คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : - take me home : chapters - 017 { 100% }
- Thank you -
chapters – 017
แบคฮยอนถอนหายใจพร้อมหน้ามุ่ยตีกันยุ่ง เมื่ออีกคนปล่อยให้เขารอนานเกินกว่าเวลาที่บอกไว้หลายนาที ยืนพิงเสาต้นใหญ่หลบหลีกผู้คนที่เดินพลุกพ่านอยู่ในตึกของสำนักพิมพ์ใหญ่โตแสนคุ้นเคย สายตาก็สอดส่องหาร่างสูงที่บัดนี้ไม่กลับมาเสียทีแต่กันไปเจอเข้ากับบางอย่างที่ยิ่งกว่าแน่ใจเสียอีก
นั่นต้นฉบับเขานิ!
ดวงตาเรียวจดจ้องซองกระดาษสีน้ำตาลบนหน้าซองเขียนชื่อเรื่องพร้อมนามปากกาเขาไว้ชัดเจน พร้อมทั้งด้านในเนื้อหานิยายที่เขาเก็บไว้อย่างดีกำลังถูกหญิงสาวสวยร่างระหงนำไปที่ไหนสักที
แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น...มันควรจะอยู่ที่บ้านแต่กลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
แบคฮยอนอาศัยจังหวะที่อีกคนกำลังยืนรอลิฟต์เดินแทรกพนักงานทั้งหลายไปยังลิฟต์อีกตัวที่แปะว่าเฉพาะผู้เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประกบเนียนยืนข้างชะเง้อมองซองของตัวเองก่อนเอ่ยถาม
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ” คนตัวเล็กลังเลเล็กน้อยเดิมทีก็มนุษย์สัมพันธ์แย่เป็นทุน
“ค่ะ?” เลขาสาวหันมาถามชายหนุ่มที่ทำท่าทางเลิกลั่ก
“ซองน้ำตาลนั่นของผม...ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?” ชี้ไปยังต้นฉบับของตัวเองทันทีเมื่อมีโอกาส...พร้อมยิงคำถามใส่จนหญิงสาวถึงกับฉงน
“ฉบับนี้เป็นของคุณลู่หานนะคะถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าของเพื่อน คุณเป็นเพื่อนกับคุณลู่หานรึเปล่าคะ?” เธอถามอย่างสุภาพเมื่ออีกคนรีบพยักหน้ารัวๆ นึกฉงนเมื่ออีกชื่อหนึ่งถูกเปล่งออกมา ใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงของแบคฮยอนตีกันยุ่ง
“เขาเอามาให้เมื่อไรเหรอครับ พอจะบอกได้มั้ย”
เขาแปลกใจแต่ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้บ้าง บวกกับเรื่องราวปั่นมหาโหดแก้เนื้อเรื่องคำผิดกันยกใหญ่นั้น
“เมื่อเช้านี้เองค่ะ...”
“อ๋อ แล้วกำลังจะเอามันไปไหนเหรอครับ” ยิงคำถามใส่เลขาสาวอีกครั้ง เธอหันไปมองประตูลิฟต์ที่กำลังเปิดออกช้าๆ ก่อนหันมาตอบกลับแบคฮยอนด้วยท่าทางเร่งรีบ
“พอดีว่าหยิบติดมากับกองอื่นๆ ฉันกำลังจะเอาไปคืนท่านประธานค่ะ” เธอยิ้มลาพร้อมก้าวเข้าไปในลิฟต์เฉพาะประธานและเลขาหรือบุคคลสำคัญคนอื่นๆถึงจะใช้งานได้
ทิ้งไว้เพียงคนตัวเล็กกำลังขมวดคิ้ว ถ้าอยากจะหายสงสัยคงต้องตามไปดูว่าลู่หานเกี่ยวข้องยังไงกันแน่ ถึงขนาดเอานิยายเขาเข้าถึงประธานของที่นี่ได้อย่างง่ายได้ อย่างมากที่เขามาส่งก็คือบก.
