ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Time Jumper [บันทึกการเดินทางเหนือกาลเวลา]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter01

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 57


    "> SQWEEZ



              โบสถ์ เซ้นท์ บรัสวิก ปี ค.ศ. 2211

     

              ฤดูหนาวมาเยือน เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปทั่ว อีกไม่นานจะเข้าสู่ช่วงคริสต์มาสแล้ว สถานที่ต่างๆ ถูกประดับประดาไปด้วยสายรุ้งและไฟคริสต์มาสตัดกับสีของปุยหิมะขาวๆ ดูมีสีสันน่ามองขึ้นไม่น้อย โบสถ์แห่งนี้ก็เช่นกัน เหล่าแม่ชีพากันจัดแจกันดอกไม้ในห้องโถง และวางรูปปั้นเซรามิกบอกเล่าเรื่องราวการประสูติของพระคริสตเจ้าอย่างที่ทำเป็นธรรมเนียมทุกๆ ปี

     

                ตึกตักๆๆ ปัง!

     

                เสียงฝีเท้าดังรัวๆ สองคู่สลับกัน ตามด้วยเสียงเปิดประตูจากทางข้างนอกที่ดังสนั่นเสียเหมือนจะเป็นการพุ่งเข้าชนมากกว่า เสียงหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนานที่ดังตามมาพร้อมๆ กันนั้นทำให้เหล่าแม่ชีที่กำลังทำความสะอาดภายในห้องโถงต้องละสายตาจากงานที่กำลังทำแล้วเงยหน้าขึ้นมามองหาต้นเสียงกันเป็นทิวแถว

     

                “นายแพ้แล้ว! ริออร์”เสียงแหลมเล็กนี้เป็นของเด็กผู้ชายตัวน้อยที่วิ่งหอบหนังสือกองโตเข้ามา เขาหันไปเยาะเย้ยเด็กอีกคนที่วิ่งตามหลังเขา พร้อมกับหนังสืออีกกองที่ใหญ่ไม่แพ้กัน

     

                “ก็พี่แบกน้อยกว่าของผมตั้งห้าเล่มนี่นา!”เด็กคนที่วิ่งรั้งท้ายงอแงไม่ยอมแพ้

     

                “ไม่เห็นจะเกี่ยว ชนะก็คือชนะ คราวนี้นายต้องขัดลานคนเดียวนะ แบร๊~

     

                “เอ้าๆๆ อะไรกัน ซิมิทรี่ ริออร์ เอะอะโวยวายกันแต่รุ่งแต่สางในโบสถ์ เดี๋ยวพระเจ้าท่านก็โกรธเอาหรอก”เสียงนุ่มนวลแต่ก็ติดจะตำหนิเล็กๆ ดังมาจากหญิงชราในชุดขาวดำ เธอสวมผ้าคลุมผาสี่ขาวบ่งบอกความเป็นนักบวช เด็กซนสองคนเมื่อถูกดุเข้าจึงหันมาทำตาแป๋วใส่แล้วยิ้มแหยๆ อย่างรู้สึกผิด

     

                “ขอโทษครับมาเธอร์”เด็กคนที่วิ่งชนะยิ้มโชว์ฟันหล่อให้หญิงชรา เธอยิ้มรับแล้วเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีเงินสลวยของเด็กทั้งสองเขาอย่างอ่อนโยน “หลวงพ่อให้พวกผมไปขนพระคัมภีร์มาให้ครับ นี่ไง...”

     

                “โอ้...หอบกันมาจากหอสมุดเลยเหรอเนี่ย”

     

                “ใช่ฮะ!”เด็กสองคนตอบพร้อมกับเสียงดังฉะฉานเรียกร้อยยิ้มอย่างเอ็นดูจากหญิงชรา

     

                “นี่เป็นพระคัมภีร์สำหรับสวดภาวนาในคืนก่อนวันคริสต์มาส คราวหน้าอย่าถือวิ่งไปมาแบบนั้นกันอีกนะจ๊ะ ถ้าทำหล่นหนังสือจะเสียหายรู้ไหม เดี๋ยวนี้จะหาซื้อหนังสือจริงๆ น่ะไม่ง่ายนะ เขาหันไปใช้สมาร์ทบุ๊กกันหมดแล้ว”มาเธอร์ตักเตือนเด็กน้อยทั้งสองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กสองคนยิ้มรับคำสอนของแม่ชี่ที่อวุโสที่สุดในโบสถ์ก่อนจะพากันวางตั้งหนังสือลงบนเก้าอี้ไม้แถวๆ นั้น

     

                โลกเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทำลายความคลาสสิกของวัฒนธรรมเก่าๆ จนเกือบจะหายไปหมด อย่างน้อยก็มีสถานที่อย่างโบสถ์แห่งนี้ที่ยังคงรักษาความดั้งเดิมเอาไว้

     

