ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #5 : - take me home : chapters - 004 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 57






     

    - My Dream , Your Dream -


     

    chapters – 004

     

     

               

                สงครามซักผ้ากลางแจ้งจบลงเมื่อผ้าทั้งหมดถูกตากรับลมและแสงแดดอุ่นๆยามบ่ายริมทะเลสาบ   ซึ่งอินทีเรียหนุ่มได้ลงมือลงแรงทำราวตากผ้าแบบขึงโดยใช้เชือกผูกตึงกับไม้ปักสองข้าง  ยึดหลักเอาไว้คล้ายตกเสาเข็ม  การตากผ้าแบบนี้จะทำให้แห้งแล้วกลิ่นก็ไม่อับชื้น  รับแดดได้ทุกซอกทุกมุม  สำหรับบ้านที่มีบริเวณกว้าง

               

                คนตัวเล็กนั่งแหมะตรงหน้าโต๊ะคอมฯ  ประจำที่เดิม  กดแป้นพิมพ์ก๊อกแก๊กอย่าเหนื่อยหน่าย  นัยน์ตาดำกวางมองรอบบ้านโปร่ง  เพื่อมองหาคนขี้บ่น  หากแต่ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลแผ่วเบาอยู่ไกลๆ  นึกได้ว่าคงขึ้นไปอาบน้ำล่ะมั้ง 

     

     

                เฮ้อ...งั้นของีบสักหน่อยก็แล้วกัน...  ทำไมง่วงจัง

     

     

     

     

     

     

     

     

                "แบคฮยอน..."  เสียงแหบห้าวสะกิดปลุกคนขี้เซาให้ตื่นจากภวังค์  "ไม่ตื่นถีบนะ"  น้ำเสียงเริ่มกลับมาแข็งทื่อไร้นวลน้ำอีกครั้ง  ทำให้คนคิดอู้ลุกพรวดพราดขึ้นมาเกาหัวแสดงละครต่อไป 

                "ลงมาพอดีเลย  กำลังจะถามว่าเที่ยงนี้กินไรดี"

     

     

                "ช่างเหอะๆ"  ยกมือปัดไปมารำคาญใจ  เพราะถ้าเริ่มทำตอนนี้  กว่าจะได้ทานคงเกินบ่ายสามบ่ายสี่โมง  ถ้าให้ตัวเล็กทำคูณเข้าไปอีกสองเท่าโน่น  ทุ่มนึงไม่รู้จะเสร็จรึเปล่าเลย

     

                "ฉันว่าจะพาไปกินข้างนอก"  เอ่ยเรียบง่ายแล้วเดินยกผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่ที่คอเช็ดเรือนผมสีขาว บลอนซ์เปียกชุ่มให้แห้งหมาด

     

                นัยน์ตาท่อประกายส่งวิ้งไปยังร่างสูง  คล้ายกับเจอเทพเจ้ามาจุติลงสู่พื้นโลก  กุมมือประสากันสองข้างเหมือนลูกหมาดีใจเวลาเจ้านายให้อาหารอย่างลืมตัว  ใบหน้าหวานยกยิ้มกว้างเสียจนตาแทบเป็นขีด  ตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ  จนร่างสูงชักสีหน้า  มองคนประหลาดที่ดี๊ดาจนน่าหมั่นไส้

     

                แหม  ปกติกูก็เลี้ยงไอ้เด็กนี่นะ...รอบนี้ดีใจเหมือนกูไม่เคยเลี้ยง...ยิ้มทำไมวะ

     

     

                "เย้ๆ   กินข้าวนอกบ้านๆ  เช็ดผมเร็วๆสิคุณ"  หมุนตัวสามร้อยหกสิบองศา  ริมฝีปากฉีกกว้างจนเห็นฝันครบสามสิบสองซี่เรียงตัวสวย  เอื้อมมือคลิกเม้าส์กดปิดหน้าจอวินโดว์ XP  พร้อมเครื่องซีพียู  เก็บเก้าอี้เข้าที่เข้าทาง  เรียบร้อยจนลู่หานตกใจ...

