ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #3 : - take me home : chapters - 002 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 57






     

    - OHANA -


     

    chapters – 002

     
     

                ลู่หานเดินลงมาที่ระเบียงชั้นสองภายในบ้าน  ที่ถูกทำยื่นออกไประหว่างทางเดิน  กวาดสายตามองไปโดยรอบบริเวณบ้านหลังสีขาวที่ไม่ใหญ่โตมาก  เป็นเพียงบ้านสองชั้นที่เล่นระดับ มีลูกเล่นในมุมต่างๆได้ลงตัวจนอินทรีเรียหนุ่มอดชื่นชมไม่ได้  ถึงฝีมือของคนออกแบบวางแปลน  แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้าหรือทราบชื่อก็ตาม 

     

                บ้านหลังใหม่ที่เข้ามาอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้  ให้ความรู้สึกดีกับเขาได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

     

                "ฟ้าหลังฝน...ย่อมสดใสกว่าเสมอ  อั๊ยยะ  อันนี้แหละคม!"

     

                เสียงบ่นดังจนลู่หานต้องสายตาหลุบลงมองไปยังชั้นล่างริมกระจกใสบ้านใหญ่   เห็นคนตัวเล็กกำลังนั่งชันเข่าบนเก้าอี้มีล้อพิงพนักแล้วเลื่อนไปมา  หัวเราะคิกคักชี้นิ้วปรบมือกับหน้าจอคอมฯพิวเตอร์รุ่นเก่ามากถึงมากที่สุด  ราวกับลืมไปว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้อีกต่อไปแล้ว

     

                ผู้อาศัยเดินลงบันไดวนระยะสั้นๆ  ราวจับอลูมิเนียมทอดยาวลงมาจนถึงชั้นล่าง  พอดีกับห้องนั่งเล่น  ที่มีนักเขียนไส้แห้งนั่งทำงานคล้ายคนไร้สติ 

     

                "นี่  เป็นบ้าอะไรฮะถึงได้หัวเราะซะเสียงดังไปถึงชั้นสอง"  ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเก้าอี้  พร้อมพูดด้วยเสียงเหน็บแนม  เอ่ยแซว  จนต้องหยุดอยู่ในโลกส่วนตัว  หรี่เสียงเพลงลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง  ก่อนจะแหงนหน้ามองเจ้าของคำพูดไม่มีมารยาท

     

                "เรื่องของผม"  ตอบแบบไม่แยแสอะไร  กลับมานั่งกอดเข่ากดแป้นพิมพ์ต่อ  ก่อนที่อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ

     

                ความรู้สึกที่แล่นแปลบเข้ามาคล้ายกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ  วิ่งอยู่ในเส้นเลือดจนมาถึงหัวใจข้างซ้าย  หัวใจเต้นระรัวทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   ความอบอุ่นลึกๆอยู่ในใจดวงน้อย  คล้ายอารมณ์ตื่นเต้น  ตื่นตันในเวลาเดียวกัน  ทำให้มือชะงักค้างไว้แบบนั้น  สูดลมหายใจลึกๆ  เพราะอาการที่เป็นแบบนี้  มันลึกซึ้งจนยากจะอธิบาย

     

                "ปากดี  นี่แหนะ!"  ร่างเล็กสะดุ้งโหยง  หลุดออกจากภวังค์โลกส่วนตัว  วางเท้าลงบนพื้นกระเบื้องสีขาวเย็นเฉียบ  ค้อนขวับมืออีกข้างเกาะพนักเก้าอี้เอาไว้  ส่งสายตาอย่างหาเรื่อง  เมื่อคนตัวสูงเล่นตีโผละกลางศีรษะ  แม้จะไม่แรงมากนัก  แต่ก็ไม่ชอบ

     

                แบคฮยอนไม่ชอบให้ใครมาตีหัว  เดี๋ยวโง่!

     

                "นิลุง  จำกฎที่เพิ่งอ่านไปก่อนนี้ไม่ได้เหรอ  เขาบอกห้ามรบกวนการทำงานของอีกฝ่ายน่ะ"  ยกกฎขึ้นมาอ้าง  ตีหน้าดุที่ดูไม่ดุสำหรับลู่หานใส่อีกที  แล้วหันไปตั้งสมาธิต่อ

     

                "นี่ใครลุงฮะ  อยากตายใช่มะ  หันมาคุยกันก่อนเด้"  คำพูดกวนประสาต  ไร้มารยาทถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อีกครา

     

                ลู่หานจับหัวกลมๆของแบคฮยอนหันมาหาตัวเอง  เก้าอี้ล้อลากหมุนได้  พอถูกแรงเหวี่ยงนิด  ก็หันตามมาอย่างว่าง่าย  ขัดกับคนนั่งลิบลับ

     

                "อะไรอีกเล่า  คุณนี่ยังไง  ถ้าว่างมากก็ไปดูทีวี  หรือไม่ก็ไปนอนซะสิ"  พูดอย่างหัวเสีย  คนกำลังคิดเนื้อเรื่องดีๆออกแล้วแท้ๆ

