คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วินเดีย อาณาจักรแห่งสายลม 70%
ระหว่างทางไป ทุ่งแสงจันทร์
“ลา ลั๊น ลา วันนี่เราจะได้เจอรูลแล้ว ดีจัง” โม พูดคนเดียวอย่างอารมดีเพราะเธอไม่ต้องรออีกต่อไปแล้วหลังจาก7ปีอันยาวนาน
“ฟิ้ว...หือ เสียงอะไรนะ”จู่ๆก็เกิดเสียงแหวกอากาศมาแต่ไกลทำให้โมหันกลับไปมองแต่ก็ไม่เห็นอะไรข้างหลัง
“คิดไปเองละมั่ง” หลังจากคิดเอง เออเองเสร็จสับเธอจึงเริ่มเดินอีกครั้ง
“ฟิ้ว...สงสัยคงไม่ได้คิดไปเองแฮะ ใครนะ อย่าแกล้งกันสิ ออกมาได้แล้ว” เธอตะโกนถามเสียงปริศนา
“ฟึบ ฟึบ ชิ ออกไปข้างนอกไม่ชวนข้าเลยน่ะ” จู่ๆก็เกิดเสียงกระพือปีกอยู่เหนือศรีษะพร้อมกับเสียงตัดเพ้อดังขึ้น
“อ๊ะ ฟรีต เองเหรอ อย่าทำให้ตกใจกันสิ” หลังจากที่รู้ว่าเป็นใครเธอจึงทักกลับไปอย่างไม่ถือโกรธ
“ฟรีต เองเหรอ หนอย เจ้ารู้ตัวบ้างไหมว่าเป็นคู่หุของข้านะ มาทิ้งขว้างกันแบบนี่ใช่ได้ที่ไหน” ฟรีต หรือ เหยี่ยวจตุรธาตุ คู่หูของ โม มีความสามารถในการใช้เวทมนต์ได้ 4 ธาตุประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ เพียงแต่เป็นเวทบนระดับต่ำจนถึงระดับกลาง จริงๆแล้วเหยี่ยวจตุรธาตุเป็นสัตว์หายากมากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้พวกเขาเหลืออยู่ตามธรรมชาติเพียงน้อยนิด
“โธ่ ฟรีต อย่าน้อยใจสิ โมรู้หรอกน่าว่ายังไง ฟรีต ก็ต้องหาเจอเลยไม่ได้ไปตามหา” โมพูดยิ้มๆ จริงๆแล้ววันนี่เป็นนวันที่เธออารมดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้เธอจึงยิ้มตลอดเวลา
“ข ข้า ไม่ได้น้อยใจซักหน่อย!” ฟรีตพูดตะกุกตะกักเนื่องจากเป็นคนขี้อายจึงชอบพูดเสียงดังกลบเกลื่อน
“ฮ่า ฮ่า ดูสิ อายจนหน้าแดงแล้ว” โมยังคงแหย่ต่อไป
“ชิ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว” พูดจบจึงกระพือปีกจากไป แต่เธอรู้ว่าฟรีตไม่ได้ไปไหนไกลเพราะเขาจะคอยปกป้องเธอเสมอ
“แหม ขี้อายซะจริง อ๊ะ เสียเวลามามากละ รีบไปดีกว่า”
ณ ทุ่งแสงจันทร์
“อืม....อยู่ตรงไหนละเนี่ยไอต้นไม้ใหญ่ที่ว่า” เมื่อมาถึงโมจึงเริ่มมองหาเป้าหมายซึ่งก็คือต้นไม้ที่รูลนัดเธอเอาไว้
“ใช่ต้นนั้นรึปล่าวโม” เสียงของฟรีตดังขึ้นให้ดูไปทางต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่เยื่องไปทางชวาจากเจอไม่ไกลนัก
“คงจะใช่มั่ง เราไปรอกันเถอะ” ว่าแล้วก็ออกเดินเพื่อไปนั่งรอที่ใต้ต้นไม้
“เฮ้อออ อากาศเริ่มร้อนแล้วแฮะ ฟรีตทานอะไรมารึยัง ก่อนจะออกจากป่า โม หยิบผลไม้ติดมือมาด้วย มาทานด้วยกันไหม?” โมเริ่มชักชวนฟรีตให้ทานผลไม้เพื่อฆ่าเวลา
