ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #18 : - take me home : chapters - 017 { 100% }

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 894
      3
      13 ส.ค. 57





     

    - Thank you -


     

    chapters – 017


     

              

            

    แบคฮยอนถอนหายใจพร้อมหน้ามุ่ยตีกันยุ่ง  เมื่ออีกคนปล่อยให้เขารอนานเกินกว่าเวลาที่บอกไว้หลายนาที   ยืนพิงเสาต้นใหญ่หลบหลีกผู้คนที่เดินพลุกพ่านอยู่ในตึกของสำนักพิมพ์ใหญ่โตแสนคุ้นเคย  สายตาก็สอดส่องหาร่างสูงที่บัดนี้ไม่กลับมาเสียทีแต่กันไปเจอเข้ากับบางอย่างที่ยิ่งกว่าแน่ใจเสียอีก


     

                นั่นต้นฉบับเขานิ!


     

                ดวงตาเรียวจดจ้องซองกระดาษสีน้ำตาลบนหน้าซองเขียนชื่อเรื่องพร้อมนามปากกาเขาไว้ชัดเจน  พร้อมทั้งด้านในเนื้อหานิยายที่เขาเก็บไว้อย่างดีกำลังถูกหญิงสาวสวยร่างระหงนำไปที่ไหนสักที


     

    แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น...มันควรจะอยู่ที่บ้านแต่กลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? 


     

                แบคฮยอนอาศัยจังหวะที่อีกคนกำลังยืนรอลิฟต์เดินแทรกพนักงานทั้งหลายไปยังลิฟต์อีกตัวที่แปะว่าเฉพาะผู้เกี่ยวข้อง  พร้อมทั้งประกบเนียนยืนข้างชะเง้อมองซองของตัวเองก่อนเอ่ยถาม


     

                เอ่อ...ขอโทษนะครับ  คนตัวเล็กลังเลเล็กน้อยเดิมทีก็มนุษย์สัมพันธ์แย่เป็นทุน 


     

                ค่ะ?”  เลขาสาวหันมาถามชายหนุ่มที่ทำท่าทางเลิกลั่ก


     

                “ซองน้ำตาลนั่นของผม...ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?”  ชี้ไปยังต้นฉบับของตัวเองทันทีเมื่อมีโอกาส...พร้อมยิงคำถามใส่จนหญิงสาวถึงกับฉงน

     

                ฉบับนี้เป็นของคุณลู่หานนะคะถ้าจำไม่ผิด  รู้สึกว่าของเพื่อน  คุณเป็นเพื่อนกับคุณลู่หานรึเปล่าคะ?”  เธอถามอย่างสุภาพเมื่ออีกคนรีบพยักหน้ารัวๆ  นึกฉงนเมื่ออีกชื่อหนึ่งถูกเปล่งออกมา  ใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงของแบคฮยอนตีกันยุ่ง


     

                เขาเอามาให้เมื่อไรเหรอครับ  พอจะบอกได้มั้ย” 


     

                เขาแปลกใจแต่ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้บ้าง  บวกกับเรื่องราวปั่นมหาโหดแก้เนื้อเรื่องคำผิดกันยกใหญ่นั้น



     

                เมื่อเช้านี้เองค่ะ...


     

                “อ๋อ  แล้วกำลังจะเอามันไปไหนเหรอครับ”  ยิงคำถามใส่เลขาสาวอีกครั้ง  เธอหันไปมองประตูลิฟต์ที่กำลังเปิดออกช้าๆ   ก่อนหันมาตอบกลับแบคฮยอนด้วยท่าทางเร่งรีบ

     

                “พอดีว่าหยิบติดมากับกองอื่นๆ  ฉันกำลังจะเอาไปคืนท่านประธานค่ะ”  เธอยิ้มลาพร้อมก้าวเข้าไปในลิฟต์เฉพาะประธานและเลขาหรือบุคคลสำคัญคนอื่นๆถึงจะใช้งานได้ 


     

    ทิ้งไว้เพียงคนตัวเล็กกำลังขมวดคิ้ว  ถ้าอยากจะหายสงสัยคงต้องตามไปดูว่าลู่หานเกี่ยวข้องยังไงกันแน่  ถึงขนาดเอานิยายเขาเข้าถึงประธานของที่นี่ได้อย่างง่ายได้  อย่างมากที่เขามาส่งก็คือบก.