                "ก็นอนไม่หลับอ่ะ  ไม่ชินกับที่ใหม่  ทีวีวันนี้ไม่มีบอล  ไม่ดู"  ตอบคำถามสั้นๆกระชับใจความ  "นายไม่คิดว่าเราควรทำความรู้จักกันสักหน่อยเหรอ"  เสนอหัวข้อโต้วาที  ซึ่งแน่นอนว่าล่างเล็กก็คล้อยตามว่าเห็นด้วย

     

                ทำความรู้จัก?  ก็จริงอย่างที่ร่างสูงว่า  เพราะก่อนที่เราจะให้ใครสักคนเข้ามาอยู่บ้านที่จะหลอมรวมกันเป็นครอบครัวเดียวกันนั้น  ก็ควรจะรู้จักข้อมูลของอีกฝ่ายให้ดีเสียก่อน  จะได้ปรับเข้าหากันได้ง่ายขึ้น  เว้นเสียแต่ว่า...ทั้งคู่จะมีนิสัยยอมกันไม่ได้

     

                "ก็ได้ครับ"  หยุดคิดสักพักแล้วตอบกลับ  "คุณมีอะไรอยากรู้เกี่ยวกับผมมั้ย  บางทีคุณน่าจะเริ่มก่อน  เพราะผมนึกไม่ออก"

     

                ก็จริงอยู่ที่เป็นนักเขียน  น่าจะมีอะไรคุยเยอะแยะเหมือนตัวหนังสือที่เต็มหน้ากระดาษ  แต่ตรงกันข้ามสำหรับแบคฮยอน  ที่ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมานาน  หลังจากจบมัธยมปลายปีสาม  ก็ไม่ได้ออกไปพบปะผู้คนเท่าไร  จะชวนใครคุยกันเล่า  นอกจากตัวเอง  ทั้งที่คิดว่าหากมีเพื่อนมาอยู่ด้วยกันก็คงดี  จะได้นอนเม้ากันโต้รุ่ง  คุยเล่นกันเสียงดัง  จนเหนื่อยแล้วนอนหลับไปพร้อมๆกัน 

     

                แต่กับลู่หาน...ชีวิตเริ่มมีแต่เข้ามาย่างกราย!

     

                "นายอยู่คนเดียวเหรอ  พ่อกับแม่ล่ะ"  ยิงคำถามใส่ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้ถาม 

     

                "พ่อกับแม่ผม  เสียแล้วล่ะฮะ  ทั้งคู่เลย"  ลู่หานถึงกับไปไม่ถูก  คลายมือที่นั่งกอดเข่าบนโซฟาไร้พนักออก  แล้วกลืนน้ำลายดังอึก  เกาหัวแล้วหัวเราะแหะๆ  พร้อมกล่าวขอโทษ  "ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดหรอกครับ  ผมตอบคำถามพวกนี้กับเพื่อนๆจนชินแล้ว  หายเศร้าไปนานตั้งแต่ปีก่อนโน่นๆแล้ว  นี่ก็สี่ห้าปีล่ะ"

               

                "ฮะ  อย่าบอกนะว่านายอยู่คนเดียวมาสี่ปี"  ตาโตด้วยความตกใจ  แสดงสีหน้าเหรอหราจนร่างเล็กหลุดหัวเราะ

     

                "ฮ่าๆ  หน้าตาตลกชะมัด  เคยส่องกระจกบ้างปะ"  เบ้ปากส่งเสียงจิ๊จ๊ะ  จนแบคฮยอนหยุดแล้วตอบคำถาม  "อื้อ  ใช่  ผมอยู่คนเดียว  มีครั้งนึงเคยไปทำงานพิเศษ  แต่ก็ถูกไล่ออกมา  คนที่ทำงานไม่ชอบผม  หาว่าผมไปอ่อยสามีเขา"  พูดติดตลกไม่ใส่ใจอะไรมากนัก  แต่ก็อยากจะเล่า  ไม่รู้ทำไม

     

                "นายนี่ดูเข้มแข็งจนน่าเหลือเชื่อแฮะ  ไม่เหงาบ้างเหรอ  ขนาดฉันมีพ่อแม่  ยังเหงาเลยบางที"

     

                "เหงาสิครับ  ผมก็แค่คนๆนึง  ไม่ได้เข้มแข็งอะไรขนาดที่คุณคิดหรอก  แต่จะทำไงได้  ในเมื่อโลกเรามันหมุนไปเรื่อยๆ  แล้วบอกว่าแบคฮยอน  นายจงเดินหน้าต่อไปนะ...ปัจจุบันนั้นสำคัญมาก  ความฝันของนายก็ยิ่งใหญ่มากเช่นกัน  จงเดินหน้าทำมันต่อไป"  ดัดเสียงเล็กๆให้ดูเหมือนกำลังมีตัวละครอีกตัวคอยเตือนตัวเขาเอง  "ความฝันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไป"

     

                "อื้อ..."  ลู่หานพยักหน้าฟัง

     

                "มีหนังเรื่องหนึ่งทำให้ผมมีกำลังใจจนทุกวันนี้  เมื่อตอนผมอายุราวๆสิบสี่เนี่ยแหละ  พ่อผมซื้อภาพยนตร์อนิเมชั่นของวอลดิสนีย์มาให้ผมดู  ชื่อเรื่อง 'Meet the robinson'  คุณรู้จักมั้ย"  หันไปถามคนฟัง  ที่ฟังอย่างตั้งใจ