     

     

                "เป็นไร  ผีเข้ารึไง"  ถามไถ่อาการกับคนประหลาด

     

                "เอ้า  อะไรเนี่ยคุณ  ก็จะไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ  ผมก็ปิดคอมปกติ  ทำไม?"  เต๊ะท่าเท้าสะเอว  เชิดหน้าอย่างหาเรื่องกับคนอายุมากกว่า  ที่พูดจาไม่เข้าหู  ดับอารมณ์เริงร่าของเขาเสียมิด

     

     

                "อ้าว  ผีออกแล้วเหรอ...นี่น้อยๆหน่อยๆเหอะ  ฉันพี่นายนะช่วยเคารพหน่อย  ดูทำท่าเข้า"  แม้ร่างสูงจะเตือนร่างเล็ก  แต่ตัวเองก็กลับทำท่าเต๊ะใส่เช่นกัน 

     

                จนกระทั่งแบคฮยอนยอมแพ้ยกธงขาว  แพ้ทางใบหน้าหล่อที่จ้องตาไม่กระพริบ

     

     

                อุ๊ย...ทำไมใจเต้นอ่ะ...

     

     

     

     

                "ยืนอยู่ทำไม  ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ" 

     

                เหอะ  เผด็จการชิบ  เมื่อกี้คงละเมอไป  คิดว่าหล่อ  ชิชะ!

     

                "งั้นรอแป๊บนึงนะครับเจ้านาย..."  ล้อเลียนเสร็จก็วิ่งสะบัดผมขึ้นชั้นสอง

     

     

     

     

                ตามจริงลู่หานก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตะคอก  ขึ้นเสียง  หรือพูดจาว่าร้ายเจ้าของบ้านมากนัก  ในเมื่อแต่ก่อนตนไม่เคยมีนิสัยแบบนี้มาก่อนเลย  เรียกได้ว่าติสอย่างมีสไตล์รักสงบมากกว่าสุงสิงกับใคร  เบื่อการต่อปากต่อคำแล้วก็การทะเลาะกันเป็นที่สุด  พอมีเวลาพิจารณาตัวเองในสองวันนี้  มันกลับตาลปัตรไปเสียหมด  อารมณ์หงุดหงิดง่ายก็เกิด  หลุดมาดตลอด...

     

     

                แต่ก็แปลกในใจ...ไม่รู้ทำไมมันอบอุ่น  รู้สึกสนุก  สิ่งที่แสดงออกไปมันตรงกันข้ามกับใจที่เต้นแรง  ตื่นเต้นเหมือนกับได้สัมผัสหิมะครั้งแรก...

     

     

                ครืด  ครืด

     

                แรงสั่นสะเทือนกับโต๊ะไม้อัดของเครื่องมือสื่อสารรุ่นฝาพับแบบโบราณของแบคฮยอน  ทำให้ร่างสูงถึงกับสะดุ้ง  หลุดจากความคิดวังวนโดยปริยาย  ถือสิสาสะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดูเบอร์

     

                หื้ม?  คิ้วหนาบนใบหน้าหล่อขมวดเข้าขนกัน  เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้า

     

     

                บก.สำนักพิมพ์ April’

     

                ควรรับดีมั้ย  คือหัวสมองตอนนี้ที่มันแย้งไปมาระหว่างมารยาทกับอาจจะเป็นเรื่องสำคัญ  จนสุดท้ายแล้ว...ร่างสูงก็เลือกจะเสียมารยาท

     

               

     

                สายสำคัญรึเปล่าว่ะ...

     

                ชั่งใจอยู่นาน...

     

     

     

                ติ๊ด 

     

                “ฮัลโหล  สวัสดีครับ  

     

               


    30%

     

     

                ร่างสูงวางสายเสร็จพอดีกับที่ร่างเล็กวิ่งปึงปังลงมาจากบันได้บ้านอย่างชำนาญพื้นที่   นิ้วชี้ก็กดลบเบอร์โทรเข้ามาล่าสุดออกทันท่วงทีก่อนเจ้าของเครื่องจะวิ่งมาประชิด  

     

                "ทำไรอ่ะ"  แบคฮยอนถามเสียงเขียวเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงเอามือหนามาลูบศีรษะตนเบาๆชั่วครู่หนึ่ง  แล้วลดมือลดเดินล้วงกระเป๋ากางเกงนำหน้าไป

     

     

                อะไรของเขาวะ...