     

    จ้องมองอยูตรงตัวเล็กที่กระพริบเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดอยู่ที่ชั้นเก้า

     




     

     





     

    “ไหนต้นฉบับ  ถ้ามันไม่ผ่านฉันจะได้เอากลับ”  ยังไม่ทันได้นั่งพักดื่มน้ำสักแก้วแล้วคุยกันดีๆ  ลู่หานก็เดินเสียงแหบห้าวติดหงุดหงิดมาแต่ไกล


     

    ชานยอลเงยหน้าผ่านเลนส์แว่นก็เห็นเพื่อนสนิทกำลังทำกิริยาที่หาดูได้ยากมากตั้งแต่โตมา  นิสัยเด็กๆเวลาได้ยินอะไรไม่ถูกใจก็ท้าตอย



     

    “ฉันให้แกมาฟังว่ามันผิดพลาดตรงไหน  ความจริงอยากให้ตัวนักเขียนเองมากับแกด้วยแต่แกก็ปฏิเสธ”





     

    “เออว่ามา  ฉันรีบ”...ใช่เขารีบมากเพราะทิ้งอีกคนไว้ข้างล่าง





     

    “อื้ม...ความจริงถ้าเป็นระดับงานเขียนก็ถือว่าปานกลาง  แต่ถ้าถามว่าน่าสนใจมั้ยคงไม่  ภาษาคำผิดอันนี้โอเคระดับปานกลาง  คะแนนที่ได้คงไม่ผ่านเกณฑ์นิยายแบบนี้หาตามเน็ตกันให้เกลื่อน  ถ้าเอามาตีพิมพ์คงมีแต่เสียกำไรกันเปล่าๆ  อ่านสามหน้าจะถึงมั้ยก็ยังไม่รู้ คำบรรยายมันจืดเกินไปทิ้งปมไว้แก้ไม่หมดก็มี  ขอโทษทีนะที่ฉันต้องบอกแกว่าอย่างนี้”



     

                น้ำเสียงเรียบนิ่งจริงจังขยับสายตามองปราดไปที่กองอื่นๆ  หากปาร์คชานยอลจะสรรค์หาผลงานใหม่ๆคงไม่ใช่แค่นี้แน่  และหากให้พูดอีกทีนิยายในมือมันระดับห่วยมาก...




     

                “ไม่คิดว่าเจ้าของผลงานเขาได้ยินจะเสียใจเหรอวะ”  เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ไม่ค่อยอยากสนิทด้วยเสียเท่าไรขึ้นมา  เล่นเอาอีกคนยิ้มกว้างก่อนตอบ


     

                “มันเป็นงานเว้ย  อย่ามองหน้ากันแบบนั้น...ความจริงก็ผิดหวังไม่น้อยคิดว่างานที่เสี่ยวลู่หานจะเอาให้ดูเป็นอะไรที่สุดยอดอลังการ” 

     

                “เออช่างเหอะ  แล้วเมื่อไรเลขาจะมาวะ”  จิ๊ปากขัดใจเล็กน้อยเมื่อผลงานที่ตัวเองก็มีส่วนช่วยคนตัวเล็กกลับถูกตอกหน้าหงายกลับมา  ดีเขาไม่บอกว่ากำลังทำอะไรไม่งั้นให้เด็กอินเนอร์จัดเต็มแบบนั้น  มานั่งฟังคำวิจารณ์กระแทกหน้าให้คงร้องไห้งอแงกลับบ้านไปกินประชดชีวิตอีกแน่ๆ


     

                ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาลู่หานก็เพิ่งรับรู้ว่าเวลาคนตัวเล็กโมโหจะคล้ายเด็กอดยาก  ยัดได้เท่าไรก็จัดไป


     

                “ใจเย็นๆ  อ่า...นายมากับแบคฮยอน...”  อีกคนเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนเขาพาร่างบางมาด้วย  “งั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง”  อย่างน้อยได้เจอรอยยิ้มหวานจับใจของคนตัวเล็กชานยอลก็รู้สึกอยากทำงานขึ้นเป็นกอง


     

                “ไม่ต้องๆ  เป็นอะไรวะทำไมต้องไปส่ง?”  หรี่ตามองเพื่อนร่างยักษ์ดูแล้วมีเลศนัยในความหมายแฝง  “จะจีบ?”  ถามสั้นแต่เล่นอีกคนยิ้มกว้างไม่หุบ


     

                “หื้อ  ฉันแสดงออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ  ก็ไม่เชิง...”  ร่างสูงโปร่งของปาร์คชานยอลบัดนี้หน้าแดงพอเจอคำถามตรงๆของเพื่อนสนิท  เกาคางแก้เขิน  “ถ้าแกช่วย?  แกอยู่บ้านเดียวกันนิ”




     

                อะไรนะ!!  ไม่ได้ไอ้เชี่ยนี่แม่ง  มาไม่เชิงหาพ่อง








     

                “เสียใจ  ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบคนตัวสูงโย่ง  แกไม่ผ่านไอ้ยอล”  อินทีเรียหนุ่มแถ  แถจนสีข้างถลอก  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบคฮยอนมีความคิดเห็นเรื่องพวกนี้ยังไง  พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กัน...