     

                "ไม่รู้สิ  จำไม่ได้  ตอนนั้นฉันยังเล่นเกมกับเพื่อนอยู่เลย  ตีไพ่ยูกิอ่ะ"

               

                ร่างเล็กได้ยินก็ส่ายหน้า  ถอนหายใจกับชีวิตไร้สาระของคนอายุมากกว่า

     

                "มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูอิส เขาเป็นนักประดิษฐ์ ที่ประดิษฐ์อะไรก็ไม่ค่อยจะสำเร็จอะไรสักเท่าไร  ตอนที่สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกจะออกมาได้เรื่องได้ราวก็โดนตัวร้ายมาทำลายอีก  ทำให้กำลังใจ  แรงบัลดานใจของเขาหายไปหมด  แล้วเขาก็คิดว่าอยากจะเลิกทำการประดิษฐ์  จนกระทั้งมีไทม์แมชชีนมาปรากฏต่อหน้าได้ออกไปเจอเหตุผลในอนาคตพบเจอกับครอบครัว Robinson ที่ช่วยทำให้เขากลับมามีกำลังใจแล้วหันกลับมาทำสิ่งที่รักอีกครั้ง  เนี่ยแหละมันมีประโยควลีหนึ่ง  กล่าวไว้ว่า"  เว้นวรรคแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม 

     

                "Keep moving forward - จงเดินหน้าต่อไป"  สองเสียงประสานขึ้นมาพร้อมๆกัน  จนคนตัวเล็กที่ทำท่าจำร่ายต่อก็หันมาจ้องร่างสูงตาโต

     

                "คุณรู้...ก็ไหนว่าไม่เคยดู"  แบคฮยอนรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย  เพราะเขาอุตส่าห์พูดให้อีกคนมีกำลังใจเหมือนกับเขา 

     

                "เคยดู  แต่แค่จำชื่อเรื่องไม่ได้  พอนายเล่ามา  ฉันก็นึกถึงประโยคนี้ทันทีเลยนะ  ไอ้ประโยคที่จงเดินหน้าต่อไป  ฉันก็ชอบ"  ลู่หานยิ้มออกมาจากใจจริง  เขาชอบอนิเมชั่นเรื่องนี้จริงๆ  แต่เพราะแผ่นหายเลยดูได้แค่ครั้งเดียว  "พอดีฉันดูแค่รอบเดียว  เลยจำเนื้อเรื่องได้คร่าวๆ  เสียดายชะมัด  ไม่น่าให้เพื่อนยืมจนแผ่นหายเลย"

     

                บ่นพึมพำอย่างนึกโหยหา   ถ้าจะหาซื้อตอนนี้ตามร้านคงกลายเป็นหนังหาอยากไปเสียแล้ว  เวลาท้อน่าจะเปิดเป็นกำลังใจให้ตัวเองได้แท้ๆ 

     

                แบคฮยอนเห็นคนตัวสูงสีหน้าเศร้าหมองลง  เพียงเพราะคิดถึงแผ่นที่เสียไป  เลยนึกอะไรดีๆออกมาได้

     

                "อย่าเศร้าไปเลยคุณ  ผมมีแผ่นอยู่นะ...อิอิ"   เจ้าของบ้านยิ้มร่าก่อนเอ่ยปากชวน  "เรามาเปิดดูกันปะ"

     

                "หื้ม  ตอนนี้เนี่ยนะ?  ดึกแล้ว"

     

                "เอาน่า  ดึกแล้วจะทำไม  ยังไงซะพรุ่งนี้คุณก็ต้องตื่น"

     

                อ้าว...ผมก็ต้องตื่นปะ  ไอ้เด็กนี่มัน...

     

                "จะเปิดก็รีบเปิด  ฟังนายพูดแล้วเหมือนว่าฉันทุกที"  ผู้อาศัยขมวดคิ้ว  ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

     

                "ขอหาแป๊บ  อ๋อจริงสิ    ตาผมถามคุณบ้างนะ  ทำไมคุณถึงมาหาที่อยู่ล่ะ  ไม่นอนบ้าน" 

     

                คือแบคฮยอนก็แค่สงสัย  คนที่มีเงินเยอะแยะ  ดูรวยเวอร์ด้วยของแบรนด์เนมนั่น  ทำไมถึงมาหาเช่าห้องเล็กอยู่  คอนโดของตัวเองก็น่าจะมี  หรือพักรงแรมห้องกว้างๆก็ยังได้เสียด้วยซ้ำ


     

                "ฉันถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน"  ร่างสูงพูดตามความจริง  ไหนๆก็ต้องอยู่ด้วยกัน  จะอายไปทำไม  "พ่อฉันไม่ค่อยเข้าใจฉันหรอก  เพราะในบ้านมีฉันติสอยู่คนเดียว  ก็เงี่ย  คนมันแนว"

                แนวตรงไหน?