                “เช้านี้ขัดลานกันหรือยังจ๊ะเด็กๆ”หญิงชราถามอีก

     

                “กำลังจะไปขัดฮะ”เด็กคนที่วิ่งแพ้เงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงใสแจ๋ว ดวงตาสีเขียวมรกตกลมโตคู่สวยดูเป็นประกายเหมือนลูกแก้วสวยเช่นเดียวกันคนข้างๆ ราวกับมาจากพิมพ์แก้วเดียวกัน

     

                “วันนี้ริออร์ต้องขัดคนเดียวครับ เพราะว่าวิ่งแข่งแพ้ผม”เด็กอีกคนอีกยิ้มกว้าง เท้าเอวเอ่ยอย่างภูมิใจในขณะที่คนโดนใช้ให้ขัดลานคนเดียวมุ่ยหน้าใส่

     

                “ไม่ได้นะจ๊ะ ซิมิทรี่ ลานตั้งใหญ่ให้น้องชายขัดคนเดียวได้ยังไง เป็นพี่น้องกันต้องช่วยกันสิรู้ไหม”โดนดุเป็นครั้งที่สอง ทำเอาคนเป็นพี่ยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ แล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับน้องชาย

     

                “เข้าใจแล้วฮะ งั้นไปกันเถอะ ริออร์! แข่งกันอีกรอบ ใครถึงก่อนได้ใช้ไม้ถู!!”ว่าแล้วก็ลักไก่วิ่งนำไปก่อน คนโดนท้ายังไม่ทันจะตกลงแต่ก็ต้องรีบวิ่งตามไปอย่างไม่มีทางเลือก

     

                “เอาอีกแล้วเหรอ! พี่เนี่ย!!

     

              หญิงชรามองตามหลังเด็กสองคนที่วิ่งออกไปแล้วเปิดประตูเสียงดังโครมครามเหมือนเดิมราวกับลืมที่ถูกดุไปเมื่อครู่หมดสิ้นก่อนจะสายหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดู แม่ชีอีกคนที่ปัดกวาดเครื่องเรือนอยู่แถวนั้นเดินมาข้างหญิงชราแล้วเอ่ย

     

                “สนิทกันจังเลยนะคะ สองคนนั้นน่ะ...”

     

                “ก็มีกันแค่สองคนนี่นะ”

     

                ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อแปดปีก่อน...มีตระกร้าลึกลับถูกคลุมด้วยผ้าขาววางทิ้งเอาไว้ในโบสถ์ บนแทนหน้ารูปปั้นของพระเยซูเจ้า เมื่อเธอไปเปิดดูก็พบทารกน้อยสองคน คนนึงอายุราวๆ ขวบเศษๆ ส่วนอีกคนยังดูเล็กมากราวกับเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่เดือน ทั้งคู่หลับปุ๋ยไม่สงเสียงร้องใดๆ ในตระกร้าไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก นอกจากกระดาษแผ่นเล็กๆ เท่าซองจนหมายที่เขียนชื่อนามสกุลและวันเดือนปีซึ่งคาดว่าจะเป็นวันเกิดของเด็กทั้งสองไว้

     

                ...ซิมิทรี่ และ ริออร์ ซัลปิแอร์ 17 สิงหาคม 2201 และ 2202...

     

                เป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรไม่ทราบแต่ทารกน้อยสองคนเกิดวันเดียวกัน เพียงแต่คนน้องเกิดช้ากว่าหนึ่งปี ทางโบสถ์ได้ลองส่งชื่อนามสกุลนี้ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเผื่อจะได้รู้เบาะแสว่าสองเด็กน้อยน่ารักนี้เป็นใครมาจากไหน...แต่ผลที่ได้กลับไม่พบใครในประเทศนี้ที่ใช้นามสกุลดังกล่าวเลย เมื่อสืบเสาะหาพ่อแม่ของเด็กไม่ได้ ทางโบสถ์จึงอาสารับอุปการะชีวิตน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้ง จนกระทั่งเวลาผ่านมาจนวันนี้ก็เติบใหญ่เป็นเด็กดี ที่ทั้งร่าเริงและผูกพันธ์กันโดยไม่มีอะไรสามารถตัดพวกเขาออกจากกันได้

     

                ตึกตักๆๆ ปัง!!

     

                เหมือนกรอเทปซ้ำใหม่อีกรอบแต่ครั้งนี้มาคนเดียว หญิงชราถอนหายใจอย่างปลงๆ กับเด็กซนพวกนี้ เธอกำลังจะหันไปดุเด็กน้อยเป็นรอบที่สามโทษฐานทำผิดซ้ำซาก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรเด็กน้อยคนพี่ก็โพล่งขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนก

     

                “ช่วยด้วยครับ มาเธอร์!”เด็กน้อยหอบหายใจถี่รัวราวกับเขาเพิ่งวิ่งมาด้วยความรีบร้อนที่สุดในชีวิต สีหน้าซีดเผือกฉายแววลนลานและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “หล...หลวงพ่อ...”

