คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : - take me home : chapters - 016 { 100% }
- Jealous -
chapters – 016
ลู่หานไม่รู้เลยว่าตัวเองนั่งจ้องมองใบหน้าสวยนี้นานเท่าไรแล้ว นึกถึงถึงครั้งแรกที่พบกันแล้วเด็กนี่ตะโกนใส่หน้าว่าผมไม่ให้ผู้หญิงเช่า ตลกเป็นบ้า เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตรงแถวบริเวณไรผมกับตรงจมูกเชิดรั้นพร้อมเสียงลมหายใจที่หอบถี่จังหวะสั้น ร่างสูงทำสีหน้าฉงนจำต้องละการมองใบหน้าน่ารักไปเอื้อมมือสัมผัสหน้าผากมนด้วยหลังมือ แช่อยู่สักพักถึงได้รู้ว่าคนตัวเล็กยังไม่หายไข้ดีนักแล้วยังมาดื้อซื้อไอศกรีมมาเก็บไว้กินตอนแต่งนิยายอีก
น่าตีจริงๆเด็กดื้อ!
เนื่องจากว่าตอนนี้เขาเริ่มชินกับการดูแลผู้ป่วยมาบ้างแล้ว ทำให้ตอนนี้บุรุษพยาบาลจำเป็นกำลังทำหน้าที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สบาย เปิดหน้าต่างบานยาวตรงฝั่งริมทะเลสาบที่ลมกำลังโกรกสบายให้พัดผ่านเข้ามาในบ้านแบคฮยอนจะได้หลับสบาย จัดการพับพนักพิงโซฟาที่ตัวเองอุ้มร่างบางมานอนให้เป็นที่นอนกว้างชั่วคราว
จัดการกับผู้ป่วยจอมซ่าเสร็จก็เดินเข้าครัวมาจัดการเตรียมของทำมื้อเย็นสำหรับผู้ป่วยเป็นไข้ ซุปไก่มันฝรั่งกับน้ำขิงร้อนๆสักชุดกำลังดีแท้อยากจะทำไก่ตุ๋นโสมก็เถอะแต่เครื่องที่ซื้อมาไม่มีสมุนไพรจีนเลยแม้แต่น้อย เวลาไม่สบายควรเอาเหงื่อที่เป็นพิษออกมาให้หมดดังนั้นเราควรทำของร้อนเรียกเหงื่อหรือแม้แต่ของเผ็ดก็ให้ผู้ป่วยทานได้เช่นกัน
เอ้...จำได้ว่ามีน้ำขิงอยู่ ช่างเถอะน้ำผักก็น่าจะโอเคอยู่
เมื่อหาของที่ต้องการไม่เจอร่างสูงก็หันมาสนใจน่องไก่ที่เพิ่งซื้อมา แบคฮยอนเพิ่งหมักใส่กล่องเอาไว้ จัดการเปิดน้ำใส่หมอครึ่งหม้อแล้วตั้งเตาทันที คนตัวโตกะเวลาตุ๋นไก่ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะละมือมาเปลี่ยนผ้าโป๊ะหน้าผากเป็นเจลลดไข้แทน
ไม่รู้ว่าตัวเองชอบมองใบหน้ากลมยามหลับพริ้มแสนจิ้มลิ้มของคนตัวเล็กตั้งแต่เมื่อไร เฝ้ารอให้ฝนฟ้าตกลงมาไม่ต้องหนักเพราะวันนั้นเขาจะได้นอนกอดลูกหมาตลอดทั้งคืน...
เดี๋ยว เชี่ยเมื่อกี้กูเคลิ้มไปว่าไงนะ?!
รู้สึกเหมือนมนต์สะกดคลายผละหน้าออกห่างแล้วถอยกรูดไปตั้งสติตรงโซฟาอีกตัว สะบัดหน้าไปมาไม่พอยังยกขึ้นตบแก้มตัวเองเรียกสติเบาๆอย่างุนงง ก่อนเลื่อนมือลงมาแตะตรงบริเวณก้อนเนื้อด้านซ้ายที่เต้นโครมครามไมหยุดหย่อนด้วยอัตราความถี่สูง
นอนกอดอะไรไม่มีเลยสักนิด ไม่มี๊
“หื้อ...ร้อน” เสียงเล็กอู้อี้งึมงำพลางยกขาเตะผ้าห่มออก ใบหน้ายับยู่ยี่ขมวดคิ้วพันยุ่งราวกับฝันร้ายว่าตัวเองถูกพันธนาการด้วยใบของแมงมุมยักษ์ “หื้อ...แง่มๆ” งึมงำในลำคอแล้วพลิกตะแคงข้างมาทางร่างสูง ทำให้เจลหล่นปุ๊ลงกำพื้นพรม
“เฮ้อ...เด็กขี้เซาเอ่ย” เดินเข้าไปขยี้กลุ่มผมนิ้มเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
แขนแกร่งดึงผ้าห่มที่เขาเป็นคนไปเอามาจากบนห้องพับเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ววางไว้ตรงโซฟาอีกฟัง เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วตัว คอเสื้อชิ้นเหงื่อผสมกับไอร้อนที่ยังคงระบายออกไม่หมด สีหน้าอึดอัดตัวเย็นนั้นทำให้คนตัวโตอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวว่าจะไข้กลับแต่พอห่มผ้าให้ก็ถีบไม่ยั้งจนอ่อนใจ
ไม่รู้จะทำยังไงดีเลยพลิกให้อีกคนนอนหงายหน้าแล้วยกฝ่ามือหนาของตัวเองเสยผมสีดำสนิทที่เปียกเหงื่อขึ้น เพื่อวัดอุณหภูมิอีกครั้ง
“งื้อ...ลู่หาน” คนถูกรบกวนการนอนปรือตาขึ้น ดวงตาใสหยาดเยิ้มกระพริบช้าๆก่อนจะเอื้อมมือมามาวางทับมืออีกคนที่ค้างอยู่บนหน้าผาก “หนาว...” พูดเสร็จก็ยิ้มหวานจับใจทำเอาคนอายุมากกว่าใจเต้นแรงระส่ำไม่เป็นตัวของตัวเอง
“หนาวแถวถีบผ้าห่มออกทำไม...” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูไร้คำหยาบกร้านยอมจำนนให้อีกคนล็อคมือตัวเอง ส่วนอีกข้างก็ยกมือดึงแก้มกลมคล้ายหยอกล้อแล้วค่อยๆย่อตัวนั่งลงกับพื้นข้างคนป่วย
“ร้อน...” พูดไปก็ล็อคมืออีกข้างให้แนบแก้มตัวเองแล้วยิ้มหน้าเยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “กอดหน่อย...หนาวอ่ะ”
โอ๊ยยยย พูดน้อยกว่าเดิมแต่การกระทำคูณล้าน!! ลู่หานจะไม่ทน
คนสติสัมปชัญญะก่อนหน้าเหลือน้อยอยู่แล้วต้องมนต์อีกครา คราวนี้เหมือนจะหักห้ามใจตัวเองไม่ได้...ไร้การปฏิเสธเลยว่าแบคฮยอนตอนไม่สบายน่ารักมากกว่าเดิมหลายเท่า ปกติพยายามหาเรื่องกันตลอดเวลามาคราวนี้ป่วยนอนนิ่ง...พูดจาน่ารักจนอยากจะรักให้รู้แล้วรู้รอด...
