ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You might be the one (WonKyu feat. Changmin)

    ลำดับตอนที่ #1 : The One -1-

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 57


    The one -1-

    Is this what love is?
    Does it hurt the more you do it?
    The more I get closer to you
    My feelings grow bigger
    It scares me



    “นี่น้องๆ รู้จักกันไว้ซะสิ” เสียงรุ่นพี่บอกผ่านไมค์ เสียงกลองที่ตีกระหึ่ม เสียงเพลงเชียร์ที่พอคุ้นหูผมบ้าง

     

    ผมเดินผ่านลอดซุ้มที่รุ่นพี่ตั้งไว้เป็นด่านต่างๆ  และกอดสมุดเล่มบางไว้ในอก  เพราะสมุดเล่มนี้ต้องใช้ขอลายเซ็นรุ่นพี่ในคณะ

     

    “กินน้ำไหมพุดเดิ้ล”  เสียงทุ้มๆดังมาจากข้างหลังผมพร้อมยื่นขวดน้ำที่มีละอองไอน้ำเกาะอยู่  ผมหันไปมองเขาพลางส่งสายตาด้วยความงง

     

    “นายนั่นแหละพุดเดิ้ล  เอานี่!” เขาว่าอย่างนั้น  พลางยัดขวดน้ำดังกล่าวลงใส่มือของผม

     

    ผมมองขวดน้ำสลับไปมากับเจ้าของขวดน้ำ

     

    “ดื่มไปเหอะหน่า  มันไม่มีอะไรหรอก  ฉันเห็นนายดูร้อนๆ  ดูสิเสื้อนักศึกษานายชุ่มเหงื่อไปหมดแล้ว”

     

    “ขอบใจ นาย........?”

     

    “ฉันชางมิน  ชเวกังชางมิน  เรียนบริหารหน่ะ”

     

    “ฉัน....”

     

    “นายคือคยูฮยอน เรียนบริหารใช่ไหมหล่ะ”  เขาตอบแทนผมพลางยักคิ้ว

     

    “.....”

     

    “นายเนี้ยะตลกชะมัด  ไม่เข้าใจก็ทำตาโตใส่คนอื่น  ที่ฉันรู้ก็เพราะว่ารหัสนักศึกษาฉันกับนายอยู่ติดกันไงเล่า”  คนที่พึ่งแนะนำตัวเองกับผมว่าชื่อชางมินพลิกป้ายห้อยคอและชี้ไปที่รหัสนักศึกษาทั้งของผมและของเขา

     

    “แล้วทำไมต้องเรียกผมว่าพุดเดิ้ลด้วย”  ก็รู้ชื่อของผมแล้วจะเรียกผมว่าพุดเดิ้ลทำไมหล่ะ....

     

    “ฮ่าๆๆๆ”  ชางมินระเบิดเสียงหัวเราะใส่ผมและขยับหน้ามาใกล้กับหน้าผมทำให้ผมตกใจเบี่ยงหน้าหนีตามสัญชาตญาณ

     

    “ทำไมหน่ะหรอ.............”  เขากระซิบเข้าที่ข้างหูของผม  ผมค่อยๆหันหน้ามาเผชิญกับเขา

     

    “......”

     

    “ก็เพราะฉันเห็นนายแล้วนึกถึงเจ้ามูจิหมาพุดเดิ้ลของฉันไง ฮ่าๆๆๆๆ ไปละ”  ชางมินหัวเราะดังๆอีกครั้งพน้อมขยี้ผมของผมแรงๆและเดินจากไป

     

     

    เมื่อเสร็จกิจกรรมของวันนี้ผมก็รีบเก็บข้าวของเพื่อทีจะรีบหอพักที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย   ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆตามตึกอาคารผ่านคณะอื่นที่ยังคงรับน้องอยู่บ้าง  จนมาถึงถนนใหญ่และมีป้ายรถเมล์สำหรับรอรถสวัสดิการที่ผมสามารถนั่งออกข้างนอกมหาวิทยาลัยได้

     

    ระหว่างที่รอรถอยู่นั้น  ท้องฟ้าก็ทำท่าจะตกซะงั้น  ผมหันไปมองนาฬิกาที่ข้อมือสลับกับมองไปทางขวามือของผม  เมื่อไหร่รถจะมานะ

     

    “คยูฮยอน คยูฮยอน”  เสียงเรียกชื่อดังแว่วๆมา  ในครั้งแรกผมไม่ได้สนใจนักเนื่องจากคิดว่าตัวเองหูแว่ว  เพราะผมใส่หูฟังฟังเพลงอยู่  จนเจ้าของเสียงจอดจักรยานตรงหน้าผมพอดีและเดินเข้ามาถอดหูฟังของผม

     

     