     

     

     

              ร่างสูงใหญ่ติดจะท้วมนิดๆ ของบาทหลวงใหญ่ของโบสถ์ นอนตะแคงข้างอยู่ที่พื้นหน้าบันใดยกระดับจากพื้นลานกว้างขึ้นไปบนทางเดินโดยมีเด็กน้อยตัวเล็กๆ ประคองศรีษะของเขาขึ้นมาหนุนไว้ที่ตัก พื้นตรงข้างๆ นั้นมีเศษเซรามิกที่แตกกระจายมาจากรูปปั้นพระแม่มารีที่คาดว่าคงจะหล่นจากมือบาทหลวงตอนที่เกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ เด็กน้อยมองร่างบนตักด้วยสายตาเป็นห่วงกังวลอย่างที่สุด แก้มนวลขาวๆ เปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตาจากความกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไป

     

                “หลวงพ่อครับ! ฮึก อดทนก่อนนะครับ...พี่กำลังไปตามคนมา ฮึก...”

     

                “ริออร์!!”เพิ่งพูดถึงก็มาทันที ซิมิทรี่ตะโกนพร้อมกับวิ่งมาแต่ไกล ตามมาด้วยร่างของแม่ชีสองสามคนที่วิ่งตามมากับเขาด้วย

     

                “ว้าย! ตาเถร หลวงพ่อคะ!”แม่ชีคนหนึ่งอุทานอย่างตกใจแล้วรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองร่างบาทหลวงขึ้นนั่ง “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะเนี่ย”

     

                “ผม...ฮึก ผมทำน้ำหกตรงบันได ฮึก ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”ริออร์คนน้องเอ่ยไปสะอื้นไป มือเล็กๆ ยกขึ้นมาขยี่ตาจนบวมเป่ง

     

                “ผมผิดเองครับ ผมชวนน้องวิ่ง...”

     

                “เอาล่ะ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ถอยไปก่อนนะจ๊ะ แมรี่โทรเรียกรถพยาบาลหน่อย คิดว่าคุณพ่อคงจะแขนหัก”แม่ชีคนหนึ่งเอ่ยพลางค่อยๆ พลิกตัวบาทหลวงขึ้น เด็กสองคนถูกกันออกไปจากตรงนั้น แต่ก็พยายามไปให้ไกลห่างน้อยที่สุดพอที่จะสอดส่องดูลาดเลาได้ เขาได้ยินเสียงบาทหลวงครวญครางด้วยความเจ็บปวด

     

                “พี่ฮะ...ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ฮือออ”คนเป็นน้องยังรู้สึกผิดไม่หาย ร้องไห้โฮออกมาจนคนเป็นพี่ต้องเข้าไปกอดปลอบ

     

                “พี่รู้แล้วๆ ถ้าพี่ไม่ท้านายแข่ง ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ พี่ขอโทษ ถ้าพี่กลับแก้ไขอะไรได้ละก็...”พี่ชายลูบหัวน้องชายที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นแล้วโยกไปมาเป็นการปลอบ ซิมิทรี่เป็นเด็กเข้มแข็ง เขาจะไม่ยอมร้องไห้ โดยเฉพาะต่อหน้าน้องชายคนนี้ แต่เด็กน้อยก็เจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ที่ทำได้แต่ยืนดูเท่านั้น

     

                “ถ้าผมถือถังน้ำดีๆ หลวงพ่อคงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้...”

     

                ...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะดี...

     

                นี่เป็นความคิดที่แล่นวนอยู่ในหัวของเด็กทั้งสอง ขณะที่มองร่างของหลวงพ่อผู้อุปการะถูกหามขึ้นรถพยาบาล ซิมิทรี่กัดฟันอย่างขัดใจ ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้มากไปกว่านี้อีกแล้วเหรอ...?

     

                คนเป็นพี่ชายดึงแขนน้องให้ลุกขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปที่รถพยาบาลซึ่งกำลังจะออกตัว แต่เพียงก้าวเท้าไปแค่ก้าวเดียวนั้น ก็มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับทั้งสอง...

     

                “พ...พี่ฮะ”ริออร์หันไปมองหน้าพี่ชายอย่างใจคอไม่ดี เด็กน้อยยิ่งเสียขวัญเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าพี่ชายของเขาก็ดูจะมีอาการอย่างเดียวกัน “ก...เกิดอะไรขึ้น ขาของผม”

     

                “พี่ก็ไม่รู้...”

