ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #25 : - take me home : chapters - 022 { 100% }

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.06K
      3
      2 พ.ย. 57





     

    - Run -


     

    chapters – 022




     

    จะเป็นยังไงถ้าคนที่บอกว่าเชื่อใจตัวเองรู้ความจริงขึ้นมาว่าคนนั้นแอบเอาผลงานของคนอื่นมาส่งแล้วยังหลอกว่าเขียนเองอีก...

     

     !!

     

    บ่อยครั้งที่ครูหรือเพื่อนมักถามว่าไม่โกรธบ้างเหรอ  แบคฮยอนโกรธไม่เป็นเหรอ  คำตอบก็คงไม่พ้นว่าไม่นิไม่เป็นไร  เขารู้ตัวดีว่าหากตอบส่าเราโกรธไปตรงๆเรื่องจะยิ่งแย่พาลมีปัญหากันไปใหญ่เลยตอบออกไปแบบหมดปัญหา  เดี๋ยวเดียวก็หายโกรธแล้ว...เดี๋ยวมันก็หาย  ทุกครั้งเลยหยุดที่คำว่าไม่เป็นไรตลอด

     

    แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปได้นิใช่มั้ย?   ถ้าเขาจะทำมัน



     

    พูดในสิ่งที่นายอยากพูดไปเถอะ

     

    แต่นั่นเพื่อนคุณนะคยองซูเขาต้องเสียใจมากแน่ๆ...ถ้ารู้ว่าทุกคนรู้ความจริง  เขาอาจจะเกลียดผม...เราก็จะไม่ได้เป็นเพื่อนกัน

     

    รู้อะไรมั้ย...เพื่อนที่ดีถ้าผิดก็บอกว่าผิดเพื่อที่จะไม่ให้เดินผิดทางคือเพื่อนที่แท้จริง  สักวันเขาต้องรู้แน่ว่านายหวังดี

     

    ใช่...ลู่หานบอกกับเขาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  สิ่งที่เรียกว่าน้ำใจมันจะทำร้ายเพื่อนหลังจากนี้และแบคฮยอนต้องหยุดมันไม่ให้ดึงคยองซูลงไปในเหวของความมืด




     

     

    “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว  ถ้านายไม่ได้มาขอโทษก็ออกไปเถอะ  เราเสียใจที่แบคทำแบบนั้นมากพอแล้ว”  คยองซูรู้สึกหน้าตึงแต่ก็ยังคงทำหน้าสลดให้สมบทบาท

     

    “อื้อ...ตอนแรกจะมาเพื่อขอโทษ  แต่พอรู้ว่าเราต่างหากที่ต้องการคำขอโทษ...”

     

    “อะไร!  ออกไปได้แล้ว  ฉันจะพักผ่อน”

     

    “คยองซู  ทำไมนายทำอย่างนี้  จะให้ต้องพูดมั้ยว่าฉันรู้อะไรมา” คำถามข่มขู่ในแบบที่คนตัวเล็กไม่เคยคิดจะเอามาใช้ 

     

    “รู้อะไร?”  คนตาโตถึงกับเสียงสั่นห้ามไม่อยู่  นึกย้อนกลับไปว่าเขาทำอะไรที่เก็บไม่เรียบร้อยหรือเปล่า 

     

    “วันที่  เวลา  ในแผ่นซีดีตอนไรท์ส่ง”  คนตัวเล็กไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าการนิ่งเงียบรอดูปฏิกิริยา  เมื่อเห็นอีกคนมีสีหน้าเลิกลั่กจนเห็นได้ชัดก็เข้าใจท่องแท้ 

     

    ดวงตาโตจดจ้องไปยังแววตาดำที่สั่นไหวของอีกคนก่อนจะหลบตาเสมองไปทางอื่น

     

    “ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น  นายนั่นแหละที่ทำ...”

     

    “เราทำอะไร”

     

    “เพราะนาย...ทั้งชานยอลลู่หานก็พาลหนีฉันไปหานายหมด!


     

    เอ๋...นี่มันเรื่องอะไรกัน?


