    “เฮ้ย...”  ผมตกและรีบปัดมือไปทางด้านขวาที่เขาถอดหูฟังของผม  เมื่อหันไปมองก็เห็นเป็นคนที่ผมได้รู้จักเมื่อตอนกลางวัน  ผมถอนหายใจแรงๆและเอามืออีกด้านกุมที่หัวใจที่เต้นด้วยความตกใจไว้

     

    “นี่ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือไง  นี่ถ้ามีคนคิดจะฉุดนายเข้าข้างทางคงทำได้ง่ายๆเลยนะ” 

     

    “ก็คุณมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงนี่”  ผมมองเขาด้วยสายตาโกรธนิดๆ

     

    “และอีกอย่างนายเนี่ยขวัญอ่อนเกินไปนะพุดเดิ้ลลลลลลลล”  นี่นอกจากจะทำให้ผมตกใจแล้วยังมากวนประสาทผมอีก

     

    “ฉันชื่อ.....”

     

    “นายชื่อคยูฮยอน ฉันรู้แล้ว”  เขาพูดขัดผมทันทีที่ผมจะพูดเตือนเขาว่าผมชื่ออะไร

     

    “แล้วทำไมไม่เรียกชื่อผมหล่ะ” ผมว่า

     

    “ก็เห็นเวลานายทำตาโตพร้อมที่จะเถียงนี่มันสนุกชะมัดไง ฮ่าๆๆๆ”  ผมว่านายชางมินเนี่ยต้องมีอาการบ้าอย่างแน่นอน  ทำไมชอบแกล้งผมนะตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว

     

    “แล้วนี่นายรออะไรอยู่หรอ  รอแฟนหรือยังไง”

     

    “ผมรอรถกลับหอหน่ะ”

     

    “แล้วแฟนไม่มารับหรือไง”  ผมทำหน้าเบื่อๆใส่เขา  นี่เขากับผมเพิ่งจะรู้จักกันวันแรก  การที่เขาถามผมมากๆ.... แต่ก็เถอะถามมากๆเนี่ยไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเขาทำหน้าเหมือนจะยิ้มล้อเลียนผมอยู่บ่อยๆ  อีกทั้งผมเริ่มหงุดหงิดที่รถสวัสดิการไม่มาเสียทีรวมกับท้องฟ้าที่ตั้งเค้าจะตกมากขึ้นไปอีก  ทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์นิดๆ  ผมเลยเสียบหูฟังและกอดหนังสือพร้อมหันไปทางอื่น

     

    “แหม่ะ พูดแทงใจดำใช่มะ เงียบใส่ซะด้วย”

     

    ผมกับชางมินยืนอยู่อย่างนั้นประมาณยี่สิบนาที  จนกระทั่งเสียงฟ้าเริ่มร้องเตือนภัยว่าฝนจะตกแล้วนะ  ชางมินเดินมาอีกด้านพร้อมเอานิ้วจิ้มที่แขนผมเบาๆ

     

    “ฉันว่าแฟนนายคงไม่มารับแล้วหล่ะ  เอาของนายมานี่มา”  เขายังพูดไม่ทันจบก็แย่งหนังสือที่ผมกอดอยู่ไปใส่กระเป๋าเป้ของเขาและเอาร่มออกมา  พร้อมทั้งเดินไปที่จักรยานของเขาเอง

     

    “เอาของผมคืนมานะ”  ผมเดินตามเขาทันที

     

    “พูดได้สักที  อยากได้ก็ขึ้นมาสิ”

     

    “ไม่ผมจะรอรถ”

     

    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่ารถจะมาตอนไหน  แต่ฝนเนี่ยจะตกแล้ว  นายขึ้นมาเถอะ  เดี๋ยวฉันไปส่ง”  ชางมินพูดกับผม  พร้อมทั้งตบเบาะหลัง ดูเป็นคนเจ้าบงการดีนะ  พ่อชางมินชื่อฮิตเลอร์หรือเปล่า

     

    ผมมองเขาสลับกับมองท้องฟ้าและมองไปทางขวาที่ไม่มีแววของรถสวัสดิการเลย  ในใจแล้วไม่อยากไปกับชางมินเท่าไหร่  แต่ชั่งน้ำหนักแล้วถ้าผมเกิดป่วยขึ้นมาพรุ่งนี้เพราะเปียกฝน  ผมก็อดของลายเซ็นพวกพี่ๆและพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายทีต้องทำกิจกรรมรับน้องแล้วสิ  ผมถอนหายใจเบาๆ

     

    “เดี๋ยวๆ  ฉันลืมไปว่าร่มฉันคันเล็ก นายเอานี่ไป”  ชางมินที่ยืนคร่อมจักรยานของเขาอยู่  หันไปเปิดกระเป๋าเป้ของเขาอีกครั้งและยื่นบางอย่างให้ผม

     

    “คุณเอาไปเถอะ  ผมว่าคุณน่าจะเปียกผมมากกว่านะ”  ผมพูดตามประสบการณ์ที่เคยเจอตอนปั่นจักรยานขณะฝนตก  คนปั่นมักจะเปียกง่ายกว่าคนซ้อนมาก

     

    “นายเอาไปเหอะหน่า  ฉันเป็นคนแข็งแรงนะ ฝนทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”  เขาพูดและยัดชุดกันฝนสีเหลืองใส่มือผม

     

    “แต่.....”