     

     

                ร่างบางเกาหัวอย่างงงๆ  แต่ก็ไม่ติดใจอะไรมาก  นึกเสียว่าคนแก่คงรู้สึกผิดเรื่องเสื้อพิคาจูที่ยืดย้วยจนฮูดเบี้ยว  หางหลุดใส่ไม่ได้  ยกยิ้มบางๆก่อนเอื้อมมือไปปลดล็อกประตูบ้าน  แล้ววิ่งตามไปขึ้นรถออดี้สีดำคันงามที่สตาร์ทเครื่องรอ  ลู่หานมองคนข้างกายคาดเบลล์อารมณ์ดี  ฮัมเพลงตลอดทาง  ก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน 

     

     

                "ชอบทานข้าวนอกบ้านเหรอ"  ถามขึ้นขณะเลี้ยวรถออกจากซอยเล็กๆ  อุดมไปด้วยต้นใหม่สูง

     

     

                "ก็แหงอยู่แล้วสิ  ผมไม่ได้ออกมากินข้าวข้างนอกนานแล้วนะ  นอกจากร้านระแวกบ้านอ่ะ"  ตอบด้วยน้ำเสียงเริงร่า  ก่อนเอนหลังทอดสายออกไปยังนอกกระจดรถ  "เมื่อวานมาตอนกลางคืน  มองไม่ค่อยถนัดเลยเนอะ  ว้าววว  ร้านข้าวกล่องน่ารักจัง"  ดวงตาเรียวเบิกกว้าง ประกาบแพรวพราวเหมือนพลุเย็น  ส่องประกาย

     

     

                "ทำไมไม่ออกมาข้างนอกบ้างอ่ะ  ออกมาหาฟิลลิ่งในการแต่งนิยายไรงี้  โธ่  เป็นนักเขียนภาษาอะไร"  คนขี้บ่นเอ่ยถาม  หากแต่ร่างเล็กไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกานั้นเลย  ยังคงให้ความสนใจกับด้านนอก  จนลู่หานต้องเบ้ปากน้อยใจ  ลามไปถึงบทสนทนาก่อนหน้านั้น...

     

               

              'พูดตรงๆนะครับ  เนื้อเรื่องแบบนี้มันเกร่อจนกลายเป็นเนื้อเรื่องขยะไปแล้ว   พระเอกหล่อรวยเพอร์เฟ็ค  กับนางเอกซื่อบื่อ  มีถมเถไปจนคนอ่านเขาเมินหน้าหนี   ส่วนการบรรยายที่ยืดยาวจนเกินไปมันทำให้คนอ่านเบื่อ  ตัวผมเองอ่านแค่ห้าบรรทัดก็ต้องวาง  ปิดฉากไม่น่าสนใจ  เนื้อเรื่องย่อก็ดูไม่มีอะไร  คนอ่านคงอายุต่ำกว่าสิบห้า  แล้วก็จำนวนน้อยที่หลงผิดมาอ่าน...ขอโทษที่ต้องติตรงๆแบบนี้นะ  ผมว่าคุณไม่เหมาะจะเป็นนักเขียนหรอก ต้นฉบับเก่าๆที่ส่งมาผมจะขอไม่อ่านก็แล้วกัน...'

     

     

     

              เขาไม่รู้ว่าคนตัวเล็กเขียนเนื้อเรื่องอะไรลงไปในนั้นบ้าง  แต่รู้แน่ๆคือคงส่งไปจำนวนที่ว่า  ต้องอ่านสักฉบับนั้นแหละน่า   มาพูดดับความฝันคนอื่นแบบนี้  เขาไม่ถูกชะตาเสียเท่าไร...ไม่รู้ทำไมรู้สึกสงสารคนตัวเล็กเหลือเกิน  และใช่  มันคงดีที่ไม่บอกเรื่องนี้

     

     

     

                "เราจะไปกินอะไรกันเหรอ"  แบคฮยอนเลิกสนใจข้างนอกแล้วหันมาถามสารถีคนหล่อ

     

     

                "อยากกินอะไรล่ะ  วันนี้ฉันตามใจนายครั้งนึง"  ลู่หานเลิกคิ้วถาม  เสมองข้างทางสลับคนข้างๆ  หลุดหัวเราะเมื่อเสียงอื้ออึงคิดหนักกับรายการอาหารเต็มสมอง

     

     

                "อื้ม...คิดไม่ออกแฮะ  ภาพมันลอยขึ้นมาเต็มไปหมดเลยอะคุณ  อยากกินหมดเลยอ่ะ"  ตีหน้ายุ่ง  ยกมือเกาหัวแกรกๆ  ปากคว้ำเหมือนลูกหมากำลังขอความคิดเห็น

     

     

                "เอ้า  เลือกมาสักอย่างดิ"  แสดงความคิดเห็นสั้นๆ  จนร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

     

     

                "กินบะหมี่หมูแดงกัน  อยากกินซาลาเปาร้อนๆใส่หมูสับอ่ะ"  เสนอเมนูซุ่มๆจากสิบกว่ารายการที่ร่างไว้

     

     

                "อื้อ  อาหารจีนสินะ ฉันรู้จักอยู่ร้านนึง"  พยักหน้าตกลง  ก่อนจะเบี่ยงซ้ายเข้าเลนส์เลี้ยว