     

    ดูเหมือนว่าความมึนยังไม่ประทับองค์ลงแบคฮยอนดีเท่าไรนัก  หลังจากออกมาจากห้องคยองซูคนตัวเล็กก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบกอดตุ๊กตาแน่น  หัวคิ้วมวดชนกันราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในครั้งนี้  สารถีหนุ่มได้แต่เหลือบมองเป็นระยะจนกระทั่งถึงบ้านหลังที่คิดว่าอบอุ่นที่สุด


     

    “เป็นอะไรรึเปล่า” ลู่หานเอ่ยถามเพราะร้อนใจมาตลอดทาง  กลัวว่าอีกฝ่ายจะน้ำตาตกแล้วกอดปลอบไม่ได้เพราะบังคับรถอยู่  ถึงบ้านเลยยิ่งคำถามใส่และแน่นอนว่าอีกคนเตรียมเบะปากแล้ว  “เฮ้ย  ไหนว่าเคลียร์กันแล้วไง  ไหงมาบทโศกวะ”  ปากไวไม่เท่ามือที่รั้งร่างเล็กเข้ามากอดประโลม


     

    “ฮึก  คุณ...ผมรู้สึกว่าตัวเองมันแย่ยังไงไม่รู้”  แบคฮยอนกอดกลับแล้วถูหัวกลมๆกับไหล่กว้าง


     

    “อะไร  โดนว่าอะไรมา” 


     

    “ผมน่าจะเชื่อคุณ ผมน่าจะเชื่อว่าไม่ควรไปหาเขา  ฮึก  แต่ก็คิดว่าไปฟังความจริงจากปากคงดี  ละ  แล้วพอรู้ความจริงผมก็รู้สึกแย่มากเลยด้วย  รู้สึกงงไปหมด  ทั้งเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นผมรู้สึกแย่  ฮือ” 


     

    “นายทำอะไร...ไหนเล่าสิ”  ลู่หานปรับน้ำเสียงอ่อนลงจนคนฟังใจอ่อนยวบ  อบอุ่นแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก  ไม่บ่อยที่ร่างสูงจะพูดอะไรแบบนี้แต่แบคฮยอนก็ชอบ


     

    “ไม่เอา  ไม่เล่า...”  จู่ๆน้ำตาใสก็หยุดทันควัน  ก่อนแบคฮยอนจะเงยหน้าสุดชีวิตมองไล่จากคางไปถึงดวงตาของอินทีเรียหนุ่ม  “คุณ ทำไมดูดีจังอ่ะ”


     

    “เหอะ  คนอ้วนไม่มีวันเข้าใจถึงคำนี้ป่ะ  ไปทำข้าวเย็นกันดีกว่า”  หลอกว่าเสร็จก็เดินจากไป  ทิ้งไว้กับอีกคนที่ยังนิ่งแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าโดนว่า

     

    “ย๊า!  คนแก่!





     

     

     

    เวลาล่วงเลยจนฟ้ามืด  แบคฮยอนยังคงนั่งมองจอคอมฯที่ฉายหน้าโปรแกรมไมโคโซมเวิร์ดอยู่อย่างนั้น  จะพิมพ์หรือจะแก้คำผิดก็ยังงงเหม่อลอยจนลู่หานอดเดินมาสะกิดแก้มกลมๆนั้นไม่ได้  คนเหม่อเลยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเงยหน้ามายิ้มให้อีกคนบางๆ  แอบเนียบซบหน้าท้องอีกคนเบาๆ


     

    “อยากกินโอวันตินอ่ะคุณ”  แบคฮยอนโหมดกดสวิตช์โหมดอ้อนทันที  ทว่า...


     

    “ไปชงดิวะ”  อ้าว...ลู่หานพูดแค่นั้นแบคฮยอนก็ลุกพรวดเดินปึงปังไปในครัว  เสียงเคร้งของช้อนชากระทบแก้วเซรามิกไม่ขาดสาย  “อ้าวๆ  ครัวจะพังรึเปล่าครับคุณพยอน”  หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามประสาคนขี้แกล้งเสร็จก็เดินไปนั่งบนโซฟาที่ประจำ  กดเปิดโทรทัศน์ช่องฟุตบอลแล้วนั่งดูพร้อมเสียงเชียร์บอลที่แบคฮยอนคิดว่ามันน่ารำคาญจริงๆ


     

    “คุณ!  อย่าเสียงดังได้ป่ะ  ผมจะเขียนนิยาย”  บทโต้วาทีเดิมๆไม่ทำให้น่าเบื่อ  กลับสร้างความสัมพันธ์ให้ดีในระดับหนึ่งได้?


