คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter05
ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ส่องแสงทำให้ท้องนภายามเย็นเป็นสีส้ม ทั้งดูอบอุ่นและหดหู่ไปในเวลาเดียวกัน แสงสลัวๆ ที่กำลังจะหายไปสาดลงมาให้ความสว่างน้อยนิดบนผืนสนามบาสเก่าโทรมแห่งเดิม กระทบร่างสามร่างที่ยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ตรงกลางเกิดเงาพาดลงบนพื้น ความเงียบรอบด้านทำให้บรรยากาศตรงนี้ดูมาคุลงอย่างช้าๆ บวกกับสายตาเรียบเฉยติดจะเยือกเย็นนิดๆ ของชายวัยกลางคนซึ่งทอดมองไปที่เด็กหนุ่มผมเงินสองคนตรงหน้าราวกับจะแช่แข็งทั้งคู่ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูตึงเครียดมากกว่าเดิม
พี่น้องซัลปิแอร์ทำเพียงยืนนิ่งๆ หลุบตามองปลายเท้าตัวเอง เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงหน้า ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุของเรื่องวุ่นวายก่อนหน้านี้ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
บาลุสเรียกซิมิทรี่และริออร์ขึ้นมาที่สนามบาสข้างบนโดยบอกคนอื่นๆ ว่าไม่ต้องตามขึ้นมา เขายืนกอดอกราวกับรอให้ใครสักคนพูด แต่ความจริงก็รู้ดีว่าถ้าเขาไม่เปิดปากถามอะไรขึ้นมาก่อนพี่น้องคู่นี้ก็คงยืนใบ้กินอยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้ตามนิสัย เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆ ลดมือลงไปล้วงกระเป๋าแทน
“อย่างน้อยพวกนายก็น่าจะมองหน้าฉันบ้างนะ”คนอายุมากสุดเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา เรียกให้สองพี่น้องคอยๆ เงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกันช้าๆ
ดวงตาสีเขียวมรกตสองคู่มองเขาเหมือนจะสื่อความหมายคล้ายๆ กัน และด้วยสายตาแบบนี้ที่ทำให้เขามองข้ามเรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถามที่ตอบไม่ได้ของทั้งคู่ และทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นตัวเองที่สุดเมื่อแปดปีก่อนคือการรับเด็กสองคนนี้เข้ามาโดยไม่แม้แต่จะสืบเสาะหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับประวัติพวกเขาทั้งนั้น และดูเหมือนการกระทำนั่นเพิ่งจะมาส่งผลเอาตอนนี้ แต่เขาก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ว่าเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป...ยังไงเขาก็ไว้ใจพวกมันอยู่ดี
“เรื่องที่พวกนายไม่อยากจะเล่า ฉันก็ไม่คิดจะบังคับให้บอกหรอกนะ ระยะเวลาที่ผ่านมา หลายๆ อย่างก็พิสูจน์ให้เห็นมาพอแล้วว่าพวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฉัน”บาลุสเอ่ยเสียงเรียบขณะที่มองสองคนสลับกัน “แต่บางที...ถ้าอะไรบางอย่างที่พยายามจะปิดบังไว้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ถ้ามันเป็นอันตรายกับคนอื่นๆ ในครอบครัว จะให้ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมันไม่ได้หรอกนะซัลปี้”
“ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรสักหน่อย”ซิมิทรี่พูดขึ้นมาแล้วเงียบไปจังหวะหนึ่งราวกับครุ่นคิดอะไรก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ก็แค่...ไม่อยากจะพูดถึง”
สีหน้าของซิมิทรี่ตอนนี้ฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาหลุบตาลงต่ำแล้วไม่พูดอะไรอีก ทุกสิ่งที่พยายามเก็บซ่อน พยายามลืมและไม่นึกถึง ตอนนี้ถูกกวนวนขึ้นมาทีละอย่าง ริออร์เปรยตามามองเขาอยู่ครู่และคิดว่าครั้งนี้พี่ชายเขาคงไม่อยากเป็นคนเล่าเท่าไหร่
“ชื่อที่พวกเขาพูด...”ริออร์พูดตัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาตามเคยนิสัย “คุณพ่อปีเตอร์ ท่านเป็นคนสำคัญมากของพวกเราครับ”
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงทุกทีแต่เรือนผมสีเงินเงาๆ ของทั้งคู่กลับค่อยๆ ดูสว่างขึ้น
“ตอนนั้นผมสิบขวบ...เป็นการข้ามเวลาครั้งแรกของเรา ผมกับพี่โตมาในโบสถ์ เซ็นต์ บรัสวิก ที่ฟลอริด้า”ริออร์เริ่มอธิบายยาว บาลุสมองหน้าคนพูดน้อยด้วยความแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็เงียบฟังโดยไม่พูดขัดอะไร “คิดว่าเพราะมันเป็นครั้งแรกที่พวกเราทำลงไปโดยไม่รู้ตัว ก็เลยทิ้งร่องรอยขนาดใหญ่มากเอาไว้ครับ นั่นทำให้ม็อทตรวจจับตำแหน่งได้ในทันที แล้วแห่กันมาที่โบสถ์ คุณพ่อหาวิธีให้พวกเราหนีไปด้วยทางลับที่อยู่ใต้โบสถ์”
ขณะที่กำลังเล่าเรื่องทั้งหมดอยู่พี่น้องซัลปิแอร์แทบจะนึกภาพเหตุการณ์ทุกอย่างตามได้อย่างแม่นยำ ทุกฉากทุกตอนยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ มันเป็นวันที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“พวกผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างขณะที่พวกเราหนีออกจากฟลอริด้าไป แต่หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี เมื่อแน่ใจว่าม็อทเริ่มรามือที่จะค้นหาเราแล้ว จึงย้อนกลับไปแต่...ท่านไม่อยู่ที่นั่นแล้ว”ในขณะที่ริออร์กำลังพูดอยู่ ซิมิทรี่ก็พูดแทรกขึ้นมา
“พวกเขาทุบมัน”คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมกับเปลือกตาที่หรี่ลง “ที่ตรงที่เคยเป็นโบสถ์อยู่ระหว่างการก่อสร้างภายใต้คำสั่งของม็อท พวกเขายึดโบสถ์...ขับไล่คณะสงฆ์และแม่ชีทุกคนออกจากที่นั่นแล้วเปลี่ยนมันเป็นโรงงานงี่เง่าอะไรสักอย่าง”น้ำเสียงนั้นฟังดูใส่อารมณ์เล็กน้อย แต่เจ้าตัวพยายามเก็บอารมณ์ให้ได้มากถึงที่สุดแล้ว
ริออร์พยักหน้าช้าๆ ทั้งที่ไม่อยากยอมรับ เขาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย...