     

                "คุณไม่ค่อยถูกกับพ่อเหรอครับ"  เสียงใสถามในขณะที่ตัวเองกำลังง่วนกับการหาแผ่นซีดีอยู่

     

                "เออดิ  ช่างเหอะ  ยังไงซะฉันก็เด็กศิลป์  เรียนอินทีเรีย  ความอิสระแบบนี้แหละที่ตามหามานาน"  เขาพูดความจริง 

     

                "คุณนี่แปลกนะ  มีครอบครัวที่ใหญ่โตแลอบอุ่นออกขนาดนั้น...โอ๊ะ  เจอแล้วๆ"

     

                ลู่หานไม่ได้พูดหรือถามอะไรต่อ  ร่างสูงทำเพียงแค่ลุกไปนั่งโซฟาตัวใหญ่ที่ตรงข้ามกับหน้าจอโทรทัศน์  ยิบหมอนอิงลายเดียวกันมากอดไว้  พร้อมตบเบาะแปะๆเรียกคนตัวเล็กมานั่งข้างๆ  น่าแปลกที่แบคฮยอนไม่แสดงสีหน้ากวนประสาตอะไร  เขาทำแค่เดินมาแล้วก็นั่งลงข้างๆอย่างกระตือรือร้น  แล้วยิ้มกว้างออกมา 

     

                มันเป็นรอบยิ้มที่อบอุ่นเหมือนแสงพระอาทิตย์ที่สว่างจ้าในตอนฟ้าสาง  ดวงตาสุกใสทอประกายระยิบระยับเหมือนดวงดาวยามค่ำยืนที่ลอยเด่นบนท้องฟ้า

     

                ลู่หานรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก  รู้เพียงแค่ว่า  เวลานี้เขาอิ่มเอมโดยไม่ต้องกินอะไรเลยแม้แต่น้อย  ก็แค่ดูหนังและหัวเราะไปด้วยกัน...  ก็แค่นั้น






    40%
     

                ย้อย...หยด

                มันหยด!!

                พลัก

     

                "โว๊ยยยย"  เสียงอินทีเรียหนุ่มตะโกนดังลั่นยามวิกาล  สายตาจดจ้องใบหน้าขาวเนียนที่สะลึมสะลืออยู่ไม่ห่างนัก 

     

                จากตอนแรกที่หัวกลมๆตกมากระทบที่หัวไหล่ซ้าย  ลมหายใจที่สม่ำเสมอนั้น  ทำให้คนตัวสูงลอบยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  หัวเราะเบาๆไม่ได้ห้ามหรือผลักไสแต่อย่างใด  จนกระทั้งความรู้สึกเปียกชื้นบริเวณที่เจ้าของบ้านตัวเล็กหนุนแทนหมอนอยู่  ความรู้สึกฉับพลัน  ประสาตสัมผัสรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันต้องเป็น

     

                น้ำลาย!

     

                เมื่อก้มลงดู  ลู่หานก็ถึงกับอ้าปากค้าง  เพราะหยดต่อไปกำลังจะมา  น้ำเหนียวๆไหลออกจากมุมปากขวาช้า...

     

                มือไว้กว่าความคิด  ผลักหัวทุยออกห่างทันที  จนทำให้แบคฮยอนเซหงายหลังบนโซฟานุ่ม  สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นใบหน้างัวเงีย

     

                นี่น่ะเหรอคนที่บอกว่า  ไม่ดึกหรอก  แหม...หลับซะน้ำลายลดตัวกูเลย

     

                "ฮื้อออ  หนังจบแล้วเหรอ  ห้าววว" มือบางเกาศีรษะแกรกๆ  ตากึ่งกลับกึ่งลืม  เอ่ยถามร่างสูงตรงหน้า 

     

                "เออ  จบแล้ว!"  ทำหน้าแหย่งใส่ตัวเล็ก  เบ้ปากทำท่าจะอ้วก  เมื่อคราบน้ำลายที่แห้งเขรอะ  ส่งกลิ่นโชยมาแตะจมูกโด่งคมสัน  "เหม็นจะอ้วก  ไอ้นี่นิ!"  ส่งเสียงเอ็ด  แสดงความไม่พอใจอย่างมากที่ตนต้องไปอาบน้ำใหม่  ไม่กระทบเข้าหูของแบคฮยอนเลยสักนิด

     

                "แล้วทำไมต้องผลักกันด้วยเล่า  นิสัยไม่ดี"  ตะโกนกลับไม่ลดละ 

     

                "เอ๊ะ  ไม่สำนึกบุญคุณที่ให้ยืมไหล่แกร่งๆนอนแล้วยังมาปากดีอีก"

     

                "หยาบคายพูดจาไม่สมกับหน้าตา  ชิ"

     

                คนตัวเล็กลุกเดินโซซักโซเซคล้ายคนเมา  ไปนั่งยองๆเก็บแผ่นใส่กล่อง  ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะคอมเหมือนเดิม  ไม่หันกลับมามองคนอึ้งที่โดนว่าเกี่ยวกับหน้าตาตัวเอง  ร่างสูงทำท่าจะต่อยแบบไม่จริงจัง   แค่เพียงเดินกระทบเท้าปึงปังขึ้นห้องตัวเองไป  ไม่นานนักแบคฮยอนก็ได้ยินเสียงน้ำ  คาดว่าน่าจะอาบน้ำใหม่ตอนตีหนึ่งกว่า