     

                ความสับสนยิ่งเพิ่มพูน เมื่อเขาทั้งคู่มองเห็นตัวเองเดินถอยหลังออกไป ทั้งๆ ที่ขาของทั้งคู่ยังแข็งทื่อและแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ขยับไปไหน มันคู่เหมือนจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้ แตกต่างตรงที่ภาพทุกอย่างเหมือนเทปที่ถูกกรอถอยหลัง ขณะเดียวกันเขาได้ยินเสียงลานนาฬิกาดังติ๊กตอกๆ ในโสตประสาท ตลอดเวลา ราวกับมีนาฬิการุ่นคุณปู่เรือนเท่าเตาผิงอยู่ในหัว

     

                รถพยาบาลที่เพิ่งแล่นออกไปเมื่อครู่ถอยหลังกลับ หลวงพ่อถูกนำตัวออกมาจากรถพยาบาลและกลับไปอยู่บนตักของน้องชายเขา ทั้งๆ ที่ก็มีน้องชายตัวดีอีกคนยืนยืนอ้าปากตะลึงอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ และที่ตลกกว่านั้นก็คือ ตัวเขาอีกคนกำลังวิ่งถอยหลังกลับไปที่โถงโบสถ์พร้อมกับบรรดาแม่ชีกลุ่มเดียวกันเมื่อกี้ที่กำลังทำแบบเดียวกัน

     

                เหตุการณ์ต่างๆ รอบตัว ค่อยๆ เกิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจังหวะของเสียงติ๊กต็อกในหัว ทุกอย่างรวดเร็วจนเริ่มมองไม่ทัน สองพี่น้องมองซ้ายมองขวาพยายามจับใจความว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กทั้งสองหันควับมามองหน้ากันและกันราวกับคิดอะไรได้ ไม่นานนักทุกอย่างก็ค่อยๆ ชะลอลงแล้วกลับสู่ภาวะปกติ...

     

                เขาไม่ได้ยินเสียงนาฬิกานั่นแล้ว...

     

                แต่...หลวงพ่อและคนอื่นๆ ก็หายไปจากที่ตรงนั้นด้วย

     

                เขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่คิดตอนนี้นักหรอก แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ เขาคิดออกเพียงอย่างเดียว...

     

                “พ...พี่ฮะ?”ริออร์พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “หรือว่าเมื่อกี้นี้...”

     

                “อือ...พี่ก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก แต่ไม่ผิดแน่...”ซิมิทรี่เอ่ยพลางชี้นิ้วไปตรงทางเดินก่อนถึงบันไดเจ้าปัญหานั้น “ดูนั่นสิ...”

     

                ริออร์หันไปมองตามที่บอก แล้วเด็กน้อยก็ถึงกับต้องเบิกตากว้าง เมื่อเขาเห็นร่างของหลวงพ่อที่เมื่อครู่เพิ่งลื่นน้ำที่เขาทำหกตรงบันไดจนตกลงมาแขนหัก กำลังเดินแบกรูปปั้นเซรามิกที่ควรจะแตกไปแล้วเดินมาทางเดิมอย่างเชื่องช้า เขาไม่แปลกใจที่ทำไมหลวงพ่อถึงมองไม่เห็นน้ำที่บันได...ก็รูปบันมันใหญ่โตบังหน้าบังตาเสียขนาดนั้น

     

                ...ทุกอย่างย้อนกลับมาจริงๆ ด้วย!!...

     

                “เดี๋ยวก่อนนะริออร์...นายทำน้ำหกตรงไหน!”ซิมิทรี่เมื่อประติดประต่อเรื่องราวได้ก็รีบหันไปถามคนเป็นน้อง

     

                “เอ่อ ตรง...บันไดขั้นที่สองนับจากข้างบน...”เด็กน้อยไม่ทันรอให้น้องชายพูดจบก็รีบวิ่งกรูออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

     

                “หลวงพ่อครับ หยุดก่อน!!”เขาตะโกนสุดเสียงเพื่อหยุดชายร่างสูงเอาไว้

     

    ได้ผล...หลวงพ่อหยุดเดิน แล้วเอียงหน้าผ่านใหล่ของพระแม่มารีเพื่อมองหาต้นเสียง ก่อนจะฉีกยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นเด็กสองคนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเขา รูปปั้นถูกวางลงบนพื้นอย่างละเมียดละไม เป็นจังหวะเดียวที่สองพี่น้องวิ่งมาถึงตรงหน้าเขาพอดี

     

    “ว่าไงสองพี่น้องคนเก่งของพ่อ”หลวงพ่อกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนทุกครั้ง

     

    “บนบันไดมีน้ำฮะ ถ้าเดินไม่ดูทางคุณพ่อจะลื่นนะฮะ”ซิมิทรี่พูดไปหอบไป แล้วมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังเช่นเดียวกับริออร์ที่มองหน้าเขาตาแป๋ว

     

    “อ้อ...รีบมาเพราะอย่างนี้เอง ใจดีจังนะ กลัวพ่อหกล้มเหรอ”บาทหลวงหนุ่มวางมือลงบนหัวของเด็กทั้งสองแล้วลูบไปมาเบาๆ “ไปขนพระคัมภีร์กันมาแล้วเหรอ”   หลวงพ่อถาม

     