จ้องมองอยูตรงตัวเล็กที่กระพริบเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดอยู่ที่ชั้นเก้า
“ไหนต้นฉบับ ถ้ามันไม่ผ่านฉันจะได้เอากลับ” ยังไม่ทันได้นั่งพักดื่มน้ำสักแก้วแล้วคุยกันดีๆ ลู่หานก็เดินเสียงแหบห้าวติดหงุดหงิดมาแต่ไกล
ชานยอลเงยหน้าผ่านเลนส์แว่นก็เห็นเพื่อนสนิทกำลังทำกิริยาที่หาดูได้ยากมากตั้งแต่โตมา นิสัยเด็กๆเวลาได้ยินอะไรไม่ถูกใจก็ท้าตอย
“ฉันให้แกมาฟังว่ามันผิดพลาดตรงไหน ความจริงอยากให้ตัวนักเขียนเองมากับแกด้วยแต่แกก็ปฏิเสธ”
“เออว่ามา ฉันรีบ”...ใช่เขารีบมากเพราะทิ้งอีกคนไว้ข้างล่าง
“อื้ม...ความจริงถ้าเป็นระดับงานเขียนก็ถือว่าปานกลาง แต่ถ้าถามว่าน่าสนใจมั้ยคงไม่ ภาษาคำผิดอันนี้โอเคระดับปานกลาง คะแนนที่ได้คงไม่ผ่านเกณฑ์นิยายแบบนี้หาตามเน็ตกันให้เกลื่อน ถ้าเอามาตีพิมพ์คงมีแต่เสียกำไรกันเปล่าๆ อ่านสามหน้าจะถึงมั้ยก็ยังไม่รู้ คำบรรยายมันจืดเกินไปทิ้งปมไว้แก้ไม่หมดก็มี ขอโทษทีนะที่ฉันต้องบอกแกว่าอย่างนี้”
น้ำเสียงเรียบนิ่งจริงจังขยับสายตามองปราดไปที่กองอื่นๆ หากปาร์คชานยอลจะสรรค์หาผลงานใหม่ๆคงไม่ใช่แค่นี้แน่ และหากให้พูดอีกทีนิยายในมือมันระดับห่วยมาก...
“ไม่คิดว่าเจ้าของผลงานเขาได้ยินจะเสียใจเหรอวะ” เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ไม่ค่อยอยากสนิทด้วยเสียเท่าไรขึ้นมา เล่นเอาอีกคนยิ้มกว้างก่อนตอบ
“มันเป็นงานเว้ย อย่ามองหน้ากันแบบนั้น...ความจริงก็ผิดหวังไม่น้อยคิดว่างานที่เสี่ยวลู่หานจะเอาให้ดูเป็นอะไรที่สุดยอดอลังการ”
“เออช่างเหอะ แล้วเมื่อไรเลขาจะมาวะ” จิ๊ปากขัดใจเล็กน้อยเมื่อผลงานที่ตัวเองก็มีส่วนช่วยคนตัวเล็กกลับถูกตอกหน้าหงายกลับมา ดีเขาไม่บอกว่ากำลังทำอะไรไม่งั้นให้เด็กอินเนอร์จัดเต็มแบบนั้น มานั่งฟังคำวิจารณ์กระแทกหน้าให้คงร้องไห้งอแงกลับบ้านไปกินประชดชีวิตอีกแน่ๆ
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาลู่หานก็เพิ่งรับรู้ว่าเวลาคนตัวเล็กโมโหจะคล้ายเด็กอดยาก ยัดได้เท่าไรก็จัดไป
“ใจเย็นๆ อ่า...นายมากับแบคฮยอน...” อีกคนเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนเขาพาร่างบางมาด้วย “งั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง” อย่างน้อยได้เจอรอยยิ้มหวานจับใจของคนตัวเล็กชานยอลก็รู้สึกอยากทำงานขึ้นเป็นกอง
“ไม่ต้องๆ เป็นอะไรวะทำไมต้องไปส่ง?” หรี่ตามองเพื่อนร่างยักษ์ดูแล้วมีเลศนัยในความหมายแฝง “จะจีบ?” ถามสั้นแต่เล่นอีกคนยิ้มกว้างไม่หุบ
“หื้อ ฉันแสดงออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ ก็ไม่เชิง...” ร่างสูงโปร่งของปาร์คชานยอลบัดนี้หน้าแดงพอเจอคำถามตรงๆของเพื่อนสนิท เกาคางแก้เขิน “ถ้าแกช่วย? แกอยู่บ้านเดียวกันนิ”
อะไรนะ!! ไม่ได้ไอ้เชี่ยนี่แม่ง มาไม่เชิงหาพ่อง
“เสียใจ ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบคนตัวสูงโย่ง แกไม่ผ่านไอ้ยอล” อินทีเรียหนุ่มแถ แถจนสีข้างถลอก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบคฮยอนมีความคิดเห็นเรื่องพวกนี้ยังไง พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กัน...