     

                ไม่ได้กลับไปเขาต้องถามให้ได้


     

                เดี๋ยว...แล้วกูจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนทำไม?


     

                “เหรอวะ...”  ชานยอลเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมาอีกแต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงเปิดประตูห้อง  ของหญิงสาวเลขา  สองมือหอบหิ้วเอกสารอื่นๆพร้อมต้นฉบับ


     

     

                ลู่หานรีบขอตัวกลับก่อนทันทีเมื่อได้ของที่ต้องการแบบไม่ทันให้ชานยอลทันตั้งตัวไปเจอกับแบคฮยอน  สองขายาวก้าวฉับๆสลับพลิกข้อมือดูนาฬิกา







     

                ป่านนี้รอบ่นจนหูชาแล้วมั่งเนี่ย


     

                แต่ความคิดหันต้องถูกพับเก็บเข้ากรุไป  คนอายุมากกว่าจ้องมองคนตัวเล็กที่กำลังโบกมือไปมาให้เขา  ใบหน้าหวานแตะแต้มด้วยรอยยิ้มกว้าง  เอกลักษณ์หนึ่งของร่างเล็กคือเวลายิ้มทีปากจะเป็นสี่เหลี่ยม 


     

                “รอนานมั้ย”  เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามคนรอ  แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาลุกขึ้นปัดกางเกงก่อนเอื้อมมือเรียวสวยมาเกาะรั้งแขนของอีกคนไปกอดแน่น  การกระทำไม่คุ้นเคยทำให้ลู่หานงุนงงจนต้องเอ่ยถาม  “เป็นอะไรวะ  กูขนลุกนะเนี่ย”  พูดพลางลูบอีกข้างที่ว่าง  ปากก็พูดแต่ไม่ยอมสะบัดออก



     

                “หยาบคาย...”  คนตัวเล็กพูดงุงิเหมือนหมาน้อยขี้อ้อนขึ้นมา


     

                กูว่าอารมณ์กูก็เปลี่ยนเร็วแล้วนะ...มีคนครองแชมป์อีกเหรอ?



     

                “เป็นอะไรเนี่ย  รอนานเลยเล่นวิธีงี้ใช่มะ”  เดินเถียงกันไปมาจนกระทั่งเข้ามานั่งในรถแล้วเอ่ยถามอีกรอบหนึ่ง  เพราะแบคฮยอนเล่นเกาะแจไม่ยอมปล่อยตลอดทาง



     

                “เปล่า...” 



     

                “อ้อนผิดปกติ  ไม่ดิวะปกติไม่อ้อน  อยากกินอะไรบอกเลย”  ร่างสูงแสดงท่าทางขนลุกขนพองต่อต้านอาการแบบใหม่ของร่างบางมาก  ตรงข้ามกัน...



     

                มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเกินไป...


     

                แต่แบบนี้ก็น่ารักอีกแบบแฮะ


     

                “ก็บอกว่าเปล่า  กลับบ้านเถอะผมอยากกลับบ้าน”  พอถูกอีกคนตีหน้าเหยเก  คนตัวเล็กก็ขยับตัวเองให้นั่งดีๆ  ก่อนถอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง 



     

                พอมาคิดดูแล้วเมื่อก่อนมันดูแปลกใหม่สำหรับเขามาก  ภาพข้างนอกมันสวยจับจิตอะไรก็ดูตระการตาไปหมด  เผลอร้องว๊าวออกมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร  หากแต่ของที่มันเห็นกันบ่อยๆ...ก็กลับกลายเป็นภาพซ้ำไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น...



     

                แต่ทว่า...แบคฮยอนกลับไม่เคยคิดเบื่อที่จะเจอหน้าคนที่กำลังขับรถอยู่เลย  เขากลับอยากมองหน้านั้นนานๆ  เห็นหน้ากันทุกวันหรือพูดคุยกันทุกวัน...เหมือนเสพติดที่ไม่มีวันเบื่อ  มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น



     

                รถออดี้สีดำคันเดิมจอดสนิทลงหน้าบ้านหลังสีขาว  คนตัวเล็กกระโดดลงจากรถพร้อมกับปิดประตูรถเสียงดังปัง  ทำเอาเจ้าของรถหันขวับตะโกนดุไล่หลังร่างบางด้วยปลิวเข้าบ้านไปไม่รอ  พอเดินเข้ามาถึงในบ้านร่างสูงหันซ้ายหันขวาก่อนรีบเอาต้นฉบับไปวางซ้อนกองๆทับถมกันเหมือนเดิมแล้วทิ้งตัวลงด้วยความเหนื่อยล้า



     

                ตึกๆ



     

                เสียงเหมือนคนวิ่งลงส้นเท้าดังระงมทิ้งระยะห่างให้เหลือน้อยลงจนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  ร่างสูงขมวดคิ้วแม้จะหลับตาอยู่  สัมผัสบางอย่างพุ่งกระโจนเข้ามาท่ามกลางความตกใจ  ชายหนุ่มถึงกับปล่อยลมหายใจเฮือกออกมา  น้ำหนักสิ่งที่กระทบเล่นเอาความจุกแน่นอก...