    “อ่า พ...พระคัมภีร์...”เป็นคำถามที่คนฟังเริ่มไม่แน่ใจในคำตอบ เขาอ้ำอึกเล็กน้อยขณะที่กำลังนึกย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้าเพื่อความแน่ใจ

     

    “อ้อ! ใช่...ใช่ฮะ ขนไปให้พวกซิสเตอร์ที่โบสถ์แล้วฮะ”เป็นริออร์ที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้

     

    สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างโล่งอก เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรเวลาถึงได้ย้อนกลับมาได้ ทั้งเขาและน้องชายไม่มีใครเป็นทามเมอร์หรือมีไทม์ซอร์ทเสียหน่อย แต่จะด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้หลวงพ่อปลอดภัยดี...นี่ต่างหากที่เขาควรจะคิด

     

    “ขอบใจมากนะทั้งสองคน เอาล่ะ! เดี๋ยวพ่อจะต้องยกรูปปั้นนี้ไปที่โบสถ์เหมือนกัน ก่อนจะไปขัดลานก็ช่วยพ่อ...”อยู่ดีๆ บาทหลวงหนุ่มก็หยุดพูดไปกลางคัน เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กลางลานกว้าง และเมื่อเห็นหลวงพ่อผู้เป็นที่รักยืนนิ่งตะลึงงันจ้องมองแบบนั้น สองพี่น้องเลยหันไปดูบ้าง...

     

    ...โอ ตายล่ะ...

     

    กลางลานกว้างมีเด็กสองคนกำลังสนุกสนานกับการทำความสะอาดพื้น เสียงหัวเราะคิกคักดังก้องเสียมาถึงตรงนี้ คนหนึ่งถือไม่ถูส่วนอีกคนมีถังน้ำอยู่ในมือ และเขาจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยถ้าสองคนนั่นไม่หน้าตาคุ้นๆ แปลกๆ

     

    ...เยี่ยม! เยี่ยมมาก!...

     

    เขาลืมคิดไปได้ยังไงว่าเวลานี้พวกเขาควรจะขัดลานกว้างอยู่! เคยได้ยินมาบางเหมือนกันเรื่องที่เราจะเจอตัวเองในอดีตเมื่อย้อนเวลากลับไป แต่ไม่คิดว่าพอเจอจริงๆ จะรู้สึกขนลุกขนพองขนาดนี้!

     

    สองพี่น้องค่อยๆ หันหน้ากลับมาเงยหน้ามองร่างสูงตรงหน้าอย่างช้าๆ แล้วกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่พร้อมกัน สีหน้าอึ้งพอๆ กับหลวงพ่อที่เริ่มจะประมวลผลเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้

     

    “นี่ลูกสองคน อย่าบอกนะว่า...”ร่างสูงมองต่ำลงมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนโน้มตัวลงมาคว้าเด็กคนพี่ให้หันหน้าข้างให้เขา ก่อนจะใช้มือหนาปัดปอยผมที่รวงลงมาปิดต้นคอออก “โอ พระเจ้า...”

     

    ที่ต้นคอหลังหูข้างขวาของเด็กน้อยมีข้อความบางอย่างเขียนอยู่ มันเป็นอักษรสีดำตัวเล็กๆ คล้ายกับรอยสัก  มันเป็นตัวเลขชุดหนึ่ง คือ 22.12.2211 และด้านล่างมีตัวเลขอีกชุดที่มีขนาดฟ้อนต์เล็กกว่าเขียนว่า 10 : 16 am เขาจึงดูที่ต้นคอของริออร์คนน้องบ้าง ซึ่งก็ปรากฎรอยสักแบบเดียวกัน

     

    “ลูกสองคนทำแบบนี้กันได้ยังไง...”สีหน้าจริงจังนั้นทำให้เด็กสองคนขวัญเสียกลัวคนตรงหน้าจะโกรธ

     

    “คุณพ่อฮะ เราสาบาญได้...เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”ซิมิทรี่พูดอย่างลนลาน แต่คนตรงหน้าไม่มีท่าทีจะโกรธแต่อย่างใด เขาเดินอ้อมเอาตัวมาบังทั้งคู่เอาไว้ ก่อนจะพูด

     

    “เอาล่ะ เราจะมาคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ก่อนที่ตัวลูกในตอนนี้จะเห็นเข้า ลูกต้องกลับไป”

     

    “ป...ไปไหนฮะ”ริออร์ถาม

     

                “อนาคต...ช่วงเวลาที่ลูกจากมา เร็วเข้า”

     

                “แต่พวกเราไม่รู้ว่า...”