ไม่ได้กลับไปเขาต้องถามให้ได้
เดี๋ยว...แล้วกูจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนทำไม?
“เหรอวะ...” ชานยอลเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมาอีกแต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงเปิดประตูห้อง ของหญิงสาวเลขา สองมือหอบหิ้วเอกสารอื่นๆพร้อมต้นฉบับ
ลู่หานรีบขอตัวกลับก่อนทันทีเมื่อได้ของที่ต้องการแบบไม่ทันให้ชานยอลทันตั้งตัวไปเจอกับแบคฮยอน สองขายาวก้าวฉับๆสลับพลิกข้อมือดูนาฬิกา
ป่านนี้รอบ่นจนหูชาแล้วมั่งเนี่ย
แต่ความคิดหันต้องถูกพับเก็บเข้ากรุไป คนอายุมากกว่าจ้องมองคนตัวเล็กที่กำลังโบกมือไปมาให้เขา ใบหน้าหวานแตะแต้มด้วยรอยยิ้มกว้าง เอกลักษณ์หนึ่งของร่างเล็กคือเวลายิ้มทีปากจะเป็นสี่เหลี่ยม
“รอนานมั้ย” เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามคนรอ แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาลุกขึ้นปัดกางเกงก่อนเอื้อมมือเรียวสวยมาเกาะรั้งแขนของอีกคนไปกอดแน่น การกระทำไม่คุ้นเคยทำให้ลู่หานงุนงงจนต้องเอ่ยถาม “เป็นอะไรวะ กูขนลุกนะเนี่ย” พูดพลางลูบอีกข้างที่ว่าง ปากก็พูดแต่ไม่ยอมสะบัดออก
“หยาบคาย...” คนตัวเล็กพูดงุงิเหมือนหมาน้อยขี้อ้อนขึ้นมา
กูว่าอารมณ์กูก็เปลี่ยนเร็วแล้วนะ...มีคนครองแชมป์อีกเหรอ?
“เป็นอะไรเนี่ย รอนานเลยเล่นวิธีงี้ใช่มะ” เดินเถียงกันไปมาจนกระทั่งเข้ามานั่งในรถแล้วเอ่ยถามอีกรอบหนึ่ง เพราะแบคฮยอนเล่นเกาะแจไม่ยอมปล่อยตลอดทาง
“เปล่า...”
“อ้อนผิดปกติ ไม่ดิวะปกติไม่อ้อน อยากกินอะไรบอกเลย” ร่างสูงแสดงท่าทางขนลุกขนพองต่อต้านอาการแบบใหม่ของร่างบางมาก ตรงข้ามกัน...
มันทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเกินไป...
แต่แบบนี้ก็น่ารักอีกแบบแฮะ
“ก็บอกว่าเปล่า กลับบ้านเถอะผมอยากกลับบ้าน” พอถูกอีกคนตีหน้าเหยเก คนตัวเล็กก็ขยับตัวเองให้นั่งดีๆ ก่อนถอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง
พอมาคิดดูแล้วเมื่อก่อนมันดูแปลกใหม่สำหรับเขามาก ภาพข้างนอกมันสวยจับจิตอะไรก็ดูตระการตาไปหมด เผลอร้องว๊าวออกมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หากแต่ของที่มันเห็นกันบ่อยๆ...ก็กลับกลายเป็นภาพซ้ำไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น...
แต่ทว่า...แบคฮยอนกลับไม่เคยคิดเบื่อที่จะเจอหน้าคนที่กำลังขับรถอยู่เลย เขากลับอยากมองหน้านั้นนานๆ เห็นหน้ากันทุกวันหรือพูดคุยกันทุกวัน...เหมือนเสพติดที่ไม่มีวันเบื่อ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
รถออดี้สีดำคันเดิมจอดสนิทลงหน้าบ้านหลังสีขาว คนตัวเล็กกระโดดลงจากรถพร้อมกับปิดประตูรถเสียงดังปัง ทำเอาเจ้าของรถหันขวับตะโกนดุไล่หลังร่างบางด้วยปลิวเข้าบ้านไปไม่รอ พอเดินเข้ามาถึงในบ้านร่างสูงหันซ้ายหันขวาก่อนรีบเอาต้นฉบับไปวางซ้อนกองๆทับถมกันเหมือนเดิมแล้วทิ้งตัวลงด้วยความเหนื่อยล้า
ตึกๆ
เสียงเหมือนคนวิ่งลงส้นเท้าดังระงมทิ้งระยะห่างให้เหลือน้อยลงจนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างสูงขมวดคิ้วแม้จะหลับตาอยู่ สัมผัสบางอย่างพุ่งกระโจนเข้ามาท่ามกลางความตกใจ ชายหนุ่มถึงกับปล่อยลมหายใจเฮือกออกมา น้ำหนักสิ่งที่กระทบเล่นเอาความจุกแน่นอก...