“ในขณะเดียวกัน มีโบสถ์เล็กๆ อีกแห่งอยู่แถบชานเมืองที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ทั้งเก่าและโทรม ชื่อของโบสน์นั้น...ก็คือ เซ็นต์ บรัสวิก”
“งั้นก็แปลว่า...”บาลุสพูดขึ้นมาลอยๆ ริออร์ยิ้มเล็กน้อย
“ใช่ครับ ท่านอยู่ที่นั่นแหละ”ซัลปิแอร์คนน้องเอ่ยเรียบๆ “ภาพแรกที่เห็น ท่านกับแปลงต้นอ่อนของดอกลิลี่ในสวนเล็กๆ ของโบสถ์นั่น มันทำให้นึกถึงพุ่มดอกลิลี่พุ่มใหญ่ที่ขึ้นอยู่รอบๆ ลานกว้าง ถึงจะเล็กกว่ามาก...แต่เป็นโบสถ์เดียวกันไม่ผิดแน่...”
“คุณพ่อ...พยายามจะก่อตั้งมันขึ้นมาใหม่ หลังจากที่โบสถ์นั่นถูกทำลาย...เพราะพวกเรา”ซิมิทรี่พูดขึ้นมาอีก เป็นประโยคที่ตอกย้ำความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหมดตอนนี้ของทั้งคู่ให้ยิ่งจ่มดิ่ง แต่ที่พูดมาก็ไม่มีตรงไหนที่ผิดเลย...พวกเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด...
ริออร์ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะไม่อยากจะให้มันดึงอารมณ์เขาลงไปมากกว่านี้
“อย่างที่พี่เขาว่านั่นแหละครับ พอคิดแบบนั้นสุดท้ายตอนนั้นก็เลยไม่กล้าที่เข้าไปสู้หน้าท่าน แล้วก็จากมาทั้งๆ อย่างนั้น”
“งั้นนี่ก็คงเป็นสาเหตุที่พวกนายรับส่วนแบ่งเป็นเงินสดแค่15% แล้วที่เหลือให้โอนเข้าไปในบัญชีสินะ”คำถามนี้ทำเอาสองพี่น้องเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันอย่างแปลกใจที่คนตรงหน้าประติดประต่อเรื่องราวได้รวดเร็วเกินคาด จากสีหน้านั่นบาลุสก็พอจะคิดต่อเองได้ว่าคำตอบของสิ่งที่ถามไปเมื่อกี้ก็คือใช่นั่นเอง
“ผมกับริออร์ ตัดสินใจกันแล้วว่าจะไม่กลับไปที่นั่นอีก อย่างน้อยทั้งหมดนี่น่าจะพอชดเชยสิ่งที่พวกเราทำลงไปได้บ้าง”ซิมิทรี่เอ่ยแล้วเปรยหน้าไปมองหน้าริออร์ แต่เมื่ออีกฝ่ายสบตากลับมาก็แสร้างทำเป็นเบือนหน้าหนีทันที
หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดบาลุสก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นมากอดอกมองสองพี่น้องสลับกันอยู่ครู่ เขายังไม่แน่ใจว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง สองพี่น้องตรงหน้าดูจะผูกพันกับโบสถ์และบาทหลวงคนที่ว่ามากเกินกว่าจะนิ่งเฉยแน่นอน แม้เขาจะยืนกรานปฏิเสธหรือสั่งห้ามไม่ให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งก็อาจจะไม่ได้ผลก็ได้
“จะรับสินะ...ขอเสนอนั่น”บาลุสถามขึ้นมาเจาะลึกตรงประเด็น แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ได้ให้คำตอบได้ในทันที ทำเพียงเงียบอยู่อย่างนั้นบาลุสจึงพูดต่อ “ฉันก็พูดตามที่ฉันคิดน่ะนะ ฉันไม่ไว้ใจพวกนั้น ถ้าอยากจะรับ...ก็เชิญ แต่ไม่ใช่ในฐานะลูกทีมของฉัน”
ประโยคท้ายเหมือนโดนค้อนตีเข้าที่หัวแรงๆ บาลุสเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองถัดจากหลวงพ่อปีเตอร์สำหรับพวกเขา สถานการณ์นี้เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เลือก...
ความลำบากใจฉาบอยู่เต็มหน้าเด็กสองคนตรงหน้า...บาลุสนึกขำอยู่ในใจว่าทำไมสองคนนี่ถึงได้มองออกง่ายนัก แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะตัดสัมพันธ์อะไรจริงจังอย่างที่ว่า เมื่อรู้สึกว่าสนุกพอแล้วเขาจึงยิ้มออกมาน้อยๆ
“เอาไว้ถ้ารอดกลับมา อยากจะมาหาข้าวกินที่นี่ก็กลับมาแล้วกัน”พี่น้องซัลปิแอร์หันควับมาสบตากับคนตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียงเหมือนนัดกัน สีหน้าเหวอๆ นั่นยิ่งจะทำให้เขาหลุดฟอร์มขำออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“บ...บาลุส?”ซิมิทรี่พูดกึ่งติดอ่าง “นี่คุณไม่โกรธเลย?”