     

                “นึก ซิมิทรี่ นึก! ลูกกลับมาอดีตได้ยังไง...ทำแบบเดียวกัน”สีหน้าของเด็กน้อยฉายแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด เด็กน้อยหลุบสายตาลงต่ำ ก้มมองเท้าตัวเอง “พ่อเชื่อว่าลูกทำได้...มันก็เหมือนกับเดินทางไปกลับจากตลาด เราก็แค่ต้องเดินกลับทางเดิม จับมือกันเอาไว้”ร่างสูงยกมือของทั้งคู่มาประสานกัน แล้วถอยห่างจากพวกเขาหนึ่งเก้า

     

                สองพี่น้องหันไปมองกันและกัน แล้วพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะหลับตาลงช้าๆ...

     

                ...ขอร้องล่ะ ได้ผลที...

     

                ซิมิทรี่และริออร์นึกภาวนาในใจทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นถูกต้องหรือเปล่า เขาแค่กำลังตั้งสมาธิพยายามคิดว่าตัวเองกำลังเดินทางกลับไปที่ๆ จากมา

     

                ...ได้โปรดเถอะ...

     

                คิ้วเล็กๆ ขมวดมุ่น...เขาเริ่มรู้สึกว่ามาถูกทางเมื่อเสียงนาฬิกาคุณปู่เรือนเดิมกลับมาดังก้องอยู่ในหัวเขา เป็นจังหวะช้าๆ...และค่อยถี่ขึ้น...ถี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วหยุด!

     

                หง่างงงงง

     

                เสียงระฆังดังหนึ่งครั้งแล้วเงียบไป ไม่มีเสียงนาฬิกาติ๊กตอกนั้นแล้ว เด็กน้อยสองคนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ...ทุกอย่างดูเหมือนเดิม เขายังยืนอยู่บนทางเดินก่อนลงบันไดเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เด็กสองคนหันมองซ้ายมองขวาอย่างงงๆ ก่อนจะหันไปเจอบาทหลวงหนุ่มที่ก็ยืนประสานมืออยู่ที่เดิม ยิ่งทำให้สองพี่น้องสงสัยเข้าไปอีก สรุปว่า...เมื่อครู่นี้พวกเขากลับมาหรือยัง...?

     

                “เอ่อ...คุณพ่อฮะ พวกผม...ยังไม่ได้กลับไปสินะ”ริออร์เงยหน้าขึ้นไปถามอย่างไม่แน่ใจ คนถูกถามยิ้มเบาบางก่อนจะยกนาฬิกากาขึ้นมาดู

     

                “ตอนนี้เวลา10โมง16นาที...ก่อนหน้านี้พ่อยืนอยู่ตรงนี้ประมาณ20นาที ลูกสองคนก็หายวับไปจากลานกว้าง แล้วมาอยู่ที่หน้าพ่อนี่ล่ะ”

     

                “หมายความว่า...!?”เด็กสองคนอุทานอย่างตกใจ สีหน้าทั้งสองคนฉายแววดีใจน้อยๆ บาทหลวงพยักหน้ารับ

     

                “ลูกกลับมาได้”เขาตอบเนิบๆ แล้วเดินเข้ามาหาเด็กทั้งสองคน “แต่มันจะไม่ง่ายอย่างที่ลูกคิดหรอกนะ เอาล่ะ ดูตรงนี้...”บาทหลวงหนุ่มเอ่ยเสียงเครียดพลางเสยปอยผมที่ต้นคอของทั้งคู่ขึ้น ให้เห็นรอยสักเดียวกันก่อนหน้านี้ “นี่เป็นหลักฐานตำหนิ...ว่าลูกเคยผ่านการข้ามเวลามาแล้ว มันจะจางหายไปภายในหนึ่งถึงสองวัน แต่จะอ่านพบเมื่อถูกฉายด้วยแสงแบล็คไลท์(Black light)

     

                “อ้าว...เมื่อกี้มีตัวเลขเล็กๆ ข้างล่างอีกด้วยนี่ฮะ”ริออร์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เมื่อพบว่าตอนนี้มีแต่ตัวเลข 22.12.2211เท่านั้น

     

                “นี่คือวันที่...มันปรากฏเพื่อบอกว่าทามเมอร์คนนั้นมาจากวันเวลาที่เท่าไหร่ ส่วนตัวเลขเล็กๆ นั้นจะปรากฏเฉพาะเวลาที่ลูกอยู่ย้อนไปในอดีตเท่านั้น เอาล่ะ...พ่อคิดว่าพ่อเหลือเวลาอธิบายอีกไม่นาน ซิมิทรี่ ริออร์...ฟังให้ดีนะสิ่งที่ลูกทำเมื่อกี้นี้ ทางการจะตามล่าพวกลูก...”ประโยคท้ายทำเอาเด็กสองคนเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมา

     

                “ตามล่า!!”สองคนอุทานออกมาพร้อมกัน

     

                “ลูกเปลี่ยนอดีต...รู้ใช่ไหม ซิมิทรี่...ริออร์ มันเป็นอาชญากรรม ลูกเข้าใจใช่ไหม...”บาทหลวงพยายามพูดให้เด็กสองคนเข้าโหมดจริงจัง สองพี่น้องดูนิ่งลงเล็กน้อยแล้วพยักหน้าช้าๆ “ทีนี้ลูกบอกพ่อ ใครเป็นคนสอนให้ลูกทำ ใครให้ไทม์ซอร์ทลูก แล้วมันอยู่ไหน...”