ร่างสูงพยายามจะห้ามใจตัวเองแล้วท่องว่านั้นเด็กผู้ชาย...แต่ร่างกายเหมือนไม่ยอมทำตามสมองกลับเลือกทำตามหัวใจ ใบหน้าหล่อเลื่อนตัวเข้ามาจดจ้องลึกลงบนผิวเนียนของคนตัวเล็ก ใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผะผ่าวเข้าออกเป็นระยะ...
ปลายจมูกโด่งเกลี่ยแก้มขาวเลือดฝาดก่อนฝังลงบนแก้มกลมนุ่มนิ่ม สูดกลิ่นหอมของคนไข้ราวกับจะดูดซึมซับพิษไข้เอาไว้เองคนเดียว...หลายครั้งต่อหลายครั้ง...กดย้ำซ้ำๆจนกระทั่ง
!!
“ทะ ทำอะไรเนี่ย!!”
ผลั่ก!
“โอ๊ย ย๊า!ไอ้เด็กบ้า”
15%
เฮือก!
ร่างเล็กสะดุ้งพรวด ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อสายตาพลันเห็นคนตัวโตนอนฟุบอยู่ข้างกาย ถดถอยหนีจนเกือบหงายหลังตกที่นอนหากแต่มีมือหนามาจับหมับเข้าไปเสียก่อน คนถูกทำให้ตื่นจ้องหน้าดุใส่คนป่วย
“เดี๋ยวก็ตก” สามคำชัดๆ ที่แบคฮยอนเบะปากสะบัดมือออก
เมื่อกี้ฝันร้าย! ให้ตายสิแบคฮยอนเอ่ย
“มะ ไม่ตกหรอกน้า กะระยะอยู่หรอก” แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ก่อนกลิ่นหอมบางอย่างจะรอยแตะเข้าที่โสตจมูก หอมคล้ายไก่? “คุณ หอมอ่ะ” คนทำตัวเป็นเด็กยิ้มร่าลืมเรื่องก่อนหน้า แม้ในใจยังนึกกรนด่าตัวเองว่าฝันไปได้ยังไง
เอ๊ะ...หรือไม่ได้ฝัน
คิดได้ก็รีบพุ่งเข้าใส่คนตัวสูงที่เกาหัวงัวเงียปรับทัศนียภาพหลังตื่นนอน เชิดคางคมแหลมขึ้นดูรอยแดงที่เขาค่อยเสยคาง
“ทำไรวะ” คนหงุดหงิดสะบัดมือออกบ้างรอบนี้ “เดี๋ยวนี้แต๊ะอั๋งเนียนๆ โธ่”
“เหอะ งั้นคนที่นอนจับมือคนอื่นเมื่อกี้ก็ไม่แต๊ะอั๋งเลยเนอะ” พูดขึ้นมาบ้าง
ร่างสูงไหวไหล่ไม่แยแสจะต่อความยาวสาวความยืด ยันตัวลุกจากพื้นพรมก่อนก้าวฉับเข้าไปในครัวเพื่อตรวจดูไก่ที่ตุ๋นไว้ว่าได้ที่หรือยัง เสร็จแล้วก็ใส่เครื่องปรุงเพิ่มเติมนิดหน่อยพอมีรสชาติ เหลือเท่าหยิบมือถูกใส่โรยปิดท้าย ตามด้วยผักชีโรยหน้าพริกไทย
“โห...หอมจัง” แบคฮยอนชะเง้อคอเข้ามากลางวงพร้อมสูดกลิ่นหอมของอาหาร
“ไหนใครบอกจะทำปลาแซลม่อนลมควันวะ” ตั้งใจแซวตามประสากลัวคนตัวเล็กจะลืมหน้าที่หลังหายดี
“ไม่ลืมหรอกน้าคุณก็ แหมตอนแรกไม่อยากกิน ตอนนี้อยากกินใช่มั้ย” พูดไปมือก็เตรียมตะเกียบพร้อมช้อนพร้อม
ระหว่างทานอาหารลู่หานค่อยๆเตือนคนตัวเล็กที่ซดซุปร้อนเสียงดังซูดซาดว่าค่อยๆทานเคี้ยวข้าวเบาๆอยู่หลายรอบ จนร่างสูงตักข้าวพูนถ้วยให้อีกคนเป็นรอบที่สาม
“กินเยอะเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก คนป่วยท้องจะอืดง่ายไม่รู้เหรอวะ” ส่งกระดาษทิชชู่ให้อีกคนด้วยความคุ้นชิน
เรื่องกินนี่ไม่มีใครสู้เขาได้จริงๆ
ฉับพลันคนตัวโตก็คิดขึ้นมาได้ถึงคืนนั้นที่แบคฮยอนไม่สบายอยู่บ้านเพื่อนสนิท คิดแล้วว่าต้นเหตุคือตัวเองก็แทบอยากเอาหน้าทิ่มโต๊ะ
“นี่...” วางช้อนแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กอดอกนิ่งมองผู้ต้องหา
“อะไร? ผมป่วยอยู่นะ” คนตัวเล็กพูดขึ้นตั้งท่าวางมวย
