมเวลา ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเราเท่าไหร่...อยู่ให้ใกล้กับแหล่งข่าวเอาไว้ ดีกว่าให้ทีมอื่นมางาบเอาไปนายว่าไหม”

     

    บาลุสยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปแบบงงๆ หลังจากเอาระเบิดคำถามร้อยแปดมาปาใส่พวกเขาแล้วชิ่งหนีไปดื้อๆ ซิมิทรี่พยายามไม่เก็บเรื่องที่ได้ยินมาคิด แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อทุกครั้งที่เขาพยายามจะทำอะไรมากๆ มันมักจะไม่สำเร็จเสมอ...

     

    “กำลังคิดอะไรอยู่”ริออร์ถามเหมือนรู้ทัน ซิมิทรี่ยักใหล่เล็กน้อย

     

    “ช่างเถอะ คงจะแค่บังเอิญนั่นล่ะ...มั้ง”ท้ายที่สุดซิมิทรี่ก็ตัดสินใจสลัดทุกอย่างออกไปจากห้วงความคิด แค่นี้หัวเขาก็ปวดมากพอแล้ว เรื่องอะไรที่มันซับซ้อนเก็บเอาไว้คิดทีหลังตอนที่สภาพเขาพร้อมมากกว่านี้ดีกว่า ริออร์มองหน้าพี่ชายของเขาแล้วคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

     

    “อืม...ก็คงจะอย่างนั้น”

     



    ++++++++++++

    จริงๆ บทนี้มันจะยาวกว่านี้ แต่คิดๆ ดูแล้วถ้าเขียนทั้งหมดในบทนี้เลย
    คนอ่านคงอ่านกันตาแฉะ ขึ้นบทใหม่ดีกว่า555

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า อ่านแล้วเม้นท์กันด้วยนะคะเป็นกำลังใจ><

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×