     

                “ไม่มีครับ ไม่มีใครทั้งนั้น...”ซิมิทรี่ส่ายหน้าหงึกๆ

     

                “ลูกต้องไม่โกหกนะ ลูกข้ามเวลาโดยไม่มีไทม์ซอร์ทได้ยังไง...”

     

                “ผมไม่รู้ครับ มันเกิดขึ้นเอง เราแค่เห็นหลวงพ่อล้ม ก็เลย...”

     

                หวืดดดด

     

                เสียงบางอย่างดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา พร้อมกับสายลมแรงกล้าที่พัดกระหน่ำ สามร่างเงยหน้ามองขึ้นบนฟ้าพร้อมกัน ก็พบยานบินลำใหญ่กำลังแล่นเข้ามา ใต้ท้องยานมีตัวอักษรสีดำตัวใหญ่เขียนชัดเจนว่า ‘MOT’ คนทั้งโลกไม่มีใครไม่รู้จักอักษรย่อนี้ แม้แต่สองพี่น้องที่เติบโตมาในโบสถ์ก็ยังรู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน

     

                “โอพระเจ้า...พวกเขามาตามหาพวกลูก มานี่! ทั้งสองคน”หลวงพ่อคว้าแขนเด็กสองคนให้วิ่งไปกับเขา

     

                นี่จะเป็นครั้งแรกที่เด็กสองคนนี้ตกอยู่ในภาวะคับขันและหวาดกลัวที่สุด การใช้ชีวิตอยู่แต่ในโบสถ์นอกจากจะไม่ค่อยได้เห็นความวุ่นวายแล้วยังทำให้ห่างไกลจากโลกภายนอก พวกเขาเพิ่งเคยต้องวิ่งเพื่อหนีเป็นครั้งแรก แม้จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งผิด แต่การยอมให้เด็กไร้เดียงสาสองคนถูกทหารจับไปง่ายๆ โดยไม่ทำอะไรเลยนั้น เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำในชีวิตนักบวช เขารักเด็กสองคนนี้มากเกินกว่าจะปล่อยให้ทางการเอาตัวพวกเขาไปในฐานะนักโทษ...

     

                ประตูโบสถ์ถูกเปิดออกอย่างแรง ตามด้วยร่างของหลวงพ่อปีเตอร์ แอนด์ โจเซฟที่จูงมือสองพี่น้องซัลปิแอร์เข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนเรียกความสนใจของเหล่าแม่ชีในโถงปรัมพิธีให้หันมามอง

     

                “อ้าวหลวงพ่อ...มีธุระอะไรคะ”หัวหน้าแม่ชีเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม

     

                “จะอธิบายทีหลังนะซิสเตอร์ซูซาน ช่วยเปิดทางเข้านั่นให้ที...”บาทหลวงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังทำให้รู้ว่านี่เป็นเรื่องด่วน หญิงชรามีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ แล้วรีบไปจัดการให้ทันที

     

                หญิงชราคว้าตัวซิสเตอร์สาวๆ สองสามคนให้เดินตามไปตรงรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขนที่ตั้งอยู่กลางลานพิธีในสุดของโบสถ์ หลวงพอพาเด็กทั้งสองคนเดินจ้ำอ้าวตามเข้าไปในขณะที่แท่นกางเขนกำลังถูกเหล่าแม่ชีดันออกจากตำแหน่งเดิมอย่างช้าๆ

     

                ใต้นั้นมีประตูกลซ่อนอยู่ สองพี่น้องเองก็เพิ่งจะรู้ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มาทำความสะอาดที่นี่บ่อยๆ หลวงพ่อเดินเข้าไปแล้วล้วงกุญแจมาปลดล็อคแม่กุญแจสองสามตัวที่คล้องอยู่ แล้วเปิดมันขึ้นมา

     

                “นี่มันเรื่องอะไรกันคะหลวงพ่อ แล้วข้างนอกนั่น...”แม่ชีคนหนึ่งถามขึ้นมา

     

                “แล้วผมจะอธิบายให้ฟังนะครับ”บาทหลวงตอบไป แล้วกวักมือเรียกสองพี่น้อง “เด็กๆ มานี่เร็วเข้า”

     

                ซิมิทรี่และริออร์เดินเข้าไปอย่างว่าง่ายแล้วชะโงกลงไปในความมืดเบื้องล่างที่ดูน่าขนลุกชอบกล บาทหลวงส่งไฟฉายหนึ่งกระบอกส่งให้ซิมิทรี่ผู้เป็นพี่ แล้วมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น

     