“วันนั้นที่ไปอยู่บ้านไอ้ยอล ทำไมถึงไปอยู่กับมันได้ ไม่ดิแล้วทำอะไรกันระหว่างนั้น”
โอ๊ยยย กูพูดอะไรออกไปวะ
“ก็เปล่า เขาโทรหาผมแล้วผมก็บอกไปว่าอยู่ที่นี่ เขาบอกจะมารับแล้วพาไปบ้านเพราะผมไม่สบายบนรถ” เล่าเรื่องข้ามไปบ้าง ขาดๆเกินๆเพราะวันนั้นเขาจำอะไรแทบไม่ได้ “อ๋อ เขาบอกจะพาไปกินข้าวแล้วร้านมันปิด แต่ผมไม่สบายอ่ะหลังจากนั้นจำอะไรไม่ได้เลย ล่าสุดคือเขาอุ้มผมอะ งื้อเขินจัง”
อะไรนะ อุ้มเหรอ? ทำไมแบคฮยอนไม่บอกเขาว่ามันอุ้มด้วย!
“อะไร จะเขินทำไมวะ! ชอบมันเหรอ” ร่างสูงสวนขึ้นมาทันควัน ชี้นิ้วเตือนคนที่มวยเขินยิ้มแป้นเมื่อนึกถึงเพื่อนรักที่ดูแลตัวเองอย่างดี
“ทำไมล่ะ เขาออกจากดีแถมดูแล ทำกับข้าวด้วย” พูดสัจจริงแต่เหมือนอีกคนจะเลือดขึ้นหน้าแบบไม่รู้สาเหตุ
“เหอะ!” ทำเสียงเหอะออกมาอยากจะหัวเราะ “ฉันก็ทำเหมือนกัน เมื่อกี้ก็อุ้มหายไป ทำอาหารให้เหมือนกันทำไมทีฉันไม่เห็นยิ้มเลย ตีหน้ายักษ์ใส่อีกฮะ” หยิบช้อนขึ้นมาชี้โบ้ชี้เบ้ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก สร้างความงุนงงให้กับอีกคน
คนแก่เป็นบ้าอะไร?
“แล้ว? คุณเป็นอะไรเนี่ย เป็นบ้าเหรอ” พูดเสร็จก็ตักข้าวเข้าปากต่อไม่รู้ไม่ชี้
“แหมใช่ซี่ เห็นคนอื่นดีกว่าคนใกล้ตัว ไหนว่าครอบครัวเดียวกันไงวะทำพูดดี โธ่” พูดตัดพ้ออีกฝ่ายก่อนตักข้าวเข้าปากประชดคำโต ในใจร้อนดั่งไฟสุมอก จนลืมไปว่าอีกคนที่ฟังอยู่รู้สึกยังไง...
แบคฮยอนไม่ได้เถียงอะไร เขาเพียงแค่หยุดต่อปากต่อคำเลิกสนใจคนตรงหน้าจนข้าวหมด
ก็เพราะใครละ เขาถึงต้องเป็นแบบนั้น...
ลู่หานรู้สึกได้ว่าก่อนหน้านั้นตอนทานข้าวเขาพูดรุนแรงออกไป ตบหัวทึ้งหัวตัวเองหลายรอบ อยากจะตบปากพาจนแรงๆ เมื่อมานึกได้ว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะใคร ยิ่งถ้าไม่ได้ชานยอบไปรับคงได้ป่วยหนักมากกว่านี้แถมยังพูดจาตัดพ้อไม่รู้เรื่องตามอารมณ์อีก
แม่งเอ้ย!
คนตัวเล็กนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโซฟาด้วยท่านั่งขัดสมาธิ สองแขนเรียวยาวยกขึ้นกอดออกเบะปากขัดใจ เง้างอนคนตัวสูง ส่วนอีกคนนั่งเลิกคิ้วกวนประสาทไปมาไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเลยรึไง คนคิดในใจบ่นอุบอิบ
“อย่าโกรธดิวะ ช่วงนี้งอนอย่างกับผู้หญิง” คนผิดเพราะปากเสียยังคงหาข้ออ้างมาบ่งชี้ว่าตัวเองผิดแต่ไม่อยากยอมรับ
“คุณมันคนไม่มีหัวใจ!” ตะคอกใส่หน้าอีกคนด้วยอารมณ์คุกกรุ่นหงุดหงิดจนอยากจะบ้า ยิ่งประโยคที่พูดไม่คิดหลุดขึ้นมาอีก
“จะไปมีได้ไง ก็ให้ไปหมดแล้วนิ”
!!
“อะ ไอ้บ้า!” ทำไมช่วงนี้แบคฮยอนเหมือนตัวเองจะสู้อีกคนไม่ค่อยได้ ทั้งทางคำพูแล้วก็การแสดงออก ใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นสีระเรื่อห้ามไม่อยู่อีกคราเมื่อหัวใจเต้นโครมครามกับประโยคเมื่อครู่ คว้าหมอนอิงปาใส่หน้าคนตัวโตกว่า หากแต่เขาหลบมัน
“ไม่บ้า พูดจริงไม่เชื่อ?” คนกวนประสาทรู้ตัวดีแต่อยากพูดไปแบบนั้น...