     

    “ไปนอนไปๆ  เห็นนั่งมองยังกะมันจะพิมพ์ให้ตามใจนึกงั้นแหละ”  คนตัวเล็กรู้สึกใจชื่นขึ้นมา ลู่หานยังช่างสังเกตและใส่ใจเขาอยู่เสมอ 


     

    แบคฮยอนกำลังปิดเครื่องเตรียมไปนอนพัก  พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คว้าหมับเจ้าตุ๊กตาเต้าฮวยสีขาวบนโซฟาข้างๆลู่หานแต่ก็โดนฉุดแขนให้นั่งลงข้างกัน


     

    “เปลี่ยนใจแล้ว  ดูบอลด้วยกันดีกว่า”  คงเห็นว่าวันนี้เขาซึมๆเลยอยากจะปลอบใจ  แบคฮยอนเลยเอนศีรษะไปซบหัวไหล่อีกคน


     

    ถ้าหากจะคิดว่ามันโรแมนติกแบบพิงไหล่เอาหัวซบกัน  แบคฮยอนผู้แสนโรแมนติกในจินตนาการคงคิดผิดไป  ว่านี่น่ะลู่หาน!


     

    พลั่ก!


     

    “โอ๊ย!  ไอ้...งื้อ  เจ็บเลย”  แบคฮยอนลูบข้างแก้มอวบตัวเองปอยๆเมื่ออยู่ๆลู่หานที่นั่งนิ่งๆก็ลุกพรวดตะโกนเย้วๆกระโดดเหยงๆบนโซฟาแบบดีใจสุดๆ  จนไหล่กระแทกหน้าคนตัวเล็กจังๆ  ไม่มีหันมามองกันเลย!





     

    “อ๊ากกกก  เข้าแล้ววเว้ยยยย!!


     

    “คุณ!  ตายซะเถอะ  อ๊ากกกก!!”  คนตัวเล็กกระโดดเข้าชาร์ตใส่อีกคนจนเสถลา ลู่หานหวังคว้าคนที่เกาะบนอากาศด้วยความตกใจทำให้ทั้งคู่กระแทกลงเบาะ  ข้าวของกระจัดกระจายทั้งงานเขียนแบบและ...






     

    เพราะนาย...ทั้งชานยอลลู่หานก็พาลหนีฉันไปหานายหมด!’

     

    พูดเรื่องอะไร  เรากำลังพูดเรื่องต้นฉบับ...!’

     

    เหอะ  ไอ้นิยายกระจอกๆนั่นทำอย่างกับฉันอยากเอามาคัดลอกตายละ  งานเขียนห่วยๆแบบนั้นฉันเขียนได้ดีกว่าเยอะ

     

    ตุ๊กตาหมาอัดเสียงหล่นลงพื้นจนเครื่องอัดเสียงรวนทำงานเองอัตโนมัติ  สร้างความตกใจให้แบคฮยอนเช่นเดียวกัน  เขาตั้งใจจะลบทิ้งแต่ก็ดันลืมไปเสียสนิท  หลักฐานที่ชานยอลบอกให้หา  ถ้าหาเจอหรือคยองซูสารภาพเขาก็จะได้ประกวดต่อไป...แต่แบคฮยอนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้เลยไม่คิดจะเอาไปให้ใครฟัง...


     

    ตอนนั้นมันสองแง่ให้ความคิด ดีชั่วก็ไม่รู้แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องนี้  เขารู้สึกผิดต่อคยองซูอย่างมากตอนนี้ก็เหมือนกัน


     

    “อย่าฟังนะคุณ!” สองมือรีบปิดหูของร่างสูง  ไม่ทันคิดว่าขนาดหูฟังยังปิดเสียงรอบกายได้ไม่หมด  นับภาษาอะไรกับมือป้อมๆของเขา  ตัดสินใจคลานไปหยิบตุ๊กตาตัวนั้นมากดปิด


     

    โธ่!  ดับสิ


     

    แล้วทำไม...

     

    เพราะถ้าฉันทำให้เขาเชื่อได้ว่านายทำ  นายลอกผลงานฉํนสองคนนั้นจะได้เลิกยุ่งกับหัวขโมยอย่างนายไงแบคฮยอน  เพื่อนกันเขาก็ต้องเชื่อใจกัน  ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ที่มาแทรกกลางระหว่างคนอื่น!’