“ก็ดีเหมือนกัน มีอะไรมั่งละ” ฟรีตบินลงมาเกาะที่ไหลของโมแล้วมองดูพวกผลไม้2-3พวงบนตักของหญิงสาว
“มีผลสปีซ่า ผลวาโย ผลสปิริต เอาอันไหนละ” ที่ตั้งชื่อแบบนี่เพราะผลไม้แล้วสมุนไพรในป่าส่วนมากจะเป็นของที่มีความสามารถพิเศษอยู่ในตัว ผลสปีซ่าเป็นผลที่ค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับการเดินทางเพราะมันสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวได้เหมือนกับมีลมมาหนุนข้างหลัง ผลวาโย หลายๆคนอาจจะเดาได้จากชื่อ เป็นผลที่เสริมความสามารถของผู้ใช้เวทมนต์ธาตุลม เป็นผลที่ใช้ได้แค่ผู้ใช้เวทมนต์จึงเป็นที่ต้องการน้อยไม่เหมือนกับผลสปีซ่าที่ใช้ได้ทุกคน และผลสุดท้าย ผลสปิริต เป็นผลที่ช่วยเพิ่มปริมาณเวทมนต์ในร่างกายชั่วขณะหนึ่ง เป็นผลที่หายากมากและเป็นที่ต้องการสูงมากของตลาดเนื่องจากมีความสำคัญต่อการล่าสัตว์อสูรที่จำเป็นต้องสู้เป็นเวลานานแถมนอกจากช่วยเพิ่มปริมาณเวทมนต์แล้ว ผลสปิริตยังช่วยเสริมความงามของร่างกายอีกด้วย ราคาผลนึงจึงสามารถเอาไปแลกอาหารหรูๆ3มื้อได้3วันเลยละ
“อืม...ข้าขอแค่ผลวาโยแล้วกัน เบื่อผลสปีซ่ากับผลสปิริตแล้ว อันนึงก็เปรี้ยว อีกอันก็เย็นในปาก” เมื่อตัดสินใจแล้วจึงเริ่มต้นกินส่วนของตัวเอง
“งั้นโมกินผลสปีซ่าแล้วกัน เก็บผลสปิริตไว้เพื่อเวลาขับขันดีกว่า”
ผ่านไป 45 นาที เวลปัจจุบัน 12.36 น.
“ช้าจังแฮะ หรือว่าจะลืมสัญญาแล้วหว่า” โม เริ่มเอะใจ
“ข้าว่าเจ้าหนุ่มในฝันของเจ้าคงไม่มาแล้วละมั่ง ผ่านไปตั้ง 7 ปีป่านนี่คงมีแฟนแต่งงานไปแล้วมากกว่า” ฟรีตเริ่มออกความเห็น
“โถ่ รูลไม่ใช่แฟนโมซักหน่อย เป็นแค่เพื่อนคนแรกที่สัญญาว่าจะมาพบกันอีกที่นี่เท่านั้นแหละ” โมพยายามชี้แจง
“เฮ้ออ เจ้าก็เป็นซะแบบนี่ทุกทีสิน่า” โมยิ้มฟังคำพูดของฟรีต
“รู้สึกเจ้าเคยบอกว่าถ้าไม่เจอกันที่นี่ให้ไปหาที่บ้านของเจ้าหนุ่นนั้นในเมืองสิน่ะ อย่าไปเลยดีกว่าน่ะข้าว่า” ฟรีตพยายามบอกให้โมถอดใจกลับป่า
“ทำไมพูดแบบนั้นละฟรีต แค่ไปหาที่บ้านเอง” โมถามอย่างสงสัย
“เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าพวกคนปรกติรังเกีจบีสมาสเตอร์มากแค่ไหน ไม่แน่น่ะ ถ้าพวกมันรู้ว่าเจ้าเป็นใคร พวกเราอาจจะไม่รอดออกมาก็ได้ อันตรายจะตายไป” ฟรีตพยายามชี้แจงเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคนปรกติรังเกียจบีสมาสเตอร์มากเนื่องจากมีความสามารถมากเกินไปจนเป็นที่อิจฉาแลละหวาดกลัว ในสมัยก่อนบีสมาสเตอร์ส่วนมากล้วนถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก มีทั้งถูกเผาทั้งเป็น ถูกรุ่มข่มขืน ถูกแยกส่วน และอีกหลายๆวิธีที่ไม่มีใครอยากจำ ต้องบอกว่ายุคที่ยังมีการล่าบีสมาสเตอร์เป็นยุคแห่งการนองเลือดอย่างแท้จริงเพราะไม่ว่าที่ไหนมีบีสมาสเตอร์อยู่ ที่นั้นก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของบีสมาสเตอร์ที่ถูกทำร้าย
“แหม คงไม่ขนาดนั้นมั่ง” จริงๆแล้วเรื่องเล่าถึงความโหดร้ายนั้น โมเองก็รู้เช่นกันเพียงแต่ยังไม่สามารถเชื่อได้สนิทใจเพราะยังไม่เคยเห็นเองกับตา
“ตามใจเจ้าละกัน อยากไปก็ไปแต่ระวังอย่าให้ความแตกซะละเพราะถ้าแตกขึ้นมาข้าเองก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประสบการณ์จากยุคนั้นมันโหดร้ายจริงๆ” ตัวฟรีตนั้นเกิดในปลายของยุคที่มีการล่า จึงยังพอรับรู้ พอได้เห็นเองกับตาจึงไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับคู่หูที่เขารักยิ่ง
“จ่ะ โมจะระวังตัว จะไม่ให้ใครรู้เป็นอันขาด วางใจได้เลย” เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางต่อ
10 นาทีต่อมา ณ เมืองวินเดีย มหานครแห่งสายลม
เนื่องจากผลสปีซ่า การเดินทางจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว จากที่ต้องดินทางเป็นเวลา35-40 นาที เพื่อที่จะเข้ามาในตัวเมืองแต่เพราะผลสปีซ่า โม จึงสามารถมาถึงได้ภายใน 10 นาที
“จ๊อก แจ๊ก จ๊อก แจ๊ก” เสียงผู้คนเดินกันขวักไขว บ้างนั่งคุยกันที่ร้านอาหารข้างทาง บ้างก็ยืนต่อราคาซื้อขายของ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แค่ โม เป็นอันมากเพราะเธอไม่เคยออกมาจากป่าเลยตั้งแต่จำความได้
“โห ใหญ่โตมากๆเลย เกิดมาเพิ่งเคยเป็นคนเดินกันมากขนาดนี่เป็นครั้งแรกเลยน่ะเนี่ย” เนื่องจากอาศัยอยู่แต่ในป่าอาถรรพ์ โม เลยไม่มีโอกาสได้พบเจอกับผู้คนมากมายขนาดนี่
‘ระวังตัวด้วย ข้าจะบินอยู่ใกล้ๆนี่แหละ’ เสียงของฟรีตดังขึ้นในหัว นี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของบีสมาสเตอร์ เป็นความสามารถในการสื่อสารทางจิตระหว่างสัตว์คู่หูและเจ้าของ
‘จ่ะ ฟรีตเองก็ระวังตัวด้วยน่ะ’ โมตอบในใจกลับไป
“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณป้า” โมตัดสินใจไปถามป้าขายผลไม้ข้างทาง
“สวัสดีจ้าคุณหนู รับผลไม้อะไรดีค่ะ” คุณป้าขายผลไม้ทักตอบอย่างอารมดีเป็นลักษณะของผู้ที่ทำการค้าขายมาอย่างโชกโชน
“ปล่าวค่ะ คือหนูอยากจะถามทางไปบ้านของตระกูลอลาสเตอร์หน่อยนะค่ะ” เธอถามอย่างสุภาพ
