คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องบังเอิญ
บทที่ 1 : เรื่องบังเอิญ
เช้าตรู่ของวันเปิดศักราชใหม่ปี 2020 ตึกรามบ้านช่องต่างประดับตกแต่งด้วยไม้หลากชนิด เชิงเทียนก้านทองเหลืองถูกยกขึ้นแขวนไว้ริมขอบหน้าต่างของทุกบ้าน ตัดกับริบบิ้นสีชมพูขาวที่ห้อยย้อยเป็นสายพู่ลงมา ไม้พุ่มและไม้ยืนต้นผุดขึ้นราวดอกเห็ด เหมือนแสดงความปิติแห่งรุ่งอรุณใหม่ที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามา กระดิ่งสีเงิน ดาวสีรุ้งและกล่องของขวัญขนาดเล็กรายเรียงไปตามขอบถนน หิมะขาวขุ่นร่วงโปรยลงมาแต่คืนก่อนวันงาน ทำให้ทั้งเมืองถูกเนรมิตให้กลายเป็นเหมืองหิมะเล็ก ๆ ในพริบตา ร้านค้าต่างวุ่นวายกับการจัดสภาพของร้านให้เป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวมากที่สุด สัญลักษณ์ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงฉลองครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งคือ กระจกใสรูปข้าวหลามตัดแซมซ่อนกุหลาบดำไว้ภายใน เป็นของขวัญล้ำค่าที่เจ้าของสามารถให้กับคนสำคัญเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นวัยรุ่นชายหญิงต่างเข้าแถวรอซื้อตั้งแต่คืนสุดท้ายก่อนสิ้นปี
เมืองเธเรฮานด์ เป็นดินแดนเพียงแห่งเดียวบนโลกใบนี้ที่จะไม่มีการเฉลิมฉลองในวันสิ้นปีเหมือนอย่างที่แห่งอื่น เพราะค่ำคืนแห่งวันสุดท้ายเปรียบเหมือนการเดินทางไกลที่ต้องจบลง ผู้คนต่างถือว่าเป็นวันแห่งการนอนพักและเป็นวันอำลากับสิ่งเก่าที่ผ่านพบมา การเลี้ยงฉลองในวันดังกล่าวถือเป็นการปลุกความเลวร้ายออกจากห้วงความคิดในจิตใจ เคยมีตำนานเล่าสืบต่อกันมามากมายถึงผลของการฝ่าฝืนความเชื่อนี้ บางคนกลายเป็นบ้าต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลซานเดอร์ธีร์ (โรงพยาบาลสำหรับรักษาบำบัดผู้มีปัญหาทางจิต) บางคนเก็บตัวเงียบตามตรอกซอยมุมอับของถนน บางคนต้องย้ายหนีจากเมืองนี้ไป และที่หนักที่สุดคือการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของทั้งครอบครัว ไม่มีใครพิสูจน์ได้แน่นอนว่าตำนานที่อ้างถึงเป็นจริงหรือไม่ แต่นับเป็นสิบ ๆ ปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าที่จะจัดงานฉลองวันสิ้นปีเลย
ช่วงสายของวัน แสงสีเหลืองอ่อนเริ่มทอลงตัดกับหิมะที่แผ่ปกคลุมบนผืนถนน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหนาของมันลดลงได้ ไอเย็นจากภายนอกยังคงล่องลอยมาสัมผัสกับผู้คนที่เริ่มจอแจกันบนทางเท้า ร้านค้าส่วนใหญ่เริ่มเปิดทำการแล้ว โปรโมชั่นเชิญชวนเริ่มถูกป่าวประกาศทั้งทางเครื่องเสียงหน้าร้าน ใบปลิว โปสเตอร์และรูปแบบการตกแต่งร้านที่เย้ายวนใจเหลือนับคณา เสียงแตรรถยนต์ส่งเสียงประสานเป็นเพลง รถลากวิ่งเหยาะอยู่ขนาบสองฝั่ง ไฟกระพิบด้านบนปรับเปลี่ยนตามสัญญาณของตำรวจจราจร ยิ่งตะวันคล้อยขึ้นสูงมากขึ้นเท่าใด ความแออัดของผู้คนก็มากขึ้นเท่านั้น
"สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชม" นักข่าวสาวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งรายงานสดจากถนนเพนทาวน์ "นี่คือเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ของชุมชนเมืองเธเรฮานด์ โดยในครั้งนี้ดูเหมือนจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าปีก่อนมาก คำขวัญในปีนี้คือสรวงสวรรค์บนหิมะจากแดนไกล บ้านเรือนจะถูกแต่งแต้มด้วยหิมะจากธรรมชาติ ร่วมกับการประดับประดาตามจินตนาการของตนเอง ภาพที่ฉายอยู่เป็นร้านตัดผมชื่อดังที่หน้าร้านแกะสลักน้ำแข็งเป็นกวางตัวผู้ ภาพถัดมาคือร้านอาหารโซนตะวันออกที่แสดงอาหารจำลองไว้ตามทางเข้าร้าน ภาพสุดท้ายคือโรงเบียร์สดที่มีสาวน้อยน่ารักคอยยืนเรียกผู้คนเข้าร้านอยู่ การแต่งกายของปีนี้จะเน้นโทนสีฉูดฉาด ประดับด้วยแก้วเจียระไนตัดกับมุมแสง รองเท้าจะเป็นแบบรัดส้นและยกเหนือพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ทรงผมผู้หญิงจะใช้การดัดเป็นลอนเพื่อเพิ่มเสน่ห์ ส่วนผู้ชายจะใช้เจลแต่งผมให้ตรงและชี้ขึ้น ที่ขาดไม่ได้คือทุกคนต่างถือกระจกใสรูปข้าวหลามตัดกับกุหลาบสีดำข้างใน ซึ่งถือเป็นโลโก้ของงานนี้เลยทีเดียว ในช่วงเย็นท่านประธานาธิบดีเจอร์นาส เปรรากันจะให้เกียรติมากล่าวเปิดงานในวันนี้ด้วย และนี่คือภาพบรรยากาศสด ๆ ของงานเทศกาลเฉลิมฉลองครั้งนี้ ทางสำนักข่าววอลล์เพรสจะรายงานความเคลื่อนไหวในทุกต้นชั่วโมง ดิฉันโชว์ซาน เดอร์ฟัวส์ รายงาน"
"ฉันว่าเราไปหาอะไรดื่มที่ร้านหัวมุมกันดีไหม" ตากล้องเสนอ
"ก็ดีเหมือนกัน" โชว์ซานตอบ "ฉันเห็นป้ายประกาศว่ามีกาแฟรสใหม่มานำเสนอด้วย"
"งั้นฉันเอาอุปกรณ์การถ่ายทำไปเก็บที่รถก่อนแล้วกัน ฝากสั่งแบบเดิมที่ฉันชอบให้ด้วยแล้วกัน"
โชว์ซานเป็นผู้หญิงสวย ผอม สูงประมาณ 170 เซนติเมตร ผมสีทองเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เธอเป็นคนที่ถือว่ามีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามมากจึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อตลอดทางที่เธอเดินไปจะมีชายหนุ่มต้องเหลียวหันกับมามอง เธอเดินมาจนกระทั่งหยุดที่ร้านคอมฟี่เมกเซนต์ หน้าร้านเขียนตัวอักษรสีเหลืองบนพื้นไม้อัดแข็งสีน้ำตาลเข็ม
กาแฟรสใหม่กับความหอมชื่นใจรสเดิม
กาแฟปั่นผลไม้รวม 100 B
กาแฟผงโรยดอกไม้ 200 B
กาแฟคั่วเม็ดอัลมอนด์ 500 B
กาแฟคั่วไข่มุกเงิน 800 B
กาแฟเกล็ดหิมะ 100 S
กาแฟบดสายรุ้ง 200 S
กาแฟสดอบใบเตย 500 S
กาแฟก้อนแช่แข็ง 800 S
กาแฟสูตรใหม่ 1 10 G
กาแฟสูตรใหม่ 2 50 G
กาแฟสูตรใหม่ 3 100 G
เค้กรสต่าง ๆ 10 B
รอยยิ้ม ความสุข เสียงหัวเราะ ความประทับใจ FREE
ของหวาน เค้ก และขนมปังโรยหน้าทุกเมนูที่สั่ง 2 ที่ขึ้นไป