     

    อื้อ  เราขอโทษ

     

    อะไรคือขอโทษ  ก็คืนเพื่อนฉันมาสิ  ปกติพวกเราต้องไปไหนมาไหนด้วยกันลู่หานก็ต้องคอยอยู่ข้างฉัน  แต่ตอนนี้เขากลับทิ้งฉันเพื่อไปหานายมันแย่มากที่ชานยอลก็ทิ้งฉันเหมือนกัน!’
     

    ใจเย็นสิ  มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดเลยนะ  พวกเขาเป็นห่วงนายมากนะคยองซู  อีกอย่างเราเพื่อนกันนะฉันก็...

     

    งั้นนี่เป็นคำขอร้องจากเพื่อน...ถ้านายเลิกยุ่งกับชานยอล  ลู่หาน  ออกไปจากพวกเขาก็จบกัน  ฉันจะไปบอกเองว่าฉันทำเรื่องทั้งหมดนายก็เข้ารอบไป

     

    เกิดความเงียบขึ้นในคลิปเสียง  จนกระทั้งได้ยินเสียงเหอะออกมาเบาๆ


     

    ไม่ล่ะ  ทุกคนก็คือเพื่อนกันทั้งนั้น  คำว่าเพื่อนไม่ใช่จะมาปาทิ้งหรอกนะ...ทำไมเป็นเพื่อนกันมันต้องมีจำกัดความของคำว่าเพื่อนด้วยเหรอ  เพื่อนก็คือเพื่อนสิ...

     

    เสียงหายไปพร้อมกับติ๊ดๆบ่งบอกว่ามันอัดได้แค่สามนาทีเท่านั้น


     

    ความเงียบปกคลุมชั้นมวลบรรยากาศ  รอบๆมีแต่ความเงียบและเสียงหัวใจเต้นรัวปะปนเสียงสะอึก  ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก  แบคฮยอนไม่กล้าจะสบตาลู่หานเสียด้วยซ้ำ  สัญญากับตัวเองแล้วแท้ๆว่าจะไม่ให้ใครรู้  เขาจะปล่อยวางมันอย่างเงียบๆ...ให้ความคิดแบบนั้นตายไปกับความจริงที่ว่าแบคฮยอนเขียนนิยายไม่สนุก  ผลงานมันห่วย

     

    น้ำตามันไหลออกมาเอง  ไหลไม่หยุดจนต้องก้มหน้างุดชิดอก  ปวดหัวไปหมดเลย

     

    คนตัวเล็กไม่สบตาลู่หานจนร่างสูงต้องเริ่มเอง...

     

    “อย่าร้อง  นายไม่ผิดและผลงานไม่ได้แย่  คนเราเวลาไม่ชอบใครสักคนทำอะไรก็ผิดหมดแหละ  ข้อนี้ฉันเข้าใจดี”

     

    “ฮึก”

     

    “เด็กดื้อเอ้ย  ถามว่ามีอะไรก็ไม่ยอมบอก  จะเก็บไว้คนเดียวให้แน่นอกจนวันตายเลยรึไง  หื้ม”  น้ำเสียงอ่อนโยนและอบอุ่นอีกแล้ว  เขาชอบมันนะ  แบคฮยอนชอบแบบนี้...กอดของลู่หานมันอุ่นเสียจนไม่อยากผละออก  “ต่อไปมีอะไรก็บอก”  พูดถึงตรงนี้คนที่หัวซุกกับไหล่ก็ส่ายศีรษะดุ๊กดิ๊ก

     

    “ไม่เอา”  ประโยคสั้นๆทำเอาลู่หานรู้สึกอย่างตีก้นเด็กดื้อ

     

    “ทำไม  ไม่บอกคือไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกันงั้นดิ  ที่พร่ำบอกนั่นเพื่อความสวยของโลกเหรอ”

     

    “ตลกแล้ว!”  คนเดาความไปเองแสร้งตีหน้างอน  “คนแก่เอ้ย  ผมแค่กลัวคิดมากต่างหาก  ฟังกันบ้างซี่”

     

    “ล้อเล่น  ช่วงนี้ร้องไห้บ่อยจัง”  แหยต่อระหว่างที่นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาข้างแก้มออก

     

    “แล้วทำไมช่วงนี่เสี่ยวจัง!