“คุณณณณณณณ” ลากเสียงสดใสยาวเหยียดคล้ายน้ำเชื่อมหวานผิดวิสัย
ร่างคนตัวเล็กที่นับวันชักจะเป็นหมูอ้วนขึ้นทุกวันนอนทับร่างสูงอย่างเต็มรัก ซบหน้าลงบนแผ่นอกแกร่ง
“ทำบ้าอะไรวะ!” เผลอตะคอกใส่หัวกลมๆที่เอียงหน้าไปอีกด้านฝั่งห้องครัวเสียดังลั่น...
ฮึก...
ความโกลาหลหยุดนิ่งเมื่อเสียงสะอื้นดังขึ้นแผ่วเบา สัมผัสของน้ำตาหยดหนึ่งแผ่กระจายตีวงกว้างบนเนื้อผ้าฝ้ายชั้นดดี
“ขะ ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตะคอก ไหนเงยหน้ามาคุยกันสิ” น้ำเสียงแหบห้าวแสนนุ่มหูที่น้อยครั้งจะได้ยิน ตนตัวเล็กส่ายหน้าเบาๆว่าไม่เป็นอะไร
ร่างสูงนอนนิ่งๆให้อีกคนกอดแน่นแล้วซุกหน้าไปมา เสียงซูดซาดทำให้เขาต้องก้มหน้าชิดอกเหลือบตามองอีกคน ไม่นานก็รู้สึกเหนอะๆตรงเสื้อผ้า...นอกจากน้ำตายังมีน้ำมูกเป็นของแถม
“คุณ...ขอบคุณ...”
“เรื่อง?” อีกคนงงเป็นไก่ตาแตก อยู่ๆก็ร้องไห้ออกมาอีกจนเขารู้สึกแย่ไปด้วย “เลิกร้องไห้สักทีได้มั้ย”
“ฮึก...ฮืออออ ก็ผม ...ฮึกขอบคุณ ผมดีใจนะที่ได้เจอคุณ” พูดไม่ได้สรรพได้ความอะไร “ผมจะไม่ร้องแล้วนะ”
“ดีมาก ฉันไม่ชอบให้นายร้องไห้จำไว้ แล้วก็มาขอบคุณเรื่อง? มีฉันมันต้องดีอยู่แล้วนิไม่งั้นใครจะมาเลี้ยงหมูกินจุงี้” ไม่พูดเปล่า แขนยาววาดกวาดรอบเอวบางคนตัวเล็กที่นอนทับอยู่บนตัวของเขาให้กระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม พร้อมเอื้อมไปจับมือเกลี่ยนิ้วเรียวสวยให้เลิกหยิกตัวเองเสียที “เจ็บนะเว้ย แค่แซว...ถึงจะเรื่องจริงก็เถอะ โอ๊ย!”
“อยากตายรึไง” พอได้ยินคำสื่อถึงความอ้วนก็รู้สึกปรี๊ดเล็กน้อย เลยทุบกำปั้นตุบ! อารมณ์เศร้าซึ้งก่อนหน้าหายไปปลิดทิ้ง
“ตายแบบนี้ดีป่ะ นอนกอดกันตาย”
“ฮื้อ! จริงจังหน่อยสิคุณ ผมลงทุนมากเลยนะเนี่ย...” พูดเสร็จก็พลิกตัวหันหน้าเข้ามาหาอินทีเรียหนุ่ม อกชนอกจนคนใต้ร่างถึงกับหายใจลำบาก...