บริการที่เลิศล้ำ บรรยากาศที่เลิศหรู และอาหารที่เลิศรส
ร้านคอมฟี่เมกเซนต์ ที่นี่ ที่เดียวเท่านั้น . . . . . . เพื่อคุณ
วันนี้ดูเหมือนร้านจะคนแน่นเป็นพิเศษ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะหากมาในช่วงวันธรรมดา ที่นั่งแถวหน้าก็มักจะถูกจองเต็มหมดแล้ว ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดด้วยแล้ว ต้องใช้ระบบการจองล่วงหน้าถึงจะสามารถเบียดเอาร่างเข้าไปดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟที่หอมหวาน เคล้ากับเสียงดนตรีคลาสสิกที่บรรเลงตลอดทั้งวัน
"ขอประทานโทษด้วยครับคุณผู้หญิง" บริกรกล่าวอย่างสุภาพ "ทางร้านเราไม่มีที่นั่งว่างแล้ว มิทราบว่าคุณสะดวกที่จะรอหรือไม่ครับ"
"งั้นขอกาแฟสูตรใหม่ 1 สองที่ ไอศกรีมรสมะนาวและช็อคโก้อย่างละที่ก่อนแล้วกัน โต๊ะทางด้านขวาติดหน้าต่างดูเหมือนจะลุกแล้ว ถ้าเขาจ่ายเงินแล้วฉันขอโต๊ะนั้นแล้วกัน"
"ครับ" บริกรโค้งคำนับก่อนจากไป
ไม่ถึงนาทีโชว์ซานก็ได้ที่นั่งอย่างที่เธอต้องการ วันนี้ถือเป็นวันโชคดีของเธออีกวันหนึ่ง เพราะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้นที่เธอจะได้นั่งเกือบจะในทันทีที่เข้าไปในร้าน โต๊ะไม้แกะสลักอย่างดีเป็นรูปต้นไม้ยื่นกิ่งออกมาสองข้าง ด้านบนมีพลาสติกใสแผ่เป็นวงกลมไว้สำหรับวางจาน ถัดออกมามีที่วางถ้วยกาแฟ แก้วน้ำ และโหลใส่ไอศกรีม ผ้าม่านสีเขียวสลับส้มถูกยกพับเก็บไว้ด้านบนเผยให้แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาภายในร้าน ไอเย็นจากภายนอกไม่สามารถแผ่เข้ามาได้ จึงทำให้อากาศภายในร้านอบอุ่นสบาย เสียงหัวเราะดังครึกครื้นไปทั่วทุกตำแหน่ง มีเสียงเลี้ยงฉลองของพนักงานบริษัท เสียงหนุ่มสาวตะโกนโหวกเหวกในหมู่เพื่อน เสียงคู่รักกระซิบกระซาบที่ข้างหู และเสียงวางแผนอะไรสักอย่าง
"แกเตรียมพร้อมทุกอย่างดีแล้วใช่ไหม" ชายเสียงทุ้มพูด
"แกจะกังวลอะไรนักหนา" เสียงที่สองพูดตอบกลับมา
"ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด งานนี้มีตัวเลือกแค่สองอย่างคือมันตาย หรือไม่ก็ . . ."
"มีแค่มันตายเท่านั้น"
"แล้วพวกแกจะมาพูดเรื่องนั้นในร้านนี้ทำไม" เสียงชายคนที่สามพูดขัดขึ้นมา น้ำเสียงดูราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว "ถ้าไม่อยากเป็นอย่างตัวเลือกที่สอง ก็หุบปากแล้วกินกาแฟไปซะ ไม่อย่างนั้นแกอาจจะได้กินลูกปืนแทนก็ได้"
"แกกล้าดียังไงมาสั่ง . . ." ชายคนที่สองระเบิดอารมณ์ออกมา
"ใจเย็นไว้ ไฟล์เลอร์" ชายเสียงทุ้มพูดพร้อมกับดึงแขนเสื้อเพื่อนรักลงมา "ถ้าท่านหัวหน้ารู้คงไม่ค่อยพอใจ ปล่อยให้มันเห่าไปเถอะ เพราะถ้ามันทำงานพลาดเมื่อไร เราคงได้เห็นสภาพที่น่าทุเรศของมันอยู่ดี"