     

                “คุณณณณณณณ”  ลากเสียงสดใสยาวเหยียดคล้ายน้ำเชื่อมหวานผิดวิสัย 



     

                ร่างคนตัวเล็กที่นับวันชักจะเป็นหมูอ้วนขึ้นทุกวันนอนทับร่างสูงอย่างเต็มรัก  ซบหน้าลงบนแผ่นอกแกร่ง



     

                “ทำบ้าอะไรวะ!”  เผลอตะคอกใส่หัวกลมๆที่เอียงหน้าไปอีกด้านฝั่งห้องครัวเสียดังลั่น...




     

                ฮึก...



     

                ความโกลาหลหยุดนิ่งเมื่อเสียงสะอื้นดังขึ้นแผ่วเบา  สัมผัสของน้ำตาหยดหนึ่งแผ่กระจายตีวงกว้างบนเนื้อผ้าฝ้ายชั้นดดี


     

                “ขะ  ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตะคอก  ไหนเงยหน้ามาคุยกันสิ”  น้ำเสียงแหบห้าวแสนนุ่มหูที่น้อยครั้งจะได้ยิน  ตนตัวเล็กส่ายหน้าเบาๆว่าไม่เป็นอะไร



     

                ร่างสูงนอนนิ่งๆให้อีกคนกอดแน่นแล้วซุกหน้าไปมา  เสียงซูดซาดทำให้เขาต้องก้มหน้าชิดอกเหลือบตามองอีกคน  ไม่นานก็รู้สึกเหนอะๆตรงเสื้อผ้า...นอกจากน้ำตายังมีน้ำมูกเป็นของแถม




     

                “คุณ...ขอบคุณ...” 



     

                “เรื่อง?”  อีกคนงงเป็นไก่ตาแตก  อยู่ๆก็ร้องไห้ออกมาอีกจนเขารู้สึกแย่ไปด้วย  “เลิกร้องไห้สักทีได้มั้ย”




     

                “ฮึก...ฮืออออ  ก็ผม  ...ฮึกขอบคุณ  ผมดีใจนะที่ได้เจอคุณ”  พูดไม่ได้สรรพได้ความอะไร  “ผมจะไม่ร้องแล้วนะ”



     

                “ดีมาก  ฉันไม่ชอบให้นายร้องไห้จำไว้  แล้วก็มาขอบคุณเรื่อง?  มีฉันมันต้องดีอยู่แล้วนิไม่งั้นใครจะมาเลี้ยงหมูกินจุงี้”  ไม่พูดเปล่า  แขนยาววาดกวาดรอบเอวบางคนตัวเล็กที่นอนทับอยู่บนตัวของเขาให้กระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม  พร้อมเอื้อมไปจับมือเกลี่ยนิ้วเรียวสวยให้เลิกหยิกตัวเองเสียที  “เจ็บนะเว้ย  แค่แซว...ถึงจะเรื่องจริงก็เถอะ  โอ๊ย!


     

                “อยากตายรึไง”  พอได้ยินคำสื่อถึงความอ้วนก็รู้สึกปรี๊ดเล็กน้อย  เลยทุบกำปั้นตุบอารมณ์เศร้าซึ้งก่อนหน้าหายไปปลิดทิ้ง



     

                “ตายแบบนี้ดีป่ะ  นอนกอดกันตาย” 



     

                “ฮื้อ! จริงจังหน่อยสิคุณ  ผมลงทุนมากเลยนะเนี่ย...”  พูดเสร็จก็พลิกตัวหันหน้าเข้ามาหาอินทีเรียหนุ่ม  อกชนอกจนคนใต้ร่างถึงกับหายใจลำบาก...