“ว่ามา รอฟังอยู่”
“คุณเอางานเขียนผมไปเสนอสำนักพิมพ์มาใช่มั้ยวันนี้” ยิ่งคำถามแรกใส่พ่อคนร่างสูง คนฟังถึงกับทำหน้าเหวอแบบไม่ปิดบัง แบคฮยอนเผยยิ้มบางแต่รู้สึกตื้นตันใจ “ขอบคุณมาก ผมไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี มะ ไม่รู้สิ...พอมีคนมาช่วยเหลือหรือให้กำลังใจแบบนี้ผมรู้สึกติ้นตันอย่างบอกไม่ถูก ฮึก” เว้นช่วงไว้เพราะลูกสะอื้นก้อนใหญ่ขวางทางเสียงใส อีกคนเลยกระชับอ้อนกอดเข้ามาให้ใบหน้าซบลงบนแผงอกตัวเอง
ลู่หานระบายยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เขาเองก็เพิ่งเคยทำเพื่อใครสักคนจริงจังขนาดนี้ผลออกมาคือดีเกินกว่าที่คิดไว้แม้จะไม่สำเร็จในเรื่องรับรองผลงาน เขาคิดว่าการทำความดีหรือการเอาใจใส่กับอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นแล้วมันมีความสุขจริงๆ รวมถึงตัวเล็กคนนี้ด้วย...
“เออก็แค่อยากเห็นสักครั้งวะ ว่าหมูจะขายได้กี่เล่ม” เสหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แก้เก้อพร้อมคำพูดทำร้ายจิตใจเล็กน้อย...
“นี่! ผมไม่อ้วนนะ” ทำท่าจะลุกออกจากตัวคนปากร้าย แต่ก็ถูกอีกคนรั้งไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แบคฮยอนจ้องมองดวงตาที่ปิดสนิทด้วยแผงขนตาแพยาว ปากก็พูดขึ้นอู้อี้
“ขอนอนแบบนี้ก่อนได้มั้ย บางทีอาจจะฝันดี...”
“อื้อ...ก็นอนไปสิ”
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้เลยว่าอีกคนหลับสนิทไปแล้ว...คนตัวเล็กเลยซบหน้าลงกับหมอนอุ่นๆแล้วหลับตามไปบ้าง...
ไม่ลืมจะขอบคุณสรรพิสิ่งที่ทำให้เขาได้พบเจอกับคนแสนดีขนาดนี้...และขอบคุณที่ทำให้เขารู้สึกชอบครั้งแรกเป็นคนที่ดี...ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งคนนิสัยดีมาให้เป็นผู้เช่า...
แบคฮยอนอยากจะรักษามันไว้ตลอดไป...
“พรุ่งนี้ฉันไม่อยู่บ้านนะ” คนดูบอลอยู่ตะโกนบอกแบบไม่หันหลังไปมองหน้าผู้สนทนาด้วย แบคฮยอนเองก็เพียงแค่พยักหน้ารับเช่นกัน
บรรยากาศกลับมาอึมครึมอีกครั้ง...
หลังจากตื่นขึ้นมาในสภาพชวนใจสั่นต่างฝ่ายต่างโอบกอดซึ่งกันและกันโดยร่างเล็กนอนทับอกน้ำลายไหลย้อย...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นอะไรที่ทำให้ทั้งสองเคอะเขินกัน...
กอด กอดเลยนะแบคฮยอน...เมื่อครั้งก่อนฝันว่าโดนแอบหอมแก้มก็เขินจะตายชักอยู่แล้ว นี่เรื่องจริง...อีก ถึงจะเคยโดนนอนกอดแบบนี้หลายต่อหลายรอบแล้วก็เถอะ
แล้วความเงียบก็คืบคลานเข้ามาอีกครั้งเมื่อสิ้นบทสนทนา
“เอ่อ...เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” อยู่ๆร่างสูงก็พูดขึ้นมาพร้อมท่าทางเงอะงะหารีโมทปิดโทรทัศน์ไม่เจอ ก้มๆเงยๆสักพักแล้วเดินหายไปไม่ทันมองใบหน้าแบคฮยอนที่ตื่นราวกระต่ายน้อยตื่นตูมนั่น
งื้อ...