"ฉลาดดีนิ ไอซ์เซอร์" ชายคนที่สามกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "พวกแกนี่เหมาะกับการเป็นคู่หูกันเสียจริง ไฟกับน้ำแข็ง สองสิ่งที่ไม่มีวันจะหลอมรวมกันได้ แต่พวกแกก็ดันมาจับมือกันเป็นคู่นักฆ่ามืออาชีพที่หาคนเทียบได้ยากในยุคนี้ คนหนึ่งแข็งแรงแต่ไร้สมอง ส่วนอีกคนฉลาดแต่ขี้ขลาด ก็เอาเถอะงานนี้ฉันไม่พลาดอยู่แล้ว แกเองก็อย่าให้พลาดแล้วกันเพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันไม่อยากคิดว่าสภาพทุเรศของแกสองคนจะเป็นยังไง"
"แก ไอ้เด็กเวร" ไฟล์เลอร์ยกเสื้อคลุมสีดำเข้มจิ้มไปที่คอของโนทรัสต์ พร้อม ๆ กับความรู้สึกที่มีอะไรมาสัมผัสระหว่างขาของเขา
"ถ้าแกยิง ฉันก็ยิง" โนทรัสต์ตอบ
"เอาปืนออกทั้งคู่แหละ" ไอซ์เซอร์ตัดบท "รีบ ๆ ไปทำงานให้ท่านจะดีกว่า ถ้าอยากฆ่ากันนักเอาไว้หลังเสร็จงานนี้แล้วกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ ได้ตายแทนไอ้พีเจแน่"
ทั้งสองลดปืนลงอย่างไม่เต็มใจนัก แต่สายตายังคงจ้องมองกันและกันอยู่เหมือนกับกำลังรอคอยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ จะได้กระหน่ำยิงให้ร่างพรุนแหลกกันไปข้างหนึ่ง
"คุณผู้หญิงครับ หาของเสร็จหรือยังครับ" ไอซ์เซอร์ถามโชว์ซานที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังแกล้งหาของที่ตกลงบนพื้น
"ก็ฉันยังหาไม่เจอนิค่ะ"
"แต่ผมรู้สึกว่าคุณหานานเกินไปหรือเปล่าครับ และไอ้ของที่ว่านั่นไม่เห็นจะมีอะไรที่มันเกี่ยวของกับโต๊ะพวกเราเลย นี่คุณตั้งใจแอบฟังเราคุยกันหรือเปล่าครับ ถ้าทำเช่นนั้นผมว่ามัน . . ."
"กรุณาให้เกียรติกันด้วยค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน "ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องยุ่งเรื่องของคนอื่น และที่สำคัญปากกาฉันก็หายไปตั้งแต่ฉันเข้ามาในร้านนี้ ถ้าคุณจะช่วยกรุณาดูให้หน่อยว่าข้างใต้โต๊ะคุณมีปากกาฉันไปร่วงอยู่ตรงนั้นหรือไม่ คงจะเป็นน้ำใจที่ดียิ่งเลยค่ะ"
"แต่คุณเข้าร้านมาหลังพวกผมสามคน ตอนนั้นคุณก็ไม่ได้พกปากกาแล้วมันจะมีของแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ" ทั้งสามเริ่มหันมาทางโชว์ซานพร้อมกับชายเสื้อที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย เธอมั่นใจว่าปืนทั้งสามกระบอกกำลังพุ่งเป้ามาที่เธอ ไม่มีเวลาร้องขอความช่วยเหลือหรือวิ่งหนีออกไป ถ้าพวกมันจะฆ่าเธอก็ง่ายมาก ปืนที่เตรียมมาน่าจะเป็นปืนเก็บเสียง แม้จะมีเสียงดังบ้างก็ไม่มีคนสนใจเพราะช่วงเทศกาลอย่างนี้ เสียงอึกทึกครึกโครมเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะได้ยินกัน
"ฉันบอกไปตอนแรกแล้วนิว่า ปากกาหายไปตั้งแต่ฉันเข้ามาในร้านนี้ ถ้าคุณเห็นมันก็แปลก อีกอย่างถ้าคุณไม่ลองก้มดู คุณจะรู้ได้ยังไงว่าอาจจะมีปากกาฉันอยู่ใต้โต๊ะพวกคุณก็ได้"
