ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ag : นักรบสีเงิน

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องบังเอิญ

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 50


    บทที่   1   :   เรื่องบังเอิญ

                    เช้าตรู่ของวันเปิดศักราชใหม่ปี  2020   ตึกรามบ้านช่องต่างประดับตกแต่งด้วยไม้หลากชนิด   เชิงเทียนก้านทองเหลืองถูกยกขึ้นแขวนไว้ริมขอบหน้าต่างของทุกบ้าน  ตัดกับริบบิ้นสีชมพูขาวที่ห้อยย้อยเป็นสายพู่ลงมา  ไม้พุ่มและไม้ยืนต้นผุดขึ้นราวดอกเห็ด เหมือนแสดงความปิติแห่งรุ่งอรุณใหม่ที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามา  กระดิ่งสีเงิน  ดาวสีรุ้งและกล่องของขวัญขนาดเล็กรายเรียงไปตามขอบถนน  หิมะขาวขุ่นร่วงโปรยลงมาแต่คืนก่อนวันงาน  ทำให้ทั้งเมืองถูกเนรมิตให้กลายเป็นเหมืองหิมะเล็ก ๆ ในพริบตา  ร้านค้าต่างวุ่นวายกับการจัดสภาพของร้านให้เป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวมากที่สุด  สัญลักษณ์ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงฉลองครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งคือ  กระจกใสรูปข้าวหลามตัดแซมซ่อนกุหลาบดำไว้ภายใน  เป็นของขวัญล้ำค่าที่เจ้าของสามารถให้กับคนสำคัญเพียงคนเดียวเท่านั้น  จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นวัยรุ่นชายหญิงต่างเข้าแถวรอซื้อตั้งแต่คืนสุดท้ายก่อนสิ้นปี

                    เมืองเธเรฮานด์  เป็นดินแดนเพียงแห่งเดียวบนโลกใบนี้ที่จะไม่มีการเฉลิมฉลองในวันสิ้นปีเหมือนอย่างที่แห่งอื่น  เพราะค่ำคืนแห่งวันสุดท้ายเปรียบเหมือนการเดินทางไกลที่ต้องจบลง  ผู้คนต่างถือว่าเป็นวันแห่งการนอนพักและเป็นวันอำลากับสิ่งเก่าที่ผ่านพบมา  การเลี้ยงฉลองในวันดังกล่าวถือเป็นการปลุกความเลวร้ายออกจากห้วงความคิดในจิตใจ  เคยมีตำนานเล่าสืบต่อกันมามากมายถึงผลของการฝ่าฝืนความเชื่อนี้  บางคนกลายเป็นบ้าต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลซานเดอร์ธีร์  (โรงพยาบาลสำหรับรักษาบำบัดผู้มีปัญหาทางจิต)  บางคนเก็บตัวเงียบตามตรอกซอยมุมอับของถนน  บางคนต้องย้ายหนีจากเมืองนี้ไป  และที่หนักที่สุดคือการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของทั้งครอบครัว  ไม่มีใครพิสูจน์ได้แน่นอนว่าตำนานที่อ้างถึงเป็นจริงหรือไม่  แต่นับเป็นสิบ ๆ ปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าที่จะจัดงานฉลองวันสิ้นปีเลย


                   
    ช่วงสายของวัน แสงสีเหลืองอ่อนเริ่มทอลงตัดกับหิมะที่แผ่ปกคลุมบนผืนถนน  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหนาของมันลดลงได้  ไอเย็นจากภายนอกยังคงล่องลอยมาสัมผัสกับผู้คนที่เริ่มจอแจกันบนทางเท้า  ร้านค้าส่วนใหญ่เริ่มเปิดทำการแล้ว  โปรโมชั่นเชิญชวนเริ่มถูกป่าวประกาศทั้งทางเครื่องเสียงหน้าร้าน  ใบปลิว  โปสเตอร์และรูปแบบการตกแต่งร้านที่เย้ายวนใจเหลือนับคณา  เสียงแตรรถยนต์ส่งเสียงประสานเป็นเพลง  รถลากวิ่งเหยาะอยู่ขนาบสองฝั่ง  ไฟกระพิบด้านบนปรับเปลี่ยนตามสัญญาณของตำรวจจราจร  ยิ่งตะวันคล้อยขึ้นสูงมากขึ้นเท่าใด  ความแออัดของผู้คนก็มากขึ้นเท่านั้น