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าอะไรก็แจ่มใสยกเว้นอินทีเรียหนุ่มที่ขมวดคิ้วยุ่ง ใบหน้าดุดันแบบที่แบคฮยอนไม่เคยพบเห็นมาก่อนกำลังไกล่เกลี่ยกึ่งตะคอกใส่โทรศัพท์ บ่อยครั้งจนคนตัวเล็กที่ยืนล้างจานอยู่ใจกระตุกอยู่หลายรอบด้วยความตกใจและเป็นห่วงอีกคนที่ยังไม่ได้ทานแม้แต่ข้าวสักคำ อยากเข้าไปปลอบให้เย็นลงแต่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไร มิหนำซ้ำอาจโดนลูกลงพายุโซนร้อนกลับมาอีก แต่หากฟังจากบทสนทนาแล้วคงไม่พ้นเรื่องงานเป็นแน่
“ก็ผมบอกแล้วว่าวันนี้พรมต้องมาส่งตอนเช้าก่อนเก้าโมง เพราะผมต้องเอาโซฟามาลง...” น้ำเสียงเคร่งเครียดพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้พลุ่งพล่านมากนัก “ไม่ๆ พรุ่งนี้ไม่ได้ ต้องวันนี้เท่านั้น คุณจะหยุดยังไงก็ช่างผมไม่รู้เรื่องด้วยเพราะเรานัดกันแล้วว่าวันนี้ก็คือวันนี้ ผมเห็นว่าเราทำงานด้วยกันมานาน...ใช่ก็นั่นคุณไม่บอกผมล่วงหน้าแล้วก็ไม่รู้เรื่องไม่มีการโทรมาบอก ผมต้องโทรถามว่าพรมถึงไหนแล้ว...”
แบคฮยอนเห็นเส้นเลือดขึ้นบริเวณขมับบางตา นึกได้ว่าอีกคนเป็นทั้งไมเกรนแล้วก็โรคกระเพาะ ปล่อยไว้แบบนี้ปวดท้องแน่
ข้าวก็ไม่ได้กิน คงออกไปข้างนอกเลยสินะ
“ไม่! ต้องวันนี้ก่อนเก้าโมงเช้าผมจะให้เวลาคุณสองชั่วโมง เด็กไม่มีคุณก็มาส่งแทน แค่นี้นะครับ!” ร่างสูงพูดจบก็กดวางสายไม่สนมารยาทห่าเหวอะไรทั้งนั้น เดินปึงปังขึ้นชั้นสองของบ้านแต่งตัวเตรียมเข้าไปจัดการงานวันนี้
อาบน้ำเตรียมของใส่กระเป๋าคว้ากุญแจกำลังจะเดินออกจากบ้านโดยไม่สนใจล่ำลาคนตัวเล็ก
“คุณ! รอผมด้วย” เสียงใสแจ๋วตะโกนดังลั่นบ้าน วิ่งหน้าตั้งตึงตังลงมาพร้อมหอบหิ้วของพะรุงพะรังคล้ายจะไปปิคนิค ร่างสูงชะงักห่อนหันไปมองเด็กผู้ชายวัยยี่สิบปีกำลังใส่รองเท้าแบบเก้กัง ในชุดเสื้อยืดลายสกรีนที่คุ้นตาเพราะตนเป็นคนซื้อให้เองกับกางเกงผ้าสี่ส่วนสีครีม สะพายกระเป๋าเป้ใบเดิม มือสองข้างถือห่ออะไรสักอย่างสีฟ้าลายจุดกับเขียวสีพื้น
“จะไปไหน” คนเครียดคลายปมระหว่างคิ้ว หลุดหัวเราะเบาๆกับคนตัวเล็กตรงหน้า จะบ้าหอบฟางไปไหน
“ไปกับคุณอ่ะ ผมล็อคบ้านเองไปรอที่รถเลย” เอ่ยสั่งน้ำเสียงรีบร้อน น้ำท่าที่เพิ่งอาบมาหายไปเหลือเพียงหยดเหงื่อ
“ใครอนุญาตวะ แล้วนี่มาสั่ง” ถึงปากจะถามไปงั้น แต่ตัวเองก็ยืนกดอกเต๊ะท่ารอดูอีกคนวางของแล้วก้มลงไปผูกเชือกลวกๆ “ผูกแบบนั้นเดี๋ยวก็หลุดอีกผูกใหม่ไม่ต้องรีบ”
จากกลายเป็นว่าถามหาเหตุผลกลับกลายเป็นมาช่วยอีกคนผูกเชือกร้องเท้าเสียอย่างนั้น แบคฮยอนตกใจเล็กน้อยเมื่อร่างสูงย่อตัวลงมานั่งยองๆพร้อมรื้อเชือกแล้วผูกใหม่
“เดี๋ยวผมทำเอง”
“อยู่ๆเฉยๆ” พูดเสียงเรียบไม่ได้ยีระอะไรกับเรื่องเกรงใจอยู่แล้ว
ใบหน้าหวานเลือดสูบฉีดขึ้นมาทันที สายตาจดจ้องคนมาคุตั้งใจแกะปมเชือกแสนยุ่งเหยิง รอยยิ้มฉายวาบขึ้นก่อนมะลายหายไปทันทีที่อีกคนลูกขึ้นพรวด
“ไปขึ้นรถ เดี๋ยวฉันปิดประตูบ้านเอง” อีกคนพยักหน้าหงึกหงักไม่ดื้อไม่เถียงเช่นทุกครั้ง
ฮื่อ ใจเต้นอีกแล้วเรา
เฝ้าวัดหัวใจตัวเองขณะรออีกคนมาสตาร์ทรถ มือเล็กเรียวสวยกางออกทาบลงบนหน้าอกข้างซ้าย ดวงตาสวยปิดลงช้าๆลมหายใจผ่อนเข้าผ่อนออก...เย็นไว้แบคฮยอน...