“ถ้าจะให้โกรธ ฉันก็คงต้องโกรธตัวเองที่รับพวกนายเข้ามาน่ะนะ”ชายหนุ่มยกมือขึ้นบิดขี้เกียจสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายขึ้น “เด็กบ้าอะไรข้ามเวลาได้โดยไม่ต้องใช้ไทม์ซอร์ท มนุษย์ทดลองของม็อทสร้างมาเป็นสปายรึเปล่าก็ไม่รู้ แถมถามข้อมูลอะไรก็ไม่ยอมบอก นามสกุลก็ไม่มีในฐานข้อมูลประเทศ จะให้รับเข้ามาเป็นเพื่อนทำชั่วเนี่ยนะ คนขี้ระแวงอย่างฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้นอยู่แล้ว”
“...”สองพี่น้องกระพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก
“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่น้องปริศนาที่มีแต่เรื่องน่าระแวงนั่น ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นคนโปรดของฉันล่ะนะ”บาลุสยิ้มแล้วยักคิ้วแอบกวนให้สองคนตรงหน้าที่ตอนนี้งงจนแข็งเป็นหินไปเรียบร้อย เห็นแบบนั้นบาลุสจึงคิดว่าหมดธุระที่อยากจะรู้แล้ว จึงเอื้อมมือไปตบลงบนบ่าของทั้งสองคนสองแปะ ก่อนจะเอ่ย “ฉันช่วยได้แค่นี้แหละ หลังจากนี้ก็ไปสะสางเรื่องของตัวเองซะ”
พี่น้องซัลปิแอร์นิ่งเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งบาลุสลดมือลงจากใหล่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรต่อจากนี้ดี ซิมิทรี่ขับไล่ความรู้สึกประหม่าออกไปโดยการถอนหายใจออกมาเฮือกโตๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมากุมขมับแล้วหันหน้าไปสบตากับคนตรงหน้า
“ขอ...”
“ถ้าจะขอโทษล่ะก็เงียบไปเลย ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้โก...”
“ไม่ใช่เฟ้ย!! ไม่ใช่อย่างนั้น”ซิมิทรี่ขู่ฟ่ออย่างขัดใจเมื่อโดนขัดคอหลังจากที่อุตส่าห์บิ้วต์ขรึมมาตั้งนาน เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ขอบคุณ...ต่างหาก”
“โฮ่...”คราวนี้บาลุสเลิกคิ้วขึ้นชอบใจ นานๆ ทีจะได้เห็นคนฟอร์มจัดพูดอะไรแบบนี้อย่างจริงจังสักครั้ง
“คุณทำเหมือนผมพูดเล่นจริงด้วย ให้ตายสิ”ซิมิทรี่กรอกตาไปมาแล้วห่อใหล่ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเขาไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้ แต่ในเมื่อคิดเหมือนกันก็น่าจะให้ความร่วมมือซะบ้างเซ่ “เอาเป็นว่านั่นแหละ ขอบคุณมาก...สำหรับทุกอย่าง”
บาลุสยิ้มหยี่ตาอย่างพอใจ สนุกที่ได้กระชากฟอร์มคนตรงหน้ากระจุย เขายักใหล่เล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ดึกแล้วแยกย้ายเถอะ ป่านนี้พวกข้างล่างก็คงทยอยกันไปบ้างแล้วล่ะ”เขาบอกลาเป็นพิธีแล้วหันหลังเดินจากไปจากตรงนั้น พร้อมกับโบกมือให้โดยไม่ได้หันมา
ซิมิทรี่มองตามหลังคนตรงหน้าจนกระทั่งเขาหายเข้าไปข้างใน ก่อนที่ความเงียบรอบตัวจะเตือนให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าว่าข้างๆ เขายังมีน้องชายที่เผลอทำไม่ดีด้วยยืนอยู่
หลังจากที่อารมณ์เริ่มจะเย็นลงมาบ้าง สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความสำนึกผิด...อยากแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าเมื่อครู่นี้ทำงี่เง่าอะไรไปบ้าง แต่คงทำไม่ได้เพราะเจ้าทุกข์ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ แบบนี้ ซิมิทรี่เปรยตาไปทางน้องชายอีกครั้งแล้วทั้งร่างก็สะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมา
“เอ่อ...เอ่อ...”มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกาหัวแก้เขิน เรียกคิ้วของคนเป็นน้องชายให้เลิกสูงขึ้นเล็กน้อย “ริออร์ คือพี่...”
“...”มองจากท่าทางก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าอยากจะบอกอะไร แต่ด้วยความอยากแกล้งจึงยกมือขึ้นกอดอกแล้วหรี่ตามองคนตรงหน้าเหมือนจะรอให้พูดออกมาเอง
“ให้ตายเถอะ หยุดทำท่าแบบนั้นเลยนะ”มือที่เกาหัวเลื่อนลงมากุมขมับแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ “พี่...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะง้างหมัดใส่นายหรอก จริงๆ นะ”
รอยยิ้มผุดพลายขึ้นมาบนใบหน้าคนผมยาว แน่นอนว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรเลยสักนิด...คนตรงหน้าชอบตีโพยตีพายไปเองอยู่เรื่อย
“ยกโทษให้”ริออร์ยักคิ้วเล็กน้อยใส่คนตรงหน้า เมื่อเสร็จพิธีเรียบร้อย คนที่ลงทุนถอดฟอร์มเก๊กๆ เพื่อสารภาพบาปก็รีบหยิบคาแรคเตอร์เดิมขึ้นมาสวมอย่างไว
“เอ้อ! มันก็ต้องอย่างนั้นสิ นายก็ต้องยกโทษให้พี่อยู่แล้ว ก็นายเป็นน้องพี่นี่”แม้จะยังฝืดๆ นิดๆ แต่ก็นับว่าลื่นใหลพอใช้ได้ ริออร์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ทำให้คนฟอร์มจัดหัวเราะออกมาด้วย “อ่า...ลงไปข้างล่างไหม?”