“ออ บ้านตระกูล อลาสเตอร์ เหรอ เดียวน่ะ เฮ้ ตาเถ่า เอ็งรู้จักบ้านตะกูลอลาสเตอร์รึปล่าว?” แม่ค้าผลไม้ตะโกนไปถาม พ่อค้าผักข้างๆ
“จะตะโกนทำไมเนี่ย อยู่ตรงนี่เอง” เสียงพ่อค้าบ่นกลับมา
“ตอบๆมาเถอะน่า บ่นเป็นคนแก่ไปได้” แม่ค้าขายผลไม้พูดต่อโดยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิด
“เออๆ หนูจะไปบ้านของอัศวินแห่งสายลมทำไมเหรอ” พ่อค้ายังไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับถามคำถามกลับมา
“ตระกูลอัศวิน? ออ คือหนูมีธุระกับรูลนะค่ะ” เธอตอบไปตามความจริง
“ออ มีธุระกับนายน้อยเรอะ” พ่อค้าทำหน้าเข้าใจ
“นายน้อย? นี่เอ็งเป็นเด็กรับใช้ตระกูลนั้นรึไงถึงเรียกว่านายน้อยนะ” แม่ค้าถามด้วยความสงสัย
“เจ้าไม่รู้อะไรยัยแก่ ตระกูลอลาสเตอร์นะดังมากเลยน่ะในเมืองนี่นะเพราะ ท่านจัตเมนต์ที่เป็นเจ้าตระกูลเปนคนที่ชอบช่วยเหลือผู้คนมาก ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไร ขอแค่บอกท่านก็พร้อมจะเข้าช่วยเหลือ ข้าเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากท่านในหลายๆเรื่องจึงนับถือตระกูลนี่เป็นผู้มีพระคุณ แค่เรียกลูกของท่านว่านายน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” พ่อค้าอธิบายความเป็นมาซะยืดยาวแต่ โม ก็ยังไมได้คำตอบที่ต้องการอยู่ดี แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่าครอบครัวของรูลเป็นคนดีมากๆ
“อ้อเรอะ แล้วตกลงบ้านมันอยู่ที่ไหนละ” แม่ค้าเริ่มรำคาญ
“ชิ อย่าไปถือสาคนแก่เลยน่ะคุณหนู ฮ่า ฮ่า” พ่อค้าหัวเราะอย่างอารมดี
“เอ่อ ค่ะ” โม พูดเสียงค่อย
“ถ้าเจ้าจะไปบ้านของตระกูลอลาสเตอร์ เจ้าต้องเดินไปทางถนนเส้นนี่แหละ ตรงไปเรื่อยจะพาเจ้าไปที่ย่านคนรวย บ้านของตระกูลนี่จะเป็นหลังที่อยู่ตรงล่วนที่ลึกที่สุดและเป็นหลังที่ใหญ่ที่สุดในนั้นด้วย” ในที่สุดโมก็ได้คำตอบซักทีจึงบอกลาทั้งสองคนแล้วเดินต่อไปยังทางที่ว่า
5 นาทีต่อมา ณ ย่านคนรวยของเมืองวินเดิย
‘บ้านพวกนี่ดูแตกต่างจากส่วนอื่นเลยเนอะ ว่างั้นไหมฟรีต’ โมถามความเห็นฟรีตในใจขณะที่เดินดูบ้านของเศรษฐีข้างทางระหว่างทาง
‘อืม ก็งั้นๆแหละข้าว่า แต่ก็น่ะ วินเดียเป็นอาณาจักรที่ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่ถ้าเทียบกับอาณาจักรอื่น’ ฟรีตอธิบาย
‘รู้ดีจังเลยน่ะฟรีต แล้วในโลกนี่มีกี่อาณาจักรเหรอ โม ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกเลย’ โมถามอย่างใคร่รู้