“ตกลงบอกได้รึยังว่าจะไปไหน” ระหว่างขับรถออกจากเส้นทางของซอยบ้านลู่หานก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ไปทำงานกับคุณ ผมพูดจริงห่อข้าวมาด้วยฮี่ๆ” พูดแล้วก็ยิ้มร่าเริงจนคนตัวโตที่เครียดก่อนหน้านี้ถึงกับอดยิ้มไม่ได้ ยกแขนที่ว่างไปขยี้กลุ่มผมนุ่มนิ่มด้วยความหมั่นเขี้ยว “เอ้ย เดี๋ยวผมยุ่งกว่าเดิม”
“ให้มันยุ่งไป แล้วเอาอะไรมากินบ้างอ่ะ ไปแอบทำตอนไหนวะ” ยิ่งคำถามระรัว สัลบหันมามองคนตัวเล็กข้างๆโดยไม่ปฏิเสธเรื่องขอติดตามไปทำงานด้วย
เขาคิดว่าถ้าแบคฮยอนไปด้วย...เขาอาจจะไม่เครียดมากแล้วก็ใจเย็นลง...
“อื้ม กินเลยมั้ยล่ะผมเอามาเพียบ นิ! ยิ้มอะไร” กำลังแจกแจงข้าวกล่องปิ่นโตออกจากห่อผ้าแบบการห่อผ้าก็ต้องเอื้อมมือไปทุบไหล่อีกคน
“เปล่า ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะเว้ย ถ้ารู้สึกซาบซึ้งเรื่องเมื่อวานขนาดนั้น”
“ไม่นะ เมื่อวานก็เมื่อวาน วันนี้ก็วันนี้ผมทำให้คุณไม่ได้คิดว่าตอบแทนอะไร อีกอย่างจะปวดท้องเอา ลืมเหรอว่าตัวเองต้องกินข้าวตรงเวลา” เอ่ยจริงจัง ทำเอาอีกคนเงียบกริบลอบมองคนตัวเล็กหยิบตะเกียบกับกระจกเป็นระยะด้วยความเอ็นดู...ไม่นานนักลู่หานรู้สึกว่ามีบางอย่างมาจ่ออยู่ที่ปากจนเขาต้องอ้าปากรับข้าวปั่นก้อนกลมใหญ่ผิดรูปผิดร่างแปลกๆอย่างจำยอม
“นี่อะไร” คนข้าวเต็มปากเอ่ยถามเพราะรถชาติมันคุ้นๆแต่นึกไม่ออก
“อ๋อ คำใหย่ไปมั้ยอ่า ผมไม่มีเวลาเลยเอากับข้าวเมื่อเช้ามาปั้นๆรวมกับข้าวสวย คิดว่ากินๆไปเดี๋ยวก็เอาไปรวมกันเอง ที่คุณกินเมื่อกี้คือกิมจิไข่หวานแล้วก็ซุปสาหร่ายอะ”
“อะไรนะ? ซุป” ไอ้กิมจิไข่หวานก็ว่าหลอนแล้วนะยังมีซุปอีกที่มาผสมกับข้าวปั้น...
“ใช่เลยมันแฉะๆหน่อยเนอะกินได้ โรยงาด้วยนะมันเหลือ...”
โอเค...แบคฮยอนช่างจินตนาการในรูปแบบใหม่ ข้าวปั้นทรงกลมกลิ้งรอบด้านไปด้วยขี้มือเค็มๆผสมกับข้าวเหลือๆผสมองค์รวมกับข้าวสวยเกาหลีร้อนๆที่มันเหนียวๆพอปั้นได้...กินได้สินะ
กินได้กะผีสิ!