     

     

                "เอ๊ะเดียวๆ"  เสียงเล็กตะโกนขึ้นมา  จนหักพวงมาลัยแทบไม่ทัน  "อยากกินหมูย่างอ่ะคุณ  ปลาหมึกเป็ดด้วย  โอ๊ยยยออยากกินไปหมดเลย"  ทุบหน้าผากตุบๆ  จนแดงซ่าน

     

     

                ลู่หานเห็นคนคิดมากจึงเลือกทางสว่างให้อีกทาง

     

     

                "ตะเวนกินทุกที่ที่นายอยากกินเลยดิมะ  ไม่อิ่มไม่เลิก" 

     

     

                "ทำไมคุณใจดีแปลกๆเนี่ย  สำนึกผิดเรื่องเสื้อพิคาจูเขาแล้วเหรอฮะ"  ถามออกไปด้วยความสงสัย  ยกแขนขึ้นมากอดอก  เชิดหน้าขึ้นเหมือนผู้มีชัย

     

     

                ดูแม่ง  ดีด้วยแล้วเหลิงจริงๆ!

     

     

     

                "ไม่มีอะไรเว้ย  เรื่องมากแม่ง  ไปกินตามใจฉันแทนแล้วกัน"

     

                 หงุดหงิดขึ้นมากะทันหัน    หักพวงมาลัยเลี้ยงขวาไปยังอีกเส้นทาง  มุ่งหน้าสู่แหล่งชุมชนขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งในเกาหลี   เมียงดงสถานที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมายหลายอายุและสัญชาติ  ร้านร่วงเครื่องสำอาง  เสื้อผ้า  และห้างลอตเต้ตั้งสง่าตลอดทางเดิน  ในราคาที่พอดีไม่แพงมากและก็ไม่ถูกมากด้วย  ตามตรอกซอกซอยจะมีร้านอาหารมากมายให้เลือกเข้า  บ้างก็ซ้ำกัน  แล้วแต่รสชาติว่าใครชอบแบบไหน 

     

     

                "นิสัยเสีย  เชอะ!  ว่าแต่คุณอยากกินอะไรเหรอ" 

     

     

                "ไก่วุ่นเส้น  ฉันชอบกินน่ะ"   ตอบแบบไม่มองหน้าคนถาม  เพ่งสมาธิในการถอยรถเข้าซองชั้นจอดรถใต้ดิน

     

     

                แบคฮยอนจึงได้แต่พยักหน้าเก็บข้อมูลที่เพิ่งรู้  เอาไว้เป็นการบ้านในการทำอาหารมื้อต่อๆไป  แล้วลงจากรถวิ่งตามร่างสูงที่ขายาวกว่า  สาวเท้าไม่รอขาสั้นๆกันเสียเลย

     

     

     

              
     

    50%






     

               Bongchu Jjimdak  ร้านไก่ผัดซอสวุ้นเส้นของเมียงดง  ขายอาหารเมนูนี้เมนูเดียว  มีชื่อเสียงและถูกยกให้เป็นเมนูแนะนำของที่นี่  แหล่งช็อปปิ้งของวัยรุ่นมากหน้าหลายตา 

     

                ร่างสูงเดินนำลิ่วมานั่งอยู่มุมแอบของร้าน  ที่เป็นโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมสำหรับสองที่  เวลานี้คนในร้านค่อนข้างน้อย  เนื่องจากว่ามันเป็นเวลาทำงาน   พนักงานสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง  ในชุดผ้ากันเปื้อนสกรีนโลโก้ร้าน  เดินเข้ามารับออเดอร์  ร่างสูงสั่งรายการอาหารด้วยความชำนาญ  บ่งบอกความเป็นขาประจำสำหรับร้านนี้

     

     

                "นี่คุณชอบมากขนาดสั่งไม่ต้องดูเมนูเลยเหรอ"  แบคฮยอนถามด้วยความสงสัย

     

                ลักษณะท่าทางนักเลงขนาดนี้  ไอ้ไก่ผัดซอสดูไม่เข้ากันเลยสักนิดเดียว

     

     

                "อื้อ  ถามอะไรนักหนาวะ  ก็เนี่ยมันเป็นอาหารเกาหลีอย่างแรกที่กินแล้วปิ๊งอะ  รู้จักป่ะโดนใจ"  ถอดแว่นกันแดดออกเก็บเข้ากระเป๋าเป๋ใบเดิม

     