“อืม แต่ก่อนหน้านั้น...”ริออร์เอ่ยแล้วทิ้งจังหวะไปครู่พร้อมกับหันหน้ามองไปข้างหลัง ตรงบริเวณที่มีซากแป้นบาสหักกองอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นหวังจะให้ใครที่อยู่ตรงนั้นได้ยิน “ฉันเห็นตั้งแต่ตอนที่แอบตามกันขึ้นมาตอนแรกแล้วแหละ ออกมาเถอะ”
ซิมิทรี่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ...อาจจะเพราะเมื่อครู่เขามัวแต่บิ้วต์เข้มเลยไม่ได้สนใจสังเกตุอะไรรอบตัวเท่าไหร่ สิ้นเสียงของริออร์มีเสียงกระซิบเกี่ยงอะไรสักอย่างดังมาจากความมืดตรงหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนผลักกันไปมาต่อ ซัลปิแอร์คนพี่จึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดโหมดไฟฉายแล้วยื่นส่องไปตรงทิศที่ว่า และภาพที่เห็นก็ชวนให้ใหล่แทบจะห่อลงไปกองกันอยู่ที่พื้น
แสงจากไฟฉายกระทบเข้ากับสามร่างที่แอบฟังเป็นสโต๊กเกอร์กันอยู่ในมุมมืด รอยยิ้มแหยๆ เชิงกลบเกลื่อนประกายขึ้นมาบนใบหน้าอย่างพร้อมเพรียงเหมือนนัดกันมา ก่อนหน้านี้น้องชายเขาพูดว่าพวกมันแอบตามกันขึ้นมาแต่แรก แปลว่าคงได้ยินทุกอย่างไปหมดเปลือก
“พ...พวกเรา ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ บ...แบบว่า เจ้าบ้าอเลนมันดันดื้อดึงจะขึ้นมาให้ได้ ผมห้ามแล้วก็ไม่ฟัง นี่จะขึ้นมาห้ามมันให้ลงไปหรอกนะ!”ตามแบบฉบับคนโดนจับไต๋ได้ก็จะเริ่มกระบวนการโบ้ยแหลก เริ่มจากเกรเกอร์เป็นคนแรก ที่เทรวมกองความผิดใส่เพื่อนซี้ลงไปเต็มๆ จนเจ้าตัวหันมาทำหน้าเหวอ
“ฉ...ฉันเป็นห่วงสองคนนี่ ก็เลย...”เจ้าของประโยคนี้คือเซน เธอแกล้งไม่สบตาแล้วยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอแก้เขิน
ซิมิทรี่และริออร์มองหน้ากันอย่างขำๆ ก่อนที่คนตัวเตี้ยกว่าจะปิดแสงจากโทรศัพท์แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมพร้อมกับสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาสามคนนั้น
“ให้ตายสิ พวกนายนี่”เขาส่ายหน้าเล็กน้อย “ฟังอยู่ตลอดเลยล่ะสิ”
“เรา...ไม่เอาไปบอกใครหรอก!”เกรเกอร์รีบพูดดักเอาไว้ก่อน แล้วแอบเหล่มองสีหน้าซัลปิแอร์คนพี่ดูว่ากำลังโกรธหรือเปล่า โล่งใจไปหลายเปราะเมื่อพบว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“ช่างเถอะ ถึงเอาไปบอกก็ไม่เป็นไรหรอก เนอะ? ริออร์”ซิมิทรี่หันไปพูดกับน้องชาย ที่ยักใหล่ให้แทนคำตอบ “ว่าแต่พวกนายสองคน ทำไมจะต้องตามขึ้นมาด้วยล่ะเนี่ย”
“คือว่า...อเลนเค้า..."เกรเกอร์เปรยตาไปมองอเลนอยู่ครู่
"เออ...คือว่าผม..."เด็กหนุ่มกระแอมเล็กน้อยตั้งท่าจะอธิบาย "กิลเบิร์ด อเล็กซัส...ชื่อนั้นผมเคยได้ยินพี่พูดถึงด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะรู้จักกัน..."
"แล้วมันยังไงกันล่ะ...?"ซิมิทรี่ถามอีกพร้อมกันสีหน้าเรียบเฉยราวกับเขาไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่
"อ...อ่า คือ..."อเลนยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยแล้วเริ่มหลุบตามองพื้น "ผมอยากไปที่นั่นด้วยครับ คุณซิมิทรี่! เขาจะต้องมีเบาะแส หรือรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับพี่ของผมแน่ๆ รับรองจะไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงแน่นอน ให้ผมไปด้วยนะครับ"
"ห...เห้ย อเลน? เมื่อกี้นายไม่ได้พูดแบบนี้นี่?"เกรเกอร์เบิกตาทำหน้าเหวอ ก็ตอนขึ้นมามันบอกว่ามันแค่อยากรู้เรื่องของสองพี่น้องนี่เฉยๆ แล้วไหงกลายมาเป็นแบบนี้ได้
"เงียบเหอะน่า ฉันไม่ได้จะให้นายไปด้วยสักหน่อย แค่ฉันคนเดียวก็พอ!"
"คิดจะทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอเนี่ย? นี่ฉันตามมาถึงนี่ก็เพื่อนายนะ!"เด็กสองคนเริ่มจะมาเถียงกันเองไปเสียอย่างนั้น ซัลปิแอร์คนพี่หันไปมองหน้าน้องชายอย่างขอความเห็น ริออร์ส่ายหน้าให้เขาเป็นที่รู้กัน ซิมิทรี่จึงยกมือขึ้นกอดอกแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดแทรกกลางบทสนทนาที่ดูท่าทางถ้าปล่อยให้เถียงกันต่อคงไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ
"ลืมไปเถอะ อเลน พวกฉันไม่เอานายไปด้วยแน่ๆ"ตามที่คิดไว้แป๊ะ อเลนชะงักแล้วหันมาทำหน้าเหวอทันที สายตาอ้อนวอนนั้นฉายแววไม่เข้าใจปนขอร้อง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ "พวกนายเพิ่งจะเข้ามาที่นี่วันนี้ ข้ามเวลาก็ยังไม่คล่อง ตำหนิยังไม่จางเลยด้วยซ้ำ ฉันเข้าใจนะว่านั่นเป็นเหตุผลที่นายเข้ามาที่นี่ แต่นายติดหนี้บุญคุณบาลุสอยู่ไม่ใช่เหรอ...ถ้าเขาไม่ตกลงช่วย นายมาไม่ได้ไกลขนาดนี้หรอก"
หลังจากฟังบทเทศนาชุดใหญ่จบไป คนฟังก็นิ่งเงียบเถียงไม่ออก...เขาเข้าใจดีว่าคนตรงหน้าพยายามจะบอกอะไร แต่ถ้าปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป อาจจะไม่สามารถเข้าใกล้มันได้อีกเป็นครั้งที่สองก็ได้ เขาก็แค่รู้สึกได้ถึงเบาะแสก็เลยอยากจะตามไปดูด้วยตัวเองก็เท่านั้น
"ผมก็แค่...คิดว่าอาจจะมีบางอย่างที่..."
"ฉันว่านายเลิกคิดเรื่องพี่ชายนายไปเถอะ"เจอประโยคนี้เข้าไปเล่นเอาคนฟังหน้าชา อเลนเงยหน้าขึ้นมามองซิมิทรี่อย่างไม่เข้าใจ ดูคนตรงหน้าเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อตอนกลางวันจนเขาเริ่มจะสับสนแล้วว่าซิมิทรี่ ซัลปิแอร์คิดอะไรอยู่กันแน่ "ถ้าฉันเป็นพี่นาย ฉันก็คงไม่ดีใจหรอก"
"ห...เห...?"อเลนยังคงประมวลไม่ทัน ก็คนตรงหน้าเองที่เป็นคนให้ความหวังเขาก่อนหน้านี้ที่เขาเกิดลังเลขึ้นมานิดหน่อย แต่ตอนนี้กลายเป็นคนที่บอกให้เขาเลิกเนี่ยน่ะเหรอ
"พี่กลับบ้านนะริออร์ วันนี้เจอเรื่องปวดหัวมาเยอะพอแล้ว"เหมือนคนพูดตั้งใจจะตัดบทเสียมากกว่า ร่างเตี้ยๆ ของซิมิทรี่ ซัลปิแอร์ เดินดุ่ยๆ ออกไปจากตรงนั้นดื้อๆ โดยไม่สนใจอเลนที่ยังคงข้องใจกับคำพูดของเขา
"ด...เดี๋ยวสิครับ คุณซิมิทรี่!"
"บ้ายบาย"แล้วร่างของซิมิทรี่ก็หายวับไปจากตรงนั้นก่อนที่อเลนจะได้วิ่งทันเขาด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มผมทองเบรกฝีเท้าตัวเองดังเอี๊ยด แล้วหันซ้ายหันขวามองจนแน่ใจว่าคนตรงหน้ายหายไปเฉยๆ จริงๆ ก่อนจะหันควับกลับมามองหน้าริออร์อย่างขอความเห็น...
ซัลปิแอร์คนน้องถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยักใหล่น้อยๆ
"ตอนนี้คงอยู่ที่บ้านแล้วล่ะ"พี่ชายเขามักจะทำแบบนี้เสมอเวลาจะหลบหน้าไม่อยากคุยกับใคร ย้อนเวลากลับไปเดินทางในอดีตแล้วค่อยกลับมาเวลาเดิม ถ้ามองจากทางฝั่งนี้ก็จะเหมือนกับเขาหายตัวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีคนตามไปตื้อเขาได้นอกเสียจากจะรู้ว่าเขาย้อนเวลาไปเมื่อตอนไหน ซึ่งมันก็แล้วแต่อารมณ์เขาในตอนนั้นอีกนั่นล่ะ เป็นการหลบหนีที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะสามารถตามเจอได้ ความจริงแล้วก็เป็นหนึ่งในร้อยแปดกลเม็ดพื้นฐานในการชิ่งหลบพวกผู้คุมเวลาทั่วไปของทามเมอร์ผิดกฎหมายนั่นล่ะ
อเลนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ริออร์พอเข้าใจความหงุดหงิดของอเลนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าถึงเป็นตัวเขาเองก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน เด็กหนุ่มผมทองทำเสียงจิ๊จะในลำคออย่างขัดใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินฉับๆ ไปกลับทางด้านในร้านพร้อมกับรัศมีความเซ็งที่แผ่กระจาย เกรเกอร์มองตามร่างเพื่อนซี้สลับกับสองคนข้างๆ อย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ต้องวิ่งตามเขาไป
"ร...รอด้วยสิ เจ้าบ้า! เห้ย อเลน!"