ไอซ์เซอร์ลองก้มดูใต้โต๊ะในขณะที่ทั้งสองกำลังเล็งปืนไปที่เธอ มีเสียงขลุกขลักสักสองสามครั้งก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมา เขาแกล้งแกว่งมือแรง ๆ ให้เกิดเสียงที่ดูเหมือนกำลังหาบางสิ่งอยู่
"เสียใจด้วยครับคุณผู้หญิง ผมไม่พบอะไรเลยที่เป็นของคุณ และนั่นหมายความว่าคุณตั้งใจที่จะโกหกพวกผมว่าของคุณหาย" เขาลุกขึ้นก้าวไปหาเธออย่างช้า ๆ "เพราะคุณบังเอิญ ไม่ใช่สิ ต้องพูดว่าเพราะคุณตั้งใจแอบฟังเราสามคนคุยกัน"
ใบหน้าของเธอเริ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเลวร้ายที่สุดในชีวิตเช่นนี้มาก่อน สมองของเธอกำลังทำงานอย่างเต็มความสามารถแม้ว่าภายนอกเธอจะหวาดหลัวถึงขีดสุด เธอคิดไปพลางฟังคำพูดของชายแปลกหน้าที่กำลังเดินตรงมาหาเธอ 'ฉันต้องการผู้ช่วย ได้โปรดเถอะอาธานด์ เธอช่วยรีบเข้ามาในร้านนี้ที'
"จะให้ฉันบอกกี่ครั้งว่าปากกาฉันหาย พวกคุณพูดเรื่องอะไรกันฉันจะไปได้ยินได้ยังไงในเมื่อเสียงรอบข้างดังขนาดนี้ ฉันถามคุณหน่อยเถอะ คุณได้ยินเสียงฉันตอนมาหาของแถวโต๊ะคุณหรือไง ถ้าคุณไม่ได้สังเกตฉันมาก่อน"
"คุณเป็นผู้หญิงที่สวยและฉลาดมาก" โนทรัสต์ยิ้มออกมา "แต่ถ้าคุณสังเกตให้ดีนะว่าตรงที่คุณนั่งมันอยู่ต่ำกว่าผม ไม่มีทางที่ปากกาคุณจะไหลมาอยู่ใต้โต๊ะพวกผมได้ ยกเว้นแต่คุณจะปามันมาเท่านั้น"
'นี่มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย' เธอคิด 'ที่ฉันต้องมารับรู้เรื่องบ้า ๆ และยังต้องมาเจอกับคนบ้า ๆ พวกนี้'
"ฉันถามคุณหน่อยนะ คุณเด็กน้อย ถ้าหากว่าปากกาของฉันมันหายไป ฉันจะรู้ไหมว่ามันหายไปโดยวิธีไหน ใช่เธอพูดถูกที่ว่าปากกามันไม่มีทางไปอยู่ใต้โต๊ะเธอได้ ถ้าฉันไม่ได้ปามันไปเอง แต่ถ้ามันเป็นโชคร้ายของฉันเองล่ะ เธอก็จะได้คำตอบที่ว่ามันไปอยู่ใต้โต๊ะเธอได้อย่างไร"
"จัดการยัยบ้านี้เลย เสียเวลาคุยกับมันอยู่ได้" ไฟล์เลอร์แทรกขึ้น
"นั่นไงปากกาฉัน" โชว์ซานชี้ไปที่ใต้โต๊ะ
ปากกาสแตนเลสเคลือบสีเขียวทองตกอยู่ที่ซอกโต๊ะ ที่ด้ามมีตัวอักษรย่อเอสลักอยู่ เป็นตัวอักษรสีดำ หมึกไหลเยิ้มออกมาล้นปลอก ที่ปลายมีรอยบิ่นถลอกเป็นทางยาวปรากฎอยู่
"คุณบอกว่านี่เป็นปากกาของคุณหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็คงจะบอกได้สินะว่าปากกาด้ามนี้เป็นอย่างไร และทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้"
"ฉันว่าฉันคงไม่ต้องตอบคำถามคุณหรอกนะ" เธอเดินเข้าไปหาชายทั้งสามคน "และฉันคิดว่าฉันควรได้ปากกานี้คืน ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ ก็ขอเชิญไปที่สถานีตำรวจด้วยกันไปตรวจดูว่ามีรอยนิ้วมือของฉันไหม แต่ฉันว่าคุณคงไม่อยากไปสินะ เพราะมันคงจะเสียเวลาของพวกคุณ"
"เอาล่ะ ผมจะคืนปากกาให้คุณก็ได้" โนทรัสต์คว้าปากกามาจากมือไอซ์เซอร์และยื่นมันให้กับเธอ "หากได้ยินจงลืมมันซะ เพราะคุณคงไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเอง จำไว้นะว่าโชคคงไม่เข้าข้างคุณเสมอไป"