                    "สวัสดีค่ะ  ท่านผู้ชม"  นักข่าวสาวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งรายงานสดจากถนนเพนทาวน์  "นี่คือเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ของชุมชนเมืองเธเรฮานด์  โดยในครั้งนี้ดูเหมือนจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าปีก่อนมาก  คำขวัญในปีนี้คือสรวงสวรรค์บนหิมะจากแดนไกล  บ้านเรือนจะถูกแต่งแต้มด้วยหิมะจากธรรมชาติ  ร่วมกับการประดับประดาตามจินตนาการของตนเอง  ภาพที่ฉายอยู่เป็นร้านตัดผมชื่อดังที่หน้าร้านแกะสลักน้ำแข็งเป็นกวางตัวผู้  ภาพถัดมาคือร้านอาหารโซนตะวันออกที่แสดงอาหารจำลองไว้ตามทางเข้าร้าน  ภาพสุดท้ายคือโรงเบียร์สดที่มีสาวน้อยน่ารักคอยยืนเรียกผู้คนเข้าร้านอยู่  การแต่งกายของปีนี้จะเน้นโทนสีฉูดฉาด  ประดับด้วยแก้วเจียระไนตัดกับมุมแสง  รองเท้าจะเป็นแบบรัดส้นและยกเหนือพื้นขึ้นมาเล็กน้อย  ทรงผมผู้หญิงจะใช้การดัดเป็นลอนเพื่อเพิ่มเสน่ห์  ส่วนผู้ชายจะใช้เจลแต่งผมให้ตรงและชี้ขึ้น  ที่ขาดไม่ได้คือทุกคนต่างถือกระจกใสรูปข้าวหลามตัดกับกุหลาบสีดำข้างใน   ซึ่งถือเป็นโลโก้ของงานนี้เลยทีเดียว    ในช่วงเย็นท่านประธานาธิบดีเจอร์นาส  เปรรากันจะให้เกียรติมากล่าวเปิดงานในวันนี้ด้วย   และนี่คือภาพบรรยากาศสด ๆ ของงานเทศกาลเฉลิมฉลองครั้งนี้  ทางสำนักข่าววอลล์เพรสจะรายงานความเคลื่อนไหวในทุกต้นชั่วโมง  ดิฉันโชว์ซาน  เดอร์ฟัวส์  รายงาน"

                    "ฉันว่าเราไปหาอะไรดื่มที่ร้านหัวมุมกันดีไหม"  ตากล้องเสนอ

                    "ก็ดีเหมือนกัน"  โชว์ซานตอบ  "ฉันเห็นป้ายประกาศว่ามีกาแฟรสใหม่มานำเสนอด้วย"

                    "งั้นฉันเอาอุปกรณ์การถ่ายทำไปเก็บที่รถก่อนแล้วกัน  ฝากสั่งแบบเดิมที่ฉันชอบให้ด้วยแล้วกัน"

                    โชว์ซานเป็นผู้หญิงสวย  ผอม  สูงประมาณ  170  เซนติเมตร  ผมสีทองเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน  เธอเป็นคนที่ถือว่ามีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามมากจึงไม่น่าแปลกใจ  เมื่อตลอดทางที่เธอเดินไปจะมีชายหนุ่มต้องเหลียวหันกับมามอง  เธอเดินมาจนกระทั่งหยุดที่ร้านคอมฟี่เมกเซนต์  หน้าร้านเขียนตัวอักษรสีเหลืองบนพื้นไม้อัดแข็งสีน้ำตาลเข็ม

    กาแฟรสใหม่กับความหอมชื่นใจรสเดิม

                    กาแฟปั่นผลไม้รวม                                                             100         B