“เออ!” กระแทกเสียงใส่ด้วยคำพันมัล
“หยาบคายว่ะเดี๋ยวนี้ เฮ้ยจะไปไหน” ยกมือสากลูบต้นคอคลายความเมื่อยก่อนจะพุ่งตัวไปรั้งข้อมืออีกคนไว้เกือบไม่ทัน “งอนเหรอ ขอโทษไม่พูดแล้วอ่ะ”
“ก็คุณอ่ะ! ชอบมาประชดประชันพูดจาเสียดแทงไม่หยุด” ดีดดิ้นสะบัดแขนไปมาหวังให้หลุดจากพันธนาการ แต่ผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายพันธนาการเขาไว้แน่นกว่าเดิมด้วยอ้อมกอด...
ช็อค...แค่นี้ก็ใจเต้นจะบ้าตายอยู่แล้ว จะไปหาที่หลบพักใจต่างหาก!
“อย่าไป ขอโทษจะนั่งดีๆ กินหนมมะ?”
... บางทีลู่หานก็ดูถูกแบคฮยอนไป ดูออกจนทะลุปรุโปร่ง
40%
“ผมเพื่อนเล่นคุณเหรอ” แบคฮยอนเอ่ยถามขณะกลืนเยลลี่พุดดิ้งลงท้อง
“ละคิดว่าเพื่อนป่ะล่ะ” ลู่หานพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตากวนประสาททำให้ช้อนในมือเล็กเกือบปลิวปะทะศีรษะ คนตัวเล็กเบะปากเลิกสนใจแล้วเพ็งความรื่นรมย์ไปยังถ้วยพุดดิ้งของลู่หานต่อ
ใช่เลย...นอกจากเขาทำอาหารอร่อยขนมเขาก็ทำได้...บางทีแบคฮยอนคิดว่า
โกรธแล้วหลอกกินบ่อยๆดีกว่า
ลู่หานเป็นมนุษย์ในแบบอย่างที่แบคฮยอนชอบมากที่สุด และไม่คิดว่าจะมีตัวต้นอยู่จริงๆคือทำอาหารเป็น ขนมเป็น
มิน่า...เขาถึงรู้สึกชอบคนๆนี้จัง...เวลาปากไม่มากอ่ะนะ
“ถามหน่อยทำไมถึงอยากเป็นนักเขียนล่ะ?” ลู่หานถามขึ้น ลดช้อนซุปรอคำตอบ
ตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้ในตอนแรกที่จะยึดอาชีพอินทีเรียเป็นรากฐานของชีวิต แต่เพราะความฝันของเขาที่เคยมีในวัยรุ่นที่ยังไม่รู้อะไรในชีวิต มีใครบางคนยื่นมือเข้ามาแนะนำเขา สร้างความฝันให้เขาและทำให้เต็มที่ไม่ว่าอะไรจะขัดขวาง แสดงพลังออกมาให้เห็นว่าเราทำได้...แล้วแบคฮยอนจะมีความฝันแบบไหน คำตอบแบบไหน?
ดวงตากวางสวยมุ่งมั่นเค้นคำตอบ...เขาเองก็อยากจะช่วยคนตัวเล็กสานฝันเช่นกันไม่ใช่เพราะว่าอีกคนเป็นห่วงแม้กระทั่งเรื่องโรคกระเพาะของเขาเลยอยากตอบแทน... ลู่หานก็แค่อยากใช้คำว่าครอบครัวให้สมกับที่อีกคนมอบให้
ก็แค่นั้น...เพราะความอบอุ่นจากคนตัวเล็ก...
“เร็วดิ ทำไมคิดนานอ่ะ” คนตัวสูงถามเมื่อคนตรงหน้าวางช้อนแล้วขมวดคิ้วใช้ความคิด แบค ฮยอนจิ๊ปากขัดใจ
“เปล่า ผมก็แค่คิดว่าทำไมคุณถามเองนะ! คนแก่ขี้บ่นจัง” ยู่ปากจนแก้มป่องชวนน่าหมั่นไส้ “ความจริงผมก็แค่อยากสร้างรอยยิ้มให้คนที่ได้อ่านหนังสือของผมแค่นั้นเอง เหมือนที่ผมได้อ่านหนังสือของใครหลายๆคนแล้วยิ้ม เศร้า เสียใจ มันเหมือนกับว่าผมสามารถส่งมอบความรู้สึกต่อไปอีกถอดๆให้ใครหลายๆคนด้วยแง่คิด” ใบหน้าหวานผุดอมยิ้มเล็กๆขึ้นระหว่างการเล่า “ความรู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ไอเดียเรื่องใหม่หรือประโยคเด็ดๆ ตอนดูหนังก็ด้วยเหมือนกันมันตื่นเต้นเมื่อรู้สึกว่าประทับใจ ตื่นตันจนอยากขอบคุณที่ให้กำลังใจกันและกัน คำพูดของเรื่อง...”
“จงเดินหน้าต่อไป” สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน ราวกับว่าทั้งสองได้เขาถึงความคิดของอีกฝ่ายที่คล้ายคลึงกัน
ลู่หานไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอพรั่งปากออกไปเมื่อไร รู้แต่ว่าดวงตากับท่าทางการเล่าแบบนั้นทำให้เขาคิดถึงใครคนหนึ่ง...คนที่มองพลังความฝันให้กับเขา
ทั้งคู่แค่ยิ้มและหัวเราะร่าใส่กันหลังจากนั้น คนตัวที่ถูกคนตัวเล็กปากแข็งว่าหายป่วยแล้วไล่ขึ้นมาอาบน้ำทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง จ้องมองเพดานที่เป็นลวดลายอะไรบางอย่างก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อหารายชื่อใครบางคน
เขาทำคนเดียวคงไม่ไหวแฮะ เอาไงดีวะ!