เมื่อเด็กสองคนที่เคยทำเสียหนวกหูหายเข้าไปข้างในแล้วบรรยากาศก็กลับมาเงียบครึมอีกครั้ง เซนเหลือบตาไปมองซัลปิแอร์คนน้องที่มีสีหน้าอยู่แค่แบบเดียวไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็ตามก่อนจะถอนหายใจออกมา
"โทษทีนะ"เด็กสาวเอ่ยขึ้นมา ริออร์เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วก้มลงมองคนพูด
"โทษที...?"เขาทวนถามอย่างไม่เข้าใจ
"ที่มาแอบฟังไง...เรื่องส่วนตัวพวกนายไม่ใช่เหรอ ฟังดูไม่ค่อยอยากจะเล่าให้ใครฟังด้วยนี่"เด็กสาวว่าต่อ แล้วยิ้มแหยๆ อย่างรู้สึกผิด ริออร์มองคนตรงหน้าแล้วยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นรู้ไม่ได้สักหน่อย"
"แต่ฉันดีใจนะ"เซนพูดขึ้นมาลอยๆ สร้างความสงสัยเล็กน้อยให้กับคนฟังให้เอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงถาม "ก็ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกนายเลยนี่ พวกนายพี่น้อง...ดูเหมือนสนิทกับทุกคนก็จริง แต่มองไปมองมาก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนิท..."
เซนไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่คิดอยู่ยังไง แล้วยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมีรีแอคชั่นกลับมาเป็นความเงียบแบบนี้แล้วเธอยิ่งทำตัวไม่ถูก
"อ่า...ช่างมันเถอะ ฉันคงพูดไม่รู้เรื่องเอง..."
"ไม่หรอก"เด็กหนุ่มพูดตัดขึ้นมา เซนเงยหน้าขึ้นไปมองเขาแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ "ความจริง ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน"
ไม่รู้ว่าแบบนั้นของเขากับของเธอเหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหนหรือเปล่า แต่เซนคิดว่าช่างมันดีกว่าเพราะมันคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ บางทีความรู้สึกของมนุษย์ก็มีความซับซ้อนมากเกินว่าจะจำกัดมันเป็นคำพูด เซนจึงคลายสถานการณ์ด้วยหัวเราะออกมาเบาๆ
"นายนี่...ไม่ค่อยพูดเลยเนอะ แต่เมื่อกี้นี้พูดมากว่าปกติตั้งเยอะ"เซนนึกไปถึงตอนที่คนตรงหน้ายืนเล่าชีวะประวัติยาวเหยียดของตัวเองให้บาลุสฟังเมื่อก่อนหน้านี้ นั่นอาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตนี้ที่เธอจะได้เห็น ริออร์ ซัลปิแอร์ พูดยาวขนาดนั้น นี่อาจนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์หายากบนโลกนี้เลยก็เป็นได้...ถือว่าเธอเป็นคนโชคดีที่มีโอกาสได้เห็นและฟังมัน
ริออร์หัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วนึกขำไปด้วยในใจ
"ไม่มีทางเลือกนี่ ซิมิทไม่ชอบขุดคุ้ยอดีต"เด็กหนุ่มว่า เซนพยักหน้ารับหงึกๆ
"ก็พอดูออกน่ะนะ ปกติหมอนั่นพูดมากจะตาย"เด็กสาวกรอกตาไปมาตอนพูดถึงชื่อคนที่แอบหนีกลับบ้านไปก่อน
"นั่นสินะ"ริออร์ตอบสั้นๆ ห้วนๆ แล้วก็เงียบไปทั้งๆ อย่างนั้น มันเหมือนเป็นคำพูดที่กระเด็นหายไปในอากาศ เซนไม่รู้จะต่อบทสนทนายังไงก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกไปเหมือนกัน และนั้นดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นนิดหน่อย ริออร์ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเบาๆ แล้วแสร้งมองไปทางอื่น "ท...โทษทีนะ ฉันไม่ค่อยถนัดคุยกับผู้หญิง..."
"นายไม่ถนัดคุยกับใครเลยต่างหาก!"เซนขึ้นเสียงสูงปรี๊ดแล้วหลุดหัวเราะชอบใจ ทำให้ริออร์เบาใจลงไปได้บ้าง "เอาน่า ไม่เห็นเป็นไร ทำอย่างกับไม่รู้จักกันไปได้นายนี่ ฉันว่าคุยกับนายแล้วสนุกกว่าพี่นายอีกนะ"
ริออร์หันมามองหน้าคนข้างๆ อยู่ครู่แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
"โกหกชัดๆ"เขาพูดหน้าตาย เซนแทบจะขำพรวดออกมาชนิดที่ว่ายกมือขึ้นมาปิดปากไม่ทัน
"ฮ่าๆๆ อะไรกัน ไม่เนียนเหรอ"สาวน้อยตีแขนคนข้างๆ เบาๆ เป็นเชิงหยอก แล้วยกมือขึ้นบิดขี้เกียจมองขึ้นไปบนฟ้าที่เริ่มจะมีดาวปรากฎขึ้น มันเป็นสิ่งที่จะมองเห็นได้ก็ต่อเมื่ออยู่นอกตัวเมืองแบบนี้เท่านั้น แม้ดวงดาวจะสว่างไสว แต่ถ้าผู้คนอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่แสงสีในเมืองก็จะกลบความระยิบระยังของดวงดาวจนไม่มีใครสังเกตเห็นมันเลย "นายสองคนจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่?"