     

                “ว่ามา  รอฟังอยู่” 



     

                “คุณเอางานเขียนผมไปเสนอสำนักพิมพ์มาใช่มั้ยวันนี้”  ยิ่งคำถามแรกใส่พ่อคนร่างสูง  คนฟังถึงกับทำหน้าเหวอแบบไม่ปิดบัง  แบคฮยอนเผยยิ้มบางแต่รู้สึกตื้นตันใจ  “ขอบคุณมาก  ผมไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี  มะ  ไม่รู้สิ...พอมีคนมาช่วยเหลือหรือให้กำลังใจแบบนี้ผมรู้สึกติ้นตันอย่างบอกไม่ถูก  ฮึก”  เว้นช่วงไว้เพราะลูกสะอื้นก้อนใหญ่ขวางทางเสียงใส  อีกคนเลยกระชับอ้อนกอดเข้ามาให้ใบหน้าซบลงบนแผงอกตัวเอง



     

                ลู่หานระบายยิ้มออกมาไม่รู้ตัว  เขาเองก็เพิ่งเคยทำเพื่อใครสักคนจริงจังขนาดนี้ผลออกมาคือดีเกินกว่าที่คิดไว้แม้จะไม่สำเร็จในเรื่องรับรองผลงาน  เขาคิดว่าการทำความดีหรือการเอาใจใส่กับอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นแล้วมันมีความสุขจริงๆ  รวมถึงตัวเล็กคนนี้ด้วย...



     

                “เออก็แค่อยากเห็นสักครั้งวะ  ว่าหมูจะขายได้กี่เล่ม”  เสหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แก้เก้อพร้อมคำพูดทำร้ายจิตใจเล็กน้อย...


     

                “นี่!  ผมไม่อ้วนนะ”  ทำท่าจะลุกออกจากตัวคนปากร้าย  แต่ก็ถูกอีกคนรั้งไว้ไม่ให้ลุกไปไหน  แบคฮยอนจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิทด้วยแผงขนตาแพยาว  ปากก็พูดขึ้นอู้อี้



     

                “ขอนอนแบบนี้ก่อนได้มั้ย  บางทีอาจจะฝันดี...”









     

                “อื้อ...ก็นอนไปสิ” 



     

                เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้เลยว่าอีกคนหลับสนิทไปแล้ว...คนตัวเล็กเลยซบหน้าลงกับหมอนอุ่นๆแล้วหลับตามไปบ้าง...




     

                ไม่ลืมจะขอบคุณสรรพิสิ่งที่ทำให้เขาได้พบเจอกับคนแสนดีขนาดนี้...และขอบคุณที่ทำให้เขารู้สึกชอบครั้งแรกเป็นคนที่ดี...ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งคนนิสัยดีมาให้เป็นผู้เช่า...





     

                แบคฮยอนอยากจะรักษามันไว้ตลอดไป...

     

     

    70%
     

               “พรุ่งนี้ฉันไม่อยู่บ้านนะ”  คนดูบอลอยู่ตะโกนบอกแบบไม่หันหลังไปมองหน้าผู้สนทนาด้วย  แบคฮยอนเองก็เพียงแค่พยักหน้ารับเช่นกัน


     

                บรรยากาศกลับมาอึมครึมอีกครั้ง...


     

                หลังจากตื่นขึ้นมาในสภาพชวนใจสั่นต่างฝ่ายต่างโอบกอดซึ่งกันและกันโดยร่างเล็กนอนทับอกน้ำลายไหลย้อย...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นอะไรที่ทำให้ทั้งสองเคอะเขินกัน...



     

                กอด  กอดเลยนะแบคฮยอน...เมื่อครั้งก่อนฝันว่าโดนแอบหอมแก้มก็เขินจะตายชักอยู่แล้ว  นี่เรื่องจริง...อีก  ถึงจะเคยโดนนอนกอดแบบนี้หลายต่อหลายรอบแล้วก็เถอะ




     

                แล้วความเงียบก็คืบคลานเข้ามาอีกครั้งเมื่อสิ้นบทสนทนา




     

                “เอ่อ...เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”  อยู่ๆร่างสูงก็พูดขึ้นมาพร้อมท่าทางเงอะงะหารีโมทปิดโทรทัศน์ไม่เจอ  ก้มๆเงยๆสักพักแล้วเดินหายไปไม่ทันมองใบหน้าแบคฮยอนที่ตื่นราวกระต่ายน้อยตื่นตูมนั่น



     

                งื้อ...

               

               









     

                เช้าวันต่อมาท้องฟ้าอะไรก็แจ่มใสยกเว้นอินทีเรียหนุ่มที่ขมวดคิ้วยุ่ง  ใบหน้าดุดันแบบที่แบคฮยอนไม่เคยพบเห็นมาก่อนกำลังไกล่เกลี่ยกึ่งตะคอกใส่โทรศัพท์  บ่อยครั้งจนคนตัวเล็กที่ยืนล้างจานอยู่ใจกระตุกอยู่หลายรอบด้วยความตกใจและเป็นห่วงอีกคนที่ยังไม่ได้ทานแม้แต่ข้าวสักคำ  อยากเข้าไปปลอบให้เย็นลงแต่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไร  มิหนำซ้ำอาจโดนลูกลงพายุโซนร้อนกลับมาอีก  แต่หากฟังจากบทสนทนาแล้วคงไม่พ้นเรื่องงานเป็นแน่