                "เอ้า  ถามก็ไม่ได้  ผมจะได้จำไว้ไงว่าคุณชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร เผื่อวันไหนผมใจดีจะได้ทำให้กินบ้าง    โด่  นิสัยเสียทำร้านน้ำใจคนอื่น"  ปากคว่ำเชิดหน้าอารมณ์เสีย

     

     

                "อ๋อเหรอ  หุงข้าวให้มันสุกก่อนเถอะ"  คนตัวโตพูด จังหวะเดียวกับพนักงานยกถ้วยข้าวสวยร้อนๆ  พร้อมเครื่องเคียงมาเสริม  "เนี่ย  หุงข้าวแบบนี้ที่มันกินได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด  แหมจะทำให้กิน  โอ๊ยกูหาวะ  เด็กผี"  ยกมือมาลูบท้องปอยๆ  หัวเราะจนรอยยนตรงหางตาเด่นชัดขึ้น

     

     

                "นิ...อยากตายใช่มั้ยฮะ  เรียกใครเด็กผีนะ  ไอ้บ้านิ"  คนตัวเล็กขมวดคิ้วหยิบซ้อมเงินขึ้นมาจี้คอคนนั่งตรงข้าม

     

                "กูเบื่อเด็กว่ะ   ของกินมาแล้วเลิกๆ"  บอกปัดซ้อมให้ออกห่าง  เพราะอาหารจานโปรดยกมาเสิร์ฟเรียบร้อย

     

                ในจานกระเบื้องใบใหญ่สีขาวขนาดเกือบเท่ากับโต๊ะ  ไก้วุ้นเส้นแบนผัดซอสพร้อมต้นหอมและมันเทศ  ถูกคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน  เนื้อไก่ตุ๋นเปื่อยจนละลายในปาก  รสชาติเผ็ดริกไทย  ร้อนกำลังดี  เรียกได้ว่ามื้อนี้คือมื้อที่ดีที่สุดในรอบหนึ่งปี  หลังจากอาหารของคุณป้าเลยก็ว่าได้ 

     

                "อร่อยอ่า   มิน่าล่ะถึงได้ชอบมากๆ"  แบคฮยอนคีบปีกไก่ชิ้นเล็กๆที่เนื้อนุ่มละมุนลิ้นมาแทะจนเหลือแต่กระดูก  ยกถ้วยข้าวสวยเหนียวนุ่มร้อนๆใส่ปากตามเข้าไป 

     

     

                รสชาติแบบนี้...ฟิน

     

     

                คนพามาทานรู้สึกว่าการกินไก่วุ้นเส้นผัดซอสมื้อนี้  รสชาติอร่อยกว่าครั้งไหนๆ  แม้ครั้งแรกที่ทานก็เช่นกัน  นั่นคงเพราะความหิว  หรืออาจะเป็นเพราะคงตรงหน้าก็ไม่แน่ใจ 

     

     

                "นี่เมื่อคุณ  ทำไมกระดูกไก่จานนายเยอะกว่าฉันอีกอ่ะ"  ร่างเล็กเริ่มเอ่ะใจ 

     

                "ทำไมอ่ะ  ใครกินเร็วกว่าได้เปรียบ  ไม่เคยได้ยินเหรอ"  ร่างสูงยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งกลับใน  จุดชนวนศึกบนโต๊ะอาหารในครั้งนี้ทันที

     

     

                "ได้...งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ"  แบคฮยอนวางซ้อมทันที  ใช้ผ้าเช็ดมือให้สะอาดเรียบร้อยก่อนจะจับจ่วงน่องไก่ในจานกว้าง

     

     

                "เฮ้ย  ไอ้เด็กบ้า  โอ๊ย  กูจะบ้า"  ลู่หานเคี้ยวข้าวไปชี้หน้าว่าคนตัวเล็กไป  "ได้เอางี้ใช่มั้ย  เหอะ"  พูดจบก็ใช้มือทานเช่นเดียวกัน

     

                มุมเล็กในร้านที่เงียบไม่เสียงดังมาก กลับมีศึกเล็กๆของสงครามอาหารก่อตัวขึ้น  โดยทั้งสองคนยิ้มไปต่อสู้กันในสนามรบของตัวเอง  จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นครืดบนโต๊ะ  โชว์เบอร์ที่โทรเข้ามา  ลู่หานถึงกับชะงัก

     

     

                บก.สำนักพิมพ์ April’

     

                "โอ๊ะ..."  มือเล็กสั่นระริก  ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก  ร้อยวันพันปีไม่เคยได้รับสายจากบก.เลย  หลังจากส่งนิยายไปให้พิจารณามาครึ่งปีกว่า   รีบกดรับสายทั้งๆที่มือยังเลอะอยู่  ลู่หานเลยยื่นกระดาษทิชชู่ส่งให้  มองตัวเล็กไม่ละสายตา