     

    “นี่นายจะรีบๆใส่ไหม ฝนเริ่มโปรยๆแล้วนะ”

     

    ท้ายสุดแล้วผมก็ต้องใส่ชุดกันฝนของชางมิน  และนั่งซ้อนท้ายเขาพร้อมทั้งถือร่มให้ชางมินเป็นคนปั่นจักรยานไปจนประมาณครึ่งทางได้  ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้บอกชางมินว่าหอของผมไปทางไหน

     

    “คุณๆ.....”  ผมเรียกชางมินที่แหกปากร้องเพลงแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำลงมา  ดีหน่อยที่ไม่มีลมพายุผสมเข้าไปอีกไม่งั้นคงแย่กว่านี้  ดูท่าชางมินจะมีความสุขกับการร้องเพลงท่ามกลางสายฝนมากจนไม่ได้ยินเสียงที่ผมเรียก

     

    “คุณๆๆ....”  ผมเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นไปอีก  ชางมินก็ยังไม่ยอมหันมาพร้อมกับร้องเพลงเสียงดังกว่าเดิม  หรือฝนมันเริ่มตกหนักนะ... ก็ไม่ใช่

     

    “คุณๆๆ...”  ผมเรียกชางมินอีกรอบพร้อมทั้งสะกิดไหล่เจ้าตัว  เขาน่าจะรู้สึกตัวที่ผมเรียกนะ  นี่ผมเรียกว่าถูกแกล้งได้หรือเปล่า

     

    “ชางมิน”  ผมเลยตัดสินใจเรียกชื่อเจ้าของจักรยานไปแทนเผื่อว่าเขาจะได้ยินที่ผมเรียกบ้างและก็...

     

    “ว่าไง  เรียกชื่อฉันได้สักที  เรียกคุณๆอยู่ได้  ฟังแล้วห่างไกลชะมัดเลย”  เขาหยุดแหกปากร้องเพลงและตอบผมทันที

     

    “ก็ผมยังไม่ชินนี่”

     

    “ฉันก็ไม่ชินเหมือนกัน รุ่นเดียวกันแท้ๆเรียกฉันยังกับเป็นคนแปลกหน้า”  ชางมินว่า

     

    “ก็คุณเป็นคนแปลก....”

     

    “แหน่ะๆๆ”

     

    “ก็ชางมินเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมนี่”  ผมรีบตอบเขาอย่างรวดเร็ว

     

    “เอาเถอะ นายมีอะไรหรอถึงเรียกฉัน”  ผมก็ลืมสิ่งที่จะบอกเขาไปเสียสนิทเลย

     

    “ผมจะบอกชางมินว่าหอผมไปทางนี้”  ว่าแล้วผมก็อธิบายให้เขาฟัง  ตอนนี้ฝนก็กำลังตกอยู่และดูท่าคงตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ฉันก็นึกว่าพุดเดิ้ลจะนอนกับฉันนะวันนี้”  ชางมินพูดตอบหลังจากที่ฟังผมอธิบายจบ

     

    “นี่คุณจะบ้าหรือไง”

     

    “เอาอีกละ  เดี๋ยวไม่ปั่นไปส่งหอดีมะ  ไปค้างห้องฉันดีกว่า  ฉันมีเกมวิ่นนิ่งนะ  เล่นกันสักตาสองตาก่อนนอนเป็นไง”  เขาพูดน้ำเสียงเชิญชวน  แต่ผมฟังแล้วดูน่ากลัวนิดๆ คนพึ่งรู้จักกันวันแรกนะ ทำไมไว้ใจกันง่ายขนาดนั้น!