     

    “ไม่รู้ดิ  ปกติก็พูดกันงี้  พวกแฟนเก่าก็บิดเกลียวเขินม้วนอายกันใหญ่”

     

    “ห๊า!  คุณมีแฟนมาก่อนเหรอ?  จริงดิ”  แบคฮยอนถลึงตาแทบไม่อยากจะเชื่อ  มองใบหน้าหล่อคมนั่นแวบหนึ่งก็ชัดเลย!  ลืมไปว่าหล่อมากหน้าสวยอีก  ไม่มีก็ยังไงอยู่  “นึกว่าอยู่แต่กับพวกคยองซู  ชานยอล  คุณจะไม่มีแฟนซะอีก”

     

    “ฮะๆ  เพื่อนกับแฟนมันไม่เกี่ยวกันป่ะวะ”

     

    นั่นสิ...

     

    “ขอบคุณนะคุณ...ที่อยู่ข้างกันตอนเดือดร้อน”  เอนหัวกลมๆไปซบไหล่แกร่งของคนตัวโตกว่า  “ขอบคุณที่เชื่อใจกัน  ขอบคุณที่เราได้มาเจอกัน  ขอบคุณทุกๆอย่างเลย”  พูดจบก็เขินเอง

     

    “ขอบคุณเหมือนกัน”

     

    “อื้อ...”  แบคฮยอนอยากจะบอกทุกอย่างบนโลกใบนี้ว่าเขามีความสุขมาก  แม้จะมีอุปสรรค  ถ้าหากว่าคนๆนี้อยู่ข้างๆกัน...  “อย่าทิ้งกันไปไหนนะ...” ถ้าเกิดวันข้างหน้าต้องจากกัน...ก็อย่าไปนะ

     

    “เออไม่ไปไหนหรอก  บ้านอยู่นี่”


     

    “นั่นก็บ้านคุณ”

     

    ใช่เลย  นั่นคือบ้านที่อยู่  ที่พักอาศัย 

     

    “แต่เนี่ย...อยู่นี่”

     

    พักกาย  พักใจก็ตรงบ้านหลังนี้แหละวะ


     

     

          

     

      

    ก็ไม่ถึงกับแย่อะไรนะที่ลู่หานจะทิ้งแบคฮยอนไว้แล้วตัวเองไปทำงานเพราะเห็นบอกว่าฝุ่นเยอะมากที่นั่น  แล้วห้องนั่งเล่นก็ทาสีกลิ่นแรงไม่อยากให้ไปเจอพิษสารเคมี  จะให้อยู่บ้านก็บอกว่าตอนกลางวันจะมารับไปทานข้าว  มันเลยจบลงอย่างที่เห็น  แบคฮยอนเดินเลยร้านของหวานมากมายก่ายกองไปหยุดหน้าร้านหนังสือ 


     

    เข้ามาในร้านหนังสือเล็กๆที่บรรยากาศกับกลิ่นหนังสือและกาแฟชวนให้คนตัวเล็กเคลิ้ม  เขาสามารถอยู่ในนี้ได้ทั้งวันหรือทุกวันเสียด้วยซ้ำ  พอเจอร้านถูกใจ  คนตัวเล็กเลยเพลิดเพลินจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังตรงมาหา


     

    “ไง...”  เสียงทักทายลากยาวแผ่วเบาอย่างในเกียรติสถานที่  คนตัวเล็กหันไปตามเสียงทุ้มก่อนยิ้มกว้าง


     

    “ชานยอล  มาอยู่ที่นี่ได้ไงอ่ะ”  ทักทายกันแบบกระซิบกระซาบ  ก่อนที่จะพากันมานั่งฝั่งร้านกาแฟ  ที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นต้อนรับใครหลายคนในเช้าวันใหม่


     

    “พอดีว่างเลยออกมาเดินผ่อนคลาย”  ชานยอลพูดแล้วหันมาสั่งกาแฟแล้วก็โกโก้ปั่นเลี้ยงอีกคน   “เป็นไงบ้าง...กับคยองซูเมื่อวาน”  ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงก็เริ่มถามไถ่ระหว่างรอกาแฟ


     

    เขาคิดว่าวันนี้จะโทรหาเพื่อนตัวเองสักหน่อย  ถึงจะมีปัญหากันแต่ก็อดห่วงไม่ได้


     