แต่แม่ง...ไอ้ชานยอลมันไม่ได้ชอบตัวเล็กของเขาใช่มั้ย?
คิดสารตะมากมายตามประสาคนคิดมากซึ่งไม่รู้ว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อไร อาการใช้สมองหนักในเรื่องของคนอื่นถูกใช้มากขึ้นจนเกินเยียวยา ทางรักษาคือการทำให้สำเร็จ คนตัวสูงใช้เวลาอยู่นานเช่นกันกว่าจะทำใจได้แล้วกดโทรออก...รอปลายสายสักพัก
‘ว่าไงไอ้ลู่ แกมีเรื่องอะไรรึเปล่าส่วนมากที่แกโทรมาคือจะมีเรื่องด่วน?’ ปลายสายพูดยาวเหยียดตั้งแต่เห็นเบอร์นี้โทรของเพื่อนสนิทโทรหา
“เออมี ถ้าแกช่วยได้ก็โอเค” ตอบกลับสั้นๆ
‘เรื่องไรวะ นี่บางทีนะเว้ย ฉันก็คิดว่าแกเปลี่ยนไปเปล่าวะเพื่อน’ ชานยอลเอ่ยถามด้วยความสงสัยเต็มเปรี่ยม เสียงดูอยากรู้อยากเห็นมากว่าระยะเวลาที่เพื่อนไปอยู่กับเพื่อนตัวเล็กของเขา...มันมีอะไรที่ทำให้ผู้ชายไม่สนอะไรนอกจากเพื่อนตัวเองสองคนหันมาสนใจคนอื่น
“อยากได้นักเขียนเพิ่มมั้ยวะ ฉันแนะนำคนๆหนึ่งให้แกได้” ร่างสูงหรอกเสียงใส่ปล่ยสายรอลุ่นคำตอบ
‘ฮะ? แกเปลี่ยนไปว่ะ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าตอนนี้คนหันมาทำอาชีพนี้กันเยอะ ถ้าพล็อตเรื่องหรืองานเขียนโอเคก็อาจจะรับพิจารณา
“แนวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้เนี่ยแหละ”
‘อ่าฮะ ยิ่งยากใหญ่แต่ยังไงเสี่ยวลู่หานก็อุตส่าห์เสนอเอง ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไรดีแน่เลยวะเพื่อน ยังไงก็ลองเอามาให้ฉันอ่านดูแล้วกัน ถ้างานดีจะลองดู’
ไอ้คำว่างานดี พล็อตเรื่องโอเคหลุดออกมาจากปากประธานสำนักพิมพ์...ทำเอาลู่หานถึงกับทำหน้าเหยเกหัวเราะแหะๆในลำคออยู่คนเดียว...
“เออ ไว้เดี๋ยวรอบรวมแล้วจะเอาไปส่งให้ แล้วจะโทรหาแกละ”
‘โอเคได้เลย ฉันจะรอว่ะเพื่อนนักเขียนคนใหม่ของแก” ชานยอลหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อคิดว่านักเขียนที่ลู่หานเพื่อนรักแนะนำว่ามันต้องดีสมกับคำไว้วานแน่ๆ คาดหวังว่าจะหากแนวจนไปถึงตีพิมพ์กันเลยทีเดียว... ‘ฉันจะรอเซ็นสัญญานะเว้ย’
ทำเอาคนฟังชะงักกึก...เมื่อนึกถึงผลงานของอีกคน
ตายห่ า!!
บางทีคนตัวโตก็ลืมนึกไปว่า...งานเขียนของบยอนแบคฮยอนที่เคยอ่านมาแล้วนั้นมันแบดที่แปลว่าแย่มากถึงขั้นโคม่า
หลังจากวางสายคนเป็นเพื่อนไปแล้วก็รีบวิ่งดิ่งลงไปข้างล่างตามหาคนตัวเล็กทันที ตอนแรกเขากะจะแนะนำหรือลองเอางานไปให้อ่านดู ไม่คิดว่าจะคาดหวังสูงขนาดนี้เลยต้องมาทุกข์ร้อนเป็นเพื่อนคนตัวเล็กอีกคน แต่ตามหาเท่าไรก็ไม่เจอสักทีคนเริ่มละเหี่ยใจจนพลันสายตาไปหยุดนิ่งอยู่บนกองกระดาษซองเอกสารขนาดเอสี่ที่มุมหนึ่งของชั้นหนังสือ พอมาดูใกล้ๆก็เป็นว่ามันเป็นปึกใหญ่บ้างเล็กบ้างสลับกันไป จัดเรียงทับซ้อนกันเป็นแพ็คๆ สายตาโตคมคายหยุดจ้องอยู่ที่ข้อความหนึ่งบนหน้าซอง
‘LOVELY DAY รักนี้หวานทุกวัน’
“...”