"ไม่รู้สิ...พรุ่งนี้มั้ง"คนถูกถามตอบพลางแหงนหน้ามองขึ้นฟ้าตามคนข้างๆ
"งั้นเหรอ..."เซนพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วเปรยตาไปแอบมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มช้าๆ เรือนผมสีเงินยาวดูสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืด บวกกับดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนหยกแก้วที่สะท้อนภาพดวงดาวบนฟ้าทำให้มันดูเป็นประกายมากกว่าปกติ เธอก็รู้สึกมานานแล้วว่าพี่น้องคู่นี้หน้าตาดีไม่หยอก แต่พอได้มองใกล้ๆ ในบรรยากาศแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ชวนเขินพิลึก
ดูเหมือนคนถูกแอบมองจะเริ่มรู้ตัวจึงหันหน้ากลับลงมามองเธออย่างฉงนแล้วถามด้วยสีหน้างงๆ
"มีอะไรเหรอ?"
"อ๊ะ...เปล่าๆ"หลังจากที่ดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ได้ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน แล้วก็พยายามนึกประโยคอะไรสักอย่างมาเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย "รีบไปจังนะ พวกนาย"
"พวกนั้นให้เวลาแค่สองวันนี่"สายตาของริออร์ดูจริงจังขึ้นมาทันใดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
"คิดว่าไว้ใจได้จริงๆ เหรอ คนพวกนั้นน่ะ..."ดูเหมือนเธอจะถามคำถามอะไรที่ฟังดูโง่ๆ ออกไป
"จะไปไว้ใจได้ได้ยังไงกัน"เด็กหนุ่มหันมาจ้องเธอเขม่ง คนโดนค้อนแอบสะดุ้งเล็กน้อย "ฉันกับพี่แค่จะไปเพื่อให้แน่ใจว่าหลวงพ่อจะปลอดภัย แล้วคงหาทางทำอะไรสักอย่าง ยังไงก็คงต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าพวกนั้นต้องการอะไร"
"..."เซนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอเงียบคิดอะไรอยู่อย่างนั้นสักครู่ "ก่อนจะไป...อยากได้อะไรก็บอกได้นะ"
ริออร์เลิกคิ้วเล็กน้อยกับท่าทางที่แปลกไปของเด็กสาว สีหน้าคนตรงหน้าดูเจื่อนๆ ลงอย่างบอกไม่ถูก
"เซน...?"ริออร์เรียกชื่อเธอแล้วมองสบตรงเข้ามาในดวงตาของเธอ
"อื้อๆ ไม่มีอะไรหรอก นี่...ไหนๆ คงไม่ได้เจอกันสักพัก ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม"เด็กสาวส่ายหน้าแล้วกลับมายิ้มให้เขา สีหน้าเรียบเฉยของริออร์ประกายความประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง "ไม่ต้องเล่าให้ซิมิทฟังก็ได้นะ หมอนั่นคงจะหัวเราะแล้วก็บอกว่าเพ้อเจ้อแหงๆ"
"ได้...รู้กันแค่นี้"ริออร์เอ่ยเนิบๆ เซนยิ้มหวานให้เขาเหมือนจะบอกเป็นนัยน์ๆ ว่า ดีมาก
"ฉันน่ะ ไม่ชอบพวกนายสองคนเลย"ริออร์แทบจะสำลักอากาศที่หายใจเข้าไปเมื่อครู่หลังจากได้ยินสิ่งที่สาวตรงหน้าเพิ่งพูด เขาเลิกคิ้วกระพริบตาปริบๆ ราวกับจะถามว่าเพราะอะไร เด็กสาวหัวเราะชอบใจที่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจเธอผิดอย่างที่คิดไว้จริงๆ จึงอยากจะแกล้งต่ออีกหน่อย "ก็วันแรกที่ฉันมาที่นี่ พวกนายแกล้งฉันนี่"
"วันแรก..."ริออร์หยุดคิดไปถึงเหตุการณ์ที่ว่า ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถึงบางอ้อเมื่อภาพเมื่อหกปีก่อนฉายซ้ำขึ้นมา เรียกความรู้สึกผิดเย็นวาบไปทั่วร่างกายเมื่อรู้ว่าเด็กสาวยังเก็บเอามาคิดถึงทุกวันนี้ "อ...อ้อ เธอไม่ชอบเรา เพราะเรื่องนั้นเองสินะ"
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ"เซนขมวดคิ้วมุ่นทำสีหน้าจริงจังจ้องเขา แต่ก็ยังเก็บอาการขำๆ อยู่ในใจเมื่อเห็นท่าทางคนตรงหน้าดูจะเชื่อสนิทใจแบบไม่คิดจะโต้แย้งสักนิด สุดท้ายเซนก็ทนแกล้งทำหน้าบึ้งต่อไปไม่ไหวต้องหลุดประกายยิ้มออกมาอยู่ดี "พวกนายสองคน คอยมาช่วยพวกฉันตลอดนี่นา ถึงจะเป็นเพราะแซคชอบไปรบกวนก็เถอะ"
ริออร์ประมวลผลข้อมูลที่ได้รับฟังมาแล้วก็ยังงงๆ นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ไม่ชอบด้วยเหรอ...?
"มันทำให้เธอไม่ชอบเหรอ?"เด็กหนุ่มตัดสินใจถามหลังจากที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
"ใช่สิ!"เด็กสาวยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะพูดต่อ "รู้ไหม...ฉันน่ะ เป็นช่างเทคนิคกับแซคแค่สองคน ทุกคนใช้ไทม์ซอร์ทที่เราทำให้ พอมันพังทุกคนก็จะมาขอให้ช่วยซ่อม ถึงงานจะเยอะแต่มันรู้สึกดีนะ...ที่เด็กมีปัญหาหนีออกจากบ้านอย่างฉันทำประโยคให้ใครๆ ได้ มีแต่พวกนายเท่านั้นล่ะ..."