‘อืม ขอข้านึกแปป ตั้งใจฟังละ ข้าขี้เกียจอธิบายซ้ำ ในโลกนี่ จริงๆแล้วต้องบอกว่าทวีปนี่ดีกว่าเพราะข้าไม่เคยออกไปนอกทวีปเลย ในทวีปนี่ประกอบด้วย 6 อาณาจักรได้แก่ วินเดีย อควอเรียส เอลบัน ซาฮาล อีธาน เมลเดียส ข้าจะเริ่มอธิบายจากวินเดียแล้วกัน วินเดียหรือที่เราอยู่นี่เรียกันในชื่อ อาณาจักรแห่งสายลมและเกษตรกรรม ตามชื่อเลย เป็นอาณาจักรที่มีจุดเด่นที่การเกษตรและการใช้พลังงานจากลม แน่นอนว่าเป็นที่ฝึกฝนของจอมเวทธาตุลมด้วยเนื่องจากเป็นเขตุที่มีธาตุลมสูงมากที่สุดในทวีป อาณาจักรทางตอนใต้ของเราหรือที่เรียกกันว่า อาณาจักรอควอเรียส ไม่ค่อยต่างจากวินเดียเท่าไหร่เพราะที่นั้นมีอีกชื่อคือ อาณาจักรแห่งสายน้ำและการประมง เจ้าคงจะเดาได้ว่าเพราะอะไรข้าจะข้ามเลยแล้วกัน ค่อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ คืออาณาจักรเอลบัน ที่นั้นพิเศษหน่อยเพราะมีพลังธาตุไม่มากเท่าที่อื่นๆ ผู้คนที่นั้นเลยมีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก แต่ว่าจุดเด่นก็คืออาชีพของคนในอาณาจักรนี่เนี่ยแหละ คนที่อยู่ที่นั้นส่วนมากจะเป็น นักฆ่า นินจา พวกที่ทำงานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูง แถมราชายังไม่ใช่พวกราชวงศ์ด้วยแต่เป็นคนที่ทุกคนยอมรับเลือกขึ้นมา เป็นอาณาจักรที่ไม่มีคัยกล้าแหย่มมาก่อนเพราะไม่อยากโดนลอบสังหาร ต่อมาซาฮาล เป็นอาณาจักรที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีป ค่อนข้างลำบากเหมือนกับเอลบันเพียงแต่มีจุดเด่นที่เป็นจุดที่มีพลังงานเวทมนต์ธาตุน้ำแข็งมากที่สุดในทวีป อาชีพของคนแถวนั้นส่วนมากเป็นเป็นการค้าขายหนังสัตว์ละน่ะ พวกชุดขนสัตว์กับเกราะขนสัตว์ ต่อมาคืออีธานหรืออีกชื่อคือ อาณาจักรแห่งนักรบ เป็นศูนย์รวมของผู้ที่อยากจะเป็นอัศวินแถมยังเป็นชุดที่มีพลังงานเวทมนต์ธาตุดินสูงซะด้วย คนที่อยู่ในอาณาจักรนี่จึงค่อนข้างถึกกว่าที่อื่นเพราะได้รับผลกระทบจากพลังงานเวท และสุดท้าย อาณาจักรที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาณาจักรใด เมลเดียสหรืออาณาจักรเอลฟ์ เป็นอาณาจักรของพวกเอลฟ์นะละ ตั้งอยู่ตรงแถบชายแดนติดกับป่ามนต์ดำ เจ้าพวกนี่เก่งมากเรื่องการใช้เวทมนต์แถมในแถบนั้นยังมีพลังงานเวทมนต์ธาตุไม้ซึ่งเป็นของหายากมากในหมู่หมู่มนุษย์ แถมในป่ามนต์ดำนั้นยังมีแต่คำสาปแปลกๆเยอะแยะไปหมดอีก ว่ากันว่าที่ป่าเป็นแบบนั้นก็เพราะพวกเอลฟ์ชอบไปทดลองเวทมนต์ในป่าเนี่ยแหละ ที่พูดมาทั้งหมดนี่เช้าใจรึปล่าว?” หลังจากอธิบายซะยืดยาว ฟรีตจึงหันไปถามโม แต่ทว่าโมนั้นหายไปเรียบร้อยแล้ว
ความคิดเห็น