     

    “เอ่อ....ผมมีการบ้านที่ต้องทำหน่ะ”  ผมรีบหาเรื่องโกหกเขาให้ไวที่สุด

     

    “อ้าววันนี้มีการบ้านด้วยหรอ ฉันไม่เห็นจะรู้เลย”  เขาพูดน้ำเสียงแปลกใจ  ผมก็ลืมไปว่าวันนี้เป็นสัปดาห์แรกที่เรียนมันจะไปมีการบ้านได้ยังไง

     

    “พอดีผมเรียนภาษาเพิ่มหน่ะ เลยมีการบ้าน”  ผมรีบแก้ตัวอย่างไว

     

    “ฮ่าๆๆๆ ฉันล้อเล่นหน่ะพุดเดิ้ลน้อย เดี๋ยวใกล้ถึงประตูที่จะออกไปหอนอกแล้ว ไม่ต้องห่วงฉันจะส่งนายถึงห้องเลย”  ได้ยินคำตอบอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจ กลัวจะได้ไปนอนห้องเขาก็ไม่ไหวนะ  ผมเป็นคนไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้าถึงจะรู้จักกันวันแรกก็เถอะ  แต่เอ๊ะเมื่อกี้ประโยคสุดท้ายเขาว่ายังไงนะ

     

     

    ด้วยความที่เมื่อถึงห้องแล้วผมรีบวิ่งขึ้นหอเลย  โดยที่ไม่หันมาขอบคุณชางมินสักคำ  ส่วนชางมินนั้นก็ได้แต่ตะโกนบ๊ายบายผมหน้าหอจนคนมองกัน  ผมแอบอายนิดๆ แต่ก็ช่างเถอะ

     

    วันต่อมาผมก็เริ่มได้เรียนบ้างแล้ว  จนเมื่อเรียนหมดคาบก่อนที่ผมจะก้าวพ้นห้องบรรยาย  เสียงคุ้นเคยก็เรียกชื่อผมไว้

     

    “คยูฮยอนนนนนนนนนนนน”  ผมหันไปตามเสียงก็เจอคนที่ไปส่งผมเมื่อวาน  ก็นึกได้ทันทีว่าผมลืมเอาชุดกันฝนมาคืน

     

    “เอ่อผมลืมเอาชุดกันฝนมาคืนหน่ะ”  ผมเกาคอพลางก้มหัวขอโทษนิดๆ

     

    “เฮ้ยๆไม่ต้องขนาดนั้น  เดี๋ยวฉันแวะไปเอาตอนเย็น  แต่นี่!!  ชางมินยื่นหนังสือสองสามเล่มพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าที่วางไว้บนหนังสือเหล่านั้นให้กับผม

     

    “นายหน่ะลืมพวกนี้ไว้เมื่อวานแล้วรีบวิ่งขึ้นหอ  กลัวฉันจะไปห้องนายแล้วขอน้ำดื่มหรือไง”

     

    “เอ่อ....ขอบใจนะชางมิน”  ผมพูดขอบใจเขาจากใจจริงๆ  ผมนี่ก็ขี้กลัวเกินเหตุไปนะ

     

    “โอ้ววววพุดเดิ้ลเรียกชื่อชางมินโดยไม่ต้องขอร้อง หิมะจะตกไหมนะ”  ชางมินพูดล้อเลียนผมพร้อมหันไปสะกิดเพื่อนของเขาให้หัวเราะ  ผมว่าจะชวนเขาไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันซะหน่อย แต่ตัดสินใจเดินหนีแทนดีกว่า  รู้สึกว่าเจอชางมินทีไรต้องถูกแกล้งทุกที  มันไม่ตลกนะ

     

     

    To you, I’m a small person

    Just someone you know

    That’s it for me, that’s enough

    Just the reason of love

     

    มาถึงไฮไลท์ของวันนี้ที่เป็นวันสุดท้ายของการทำกิจกรรมรับน้องของพวกผมแล้ว  วันนี้พวกพี่ๆให้รุ่นผมนั่งล้อมเป็นวงสลับกับรุ่นพี่ปีอื่นๆ

     

    “พวกพี่ๆมีความเห็นว่าเนื่องจากน้องๆปีนี้มีพฤติกรรมที่ดี  จึงเลยคิดเกมหนึ่งขึ้นมาให้พวกน้องเล่นๆกัน”  เสียงทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน  บ้างก็หันไปคุยกันว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอ  บ้างก็บอกว่ารุ่นพี่คงมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ  ส่วนผมที่รู้ตัวอีกทีว่ามีคนแทรกตัวมานั่งข้างๆ

     

    “ว่าไงพุดเดิ้ล พี่เขาว่าไงบ้าง ฉันพึ่งไปลงทะเบียนเรียนภาษาเสร็จหน่ะเลยมาช้า แฮ่ๆนึกว่าจะโดนดุไปซะแล้ว”  เขาว่ารวดเดียวพร้อมกับหายใจเสียงดังมาก เดาว่าเขาคงวิ่งขึ้นบันไดมา  ผมหันไปมองเขา  ลงทะเบียนอะไรของเขานะ

     

    “เดี๋ยวคุณก็รู้”  ผมตอบไปสั่นๆตามความจริง ก็พวกรุ่นพี่ไม่ได้บอกอะไรมากนี่

     

    “นายนี่น้า” ดูท่าทางเขากำลังโวยวาย

     