    “อื้อ..เรียบร้อยแล้วล่ะ”


     

    “แล้วที่ให้ไปตรวจสอบ  สรุปว่า?”  ชานยอลเหมือนยากจะฟังความจริง 


     

    “ความจริงคือพวกเราแค่เขียนเหมือนกันน่ะ  เรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นได้จริงมั้ยล่ะ!”  แบคฮยอนยังคงยิ้มกว้างต่อไป  ความจริงจะถูกกลบทิ้งฝังดินลงไป...ถึงจะเลิกเป็นเพื่อนกันก็เถอะ “แต่ก็ขอบคุณมากนะที่ชานยอลอุตส่าห์หาทางพิสูจน์ว่าเราบริสุทธิ์”


     

    “ไม่เป็นไร...แต่ถ้าอย่างนั้นนายจะตกรอบนี้ไปเลยนะ”


     

    “อื้อ!  ช่างมันเถอะ  นายก็จัดบ่อยๆสิ  เราจะเข้าประกวดอีกจนกว่าจะผ่าน”


     

    “แต่เนื้อเรื่องนายดีมากเลยนะ  อ่านแล้วสนุกดีถือว่าพัฒนาการเขียนให้ดีขึ้น  มีการวางลำดับเนื้อเรื่อง  เอาคำติไปแก้ไขแต่...เหมือนยังขาดอะไรสักอย่าง” 


     

    พูดถึงเรื่องนี้  แบคฮยอนก็หวนนึกถึงคำพูดคยองซูเมื่อวาน 


     

    “ไม่หรอก  นิยายเราไม่ดีขนาดนั้น  แต่...เราจะพยายามให้มากขึ้นๆอีกนะ”


     

    พอถึงนึกก็เหมือนแรงผลักดัน...


     

    “อื้อ!  ต้องอย่างนี้สิ”  ชานยอลยิ้มให้กับเพื่อน...เพื่อนที่เขาชอบมาก


     

    ให้ก้าวหน้าต่อไป  ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร...เขาก็พร้อมพุ่งชน   เพื่อความฝันไม่มีคำว่ายอมแพ้หรอก!





    55%






     

    อะไรนะ  นี่ไปเจอไอ้ชานยอลมาเหรอ!’  ปลายสายตะโกนดังลั่น  คนที่อยู่ต้นสายถึงกับยกออกห่าวจากใบหูแทบไม่ทัน  นัดกันไว้เหรอวะ?  แบคฮยอนตอบเร็วๆ  ฉันกำลังจะออกไปแล้ว


     

    “ฮ่าๆ  เปล่านะคุณ  ขับรถดีๆนะครับไม่ต้องรีบ  ผมเพิ่งแยกกับชานยอลเมื่อกี้เอง” แบคฮยอนบอกคนปลายสายที่ดูร้อนรนหลังจากบอกว่าเจอชานยอลมา 




     

    เออ  ขับออกไปแล้ว เดี๋ยวนายไปรอร้านที่ส่งแผนที่ให้ในข้อความเลย  จะขับไปจอดที่นั่น  เดินเข้าไปในซอยก็จะเจอ


     

    “โอเค...ผมสั่งไม่อั้นใช่มั้ย”


     

    อ้วนเหอะวะ  หมูอยากสั่งอะไรก็จัดไปเลย  เดี๋ยวใกล้ถึงละโทรหา


     

    “นี่!  ผมไม่ใช่หมูนะ”









     

     

    คนตัวเล็กเดินเข้ามาในร้านอาหารแถวมยองดงตามแผนที่และชื่อร้านที่ลู่หานส่งมา  ชะโงกอ่านป้ายกับอาหารในร้านก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นร้านไก่ผัดซอสวุ้นเส้นของโปรดคนตัวโตกว่า  ที่เราเคยมานั่งทานด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว  สองขาก้าวเข้ามาพร้อมพนักงานต้อนรับพาไปยังโต๊ะว่างๆ  ช่วงบ่ายแก่ๆแบบนี้คนยังไม่พลุกพล่านมาจะมีก็แต่นักท่องเที่ยวไม่กี่คนในร้าน  มองไปรอบร้านหลังจากสั่งเมนูสำหรับสองที่เสร็จเลยหาที่พักสายตา  จนกระทั่งสะดุดกับโต๊ะหนึ่งตรงกลางร้าน


     

    ชายวัยกลางคนมีภูมิฐานพร้อมกระชับสูทหลังทานอาหารเสร็จเป็นที่คุณตาของแบคฮยอนเป็นอย่างมาก  ก่อนดวงตาเรียวเล็กรี่จะเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ

     

    นั่น...คุณพ่อคุณลู่หาน 


     

    ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ!