ทั้งสามเดิมออกจากร้านไป ทิ้งเงิน 30 G ไว้บนโต๊ะและฝากความหวาดกลัวไว้บนใบหน้าของโชว์ซาน เธอขอบคุณพระเจ้าและอาธานด์ที่มาช่วยเธอไว้ทัน เธอรู้ทันทีที่เห็นปากกาว่ามันเป็นของเขาเพราะมันเป็นของขวัญวันที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นตากล้องมืออาชีพ หมึกที่ไหลเยิ้มกับรอยบิ่นถลอกคงเป็นจากรอยกระแทกกับขอนไม้ที่เป็นที่นั่งของชายสามคนนั้น แต่ที่เธอสงสัยคือเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอตกอยู่ในอันตราย และสิ่งที่จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้คือปากกาเท่านั้น
"เธอเป็นอย่างไรบ้าง" อาธานด์ถาม "ฉันว่าเธอนั่งพักสักครู่แล้วกัน แล้วนี่เธอไม่ได้กินกาแฟสูตรใหม่ 1 เลยเหรอเนี่ย ไอศกรีมก็ละลายหมดแล้ว และ . . ."
"เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าเธอรู้ได้ไงว่าฉันต้องการให้มีปากกาอยู่ใต้โต๊ะ"
"เธอคงกลัวจนลืมไปซินะว่า ไมโครโฟนของเธอต่อถึงหูฟังของฉันโดยตรง ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอก กำลังเก็บอุปกรณ์ในรถอยู่พอดี ก็ได้ยินเสียงเธอบ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียว เสียงบรรยากาศโดยรอบก็ดังมาก ฉันจึงตัดสินใจว่าจะปิดเครื่อง จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้ชายสามคนพูดเรื่องฆ่า ๆ อะไรเนี่ยแหละถึงได้แอบฟังมาตลอด พอมาถึงหน้าร้านก็เห็นว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับพวกเขาและต้องการปากกา ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีเจ้าแท่งนี้แหละที่เธอเคยซื้อให้"
"แล้วเธอเขวี้ยงมันมาใต้โต๊ะเนี่ยนะ"
"เปล่าเลย" เขายิ้มหัวเราะ "ฉันปลอมเป็นบริกรเอาน้ำไปบริการที่โต๊ะด้านซ้ายมือ เจ้าสามคนนั้นกำลังเพ่งเล็งไปที่เธอ แล้วฉันก็ฉวยจังหวะที่เจ้าตัวใหญ่ ๆ มันตะโกนขึ้นมาแหละค่อยปล่อยปากกาลงไป ที่หมึกมันเยิ้มกับรอยบิ่นฉันก็ทำเตรียมไว้แต่แรก เพราะให้คิดว่าเป็นการปามาจากที่อื่นหรือไม่ก็กระเด็นมาจากอีกทีหนึ่ง ถ้าสภาพปากกายังดีอยู่มันก็คงดูเป็นการจงใจมาวางเสียมากกว่า แต่วิธีนี้ก็ถือว่าเสี่ยง เพราะอย่างที่เจ้าเด็กนั่นมันพูดก็ถูกที่ว่าปากกาจะมาอยู่ใต้โต๊ะได้ถ้าไม่ได้ปามา ก็ต้องเป็นเพราะความโชคร้ายของเธอ"
"ซึ่งฉันก็แกล้งใช้ความโชคร้ายนั่น ทำให้มีชีวิตรอดมาได้"
"ถูกต้อง"
"แต่เธอก็เก่งมากเลยนะ เพราะฉันเองยังคิดเลยว่าเธอเขวี้ยงปากกามาให้ เจ้าพวกนั้นมันก็คงตรวจดูแล้วแหละว่าฉันมาคนเดียว เลยคิดว่าคงเป็นความโชคร้ายของฉันจริง ๆ ที่ทำปากกาหายมากกว่าแกล้งทำ"
"ช่างเถอะอย่างน้อยเรื่องร้าย ๆ ก็ผ่านไปแล้ว เธอก็พักกินกาแฟก่อนดีกว่า เพราะฉันมั่นใจว่าเรื่องร้ายแรงกว่ากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแน่"
ความคิดเห็น