                    กาแฟผงโรยดอกไม้                                                            200         B

                    กาแฟคั่วเม็ดอัลมอนด์                                                        500         B

                    กาแฟคั่วไข่มุกเงิน                                                               800         B

                    กาแฟเกล็ดหิมะ                                                                   100        S

                    กาแฟบดสายรุ้ง                                                                    200         S

                    กาแฟสดอบใบเตย                                                               500         S

                    กาแฟก้อนแช่แข็ง                                                               800         S

                    กาแฟสูตรใหม่  1                                                                  10         G

                    กาแฟสูตรใหม่  2                                                                 50          G

                    กาแฟสูตรใหม่  3                                                             100            G

                    เค้กรสต่าง ๆ                                                                         10           B

                    รอยยิ้ม  ความสุข  เสียงหัวเราะ  ความประทับใจ         FREE

    ของหวาน  เค้ก  และขนมปังโรยหน้าทุกเมนูที่สั่ง  2  ที่ขึ้นไป

    บริการที่เลิศล้ำ   บรรยากาศที่เลิศหรู  และอาหารที่เลิศรส

    ร้านคอมฟี่เมกเซนต์  ที่นี่  ที่เดียวเท่านั้น . . . . . .   เพื่อคุณ

                    วันนี้ดูเหมือนร้านจะคนแน่นเป็นพิเศษ  ซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะหากมาในช่วงวันธรรมดา  ที่นั่งแถวหน้าก็มักจะถูกจองเต็มหมดแล้ว  ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดด้วยแล้ว  ต้องใช้ระบบการจองล่วงหน้าถึงจะสามารถเบียดเอาร่างเข้าไปดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟที่หอมหวาน  เคล้ากับเสียงดนตรีคลาสสิกที่บรรเลงตลอดทั้งวัน

                    "ขอประทานโทษด้วยครับคุณผู้หญิง"  บริกรกล่าวอย่างสุภาพ  "ทางร้านเราไม่มีที่นั่งว่างแล้ว  มิทราบว่าคุณสะดวกที่จะรอหรือไม่ครับ"

                    "งั้นขอกาแฟสูตรใหม่  1  สองที่  ไอศกรีมรสมะนาวและช็อคโก้อย่างละที่ก่อนแล้วกัน  โต๊ะทางด้านขวาติดหน้าต่างดูเหมือนจะลุกแล้ว  ถ้าเขาจ่ายเงินแล้วฉันขอโต๊ะนั้นแล้วกัน"

                    "ครับ"  บริกรโค้งคำนับก่อนจากไป

                    ไม่ถึงนาทีโชว์ซานก็ได้ที่นั่งอย่างที่เธอต้องการ  วันนี้ถือเป็นวันโชคดีของเธออีกวันหนึ่ง  เพราะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้นที่เธอจะได้นั่งเกือบจะในทันทีที่เข้าไปในร้าน  โต๊ะไม้แกะสลักอย่างดีเป็นรูปต้นไม้ยื่นกิ่งออกมาสองข้าง  ด้านบนมีพลาสติกใสแผ่เป็นวงกลมไว้สำหรับวางจาน  ถัดออกมามีที่วางถ้วยกาแฟ  แก้วน้ำ  และโหลใส่ไอศกรีม   ผ้าม่านสีเขียวสลับส้มถูกยกพับเก็บไว้ด้านบนเผยให้แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาภายในร้าน  ไอเย็นจากภายนอกไม่สามารถแผ่เข้ามาได้  จึงทำให้อากาศภายในร้านอบอุ่นสบาย  เสียงหัวเราะดังครึกครื้นไปทั่วทุกตำแหน่ง  มีเสียงเลี้ยงฉลองของพนักงานบริษัท  เสียงหนุ่มสาวตะโกนโหวกเหวกในหมู่เพื่อน  เสียงคู่รักกระซิบกระซาบที่ข้างหู  และเสียงวางแผนอะไรสักอย่าง

                    "แกเตรียมพร้อมทุกอย่างดีแล้วใช่ไหม"  ชายเสียงทุ้มพูด

                    "แกจะกังวลอะไรนักหนา"  เสียงที่สองพูดตอบกลับมา

                    "ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด  งานนี้มีตัวเลือกแค่สองอย่างคือมันตาย  หรือไม่ก็ . . ."