     

     

                เป็นห่วง...เขาเข้าใจคนมีความฝันด้วยกัน...มันจะจุกหากรับรู้ความจริง  แต่มันก็จะเป็นบทเรียนในการพัฒนาตนเอง  ผลงานตัวเอง  ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  หากมันคือสิ่งที่ใจรักแล้วล่ะก็  ลู่หานมั่นใจว่า  คนตัวเล็กจะฝ่าฟันมันไปได้




    70%






     

               “นี่อย่าเศร้าดิ”  เสียแหบห้าวของคนร่างสูงดังขึ้น  กระทุ้งสีข้างแหย่คนตัวเล็กเบาๆ   ระหว่างเดินไปเรื่อยตามซอยของเมียงดง

     

                เขาไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง  แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร  หลังจากวางสายตัวเล็กก็เงียบมาตลอด..

                เชี่ยเอ่ยยยย   กูไม่ชินกับการที่แบคฮยอนเงียบ

     

     

                “นี่  อย่าเศร้าไปเลยนะเว้ย  คะ  คือแบบ  ชีวิตของคนเรามันยังมีอะไรอีกเยอะแยะไป  สำนักพิมพ์นี้ไม่รับ  ที่อื่นก็ยังมี  ความฝันคนเรามันก็เริ่มต้นลำบากทุกคนนั้นแหละ   อุปสรรคเยอะนายก็จะยิ่งมีความสุขต่อความสำเร็จ  ลู่หานพูดไปลอบมองปฏิกิริยาร่างเล็กไป  “ถ้าท้อแท้  หายต้องมองย้อนกลับไปตอนเริ่มต้น  ความสุขที่ได้เริ่มทำ...มันมีความสุขขนาดไหน  ทำไมตอนนี้เราถึงเศร้าล่ะ  อย่าให้คำพูดคนไม่กี่คนทำลายความฝัน  จงเดินหน้าต่อไป  คตินายไง”

     

                กึก

     

                รองเท้าผ้าใบคู่เก่าหยุดชะงักกลางคัน  ใบหน้ากลมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ  ดวงตาเรียวแดงก่ำสั่นไหววูบคลอ น้ำตา  ไหล่บางสั่นเหมือนลูกหมาตากฝน  ยกแขนตนเองขึ้นมาถูเช็ดน้ำตา  พร้อมสูดน้ำมูกและกลืนลูกสะอื่น

     

                ร้องไห้?

     

     

                “ผมน่ะ...ไม่ได้ยอมแพ้หรอกนะ...”  หลังจากเงียบไปนาน  คนตัวเล็กที่กำลังถูกเป็นห่วงโดยไม่รู้ตัวก็พูดเสียงสั่น  แผ่วเบาขึ้นมา  “เรื่องแค่นี้  ผมชินแล้วล่ะ...แต่บางที  ผมก็จะร้องไห้ออกมา  แล้วทิ้งคำพูดดูถูกนั้นทิ้งไป...แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นแหละ”  ไอสำลักน้ำตาสองสามที  โดยมือหนาลูบลงบนแผ่นหลังเล็ก

     

                “เอ้า  จะตายป่ะวะ   หยุดร้องได้แล้วน้า  คนเขามองกันใหญ่ล่ะ”  ร่างสูงหันซ้ายหันขวายิ้มแหยส่งให้กับคนที่ชายตามามอง  โค้งหัวยิ้มให้เล็กน้อย

     

                คนฟังคำสั่งหันขวับ  ค้อนสายตาที่ไม่เห็นมาพักใหญ่  ทั้งขุ่นเคืองและดุดันเหมือนชิวาว่า   เชิดปากขึ้นทั้งที่คราบน้ำตายังเปรอะเปื้อนบนใบหน้า  จนคนปากเสียเก็บมือที่ลูบหลังให้ทันที   แล้วแลบลิ้นเยอะเย้ยคนตัวเล็กอย่าเย้าหยอก  บรรยากาศทะเลาะกันก็กลับมาปกติ  จนทั้งสองเดินผ่านร้านขายไอศกรีมสิบชั้น  ของขึ้นชื่ออีกอย่างของเมียงดง 

     

                “นี่ๆคุณ”  มือบางกระตุกแขนเสื้อร่างสูง  ให้หยุดเดินแล้วหันมามองสิ่งที่กำลังชี้อยู่ 

     