แค่ชื่อเรื่องก็...ถ้าเอาไปให้อ่านคงได้แต่ตีกลับมาเหมือนครั้งนั้นอีกแน่...เอาไงดีวะ
60%
คนเราชีวิตมันคงเหมือนเรื่องตลก เมื่อเรารู้สึกว่าเชื่อใจ มั่นใจ และอบอุ่นหัวใจกับใครสักคนทุกอย่างดูง่ายดายเสียเหลือเกินที่จะมอบสิ่งดีๆให้กลับไป วิถีชีวิตที่ดีคือทำไปเถอะทำเพื่อกันไปเถอะเพราะในสังคมที่ถูกหลอกลวงด้วยใบหน้าจอมปลอมยังมีคนที่คุณไม่รู้ว่านั้นคือหน้ากากหรือหน้าแท้ปะปนกันไปหมด จงลองทำมันสักครั้งด้วยความจริงใจเพื่อแลกกับรอยยิ้มหนึ่งรอยยิ้มที่มีค่าพอมากกว่าหวังผล
เสียงเพลงบรรเลงผ่อนคลายใบหน้าและขมับแสนตึงเครียด สายตาจดจ้องอยู่กับต้นฉบับพร้อมปลายดินสอกดลงบนกระดาษแผ่นบางล้อมรอบตัวหนังสือจำนวนหนึ่งไว้ หลายวงติดกันบ้างห่างกันบ้าง
ร่างสูงภายใต้ดวงตาสวยระยิบมุ่งมั่นสร้างภาพในวันข้างหน้าว่าสิ่งของในมือน่าจะพอเรียกความสนใจให้กับเพื่อนสนิทได้ ฉันนั้นเขาคงทำอะไรมากไม่ได้กับงานของคนอื่นพาลแต่จะโกรธใส่กัน ตั้งวงมวยกันไม่เว้นแต่ละวัน
“คุณผมมาแล้ว” คนตัวเล็กเดินเข้าบ้านมาพร้อมหอบหิ้วตะกร้าอุดมไปด้วยผักผลไม้นานาชนิด อีกทั้งในปากร่างบางยังเคี้ยวเม็ดองุ่นตุ้ยๆ “ป้าหน้าปากซอยเขาเอามาฝากจากบ้านแม่สามี” ใบหน้าหวานเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจที่ได้ของกินเพิ่ม
ลู่หานพยักหน้าว่าเข้าใจแล้วก่อนหันมาเครียดกับต้นฉบับในมือ คนตัวเล็กเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกคนหน้ายุ่งเลยเป็นห่วงกลัวจะปวดท้องอีกเลยรีบเก็บของเข้าตู้เย็นแล้ววิ่งไปก่อกวนทันที
“คุณทำไรอ่ะ” เอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น พลันสายตาเรียวสวยน่ามองก็ปะทะเข้ากับนิยายของตัวเอง “นั่นของผมนิ!” ดึงกระดาษออกจากมือหนา ซ้ำยังทำหน้าฉงนสลับกันไปมา
“แก้ด้วยคำผิดเพียบ เว้นช่องปล่องไฟจะสองเคาะสามเคาะก็เอาสักอย่าง ประโยคบางประโยคไม่ต้องเว้นเขียนติดกันไปเลย ฉันทำที่แก้ไว้ให้แล้ว ส่วนประโยคที่ดูแปลกๆฉันใช้ดินสอขีดเส้นใต้ไว้ลองอ่านแล้วกลับไปแก้มา”
ร่างสูงยื่นส่วนที่เหลือส่งให้แบคฮยอน คนตัวเล็กก็รับมาอย่างงุนงงแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรอีกคนก็เดินหายขึ้นไปข้างบนบ้านเสียแล้ว
อะไรของเขา?
ว่าที่นักเขียนเปิดตู้เย็นตะเตรียมขนมออกมาทานหลังจากตั้งปณิธานว่าจะแก้ต้นฉบับที่ลู่หานใช้ความเจ้ากี้เจ้าการสั่ง พร้อมขู่อีกว่าถ้าไม่ทันพรุ่งนี้เช้าจะไม่ให้ซื้อขนมอีกต่อไป
เผด็จการที่สุด!
ถึงจะคิดเช่นนั้นแต่ความรู้สึกตื่นเต้นตื้อตันที่เกิดขึ้นมา ทำให้รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนใบหน้า รับรู้ถึงพลังงานกำลังใจบางอย่างที่ส่งทอดมาถึงเขา เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นจนคนตัวเล็กฮึดสู้ที่จะแก้ตลอดทั้งคืนนี้ แต่พอยิ่งเปิดก็ยิ่งเจอวงกลมคำผิดกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด นึกอยากตบหน้าตัวเองนักที่เอาลงออนไลน์ทั้งคำผิดบานตะไทอย่างนี้
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก
เสียงกดแป้นพิมพ์ทิ้งห้วงเป็นระยะยังคงดังขึ้นเรื่อยๆสลับกับเสียงนาฬิกาท่ามกลางอากาศหนาวในค่ำอันเงียบสงัด ร่างบางขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย มือขาวเรียวยาวสวยล้วงเข้าไปในห่อขนมอบกรอบ ควานหามันฝรั่งทอดแผ่นบางหากแต่ก็ว่างเปล่า
“เฮ้อ ทำไมมันเยอะขนาดนี้เนี่ย” ถอนหายใจยาวพรืด ไหลตัวลงกึ่งนอนกึ่งนั่งเพื่อเอาคอวางทาบพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า
แบคฮยอนเคยฝันว่าจะมีใครสักคนคอยชี้แนะแนวทาง พอมีคนมาช่วยแบบนี้เขาเลยนึกอยากพยายามเพื่อคนที่คอยช่วยเหลือเขาให้ดีที่สุด แต่ทว่าความพยายามก็มิอาจสู่กับความง่วงได้...
“หึ ว่าแล้วเชียว...” เสียงแหบดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆของโอวันติน กรุ่นกลิ่นหวานแตะจมูกทำให้คนสติพร่าเลือนเมื่อครู่เปิดเปลือกตาช้าๆ สองดวงแป๋วจดจ้องใบหน้าหล่อคมขาวสะอาดของอีกคนในชุดนอนเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขายาวเอวจั๊มตัวหลวม ทำเอาคนส่งสายตาสำรวจต้องเบือนหน้าหนีเพราะมัดกล้ามเล็กน้อยนั่นดูแข็งแกร่งและ...เซ็กซี่
ฮึ่ยแบคฮยอนคิดอะไรเนี่ย!