                “ซิมิทรี่ จากนี้ไปฟังพ่อดีๆ นะ”บาทหลวงวางมือลงบนใหล่ของเด็กน้อยแล้วบีบเบาๆ “พ่อรู้ว่าที่ผ่านมา พ่อสอนให้ลูกทั้งสองคนทำผิดแล้วยอมรับผิด แต่ครั้งนี้ให้เป็นกรณียกเว้น เข้าใจไหม?”เด็กน้อยกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ “เอาล่ะ...พาน้องลงไปข้างล่างนี้ มันเป็นทางลับที่สร้างมาตั้งแต่โบราณแล้ว เดินไปตามมันจะพาลูกอ้อมใต้เมืองออกไปข้างนอกตัวเมือง แล้วหลังจากนั้น...ไปให้ไกลที่สุด พ่อมีเงินไม่มาก คงพอใช้ซื้อของจำเป็นบางอย่าง”บาทหลวงยัดก้อนเงินจำนวนหนึ่งใส่มือของเด็กน้อย

     

                “ไป...ไปที่ไหนฮะ”ซิมิทรี่ถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

                “ที่ไหนก็ได้ ทำให้แน่ใจว่าทางการตามตัวลูกไม่เจอ แล้วระหว่างนี้...ระวังอย่าให้ใครเห็นรอยตำหนินะ”

     

                “ค...ครับ”

     

                “ฮ...ฮึก...”เสียงสะอื้นดังมาจากคนเป็นน้องที่เริ่มขวัญเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้น อยู่ๆ เรื่องราวก็กลายเป็นเลวร้ายลงและดูน่ากลัวไปหมด เด็กน้อยตั้งรับไม่ทัน เขาไม่เคยต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน

     

                “ริออร์...”บาทหลวงปล่อยมือจากใหล่ของซิมิทรี่ แล้ววางลงบนศรีษะของคนขี้แย “ลูกจะต้องเข้มแข็งขึ้นให้ได้นะ สัญญากับพ่อ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องไม่ร้องไห้รู้ไหม...”หลวงพ่อปีเตอร์ใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาของเด็กน้อยออก “พ่อรักพวกลูก และจะรักตลอดไป ลาก่อนนะ...”

     

     

     

              เฮือก!

     

              ร่างบนโซฟาหนังสีดำสะดุ้งโหยงขึ้นมาหลังจากหลงเข้าไปอยู่ในห้วงนิทราได้ระยะหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาก็พบกับเพดานห้องสีขาวคุ้นตาที่ตื่นมาเจอทุกวัน...ดวงตาสีเขียวมรกตกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เขรอะกังห้องเดิม

     

                มือหนายกขึ้นมาเสยเรือนผมสีเงินตรงยาวสลวยถึงกลางหลังซึ่งบัดนี้ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงจากการนอนงีบที่หลับลึกเกินกว่าที่ตั้งใจเอาไว้

     

                ...ฝันหรอกเหรอ...

     

                เด็กหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง

     

                “ฝันร้ายเหรอน้องชาย”เสียงทุ้มๆ จากใครบางคนเรียกให้ร่างบนโซฟาหันไปมองคนพูดที่กำลังเปิดตู้หาเสื้อผ้าใส่ในสภาพที่เปลือยท่อนบนกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ปิดท่อนล่างเอาไว้ มือข้างนึงของเขากรีดไม้แขวนเสื้อเรียงไปทีละอัน ส่วนอีกข้างก็ขยี่ผ้าขนหนูลงบนเรือนผมสีเงินทรงสั้นระต้นคอที่กำลังเปียกชุ่ม

     

                “ก็ไม่เชิง”เด็กหนุ่มผมยาวตอบกลับไปห้วนๆ “พี่จำวันสุดท้ายที่เซ้นท์บรัสวิกได้ไหม...”คำตอบนี้ทำเอาคนที่กำลังสนใจกับตู้เสื้อผ้าเลิกคิ้วขึ้นเลิกน้อย

     

                “ฝันถึงเรื่องนี้น่ะเอง”คนถูกเรียกเป็นพี่ชายเอียงคอไปมา ก่อนจะหยิบเสื้อฮูทแขนกุดสีดำมาสวม “หลังจากวันนั้นก็...สิบปีแล้วนะ ยังไม่เลิกละเมอเพ้อพกอีกหรือไง”เจ้าตัวยักคิ้วกวนแล้วสวมกางเกงขาสามส่วนที่ก็เป็นสีดำอีกเช่นกัน

     

                “เปล่าสักหน่อย...”คนถูกหาว่า ละเมอเพ้อพก เอ่ยปัดเสียงเรียบ แล้วพิงหลังกับพนักพิงโซฟา

     

                “ตื่นแล้วก็ไปกันเหอะ จะเลยเวลาแล้วนะ”

     

                “อืม...”




    ++++++++++++++

    มาบทแรกก็ยาวเหยียดกันเลย เบื่อกันมั้ยคะ!55555
    ติชมกันได้น้าาาาา ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกันค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×