                “อะร่ะ”  ออกสำเนียงเกาหลีเหมือนนักเลงหัวไม้หาเรื่อง  เอียงคอถามมือยังคลวงกระเป๋า  “อยากกินก็ซื้อดิ  มาบอกทำไม”  เมินหน้าก้าวขาเตรียมตัวจะเดินหนี

     

                “อยากกินไอติม...เลี้ยงหน่อยไม่ได้เอาเงินมา”  พูดเสียงแข็งดื้อดึงว่าจะซื้อให้ได้

     

                ความจริงแบคฮยอนชอบกินของหวานมาก  ติดที่ระหว่างข้าวกับของหวานมันมักจะเลือกข้าวไว้ดีที่สุด  หากโอกาสมาจ่อคอขนาดนี้  กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่แล้ว  ก็ควรจะได้กินถึจะถูก

     

     

     

                “ไม่เอา  ฉันไม่ชอบไอติม”  ถอนหายใจเตรียมเดินหนีอีกครั้ง

     

                “โว๊ะ  คุณนิ ! เวลาผมอารมณ์ไม่ดี  คุณควรเลี้ยงไอติมนะ  ผมชอบมากที่สุดเลย  เนี่ยผมกำลังเสียใจอยู่ด้วย  ไอติมช่วยได้นะ”  ลดเสียงอ่อนลงหน่อยหนึ่งเอาใจคนจ่าย

     

     

                อยากลองทานมาตั้งนานแล้ว  ว่าสิบชั้นรสชาติจะเป็นยังไง  มีตั้งสามรสให้เลือก  ทั้งชาเขียว  สตอเบอร์รี่  โกโก้  และวนิลา  ต้องอร่อยแน่เลย 

     

                “เออ  แล้วอย่ามาบ่นนะ”  ยอมแพ้คนเซ้าซี้ก่อนเดินตามแรงดึงตรงข้อมือ

     

                “น้ารู้แล้ว”

     

     

     

     

     

     

     

     

                ยี่สิบนาทีต่อมา  ไอศกรีมที่ดิ้นรนจะซื้อแล้วซื้ออีกสอสี  สิบชั้นถูกถือยู่ในมือจนรอวินาทีละลายจนหมดลงไปเอง   ท่ามกลางสภาพอากาศแออัดเบียดเสียช่วงเวลาเย็นของคนวัยทำงานเริ่มทยอยออกจากบริษัทเพื่อเดินทากลับบ้าน  คนตัวเล็กยังคงเดินไปไหนมาไหนกับลู่หานที่เอาแต่ยิ้มเยาะไม่หยุดไม่หย่อน  จะทิ้งก็ไม่ได้อีก  ถังขยะอยู่ทางด้านหน้าห้างลอตเต้   จึงถือไปกลั้นใจฝืนทนกลืนไอศกรีมรสชาติน้ำเปล่าไปเรื่อยๆ

     

                “บอกแล้วไม่เชื่อ  ไอติมตามตู้ยังอร่อยกว่า”  คนล้มให้รีบซ้ำ  สุภาษิตนี้ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ  ซ้ำเติมคนตัวเล็ก  บ้างก็หัวเราะพอเห็นสีหน้ากลืนลำบาก

     

                “คุณก็น่าจะบอกสิว่ามันจืด”  บนอู้อี้  แล้วทำใจกลืนคำสุดท้ายลงคอไปด้วยความทรมาน

     

     

                “เหอะ  อะเอานี่ไป”  คนตัวโตแซะเสร็จก็โยนกระเป๋าตังค์สีดำของ MCM ส่งให้  “ไปซื้อไอติมมากินดิ  อยากกินวะ”  พยักพเยิดหน้าไปทางร้านจีเอสมาร์ท  มาร์เก็ตขนาดย่อม

     

     

                ร่างเล็กเดินบ่นงึมงำกับการแพ้อำนาจของเงินตรา  ที่แสนมีค้า  เดินกระแทกเท้าปึงปัก  จิกด้วยหางตามองคนตัวโตเคืองๆ  จนเดินมาถึงร้านแล้วเปิดตู้หาไอศกรีมลดที่ตัวเองชอบทาน   นัยน์ตาดำขยับคลุกคลิกขึ้นลง  ชั่งใจเลือกรสชาติให้กับคนแก่เรื่องมากที่ใช้แรงงานเด็ก   ก่อนหยุดอยู่ที่คาเนตโต้รสสตอเบอร์รี่สีชมพูสอดไส้ช็อกโกแลต  หยิบขึ้นมาพิจารณารูปร่างที่ดูภูมิฐานสมกับปากร้ายอย่างลู่หาน  แล้วคว้าไอศกรีมรสแคนาลูปมาถือไว้ในมือ  เดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ 