“เป็นไร ไม่สบายอีกแล้วเหรอหน้าแดงๆ” ลู่หานวางแก้วกระเบื้องหลายมุ้งมิ้งของคนตัวเล็กลงบนโต๊ะ มือหนาเอื้อมแตะสัมผัสหลังมือกับหน้าผากคนหักโหม
“ไม่ได้เป็นอะไร” คนตัวเล็กแสนดื้อสะบัดมือออก ตั้งท่านั่งให้ในท่าขัดสมาธิ
“นึกว่าไข้กลับ ความจริงถ้าไม่ไหวขึ้นไปนอนก็ได้นะ” เขาเองก็ลืมไปว่าอีกคนเพิ่งหายจากไข้ จะให้มาทำงานหักโหมส่งตรงพรุ่งนี้คงไม่ไหว
“ไม่ผมโอเค...” ยกแก้วโอวันตินร้อนแสนหอมหวานขึ้นจิ๊บ เสียงพูดอู้อี้ที่อีกคนได้ยินชัดเจนต่อ “ขอบคุณนะ...ที่แนะนำเรื่องนิยาย”
“ไม่เป็นไร ฉันดิวะต้องขอบคุณนาย...ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องโรคกระเพาะฉันนะเว้ย” เกาหัวแก้เก้อดังแกรกๆ คำขอบคุณที่ทำเอาปากเรียวเม้มเข้าหาฝืนกลั้นยิ้มไว้ “ยิ้มออกมาสิ นายยิ้มแล้วมันดูสว่างดี...”
“หื้อ?”
“รีบดื่มให้หมดแล้วไปนอนได้แล้ว ฉันจะขึ้นแล้วนะ” พูรัวๆจนลิ้นแทบพันกัน เดินไปล้างแก้วของตัวเองให้ห้องครัวทิ้งไว้เพียงดวงตาใสกำลังค้นหาคำตอบพร้อมฟังเสียงหัวใจตัวเอง
มันเต้นดังตุบตุบ...เพราะคนๆนี้จริงๆใช่มั้ยครับคุณแม่
“ผม...รักคุณจัง”
ส่วนอีกคนกำลังสำรวจอัตราการเต้นหัวใจของตัวเองที่รู้สึกว่ามันแรงกว่าทุกที...
หลายวันต่อมาต้นฉบับถูกส่งมาถึงห้องผู้บริหารในนามก็เสี่ยวลู่หานเพื่อนสนิทของตระกูลปาร์ค ประธารหนุ่มไฟแรงพยายามอยู่บ่อยครั้งที่จะหาไอเดียแนวทางใหม่ๆของงานเขียนที่ปัจจุบันหลากหลายแต่ให้ความรู้สึกไม่เข้าถึงความรักในงานเขียนเอาเสียเลย
โลกเรากำลังขาดคำว่ารักอย่างแท้จริงสินะเนี่ย...
“วันนี้มีเอกสารด่วนเข้ามาจากคุณลู่หานค่ะ” เลขาสาวในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยรายงานถึงต้นฉบับของเพื่อนสนิท เขาทำเพียงขอบคุณครับอย่างให้เกียรติคนอายุมากกว่าถึงแม้เขาเป็นเพียงลูกน้องก็ตาม
รูปร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำพนักสูง มือหนาเลือกหยิบซองต้นฉบับหลายฉบับขึ้นมาอ่าน เปิดอ่านคราวๆซองที่หนึ่ง...พลิกหน้าซองเพื่อมองหาชื่อนักเขียน
“คนนี้ส่งมาสามฉบับให้พิจารณาค่ะ” เลขาสาวบอกเมื่อเห็นว่าเจ้านายพลิกหาชื่อคนเขียน
“เขียนงานก็เดิมๆที่ส่งมาสามฉบับคงไม่มั่นใจในผมงานชิ้นก่อนหน้าถึงมีตัวเลือกให้มากมายขนาดนี้”
มาแล้ว...โหมดดาร์กเวลาทำงานของปาร์คชานยอล
ปึก
เสียงโยนต้นฉบับทิ้งโครมลงถังขยะ ก่อนเปิดต้นฉบับเรื่องต่อไปมาอ่าน...
งานคืองานสำหรับปาร์คชานยอล...บุคคลที่ใครๆต้องเกร็งเป็นแถว
“แล้วประกาศที่ให้ไปลงเว็บไซต์แล้วโฆษณาไปถึงไหนบ้างแล้วครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเรียบนิ่งถึงงานชิ้นใหญ่
“เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับงานนักเขียนหน้าใหม่ เราจัดการโฆษณาพร้อมเปิดตัวในงานหนังสือที่จะถึงนี้ค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ ที่เหลือผมจะจัดการเองขอไปหากาแฟดื่มก่อน” ยามผ่อนคลายก็ส่งยิ้มหวานตามนิสัยเจ้าตัวส่งให้เลขาสาวจนรู้สึกเหมือนทั่วทั้งห้องโรยไปด้วยกลีบดอกไม้
โหมดทำงานหายไปพร้อมกับชายร่างสูงโปร่งเดินลงมาผ่อนคลายหลังจากเสียเวลาหลายชั่วโมงขัดแยกต้นฉบับด้วยตัวเอง เขาเดินไปตามเส้นทางเดิมๆอย่างทุกทีเพื่อมองหาร้านกาแฟสำหรับวันธรรมดาที่แสนน่าเบื่อแห่งนี้
เฮ้อ...ไม่มีงานเขียนดีๆเลยรึไงนะ
ปาร์คชานยอลนึกในใจระหว่างยืนต่อแถวเข้าคิวสั่งกาแฟแก้บรรยากาศเนิบนาบนี้ เสียงหวานสดใสพร้อมกับร่างเล็กที่คุ้นตาตรงหน้ากำลังทำให้เขาลืมสิ้นความเครียดทั้งหลายแล ใบหน้าหล่อยกยิ้มขึ้นกว้างขยับแว่นสายตาจอมปลอมขึ้นเล็กน้อย หวังทักทายสะกิดไหล่ให้ตกใจแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเขาไม่ทันได้สังเกตก่อนหน้านี้ว่ามีใครมาด้วยอีกคน