     

                “ก็ผมบอกแล้วว่าวันนี้พรมต้องมาส่งตอนเช้าก่อนเก้าโมง  เพราะผมต้องเอาโซฟามาลง...” น้ำเสียงเคร่งเครียดพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้พลุ่งพล่านมากนัก  “ไม่ๆ  พรุ่งนี้ไม่ได้  ต้องวันนี้เท่านั้น  คุณจะหยุดยังไงก็ช่างผมไม่รู้เรื่องด้วยเพราะเรานัดกันแล้วว่าวันนี้ก็คือวันนี้  ผมเห็นว่าเราทำงานด้วยกันมานาน...ใช่ก็นั่นคุณไม่บอกผมล่วงหน้าแล้วก็ไม่รู้เรื่องไม่มีการโทรมาบอก  ผมต้องโทรถามว่าพรมถึงไหนแล้ว...”



     

                แบคฮยอนเห็นเส้นเลือดขึ้นบริเวณขมับบางตา  นึกได้ว่าอีกคนเป็นทั้งไมเกรนแล้วก็โรคกระเพาะ  ปล่อยไว้แบบนี้ปวดท้องแน่



     

                ข้าวก็ไม่ได้กิน  คงออกไปข้างนอกเลยสินะ



     

                “ไม่!  ต้องวันนี้ก่อนเก้าโมงเช้าผมจะให้เวลาคุณสองชั่วโมง  เด็กไม่มีคุณก็มาส่งแทน  แค่นี้นะครับ!” ร่างสูงพูดจบก็กดวางสายไม่สนมารยาทห่าเหวอะไรทั้งนั้น  เดินปึงปังขึ้นชั้นสองของบ้านแต่งตัวเตรียมเข้าไปจัดการงานวันนี้



     

                อาบน้ำเตรียมของใส่กระเป๋าคว้ากุญแจกำลังจะเดินออกจากบ้านโดยไม่สนใจล่ำลาคนตัวเล็ก 



     

                “คุณ!  รอผมด้วย”  เสียงใสแจ๋วตะโกนดังลั่นบ้าน  วิ่งหน้าตั้งตึงตังลงมาพร้อมหอบหิ้วของพะรุงพะรังคล้ายจะไปปิคนิค  ร่างสูงชะงักห่อนหันไปมองเด็กผู้ชายวัยยี่สิบปีกำลังใส่รองเท้าแบบเก้กัง  ในชุดเสื้อยืดลายสกรีนที่คุ้นตาเพราะตนเป็นคนซื้อให้เองกับกางเกงผ้าสี่ส่วนสีครีม  สะพายกระเป๋าเป้ใบเดิม  มือสองข้างถือห่ออะไรสักอย่างสีฟ้าลายจุดกับเขียวสีพื้น



     

                “จะไปไหน”  คนเครียดคลายปมระหว่างคิ้ว  หลุดหัวเราะเบาๆกับคนตัวเล็กตรงหน้า จะบ้าหอบฟางไปไหน



     

                “ไปกับคุณอ่ะ  ผมล็อคบ้านเองไปรอที่รถเลย”  เอ่ยสั่งน้ำเสียงรีบร้อน  น้ำท่าที่เพิ่งอาบมาหายไปเหลือเพียงหยดเหงื่อ



     

                “ใครอนุญาตวะ  แล้วนี่มาสั่ง”  ถึงปากจะถามไปงั้น  แต่ตัวเองก็ยืนกดอกเต๊ะท่ารอดูอีกคนวางของแล้วก้มลงไปผูกเชือกลวกๆ  “ผูกแบบนั้นเดี๋ยวก็หลุดอีกผูกใหม่ไม่ต้องรีบ”



     

                จากกลายเป็นว่าถามหาเหตุผลกลับกลายเป็นมาช่วยอีกคนผูกเชือกร้องเท้าเสียอย่างนั้น  แบคฮยอนตกใจเล็กน้อยเมื่อร่างสูงย่อตัวลงมานั่งยองๆพร้อมรื้อเชือกแล้วผูกใหม่



     

                “เดี๋ยวผมทำเอง”


     

                “อยู่ๆเฉยๆ”  พูดเสียงเรียบไม่ได้ยีระอะไรกับเรื่องเกรงใจอยู่แล้ว 


     

                ใบหน้าหวานเลือดสูบฉีดขึ้นมาทันที  สายตาจดจ้องคนมาคุตั้งใจแกะปมเชือกแสนยุ่งเหยิง  รอยยิ้มฉายวาบขึ้นก่อนมะลายหายไปทันทีที่อีกคนลูกขึ้นพรวด


     

                “ไปขึ้นรถ  เดี๋ยวฉันปิดประตูบ้านเอง”  อีกคนพยักหน้าหงึกหงักไม่ดื้อไม่เถียงเช่นทุกครั้ง 


     

                ฮื่อ  ใจเต้นอีกแล้วเรา 



     

                เฝ้าวัดหัวใจตัวเองขณะรออีกคนมาสตาร์ทรถ  มือเล็กเรียวสวยกางออกทาบลงบนหน้าอกข้างซ้าย  ดวงตาสวยปิดลงช้าๆลมหายใจผ่อนเข้าผ่อนออก...เย็นไว้แบคฮยอน...