                โธ่  แค่น้ำลาย  ทำเป็นสำอางอาบน้ำใหม่  เชอะ  ผู้ชายหรือตุ๊ดกันแน่ 

     

                นินทาลับหลังในใจเสร็จ  ก็หันไปจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์  เพ่งสมาธิใหม่อีกครั้ง  นิ้วเรียวกดแป้นพิมพ์ปุ่มเอ็นเทอร์รัวยาว  เหมือนสมองมันโล่งนึกอะไรไม่ออก 

     

                เฮ้อ  ทำไมถึงกลางเรื่องทีไร  มันมักจะคิดไม่ค่อยออก  เนื้อเรื่องที่เรียบเรียงมาก็ออกนอกทะเลจนพายไม่กลับ  หลงทิศจนกลางเรื่องมันเหมือนเอาน้ำเข้ามาใส่พื้นที่ว่างแทนเนื้อทรายที่หายไป  หรือนี่จะเป็นเพราะลู่หาน  ที่มาก่อกวนเข้าในตอนที่กำลังนึกพล็อตดีๆออก

     

                ร่างเล็กตั้งศอกเท้าคางกับโต๊ะ  เบียดกับแป้นพิมพ์สีดำซีดแทบมองไม่เห็นหัวหนังสือบนปุ่มกด  มือที่ว่างอีกข้างยกขึ้นมาเคาะเบาๆตามจังหวะเพลงอินดี้ทำนองรักแบบสบายๆ  เหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่างที่เห็นความมืดและไฟดวงเล็ก  ใบหน้าน่ารักอมยิ้มไม่รู้ตัว  เมื่อนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

     

                เคยไหมเวลาที่เราอยู่กับมันมานาน  ความรู้สึกที่ยังมีอยู่เลยไม่เกิดอะไรขึ้น  แต่พอจากไปแล้ว  ความเหงาก็เข้ามาแทนที่  จนพบกับความรู้สึกนั้นอีกครั้ง  ถึงรู้ว่า อ๋อ  เมื่อตอนนั้นเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง  ความรู้สึกที่เขาเรียกกันว่า  'ครอบครัว'

     

                อยู่ๆตาเรียวก็ปรือขึ้นมาทันที  เมื่อนิ้วยาวกดแป้นจุดฟุลสต๊อบสามจุดเรียงยาวติดต่อกัน...

     

                นี่เราเผลอพิมพ์คำพูดพวกนี้ออกมาได้ไงเนี่ย?

     

                "นี่ไอ้เด็กบ้า  ดึกแล้วนะ  ไม่นอนรึไง"  เสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังทำแบคฮยอนสะดุ้งเฮือก  หันหลังฉับไปหาคนตัวสูงในชุดนอนใหม่

               

                "ถ้าผมเด็กบ้า  คุณก็ลุงแก่หงำเหงือกสติฟั่นเฟืองจนเลอะเลือนนั้นแหละพูดจาออกมาแต่ละคำป่าเถื่อน"

     

                "อ๋อเหรอ  ตัวเองพูดดีตายล่ะครับ  กับเด็กกับผู้ใหญ่ใช้คำดี๊ดี"  ยกผ้าเช็ดตัวซับน้ำบนใบหน้าขาว  แล้วพูดต่อ  "ไปนอนซะไป  ไม่รู้รึไง  นอนดึกสมองจะฝ่อ  ไม่พัฒนา"

     

                "อ๋อ  งั้นคุณคงนอนดึกบ่อยสิท่า"  หันกลับมาพิมพ์ต่อ  ปล่อยลู่หานให้ยืนทำหน้ายักษ์  ตอนคิดออกได้ว่าโดนแบคฮยอนสะท้อนคำหลอกด่าอีกแล้ว  "เออนิคุณ  พรุ่งนี้เช้าผมว่าเราคงอดกินแน่ๆ  เพราะในตู้เย็นมันไม่มีของทำอาหารเลยอ่ะ"  เจ้าของบ้านถามโดยไม่หันไปมอง

     

                "เออเนอะ  เอาไงดีวะเนี่ย"  พึมพำกับตัวเองพลางใช้ความคิด  "นึกออกแล้ว  มันมีซุปเปอร์มาเก็ตที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่นิหว่า"

     

     

     

     

                พอสรุปอะไรได้เสร็จ  ตอนนี้ทั้งคู่ก็อยู่ในชุดเสื้อคลุมกันอากาศหนาวที่ลดลงเหลือเพียงสององศา  ลู่หานใส่เสื้อไหมพรมแบบสวมสีเทาทับชุดนอนพร้อมเปลี่ยนกางเกงเรียบร้อย  ผิดกับร่างเล็กที่ห่อตัวเองจนกลายเป็นข้าวต้มมัด

     

                ชุดห่ า  อะไรวะครับ...