    “ว่าไง  น้องตรงนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”  รุ่นพี่พูดใส่ไมค์  ทำให้เขาหันมองคนรอบๆที่เงียบแล้ว       มีเขาเสียงดังอยู่คนเดียว  ดูท่าทางเขาจะจ๋อยๆไปนะ

     

    “เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ  พอดีผมปรึกษาเรื่องงานกับเพื่อนนิดหน่อย”

     

    “นี่มันเลิกเรียนแล้วนะน้อง  ค่อยไปปรึกษาหลังทำกิจกรรมเสร็จนะ”  รุ่นพี่คนนั้นว่าแกมดุชางมินไป

     

    “พี่จะแจกกระดาษเอสี่ให้น้องคนละใบนะ แล้วก็พับครึ่งตามขวาง แบ่งไว้เป็นสองด้านนะ”  รุ่นพี่อธิบายสิ่งที่จะให้ทำต่อไป

     

    “นี่ๆนายมีปากกาไหม”  ชางมินสะกิดผมหลังจากที่ลองเขียนปากกาที่รุ่นพี่แจกมาแล้วเขียนไม่ติด  ผมถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะดึงปากกาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้เขา

     

    “นี่ๆถอนหายใจบ่อยหน้าเหี่ยวนะ”  เขาดึงปากกาจากมือผมไป  ชางมินนี่จะหยุดแกล้งผมสักหนึ่งนาทีได้ไหม

     

    “นี่ๆพวกน้องๆต้องมีปากกากันทุกคนนะ รุ่นพี่ด้วย  เราให้เล่นเกมกันทุกคนนะ” หลังจากทุกคนเริ่มเงียบรุ่นพี่ก็พูดต่อไปว่า

     

    “เอาหล่ะ ที่พี่ให้แบ่งกระดาษเป็นสองฝั่งเพราะว่าพี่จะให้วาดรูปตอบคำถามสองคำถามที่พี่จะถามต่อไปนี้  ถ้าวาดไม่เหมือนถูกทำโทษนะ!  หลังจากที่พี่เขาพูดจบก็เริ่มมีเสียงโหยหวนเล็กน้อย  ผมก็แอบคิดในใจว่าตัวเองต้องถูกลงโทษแน่ๆเพราะฝีมือวาดภาพผมมันห่วยขั้นเทพมาก

     

    “เงียบกันได้แล้ว พวกพี่ไม่ได้ให้วาดอะไรยากขนาดนั้นหรอก”  พอเสียงโหยหวนและเสียงคำชมเกมของพวกพี่ๆเงียบลงรุ่นพี่ก็พูดต่อไปว่า

     

    “เริ่มเลยนะ  คำถามแรกให้ทุกคนวาดภาพของคนที่เราอยากรู้จักมากที่สุดในวันนี้”  ไม่ยากอย่างที่คิดแหะ  ผมเริ่มมองไปรอบๆวงกลมที่นั่งกันอยู่  มาเรียนสัปดาห์แรกผมก็ยังไม่ได้รู้จักใครสักคนด้วยสิ  ยกเว้นคนที่ข้างผมไว้หนึ่ง

     

    “แหน่ะๆ ทำหน้าแบบนั้น วาดรูปฉันก็ได้นะพุดเดิ้ล ฉันไม่หวง” ชางมินว่าพร้อมเก๊กท่าหล่อสุดริด  ผมส่ายหน้าให้กับชางมินแทนคำตอบ

     

    “เอ้ารีบๆได้แล้ว  อย่ามัวแต่ปรึกษากัน  อยู่คณะเดียวกันคงได้รู้จักกันแล้วสินะ เรียนมาตั้งสัปดาห์ รีบๆวาดไปเถอะ”  รุ่นพี่พูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงคุยกัน

     

    “พี่จะนับถอยหลังแล้วนะ  ใครวาดไม่เสร็จถูกลงโทษแน่ๆ เอ้าหล่ะ สาม สอง..”  ผมและชางมินต่างก้มหน้าก้มตารีบวาดตอบคำถามของรุ่นพี่ให้ไวที่สุด

     

    “อ้าวพี่ๆสต๊าฟช่วยเดินตรวจให้หน่อยสิว่ามีใครยังวาดไม่เสร็จไหม จะได้เอามาลงโทษ” เมื่อพวกพี่ๆสต๊าฟเดินตรวจเสร็จ ก็เริ่มคำถามต่อไป

     

    “คำถามต่อไปให้ตอบแบบเดิมนะ คำถามมีอยู่ว่าส่วนตัวเราคิดว่าใครมีรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดในวันนี้” นี่เรียกว่าเกมใช่ไหม  ทำไมเหมือนไม่อะไรเลยนะ  ผมมองไปรอบๆวงอีกครั้งก็สะดุดกับรุ่นพี่?คนหนึ่งที่ยิ้มให้กับคนรอบข้างจนเห็นหลุมลักยิ้มทั้งสองข้าง