     

    ราวกับละครน้ำเน่าที่พ่อลูกเจอกันก็ฉะกันกลางร้าน คนตัวเล็กทำหน้าเลิกลั่กกลัวอีกคนจะเห็นตนแล้วทำสีหน้าแบบวันนั้นอีก...


     

    “ความจริงไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้น้า”  ชายอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยพูดขึ้น  เช็ดปากหลังทานอาหารเสร็จ


     

    คงกำลังจะกลับใช่มั้ย?


     

    “ไม่เป็นไรหรอก  แค่เห็นว่าเขามีการมีงานทำฉันก็ดีใจแล้ว  ว่าลูกคนนี้ดูแลตัวเองได้ไม่อดตาย”  หัวหน้าตระกูลลู่เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนในแบบที่ทำให้คนแอบเงี่ยหูฟังต้องฉงน


     

    “ก็แล้วไปไล่เขาออกจากบ้านทำไมเล่า  รักลูก็บอกรักสิ  อมพะนำ”


     

    “ฮึ  ถ้าไม่ทำอย่างนั้น...เขาคงไม่ได้ทำสิ่งที่ชอบแบบจริงจังสักที...เขาอาจจะกังวลเกี่ยวกับฉันจนทำงานไม่ได้”


     

    “พ่อลูกกันมันตัดกันไม่ขาดหรอก  ลองไปคุยกันดีๆสิ...”


     

    “ก็เป็นเพราะฉัน  สองพี่น้องเขาถึงทะเลาะกันถึงตอนนี้  เป็นแบบนี้ปล่อยในลู่หานอยู่ข้างนอกนั้นแหละดีแล้ว...”


     

    เดี๋ยวนะ...พ่อคุณลู่หานไม่ได้เกลียดโกรธอะไรลูกตัวเองหรอกเหรอ


     

    “ให้เขาทำแบบนั้นก็ดี  แต่กลัวว่าจะเข้าโลงแล้วสองพ่อลูกยังไม่ดีกันเนี่ยสิ  เป็นบาปในใจเขาอีก  เชื่อฉันเถอะ...ลองคุยกันดีๆ  เขาต้องเข้าใจแน่ว่านายเป็นคนคอยสนับสนุนเขาอยู่ห่างๆ”


     

    “ฮะฮ่าๆ  ขอบใจมากเพื่อน  ไว้ฉันจะลองคิดดู”


     

    ช่วยเหรอ?  เขาคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆงั้นเหรอเนี่ย


     

    คนตัวเล็กคิดว่าตัวเองคงลืมไป...ต่อให้ทะเลาะกันมากแค่ไหน  คำว่าสายใยของพ่อแม่ลูกคงไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่มีคำว่าเกลียดที่แท้จริง...


     

    ครอบครัวเนี่ย  เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดแล้วล่ะ  ทั้งความรักและความอบอุ่น


     

    บิดาของอินทีเรียหนุ่มเดินออกไปแล้ว แม้จะเสียดายที่ลู่หานไม่ได้มายินกับหูตัวเองว่าพ่อรักตนมากเท่าไร  แต่แบคฮยอนจะถ่ายทอดให้ลู่หานได้รับรู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ภายนอกแสดงออกมา 


     

     

    เสียงประตูร้านถูกผลักเข้ามาด้านใน  แอร์เย็นๆกระทบใบหน้าที่เต็มชุ่มได้ด้วยเหงื่อจากการวิ่งระยะร้อยเมตร  ร่างสูงถอดแว่นกันแดดสีเข้มออกก่อนกวาดสายตาคมหาโต๊ะของคนรัก  เห็นแบคฮยอนโบกมือเรียกก็ฉีกยิ้ม  รู้สึกหายเหนื่อยเป็ดปลิดทิ้ง


     

    “ไง  สั่งอะไรยัง” ทิ้งตัวนั่งลงแล้วเอ่ยถาม


     