    50%




     

               ณ.ร้านซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง  พื้นที่กว้างจัดสรรเป็นแถวสูงเรียงต่อกันไป  บางโซนคล้ายกับห้างพวกแม็คแวลูส์  โลตัส  บิ๊กซีเป็นต้น  เมื่อเดินหลบลมหนาวเข้ามาข้างใน  ก็เจอกับบรรยากาศอุ่นๆ  ที่เงียบสงัด  กับพนักงานยืนตามมุมต่างๆจางตา  ไม่พลุกพล่านเช่นตอนฟ้าสว่าง 

     

                ร่างเล็กเห็นร่างสูงเดินนำดิ่งเข้าซุปเปอร์ไปก่อนแล้ว  จึงรีบวิ่งดุกดิกในชุดขนเป็ดห่อมัดตัวยาวคลุมเข่าสีดำหนาไปเอารถเข็นเข็นตามทันที    ฮูดที่ปิดบังใบหน้ากันลมหนาวมากระทบถูกถอดซิปรูกลงมาจนหายใจสะดวก  โชว์แก้มกลมที่ขึ้นสีแดงระเรือด้วยความเย็น  มือบางเข็นรถตามลู่หานไปเรื่อยๆโดยไม่มีบทสนทนาอะไร  จ้องมองคนรวยยืนพินิจสินค้าโซนเครื่องปรุงอยู่นานสองนานจนเริ่มเบื่อ

     

                "ทำไมเลือกนานจังคุณ  หยิบๆมาเหอะน่า  แค่ซอสขวดเดียว  นี่กะจะเลือกยันเช้าเลยใช่มะ"  พูดไปหาวไป  ทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วส่ายหน้า

     

                "บ่น  ฉันกำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่เว้ย  ไม่เคยจ่ายตลาดรึไง  เห็นอะไรก็หยิบๆใส่ตะกร้าล่ะสิ  เราต้องดูว่ามันราคาต่างกันเท่าไร  ในขณะนั้นก็ตรวจดูอายุการเก็บ  ปริมาณของนั้นๆ  ยี่ห่ออะไร ผลิตที่ไหน  กินจะได้สะดวกใจเพราะเราต้องเก็บไว้ใช้ต่อๆไปอีกจนหมด  นี่แล้วดูนี่  น้ำมันมีตั้งหลายยี่ห่อ  มีทั้ง น้ำมันถั่วเหลือง  น้ำมันปาล์ม  น้ำมันดอกทานตะวัน  น้ำมันมะกอกอันนี้ดีสุด  แต่ราคาสูง  เราใช้น้ำมันรำข้าวทดแทนก็ได้  พวกนี้มันมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป  รู้ไว้ซะจะได้ไม่ตายเร็ว"

     

                คนตัวเล็กมองคนตรงหน้าอย่างทึ่งๆ  กับนักอินทีเรียในคราบนักโภชนาการด้านอาหารของเกาหลีใต้  ที่รู้เรื่องอาหารดีเสียเหลือเกิน  ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการทำอาหาร  คุณชายก็สาธยายเป็นช็อตๆไม่มีสะดุด  แถมยังจำแนกว่าอย่างไรดีเมื่อใช้กับอันนี้  และใช้กับอันนี้ไม่ดี  อันไหนทดแทนกันได้  บอกทุกอย่างด้วยความคล่องแคล้ว  จนแบคฮยอนแอบสงสัยนิดๆว่า  ที่บ้านเลี้ยงให้อยู่แต่ในครัว  หรือคุณชายใจสวยราวกับหญิงสาวกันแน่

     

                เอ๊ะ  บางทีเขาอาจจะอยากเป็นเชฟก็ได้  แต่ครอบครัวไม่สนับสนุน  เลยบังคับให้เรียนอินทีเรีย  แต่ก็ดูเขาออกจะภูมิใจในความเป็นนักตกแต่งของตัวเอง...ยังไง?

     

                "คุณอยากเป็นเชฟเหรอ"  แบคฮยอนถาม  พลางเท้าศอกสองข้างวางขนาบกันที่จับรถเข็น

     

                "เปล่า"  ตอบแบบไม่ได้หันหน้ามา  เพราะยังคงขะมักเขม้นในการเลือกของ

     

                "แล้วทำไมดูชำนาญเรื่องพวกนี้จัง  ปกติถ้าผู้ชายไม่เป็นเชฟก็ไม่สนใจกันไม่ใช่เหรอ?" 

     

                "หึ  นั้นมันผู้ชายยุคไหนแล้ว  เดี๋ยวนี้ถ้าอยากเป็นผู้ชายสุดคูล  ก็ต้องเป็นทุกเรื่องนั้นแหละ"  ลู่หานหันมาทำยืดอก  สีหน้าภาคภูมิใจสุดๆ

     

                "อ๋อเหรอ"

               

                ข้อมูลใหม่เลยแฮะ  ผู้ชายเก่งทุกเรื่อง...ผู้ชายสุดเนี๊ยบที่เก่งเรื่องงานบ้านงานเรียนและงานธุรกิจ  แต่แพ้ทางเรื่องหัวใจ...นี่ไงตัวละครใหม่ของแบคฮยอน

     

                "นายเองต่อจากนี้ไป  ก็ต้องรู้เรื่องพวกนี้ไว้ซะด้วย  เพราะฉันคงทนไม่ได้ที่เห็นคนที่ฉันจ้างไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย  เนี่ยๆจำไว้ใช้น้ำมันรำข้าว"  ปลายตามองคนบ้าในชุดข้าวต้มมัดก่อนเมินเดินหนีไปอีกทาง

     