     

     

     

                “ตกลงบอกได้รึยังว่าจะไปไหน”  ระหว่างขับรถออกจากเส้นทางของซอยบ้านลู่หานก็เอ่ยถามขึ้นมา



     

                “ไปทำงานกับคุณ  ผมพูดจริงห่อข้าวมาด้วยฮี่ๆ”  พูดแล้วก็ยิ้มร่าเริงจนคนตัวโตที่เครียดก่อนหน้านี้ถึงกับอดยิ้มไม่ได้  ยกแขนที่ว่างไปขยี้กลุ่มผมนุ่มนิ่มด้วยความหมั่นเขี้ยว  “เอ้ย  เดี๋ยวผมยุ่งกว่าเดิม”


     

                “ให้มันยุ่งไป  แล้วเอาอะไรมากินบ้างอ่ะ  ไปแอบทำตอนไหนวะ”  ยิ่งคำถามระรัว  สัลบหันมามองคนตัวเล็กข้างๆโดยไม่ปฏิเสธเรื่องขอติดตามไปทำงานด้วย 


     

                เขาคิดว่าถ้าแบคฮยอนไปด้วย...เขาอาจจะไม่เครียดมากแล้วก็ใจเย็นลง...



     

                “อื้ม  กินเลยมั้ยล่ะผมเอามาเพียบ  นิ! ยิ้มอะไร”  กำลังแจกแจงข้าวกล่องปิ่นโตออกจากห่อผ้าแบบการห่อผ้าก็ต้องเอื้อมมือไปทุบไหล่อีกคน



     

                “เปล่า  ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะเว้ย  ถ้ารู้สึกซาบซึ้งเรื่องเมื่อวานขนาดนั้น”



     

                “ไม่นะ  เมื่อวานก็เมื่อวาน  วันนี้ก็วันนี้ผมทำให้คุณไม่ได้คิดว่าตอบแทนอะไร  อีกอย่างจะปวดท้องเอา  ลืมเหรอว่าตัวเองต้องกินข้าวตรงเวลา”  เอ่ยจริงจัง  ทำเอาอีกคนเงียบกริบลอบมองคนตัวเล็กหยิบตะเกียบกับกระจกเป็นระยะด้วยความเอ็นดู...ไม่นานนักลู่หานรู้สึกว่ามีบางอย่างมาจ่ออยู่ที่ปากจนเขาต้องอ้าปากรับข้าวปั่นก้อนกลมใหญ่ผิดรูปผิดร่างแปลกๆอย่างจำยอม


     

                “นี่อะไร”  คนข้าวเต็มปากเอ่ยถามเพราะรถชาติมันคุ้นๆแต่นึกไม่ออก


     

                “อ๋อ  คำใหย่ไปมั้ยอ่า  ผมไม่มีเวลาเลยเอากับข้าวเมื่อเช้ามาปั้นๆรวมกับข้าวสวย  คิดว่ากินๆไปเดี๋ยวก็เอาไปรวมกันเอง  ที่คุณกินเมื่อกี้คือกิมจิไข่หวานแล้วก็ซุปสาหร่ายอะ”


     

                “อะไรนะ?  ซุป”  ไอ้กิมจิไข่หวานก็ว่าหลอนแล้วนะยังมีซุปอีกที่มาผสมกับข้าวปั้น...


     

                “ใช่เลยมันแฉะๆหน่อยเนอะกินได้  โรยงาด้วยนะมันเหลือ...”



     

                โอเค...แบคฮยอนช่างจินตนาการในรูปแบบใหม่  ข้าวปั้นทรงกลมกลิ้งรอบด้านไปด้วยขี้มือเค็มๆผสมกับข้าวเหลือๆผสมองค์รวมกับข้าวสวยเกาหลีร้อนๆที่มันเหนียวๆพอปั้นได้...กินได้สินะ 





     

                กินได้กะผีสิ!


     

                “ไม่เอาแล้ว  เอาน้ำมาเลยจะอ้วกแค่กๆ!”  นึกภาพตามแล้วสยดสยอง  ยิ่งต่อมารายการประหลาดยิ่งมากขึ้น  ปลาหมึกกับพริกหยวกคลุกเกลือ...