“ไม่เอาแล้ว เอาน้ำมาเลยจะอ้วก! แค่กๆ!” นึกภาพตามแล้วสยดสยอง ยิ่งต่อมารายการประหลาดยิ่งมากขึ้น ปลาหมึกกับพริกหยวกคลุกเกลือ...
คนแก่ขี้บ่นถึงขนาดสำลักข้าวทันทีพอแบคฮยอนสาธยายสารพัดความพิสดารจบ อีกคนก็หุบตาลงรู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่าง มันวูบโหวงเพียงเสี้ยวเดียวก่อนรีบส่งหลอดน้ำเข้าปากอีกคนเพื่อให้ดื่มน้ำในขวดระหว่าขับรถได้สะดวก
“ผมขอโทษ ยังสำลักอยู่มั้ย” น้ำเสียงรู้สึกผิดเต็มเปรี่ยม มือเล็กหยิบกระดาษเช็ดปากอีกคน
“แค่กๆ วันหลัง...โอ๊ย ถ้าจะทำอะไรแบบนี้อีกอย่าทำ” กระแอมไอสักพักเสียงก็เงียบลง แบคฮยอนรีบปิดกล่องข้าว
“อื้อ...กินน้ำอีกมั้ย” ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกคนหน้าแดงมากตอนนี้ “ที่จริงผมพูดเล่นนะ ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นแค่ปั้นข้าวแล้วใส่ไส้ผสมกันลงไป ไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนี้ ขอโทษ”
จริงๆก็กะแกล้งอีกคนให้ร่าเริง แต่ดูเหมือนผิดเวลาจริงๆ แบคฮยอนคนโง่
“ช่างเหอะ ถ้าง่วงก็นอนรอเลยกว่าจะถึงคงอีกนาน” ปกติเวลาไปข้างนอกคนตัวเล็กจะชิ่งหลับก่อนจะพูดคุยกันเสียอีก ครั้งนี้ก็คงง่วงเหมือนเดิม ลู่หานพเยิดหน้าไปหลังรถที่มีหมอนหนุนสีขาววางไว้เป็นระเบียบ
“งื้อ ซื้อมาเมื่อไรอะไม่เห็นเลย พาใครนั่งรถด้วยหรา” เอ่ยแซว มือก็เอื้อมไปหยิบหมอนนุ่มมากอด
“มีคนเดียวเนี่ยแหละ กลมๆอ้วนๆขาใหญ่ๆอ่ะ”
“ผมว่าเขาต้องน่ารักแน่เลยคนนั้นอ่า” พูดไปก็หามุมเหมาะวางหมอนใบใหญ่ ขยับตัวพิงหมอนพร้อมจัดท่าในการนอนคล้ายรังนกหรือแคปซูล...
“หึ สบายเนอะ” หยอกเล่นกับคนตัวเล็กที่ยังหาท่านอนเหมาะๆไม่ได้
“งื้อ นุ่ม...คุณแล้วหมอนรองคอไปไหนอ่ะ” มองหาหมอนรองคอที่มักแขวนไว้ในรถอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็น
“ก็คนแถวนี้บ่นว่าแบบนั้นปวดคอนอนแบบนั้น” เสมองถนนเหลือบมองอีกคนเป็นระยะ
แบคฮยอนยิ้มจนแก้มยุ้ยยกขึ้นเป็นก้อนกลม รอยยิ้มกว้างมากขึ้นอีกเมื่อเห็นคนขี้เก๊กจอมหยิ่งหน้าแดง เอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนเอนกายพิงหลับสู่นิทราไม่ลืมที่จะหยิบเป้มานอนกอด
"ผมชอบคุณตอนหน้าไม่ดุน้า" เสียงพึมพำละเมออกมาทำเอาเขาหัวเราะ
เด็กน้อยชิบหาย...
“ฝันดีครับ...” สารถีหนุ่มเอื้อมมือไปเบาแอร์ในรถ จับแขนอีกคนให้อุ่นขึ้นแล้วกลับมาจับพวงมาลัยอีกครั้ง
อยู่กับแบคฮยอนทีไร...เขาดูเป็นตัวของตัวเอง ยิ้มได้หัวเราะได้ บ่นได้ พูดจาโต้วาทีกันได้ แม้ระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็อยากให้มันอยู่คงนาน
อยู่ด้วยกันนะแบคฮยอน...อยู่อย่างนี้...
ขอบคุณที่ดูแลกัน
ขอบคุณเคียงข้างกัน
ขอบคุณกันและกันที่มาเจอกัน
----------------------------------
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น