“ไม่เอาครับพี่! ไม่เอากาแฟผมขอเปลี่ยนเป็น เอ่อ...โกโก้ปั่น”
“เด็กไปป่ะ เอาเอสเพรสโซ่” เสียงทุ้มแหบพูดสั่งแทรกขึ้นมาก่อนที่เสียงหวานจะทันสั่ง สงครามเล็กกำลังถือกำเนิดขึ้น
“ไหนว่าจะเลิกไง พี่ครับขอนมเย็นปั่นสองแก้วไม่ต้องไปฟังผู้ชายคนนี้พูดหรอกครับ เขาสติไม่ค่อยดีอยู่ในช่วงงดกาแฟเลยเพี้ยนๆ” กระซิบกระซาบกับพนักงานสาวจนเธอถึงกับหัวเราะกับความน่ารักของหนุ่มน้อย กดเมนูตามออเดอร์ที่สั่งพร้อมชำระเงิน
“กินนมไปเลย” บ่นอุบอิบเอาให้ได้ยิน คนอายุมากกว่าถึงกับอ้าปากค้างพะงาบๆ
ไม่น่าเลยกู...นมเย็น เหอะๆเด็กกว่าเดิมอีก
“เข้าร้านแบบนี้สั่งกาแฟดิวะถึงจะแมน ดูเท่” ลู่หานพูดขึ้นในขณะที่คนตัวเล็กเบ้ปากแล้วทำปากว่าไร้สาระจริงๆ ทั้งสองคนยังคงเถียงกันไปมาพร้อมยืนหลบไปด้านข้างเค้าเตอร์เพื่อให้ลูกค้าคนอื่นๆได้เดินขึ้นมา
บรรยากาศแบบนี้ทำให้ชานยอลนึกขบขันและสมเพชตัวเองในใจที่นึกอิจฉาเพื่อนอย่างลู่หานขึ้นมาตงิด รู้สึกว่ามันไม่ดีนักเลยได้แต่ฉีกยิ้มพร้อมเดินเข้าไปทักทายในขณะที่พนักงานสาวก็กดออเดอร์
“ไง สวัสดีครับ” เสียงทุ้มใหญ่ของร่างสูงโปร่งร้อยแปดสิบเจ็ด ทำให้เวทีมวยคู่เอกยุติลงทันที
“โอ๊ะ สวัสดีชานยอล” แบคฮยอนยิ้มร่าโบกมือทักทาย
“ไม่คิดว่าจะเจอ” ชานยอลพูดขึ้นมาอย่างนึกดีใจอยู่ไม่ใช่น้อย อย่างน้อยเขาแค่เห็นหน้าแบคฮยอนก็หายเครียดไปได้บ้าง
“พอดีลู่หานเขามาทำธุระนิดหน่อย...ว่าแต่นายโอเคนะสีหน้าไม่ดีเลย” คนตัวเล็กเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนรักดูหม่นหมอง
“อื้อ แค่เจองานเครียดๆนิดหน่อยน่ะ”
ลู่หานรู้สึกว่าตัวเองอยู่ๆก็เหมือนส่วนเกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังตาขวากระตุกทันทีที่เห็นร่างบางดูเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนสนิทเขา
ไม่เอาสิลู่หาน...เขาก็แค่เพื่อนกันป่ะวะ
“เออนี่ ฉันส่งไปให้นายแล้วนะ ได้รับแล้วใช่มั้ย” เอ่ยทักขึ้นเมื่อนึกได้ถึงสิ่งสำคัญด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพอได้ยินแค่สองคน
“อื้อได้แล้วแต่คงต้องรอหน่อยนะ ต้นฉบับเยอะมากช่วงนี้”
“อื้อขอบใจมาก ไว้จะเลี้ยงข้าวตอบแทนละกัน”
“เป็นเกียรติมาก”
“ซุบซิบอะไรกันเหรอ? คุณนมเย็นได้แล้วนะ” ชะเง้อหน้าเข้าไปในวงสนทนาลึกลับ ส่งแก้วนมเย็นใส่มือหนาของอินทีเรียหนุ่ม “จริงสิ ครั้งที่แล้วขอบคุณมากๆอีกครั้งเลยนะ ถ้ายังไงไว้ฉันจะเลี้ยงมื้อเที่ยงตอบแทนดีมั้ย”
คำเชิญชวนของคนตัวเล็กทำเอาลู่หานแทบหันขวับถลึงตาใส่ไม่ทัน นึกลมจับเมื่ออีกคนพูดจะเลี้ยงเขาอะไรนักหนา...ไม่ได้การละถ้าเกิดไปกินข้างนอกกันสองคน นึกสิลู่หาน...
“ไหนๆก็ไหนๆ นายก็มากินข้าวที่บ้านเลยสิ” เสียงดังแทรกกลางวงโลกสวยอีกครั้ง
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเสาร์นี้วันที่ลู่หานว่างจากการหยุดไปดูงานชานยอลจะมาที่บ้านเพื่อทานอาหารร่วมกัน...
ชานยอลขอแยกตัวออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาเดินมาถึงห้องทำงานกับกาแฟหนึ่งแก้วรีบควานหาต้นฉบับพิเศษจากเพื่อนสนิททันที หลังจากไล่สายตาอ่านสักพัก...โทรศัพท์เครื่องสวยก็ถูกยกขึ้นมากดเบอร์โทรออกหาใครบางคนที่เพิ่งแยกกัน
“ลู่หาน นิยายที่นายให้ฉันอ่านฉันอ่านแล้วนะ”
‘เป็นไง’ น้ำเสียงปลายสายดูตื่นเต้นกังวลมาก
“ฉันว่า....”
ความรู้สึกที่ไม่เร่งรีบ
ค่อยๆซึมซับ
ความรักของกันและกัน
----------------------------------
เดี๋ยวมาลงอิอิ
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น