     

    “เหมือนเดิมนะชักช้าถูกลงโทษ สามสองหนึ่ง...”  ด้วยความที่ไม่มีเวลาผมจึงรีบวาดรูปรุ่นพี่คนนั้นลงบนกระดาษอีกฝากหนึ่งของผม

     

    “เอาหล่ะ พวกพี่ๆสต๊าฟช่วยตรวจอีกรอบนะว่าใครช้าอีก  ดึงตัวมาได้เลย”  เมื่อรุ่นพี่สต๊าฟตัวเสร็จก็ไม่มีใครวาดรูปเสร็จช้าจึงพยักหน้าให้กับรุ่นพี่ที่เป็นคนบอกกติกา

     

    “กติกาต่อไปง่ายมาก ให้เราไปถามคนที่เราวาดรูปเขาในช่องแรก  ถามอะไรก็ได้ ถามมาให้มากที่สุดและพี่จะสุ่มตัวอย่างถามคำถามที่พี่คิดขึ้นมาเองให้น้องตอบ ถ้าตอบไม่ได้ละก็...หึหึ” เมื่อเริ่มคำถามภายในห้องประชุมของคณะก็เต็มไปด้วยเพื่อนๆและพี่ๆคณะผมเดินถามคำถามกันชุลมุนวุ่นวาย  ส่วนตัวผมก็รีบเดินไปหารุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูท่าก็มีคนอื่นๆในคณะเลือกวาดรูปเธออยู่มากเหมือนกัน  เมื่อผมไปถึงแล้วก็ได้ยืนแต่รอบนอกไม่มีโอกาสได้ถามคำถามเธอเอง

    “เอ้ารีบๆเข้า  พี่ให้เวลาอีกหนึ่งนาทีนะ”  คนทั้งห้องพร้อมใจส่งเสียงให้รุ่นพี่นั้นทุกคน  ผมจึงรีบเร่งจดคำตอบที่ได้มาแม้จะเป็นคนอื่นถาม

     

    “เอาหล่ะหมดเวลา  ทุกคนกลับเข้าที่”

     

    “ไหนๆนายไปถามใครมา”  ชางมินชะโงกมาดูกระดาษคำตอบของผม

     

    “ยุ่งนะ”  ผมหันไปบอกชางมิน  ก่อนที่ผมจะได้พูดประโยคต่อไป  รุ่นพี่ก็พูดขึ้นกติกาข้อต่อไป

     

    “กติกาต่อไปนะ ทำแบบเดิมเลย  แต่แต่เปลี่ยนคนตามที่เราวาดในช่องที่สอง เริ่มได้”  ผมคิดไว้แล้วว่าต้องทำแบบเดิม  แต่คราวนี้เหมือนผมจะเจอศึกหนักกว่าครั้งที่แล้วเพราะคนที่ผมวาดรูปนั้นดูเหมือนคนอื่นก็วาดรูปเขาเยอะเช่นกัน  พี่สาวคนเมื่อกี้ที่ผมไปรอคำตอบว่าเยอะแล้ว  พี่คนนี้เยอะกว่าสองสามเท่าเลย  ผมเลยรีบใช้วิธีการเดิมคือฟังแล้วจดคำตอบจากคนอื่นเลย

     

    “เอาหล่ะๆหมดเวลากลับที่ได้แล้ว”  รุ่นพี่ที่บอกกติกาบอกผ่านไมค์  ผมรีบเดินกลับเข้าที่ทันทีที่พี่เขาเริ่มนับถอยหลัง โดยที่ไม่ทันได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน

     

    “เอาหล่ะอีกสองข้อสุดท้าย  พวกน้องๆก็จะได้รุ่นไปแล้วนะ พี่สต๊าฟช่วยเก็บกระดาษจากทุกคนหน่อย”  ผมและคนอื่นๆก็ส่งกระดาษคำตอบให้รุ่นพี่ที่เป็นสต๊าฟไป

     

    “ทุกคนส่งกระดาษกันหมดแล้วนะ กติกาต่อไปคือจะให้สต๊าฟเป็นคนนับนะว่าใครเป็นผู้ถูกวาดรูปในคำถามข้อแรกมากที่สุด ระหว่างนี้อนุญาตให้ถามชื่อกันไปก่อนนะ ถ้ากลับมาแล้วชี้ถามชื่อกันแล้วตอบไม่ได้คงรู้นะว่าจะเป็นยังไง” พูดจบรุ่นพี่คนนั้นก็รีบหันไปช่วยเพื่อนๆนับกระดาษคำตอบ

     