                คนตัวเล็กเบะปาก  กรอกตากับความเจ้าระเบียบของหนุ่มสุดคูล  ที่ยกระดับตัวเองอย่างน่าไม่อายแล้วเดินนำลิ่ว  ไม่สนใจคนตามหลังเข็นรถตามต้อยๆ  ในชุดตุ๊กตาล้มลุก  กลมกลิ้งดุกดิก  ไปยังโซนต่างๆอย่างพวกของสด  ที่เจ้าตัวโตสอนงานเกี่ยวกับการเลือกเนื้อและดูตาปลา  ผักใบเหลืองรึยัง  บลาๆอีกมากมายหลายแสน  จนกระทั้ง  สองขาก้าวสั้นๆมาหยุดอยู่ที่โซน...ขนม

     

                ขนมหมายถึงของคู่กายกับนักเขียนในยามออกรบ  สำคัญลองลงมาจากปากกากับสมุดจด

     

                "เอ้า  ทำไรอยู่เข็นรถตามมาดิ" 

     

                "นี่แวะโซนนี่ก่อนได้ปะ"  ชี้ไปยังแถวของขนมหลากหลายผู้ผลิต  มีทั้งในและต่างประเทศ

     

                ปากบางฉีกยิ้มกว้างจนปากเป็นสี่เหลี่ยม  ประกายระยิบระยับคล้ายเด็กอ้อนพ่อแม่ขอซื้อขนม  โพสท่าแอ๊บแบ้วส่งตากระพริบปริบๆให้ลู่หานที่เดินกอดอกมองแบคฮยอนสลับกับขนม 

     

                "เป็นเด็กรึไง  มีแต่ขนมไร้สาระกินแล้วอ้วนทั้งนั้น  แค่นี้อ้วนแล้ว  ไปเร็ว  ง่วงนอน"

     

                "อ๊ายยยยย  หยาบคาย!!  ไม่รู้แหละ  จะเอาช็อกโกแลตๆๆๆ  เอามันฝรั่งกับชีสโตสด้วยยยย!

     

                ร่างเล็กตะโกนงอแงกระทืบเท้าเหมือนเด็ก  เด็กประหลาดในร่างข้าวต้มมัด  เบะปากคว่ำเป็นสระอิ  คล้ายจะร้องไห้ 

     

                มาว่าเขาได้ไง  จำได้ว่าสมัยก่อนมาเดินกับพ่อแม่  เขาก็จะขอแวะโซนนี้ซื้อขนมเข้าบ้านตลอด  มีบางครั้งโดนเอ็ดบ้างเพราะหยิบมากองเท่าภูเขา

     

                "ใครจ่ายเงิน  นายรึไง  หยุดร้องนะไอ้เด็กบ้า  โตหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังมางอแง่งอีก"  ร่างสูงพ้นคำพูดไร้มารยาทออกมาไม่หยุดปาก  ทำเอาแบคฮยอนถึงกับชะงัก  ชี้นิ้วค้างกลางอากาศ

     

                ก๊าซซซซซ  ไอ้แก่ตายซะเถอะ!!

     

                "ฮึก  นิสัยไม่ดีคนบ้าหยาบคาย  เอะอะอะไรก็ด่า  แค่ของกินเล็กน้อยๆให้กันก็ไม่ได้  ฮืออ  ใช่สิฉันมันจนนิ  เงินกินข้าวก็ไม่มี  ต้องทนให้คนอย่างนายมาด่าตอกย้ำว่าเด็กๆๆ  ฮึก..."  เมื่อสู้อำนาจของคนถือเงินไม่ได้  ก็นั่งกอดเข่าลงกับพื้นปล่อยโฮออกมาเสียงดังพอประมาณ  น้ำตาที่เตรียมไว้พร้อมสำหรับฉากเรียกน้ำตา  มันก็ไหล่พรากออกมาไม่ขาดสาย  ปรับเสียงให้สะอื้นเล็กน้อย  จนคนตัวสูงรู้สึกผิดขึ้นมาตะหงิด

     

                ก็จริงที่ว่า  ตั้งแต่เจอหน้ากัน  ปากก็ไม่เคยดีเลยสักครั้ง...

     

                เอาไงดีวะ  ป้าร้ายขายเนื้อแม่งงง  กูเปล่าทำน้องเขาเว้ย!

     

                "ไม่ร้องๆ"  เหลือบมองป้าร้านขายเนื้อซุบซิบกับพนักงานสาว  ก่อนจะยิ้มแห้งๆแล้วนั่งย่องๆคุยกับร่างเล็ก  "เฮ้ย  อย่าร้องดิวะ  เดี๋ยวซื้อหนมให้"

     

                "ไม่!"