     

     

                แบคฮยอนเดินออกจากร้านพร้อมของหวานในมือ  ยิ้มกว้างจนตาปิด  แล้วยื่นไอศกรีมที่ตัวเองซื้อมาส่งให้ร่างสูง  แล้วบรรจงแกะของตัวเอง

     

                “นี่  ทำไมของนายน่ากินกว่าอ่ะ”  เสียงไม่พึงประส่งดังขึ้นข้างกาย

     

                อะไรอีกวะ

     

                นึกสบถในใจแล้วหันไปโต้วาที  “อะไรขอคุณอีกเนี่ย  อยากกินรสไหนวันหลังก็ไปเลือกเองดิ  โว๊ะ”  แกะเปลือกต่อพร้อมจะอ้ามเข้าปาก  มือใหญ่ขวาหมับที่มือเล็กแล้วปลดไอศกรีมแคนตาลูปน่าทานออกจากมือ 

     

                ยัดเหยียกไอศกรีมโนคาเนตโต้ให้ถือไว้  แล้วตัวเองก็กัดกึบเคี้ยวไอศกรีมอย่างเอร็ดอร่อย

     

     

                อ๊ากกกก  ให้ตายเถอะ  ไอ้...ไอ้บ้า

     

                “นิสัยเสีย  มาแย่งของจากมือแบบนี่ได้ไง”  ขมวดคิ้วเป็นปมหันไปถาม

     

                “ก็เงินฉันอ่ะ  ฉันควรเลือกที่ชอบดิ  ฮี่ๆ”

     

     

                ทุเรศ!

     

                จำใจกินของหวานในมือตัวเองอย่างจนใจ    มันก็อร่อยดีแต่ไม่ชอบกินของแพงแบบนี้  เคี้ยวงับๆเสร็จ  ก็พากันเดินเล่นต่อที่เมียงดงจนเวลาล่วงเลยมาห้าโมงเย็นกว่าๆ

     

     

                “คุณเย็นแล้วกลับกันเหอะ  เดี๋ยวต้องไปทำมื้อเย็นอีก”  สะกิดไหล่ร่างสูงกระเป๋าหนัก  พาเดินโฉบเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนดังเป็นว่าเล่น

     

                “อื้อ  เลือกตัวนี้ก่อน  ระหว่างตัวนี้กับตัวนี้  อันไหนดี”  ชูเสื้อยืดสีดำกับสีขาวลายกราฟฟิคยี่ห่อGivenchy  คอลเล็คชั่นใหม่  แบคฮยอนยกนิ้วชี้นวดขมับใช้ความคิด 

     

                    “ตัวนี้  ผมชอบสีขาว” 

     

                “อื้อโอเค  คิดเงินก่อน”  หันไปพูดกับพนักงานแล้วส่งเสื้อที่ร่างเล็กเลือกให้ไปจ่ายเงิน

     

     

                ชำระสินค้าเสร็จแล้วร่างสูงก็ยิ้มแล้วยื่นถุงให้กับคนตัวเล็กทันที...

     

                “อะ  เอาไปทดแทนเสื้อเมื่อกลางวัน  ไอ้โปเกม่อนน่ะ”  ยื่นใส่มือแล้วเดินออกจากร้าน

     

                แบคฮยอนรับมาถือไว้ด้วยความงุนงง  แต่พอนึกถึงน้องพิคาจูก็จำใจรับไว้  ทั้งที่ในใจกลับมีอาการใจเต้นแรงด้วยความดีใจ  กอดถุงเสื้อราคาแพงโดยไม่รู้ราคา   เดินออกมาก็พบลู่หานกำลังคุยโทรศัพท์  พอเห็นร่างบางเดินออกมาใบหน้าเปื้อนยิ้ม  รีบตัดสายทิ้งแล้วเลิกคิ้วให้ทันที

     

                “นี่เย็นนี้ไม่ต้องทำข้าวเย็นล่ะ”  พูดกับคนข้างตัว

     

                “ทำไมล่ะ?”  ถามอย่างนึกเสียดาย  เพราะอุตส่าห์นึกเมนูไว้แล้วเชียว

     

                “แม่ฉันโทรมา  บอกให้ไปทานข้าวที่บ้านเย็นนี้  ไปด้วยกันนี่แหละ”

     

     

                เอ๋?  ไปบ้านไอ้เบื้อกนี่อะน่ะ!?




     

    100%

     

     

     

     


     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -





    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×