    “เหงื่อออกเต็มเลยคุณ  รีบวิ่งมาหาผมเหรอ”  ยิ้มกว้างจนปากเป็นสี่เหลี่ยม  เอกลักษณ์ของแบคฮยอนที่ร่างสูงจับสังเกตได้


     

    คนตัวเล็กหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ร่างสูงเพื่อซับหน้า 


     

    “เช็ดให้หน่อยดิวะ  มือก็เลอะเนี่ย”


     

    “งั้นคุณก็ไปเข้าห้องน้ำเถอะ”  แบคฮยอนเบะปากเล็กน้อย  ดวงตาเรียวหรี่มองคนตรงหน้าที่งอแงไม่ยอมลุก 


     

    “แล้วนี่สั่งข้าวด้วยป่ะ  สั่งยัง”


     

    “สั่งแล้ว”


     

    “โอเค  งั้นเดี๋ยวมานะ”


     

    ทุกการกระทำของทั้งสองตั้งแต่ลู่หานเข้าไปในร้าน  ถูกจับจ้องด้วยสายตาคู่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา

     

    ทุกๆก้าว...หากต้องการทางสะดวกก็ต้องกำจัดเสี้ยนหนามเสียก่อน










     

     

     

    “คริส...นึกไงชวนเราออกมาข้างนอกอ่ะ”  ร่างบางในชุดทำงานอย่างเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายเนื้อดีกำลังเกาะแขนคนรักแล้วเขย่าถามด้วยความแปลกใจ  ปกติคนตัวสูงไม่ใช่คนที่ชอบออกมาเดินเล่นในที่แบบนี้สักหน่อย  “เป็นอะไรรึเปล่า  เอ๋...คนนั้นเขาถ่ายรูปอะไรน่ะ  นั่นลู่หานน้องนายนินา!” 


     

    “ชู่ว  เบาๆสิอี้  เดี๋ยวเขาได้ยินกันหมดซอยพอดี” คริสยกมือสากของตัวเองปิดปากแฟนก่อนจะเดินกุมมือคนรัก  “ไปกันเถอะ”


     

    “เอ๋  อ้าว  นี่ไม่ไปทักลู่หานก่อนเหรอ คริส...”  อี้ชิงถามเพราะแค่อยากรู้  แต่ทุกครั้งที่คริสเห็นน้องชายตัวเองหรือพูดถึงลู่หาน  คริสจะตีหน้าเศร้าตลอด...อี้ชิงรู้...  “ยังไม่ดีกันอีกเหรอ  อี้ว่าคริสควรไปบอกความจริงนะ...ลู่หานก็โตมากพอที่จะเข้าใจเหตุผลของนายนะ”


     

    “ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นแหละ  บอกแล้วไงว่าเรื่องนี้มันจะจบแบบนี้แหละ...”


     

    “จบอะไรกัน  เป็นพี่น้องกันทะเลาะกันนานๆมีดีหรอกนะ  พ่อคริสเองก็ทำเกินไป!  อี้ชิงนึกแล้วยังรู้สึกโกรธไม่หาย  ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลุง...สองพี่น้องเขาคงไม่ต้องมาทะเลาะกันแบบนี้


     

    “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ  ไหนๆมันก็ย้ายออกจากบ้านไปแล้ว  ถึงตอนนั้นบริษัทก็เป็นของคริสสมบูรณ์แบบแล้ว”


     

    “คนขี้โกหก  โกหกแม้กระทั่งความรู้สึกตัวเอง...” 

     

    “อี้ชิง...”  คริสเหมือนไม่อยากจะฟังอะไรทั้งนั้นตอนนี้  เขาแค่คิดว่าคนๆนั้นกำลังถ่ายรูปน้องเขาไปทำไมก็เท่านั้น


     

    “อี้ไม่อยากเป็นคริสรู้สึกแย่  ที่แม้จะบอกคิดน้องชายตัวเองยังทำไม่ได้  พี่น้องกัน  ครอบครัวเดียวกันน่ะ  มันตัดกันไม่ขาดหรอกนะ”

     

     

     


     

      

     






    วิ่งไปเลย...วิ่งไปท่ามกลางขวากหนาม
    แสงสว่างคือเป้าหมายต่างหาก
    ที่เราจะพร้อมจับมือไปด้วยกัน




    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×