    “ฉันว่าต้องเป็นฉันแน่ๆ นายว่าไงพุดเดิ้ล” ชางมินพูดออกมาด้วยความภูมิใจ

     

    “หลงตัวเอง” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ

     

    “อ้าวตอบฉันด้วย แสดงว่ายอมรับชื่อที่ฉันตั้งให้แล้วใช่ปะ”

     

    “ผมว่าคนแถวนี้”

     

    “นายยอมรับชื่อนี้ก็ว่ามา”

     

    “ผมว่าคนแถวนี้”

     

    “ก็ช่างดิ แต่ประเด็นคือนายยอมรับชื่อนี้แล้ว”

     

    “ผมว่า...” ยังไม่ทันทะเลาะกับชางมินจบ ก็มีรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง เดินมาสะกิดหลังผม  ผมหันไปตามแรงสะกิด

     

    “คือว่าพี่มีคำถามนิดหน่อยนะ พอดีหาน้องไม่เจอตอนเล่นเกม...

     

    “ครับ?..”

     

    “น้องชื่ออะไรหรอ เรียนสาขาอะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ กรุ๊ปเลือดอะไร เบอร์โทร มีไลน์ไหม น้องชอบทานอะไร ฟังเพลงแนวไหน ชอบฟังเพลงอะไรอยู่” รุ่นพี่ที่มาสะกิดผมถามด้วยความรวดเร็ว

     

    “นี่พี่ถามแบบนี้ระวังแรมสมองของพุดเดิ้ลจะหมดก่อนนะครับ” ชางมินพูดขัดจังหวะขึ้นมาเมื่อได้ยินคำถามที่รุ่นพี่ถาม

     

    “เอ่อครับผมชื่อ...” ผมตอบคำถามเท่าที่ผมจะตอบได้ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณสามสิบวินาที  รุ่นพี่ที่เป็นคนคุมเกมก็ประกาศให้นั่งประจำที่เดิม

     

    “ผลออกมาแล้วนะ  สำหรับคำถามข้อแรกคนที่ถูกเลือกมากที่สุดก็คือ.....ชเวซีวอนปีสาม” ใครนะ ผมเริ่มสงสัย

     

    “โหย คงชนะฉันไปสองแผ่นละม้างงงง ไม่เห็นหน้าตาดีตรงไหนเลย ฉันก็ถูกถามเยอะนะข้อแรกหน่ะ นายว่าไงพุดเดิ้ล” ชางมินคุยกับผม แต่ผมไม่ได้สนใจที่จะฟังเขาเท่าไหร่นัก

     

    “ชเวซีวอนคนไหนหรอ?” ผมถามขึ้นลอยๆมองไปรอบๆวงกลมเหมือนเคย

     

    “ก็ซีวอนนั่นไง นายไม่รู้จักเหรอ”

     

    “ก็ไม่รู้จักนี่” ก่อนที่ผมจะได้ตอบชางมินอีกครั้ง  รุ่นพี่คนเดิมก็ประกาศผ่านไมค์ถึงกติกาข้อต่อไป

     

    “เอาหล่ะๆ ชเวซีวอนเดินมาด้านหน้าด้วย” และแล้วรุ่นพี่คนที่ผมวาดตอบช่องที่สองก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปหารุ่นพี่คนที่ประกาศผ่านไมค์  เมื่อไปถึงก็กระซิบอะไรบางอย่าง ผมเริ่มตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อคนที่ผมวาดรูปได้ไปยืนอยู่ด้านหน้า เพราะผมคิดว่ามันต่อมีอะไรต่อจากนี้แน่ๆ

     

    “วันนี้เราก็ได้พี่ซีวอนปีสามซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือกในข้อแรก”

     

    “กติกาต่อไป.........”

     

    “นายได้วาดรูปเขาปะ?”  ชางมินหันมาถามผมด้วยความสงสัยและด้วยความพยายาม ไม่ทันที่ผมจะตอบเขา  รุ่นพี่ก็พูดต่อไปว่า

     

    “เอาหล่ะ เราจะไม่ใช้กติกาเดิมเมื่อกี้นะ เพราะสต๊าฟเราขี้เกียจนับ...เพราะฉะนั้นช่วยส่งกระดาษคำตอบของซีวอนมาให้หน่อย”  นี่ไม่ยากเลยสักนิด  เขาคงเลือกคนที่รุ่นพี่คนนั้นวาดในช่องที่สองแน่ๆ  ซึ่งอย่างน้อยไม่ใช่ผมชัวร์ๆ เพราะรุ่นพี่คนนั้นไม่ได้เดินมาถามคำถามอะไรผมเลย  สบายใจจัง

     