     

                "เอ้า  แล้วจะเอาอะไรถึงจะเลิกร้อง"  พูดไปงั้นๆ  ดึกแล้วคนไม่เยอะก็จริง  แต่ก็ไม่อยากถูกประณามหรอกนะ 

     

                ไอ้เด็กบ้า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                นี่มันวิกฤตการความซวยของเสี่ยวลู่หานคนนี้หรือไง  บอกแล้วว่าไม่ชอบสังคม  การพบปะผู้คนที่นิสัยคนละเรื่องมันจะทำให้จิตใจห่อเหี่ยว  เป็นบาป 

     

                กรนด่าในใจกำหมัดแน่น  เข็นรถเข็นไปเรื่อยๆตามโซนต่างในรายการ  โดยมีเด็กบ้าสติปัญญาไม่ดี  นั่งอยู่ในรถเข็นกับขนมกองโตด้วย  เสื้อผ้าข้าวต้มมัดถูกเปลี่ยนแทนด้วยชุดเสื้อกันหนาวสีแดงของ  KOLON SPORT  ผ้าโพกหัวลายกราฟฟิคของลู่หาน  ที่เคยทิ้งไว้ในรถตอนไปออกแบบร้านเขาให้มาใส่โฆษณา  หัวเราะร่าอย่างมีความสุข

     

                ใบหน้าหวานน่ารักกำลังยิ้มร่าชอบใจ  คราบน้ำตาน้อยๆที่เกาะขอบตาอยู่พร้อมเสียงสูดน้ำมูก  แล้วใช้แขนเสื้อเข็ดทำให้เขาทนไม่ได้เลยให้เปลี่ยนเสื้อ   รอยยิ้มสดใจผุดขึ้นอีกครั้ง  ครั้งนี้ดูสนุกสนานกับการจับจ่ายของมากกว่าครั้งตอนดูหนังด้วยกัน  นิสัยเด็กน้อยของแบคฮยอนสร้างความปั่นป่วนในกับร่างสูงจนแทบจะเป็นบ้า 

     

                "นานแล้วน้าไม่ได้ออกมาแบบนี้"  เสียงหวานเปรยขึ้นลอยๆ

     

                "เหอะ  ดีใจด้วย"  น้ำเสียงกระชดก็ลอยมาเข้าหู 

     

                แต่ครั้งนี้แบคฮยอนไม่โกรธ  กลับยังยิ้มตาหยีจนเห็นรอยย่นตรงแก้มกลม  คล้ายหนวดแมว

     

                "ขอบคุณนะ..."  ถอดสายตาตรงไปในเส้นทางเดินเป็นแถวยาว  เหม่อลอยออกไปกับคำพูดที่ทำลู่หานหันขวับทันที  "วันนี้ผมสนุกมากเลย  ขอบคุณมาก"

     

     

                น้ำเสียงไม่ได้ติดเศร้าหรือหม่นมอง  หากแต่มันหวานใสเหมือนแก้วเปราะบาง  ปะปนไปด้วยน้ำหลากสีของชีวิตถูกเทเติมเต็มขึ้นมาจนอบอุ่น  อิ่มจนไม่สามารถหุบยิ้มลงได้

     

                "แบคฮยอน..."  ร่างสูงเรียกชื่อของคนตัวเล็กแผ่วเบา  หันไปมองหลังบางที่นั่งหันหลังให้สั่นไหวอยู่เล็กน้อย

     

     

                ก่อนจะเดินเข้าไปลูบกลุ่มผมนุ่มสีดำสนิทเบามือ  และ...จน

     

                พรึบ!  แฮ่

     

                "เฮ้ยไอ้..."

     

                คนกำลังซึ้งตกใจสะดุ้งโหยง  เมื่อร่างบางหันมาพร้อมกับแว่นตากลมอันใหญ่บิ๊ก  กับหน้ากากผีไม่มีหน้าที่เห็นแว๊บๆว่าขายอยู่โซนของเล่น

     

                เชี่ยกูตกใจ

     

                "ฮะๆ  ฮ่าๆ  กร๊ากกก"

     

                "พอแล้วเว้ย!"

     

                คนอายุมากตะโกนใส่หน้าร่างเล็กเสียงดังเสียจนพนักงานหันมามอง  แต่คนถูกดุกลับไม่สนใจ  หัวเราะต่อเฮฮาไม่หยุด

     

                "อ้าว  ไม่เข็นต่อละเหรอ?"  ถามกระเซ้าเย้าแหย  เมื่อเห็นคนแก่เดินงอนก้นบิดเดินไปยืนเลือกของอีกมุมหนึ่ง

     

                "ไม่แล้วลงมาเดินแล้วเข็นซะ  ไอ้บ้าเอ่ย  กูไม่น่าอินเลยแม่ง"  ขยี้หัวยุ่งจนผมสีชมพูอ่อนยุ่งเหยิง

     

     

                "ฮ่าๆๆ"

     

     

                แบคฮยอนรู้สึกถึงคำว่าโอฮาน่าแล้วฮะคุณสติช   ลีโลเพื่อนใหม่ของผมเขาออกจะบ้ามากไปหน่อย  แต่เขาก็คือโอฮาน่าของผม

     

                ขอบคุณนะครับ  คุณลู่หาน 


     

     

    100%
     

                

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    มีคนถามว่าแต่งเรื่องนี้  หลักๆคืออะไร?

    ก็ตามชื่อเรื่องเลยค่ะ  เป็นเกี่ยวกับบ้าน

    ที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกต่างๆของครอบครัว

    เพื่อน  ความรัก  แฝงอยู่ในนั้นด้วย

    ฮี่ๆ  ก็ไม่รู้ว่าจะสื่ออกมาได้เท่าไร  แต่จะพยายามค่ะ

    ฟิคเรื่องที่สาม  ไฟติ้ง!



    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×