"..."ริออร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ในใจเขาก็รู้สึกว่าเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าใจความจริงๆ ที่เด็กสาวพยายามจะบอกอยู่ที่ประโยคหลังๆ นี้มากกว่า
"มีแค่พวกนายสองคน ที่ฉันรู้สึกว่าไม่เคยช่วยอะไรได้เลย รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยมีประโยชน์เลยเวลาที่พวกนายมาช่วย แล้วได้แต่พูดว่า ขอบคุณนะ อย่างเดียว"เซนหลุบตาลงแล้วยิ้มเหมือนฝืนๆ แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว "แต่ก็นั่นและน้า ถ้าต้องมาซ่อมไทม์ซอร์ทที่พวกนายทำพังเพิ่มอีกสองชิ้นงานฉันคงท่วมกว่านี้แน่ๆ ดีนะที่พวกนายพังไม่เป็น"
เด็กหนุ่มขยับกายเข้าไปใกล้คนตรงหน้าอีกนิดแล้วก้มลงมองใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนเคย แต่แววตาที่ส่งมากลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่มากกว่านั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหลังจากที่ฟังมาทั้งหมดนี่ คนตรงหน้าไม่ได้พูดเพราะอยากได้คำขอโทษแน่นอน มันเป็นเพียงแค่การบอกความรู้สึกในใจเท่านั้นเขารู้ดี บางทีการพูดไม่เก่งก็เป็นอุปสรรค์ใหญ่หลวงในสถานการณ์แบบนี้ เขาอยากจะพูดให้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง
เซนมองปราดเดียวก็รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามหาทางวางตัวหลังจากที่เธอพ่นอะไรแปลกๆ ออกไป สาวน้อยหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นไปสบตาอีกฝ่าย
"ที่พูดมาเนี่ย หมายความว่าฉันอยากช่วยอะไรพวกนายได้มากกว่านี้น่ะ ที่ว่าไม่ชอบน่ะล้อเล่น"สาวน้อยยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งดูทะเล้นดีไม่หยอก เรียกรอยยิ้มปรากฎขึ้นที่มุมปากคนยิ้มยากเบาบาง เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบซองเล็กๆ บางอย่างออกมาแล้วยื่นให้เขา "เอานี่ ฉันให้นาย"
ริออร์รับมันมาแล้วพลิกมันไปมาอย่างสำรวจ ก่อนจะล้วงเข้าไปหยิบเม็ดบางอย่างที่อยู่ข้างในออกมาส่องใกล้ๆ ตาเนื่องจากแสงตอนนี้เป็นอะไรที่ลำบากมากกับการพิจารณาของเล็กขนาดนี้ มันเป็นเม็ดทรงกลมแบนๆ มีรูตรงกลางเทาคล้ำๆ เขาไม่แน่ใจว่ามันใช่สิ่งที่เขาคิดหรือเปล่าจึงถามออกไป
"ลูปปัด?"
"อื้ม เอาไว้ติดผมน่ะ คิดมาสักพักแล้วว่าถ้าเอาไปติดบนผมนายน่าจะเหมาะดี"เธอหยิบมันออกมาจากมือเขาอย่างเบามือ แล้วขยับกายเยื้องไปข้างซ้ายของเขาเล็กน้อยเพื่อที่จะเอื้อมมือไปจับเรือนผมของเขาได้อย่างถนัด แล้วบรรจงหยิบมันขึ้นมาช่อเล็กๆ ช่อหนึ่งเพื่อครอบเจ้าลูกปัดนั่นลงไปโดยไม่คิดจะถามเจ้าของหัวสักคำว่าอยากจะมีอะไรห้อยต่องแต่งอยู่ตรงปลายผมแบบนี้หรือเปล่า
แต่แน่นอนว่าด้วยนิสัยยังไงก็ได้ และบ่นไม่เป็นของริออร์ทำให้เขาไม่ได้โวยวายอะไร เจ้าตัวแหว่งหัวไปมาสำรวจวัตถุใหม่บนร่างกายเขาอยู่ครู่ ก่อนจะหันมายิ้มให้คนให้
"ขอบคุณนะ"
"อ้อ...ไอ้เจ้านี่อย่าให้โดนน้ำนะ ตอนอาบน้ำก็ถอดออกก่อน แต่อย่าลืมใส่กลับด้วยล่ะ!"เด็กสาวอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยแล้วเน้นหนักตรงประโยคท้าย ริออร์พยักหน้ารับทั้งๆ ที่ก็ยังงงๆ
"ลูกปัดนี่...โดนน้ำไม่ได้เหรอ?"เขาถามกลับมา
"เอาเถอะน่า อย่าให้โดนก็แล้วกัน"เซนไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมบอกริออร์ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้
"เข้าใจล่ะ"ริออร์พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอีกครั้งและรู้สึกว่านี่เริ่มจะดึกแล้ว "เบ็ตตี้ไม่รอแย่แล้วเหรอ พวกเธออยู่ด้วยกันนี่"
"ฉันบอกให้เขากลับไปก่อนแล้วล่ะ"เซนตอบพลางยักใหล่น้อยๆ ริออร์ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ
"กลับเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่ง"ริออร์พูดพลางกลับหลังหันแล้วเหลียวหน้ามาหาเธอเป็นการชวน เซนยิ้มเล็กก่อนจะออกตัวเดินตามเขาไป
"อื้ม..."
++++++++++++++++++++
ในที่สุดก็ได้อัฟแล้วววว
คือยาวนานมาก แต่ละบท กว่าจะอัฟที555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันนะค้า
อย่าลืมเม้นท์ติชมกันด้วยนะ><
ความคิดเห็น