     

                คนแก่ขี้บ่นถึงขนาดสำลักข้าวทันทีพอแบคฮยอนสาธยายสารพัดความพิสดารจบ  อีกคนก็หุบตาลงรู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่าง  มันวูบโหวงเพียงเสี้ยวเดียวก่อนรีบส่งหลอดน้ำเข้าปากอีกคนเพื่อให้ดื่มน้ำในขวดระหว่าขับรถได้สะดวก



     

                “ผมขอโทษ   ยังสำลักอยู่มั้ย”  น้ำเสียงรู้สึกผิดเต็มเปรี่ยม  มือเล็กหยิบกระดาษเช็ดปากอีกคน 



     

                “แค่กๆ  วันหลัง...โอ๊ย   ถ้าจะทำอะไรแบบนี้อีกอย่าทำ”  กระแอมไอสักพักเสียงก็เงียบลง  แบคฮยอนรีบปิดกล่องข้าว 


     

                “อื้อ...กินน้ำอีกมั้ย”  ถามด้วยความเป็นห่วง  เพราะอีกคนหน้าแดงมากตอนนี้  “ที่จริงผมพูดเล่นนะ  ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นแค่ปั้นข้าวแล้วใส่ไส้ผสมกันลงไป  ไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนี้  ขอโทษ”


     

                จริงๆก็กะแกล้งอีกคนให้ร่าเริง  แต่ดูเหมือนผิดเวลาจริงๆ แบคฮยอนคนโง่


     

                “ช่างเหอะ  ถ้าง่วงก็นอนรอเลยกว่าจะถึงคงอีกนาน”  ปกติเวลาไปข้างนอกคนตัวเล็กจะชิ่งหลับก่อนจะพูดคุยกันเสียอีก  ครั้งนี้ก็คงง่วงเหมือนเดิม  ลู่หานพเยิดหน้าไปหลังรถที่มีหมอนหนุนสีขาววางไว้เป็นระเบียบ 


     

                “งื้อ  ซื้อมาเมื่อไรอะไม่เห็นเลย  พาใครนั่งรถด้วยหรา”  เอ่ยแซว  มือก็เอื้อมไปหยิบหมอนนุ่มมากอด


     

                “มีคนเดียวเนี่ยแหละ  กลมๆอ้วนๆขาใหญ่ๆอ่ะ” 


     

                “ผมว่าเขาต้องน่ารักแน่เลยคนนั้นอ่า”  พูดไปก็หามุมเหมาะวางหมอนใบใหญ่  ขยับตัวพิงหมอนพร้อมจัดท่าในการนอนคล้ายรังนกหรือแคปซูล...


     

                “หึ  สบายเนอะ”  หยอกเล่นกับคนตัวเล็กที่ยังหาท่านอนเหมาะๆไม่ได้



     

                “งื้อ  นุ่ม...คุณแล้วหมอนรองคอไปไหนอ่ะ”  มองหาหมอนรองคอที่มักแขวนไว้ในรถอยู่เสมอ  แต่ตอนนี้กลับไม่เห็น


     

                “ก็คนแถวนี้บ่นว่าแบบนั้นปวดคอนอนแบบนั้น” เสมองถนนเหลือบมองอีกคนเป็นระยะ


     

                แบคฮยอนยิ้มจนแก้มยุ้ยยกขึ้นเป็นก้อนกลม  รอยยิ้มกว้างมากขึ้นอีกเมื่อเห็นคนขี้เก๊กจอมหยิ่งหน้าแดง  เอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนเอนกายพิงหลับสู่นิทราไม่ลืมที่จะหยิบเป้มานอนกอด


               "ผมชอบคุณตอนหน้าไม่ดุน้า"  เสียงพึมพำละเมออกมาทำเอาเขาหัวเราะ



     

                เด็กน้อยชิบหาย...


     

                “ฝันดีครับ...” สารถีหนุ่มเอื้อมมือไปเบาแอร์ในรถ  จับแขนอีกคนให้อุ่นขึ้นแล้วกลับมาจับพวงมาลัยอีกครั้ง 



     

                อยู่กับแบคฮยอนทีไร...เขาดูเป็นตัวของตัวเอง  ยิ้มได้หัวเราะได้  บ่นได้  พูดจาโต้วาทีกันได้  แม้ระยะเวลาสั้นๆ  แต่เขาก็อยากให้มันอยู่คงนาน

     


     

     

                อยู่ด้วยกันนะแบคฮยอน...อยู่อย่างนี้...

     

     



     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    ขอบคุณที่ดูแลกัน
    ขอบคุณเคียงข้างกัน
    ขอบคุณกันและกันที่มาเจอกัน

    ----------------------------------



    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy


     

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×