    “แล้วก็...ทุกคนคงเดาออกสินะว่าจะทำอะไรต่อไป แต่ขอบอกกติกาหน่อยละกันเผื่อมีคนตามไม่ทัน  คือว่าจะเลือกคนที่พี่ซีวอนวาดในช่องที่สองออกมาด้านหน้านะ”

     

    “ไหนพี่ซีวอนวาดใครเนี่ย”  เมื่อรุ่นพี่ได้รับกระดาษคำตอบของพี่ซีวอนอะไรนั่นมาแล้วก็หันให้ทุกคนดู

     

    “โหยเขาวาดอะไรของเขา คนอะไรตาโตเท่าไข่ห่าน ผมก็เป็นคลื่นๆ”  ชางมินที่อยู่ข้างๆผมนั่งวิจารณ์ฝีมือวาดภาพของคนที่ถูกเลือกให้ไปยืนอยู่ด้านหน้าอย่างมันส์ปาก

     

    “ไหนบอกเฉลยให้กับพวกเราทีซิว่าพี่ซีวอนคิดว่าใครที่มีรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดในวันนี้”  ผมมองด้านหน้าและมองไปรอบๆว่าใครมีเค้าเข้ารูปที่พี่คนนั้นวาดบ้างหรือไม่  ในรูปน่าจะเป็นผู้หญิงผมสั้นนะ  เท่าที่ผมเห็นก็มีอยู่สามสี่คนที่ผมสั้น...ต้องตาโตด้วย...ก็ตัดไปอีกสอง  คงเป็นหนึ่งในสองคนนั้นหล่ะมั้ง

    “น่าเบื่อชะมัดเลย  ฉันอยากกลับไปเล่นเกมที่ห้องแล้วนะ”  ชางมินบ่นอุบกับกิจกรรมที่ยาวนานไม่เสร็จไม่สิ้นสักที

     

    “เอ่อ ขอโทษนะครับ” พี่คนนั้นพูดผ่านไมค์...

     

    “พอดีว่าผมไม่ได้มีโอกาสไปถามเขาด้วยตัวของผมเองหน่ะ...”

     

    “....”

     

    “เพราะว่าคำถามทั้งสองข้อทำให้ผมไม่สามารถไปถามเขาได้”

     

    “แหม่ จะบอกว่าตัวเองถูกเลือกตอบเยอะทั้งสองข้อหรือไง”  คนข้างๆผมเนี่ยถ้าหยุดพูดบ้างจะเป็นอะไรไหม ไม่ค่อยให้ความร่วมมือแล้วยังพูดให้รำคาญคนอื่นอีก

     

    “ต้องขอโทษเขาล่วงหน้าด้วยนะครับ”

     

    “.....”  คนทั้งห้องเริ่มสงสัยเพราะดูเหมือนต้องเริ่มเกมใหม่หรอ?

     

    “สงสัยงานนี้น้องๆคงได้กลับดึกกันเพราะเจ้าตัวจำไม่ได้ว่าเลือกใครไว้นะ”  มันเป็นอย่างที่ทุกคนคิดไว้จริงๆ..

     

    “สต๊าฟๆ เตรียมเสร็จแผนสองได้เลยนะ”

     

    “เดี๋ยวครับๆพี่อีทึก  ถึงผมจำไม่ได้  แต่ผมให้เพือนไปถามคำถามเขาตอนพักเบรคแล้วครับ”

     

    “อ้าวจริงหรอ ไหนๆเพื่อนคนไหน”

     

    “ทงเฮๆ บอกทีซิว่าใคร” ก็ดีเหมือนกันนะ ผมก็เริ่มอยากกลับหอแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ก็จะสี่ทุ่มแล้ว  เริ่มหิวข้าวแล้วสิ...ว่าแต่ทงเฮคือใครหล่ะ?

    “ฉันอยู่นี่” ในขณะที่ผมก้มมองนาฬิกาเพื่อเช็คเวลา  คนข้างๆก็สะกิดผมแรงมาก  คราวนี้จะแกล้งหรือบ่นอะไรหล่ะเนี้ย

     

    “นี่คุณอยู่เฉยๆได้ไห---”  ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าชางมิน  หลังจากที่เจ้าตัวเงียบและชี้มือไปยังคนๆหนึ่งที่ยกมือขึ้น

     

    “นายว่าใช่คนที่มาถามคำถามนายหรือเปล่า”  ผมมองไปตามมือของชางมินที่ชี้ไปทางคนนั้น  และแน่นอนว่า.......คนนั้นเป็นคนที่มาถามคำถามผมยาวๆเมื่อกี้  แต่เขาน่าจะถามเพื่อที่จะไปตอบของเขาเองมากกว่านะ ก็เขาบอกเองนี่ว่า....

     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    .
    .
    .

    “คนที่ซีวอนคิดว่ายิ้มน่ารักที่สุดคือน้องคยูฮยอนปีหนึ่งครับ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×