                    "มีแค่มันตายเท่านั้น"

                    "แล้วพวกแกจะมาพูดเรื่องนั้นในร้านนี้ทำไม"  เสียงชายคนที่สามพูดขัดขึ้นมา น้ำเสียงดูราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว  "ถ้าไม่อยากเป็นอย่างตัวเลือกที่สอง  ก็หุบปากแล้วกินกาแฟไปซะ  ไม่อย่างนั้นแกอาจจะได้กินลูกปืนแทนก็ได้"

                    "แกกล้าดียังไงมาสั่ง . . ."  ชายคนที่สองระเบิดอารมณ์ออกมา

                    "ใจเย็นไว้   ไฟล์เลอร์"  ชายเสียงทุ้มพูดพร้อมกับดึงแขนเสื้อเพื่อนรักลงมา  "ถ้าท่านหัวหน้ารู้คงไม่ค่อยพอใจ   ปล่อยให้มันเห่าไปเถอะ  เพราะถ้ามันทำงานพลาดเมื่อไร  เราคงได้เห็นสภาพที่น่าทุเรศของมันอยู่ดี"

                    "ฉลาดดีนิ    ไอซ์เซอร์"  ชายคนที่สามกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  "พวกแกนี่เหมาะกับการเป็นคู่หูกันเสียจริง  ไฟกับน้ำแข็ง  สองสิ่งที่ไม่มีวันจะหลอมรวมกันได้  แต่พวกแกก็ดันมาจับมือกันเป็นคู่นักฆ่ามืออาชีพที่หาคนเทียบได้ยากในยุคนี้  คนหนึ่งแข็งแรงแต่ไร้สมอง  ส่วนอีกคนฉลาดแต่ขี้ขลาด  ก็เอาเถอะงานนี้ฉันไม่พลาดอยู่แล้ว  แกเองก็อย่าให้พลาดแล้วกันเพราะถ้าเป็นอย่างนั้น  ฉันไม่อยากคิดว่าสภาพทุเรศของแกสองคนจะเป็นยังไง"

                    "แก  ไอ้เด็กเวร" ไฟล์เลอร์ยกเสื้อคลุมสีดำเข้มจิ้มไปที่คอของโนทรัสต์  พร้อม ๆ กับความรู้สึกที่มีอะไรมาสัมผัสระหว่างขาของเขา

                    "ถ้าแกยิง  ฉันก็ยิง"  โนทรัสต์ตอบ

                    "เอาปืนออกทั้งคู่แหละ"  ไอซ์เซอร์ตัดบท  "รีบ ๆ  ไปทำงานให้ท่านจะดีกว่า  ถ้าอยากฆ่ากันนักเอาไว้หลังเสร็จงานนี้แล้วกัน  ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันอยู่แบบนี้  ได้ตายแทนไอ้พีเจแน่"

                    ทั้งสองลดปืนลงอย่างไม่เต็มใจนัก  แต่สายตายังคงจ้องมองกันและกันอยู่เหมือนกับกำลังรอคอยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ จะได้กระหน่ำยิงให้ร่างพรุนแหลกกันไปข้างหนึ่ง

                    "คุณผู้หญิงครับ  หาของเสร็จหรือยังครับ"  ไอซ์เซอร์ถามโชว์ซานที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังแกล้งหาของที่ตกลงบนพื้น

                    "ก็ฉันยังหาไม่เจอนิค่ะ" 

                    "แต่ผมรู้สึกว่าคุณหานานเกินไปหรือเปล่าครับ  และไอ้ของที่ว่านั่นไม่เห็นจะมีอะไรที่มันเกี่ยวของกับโต๊ะพวกเราเลย  นี่คุณตั้งใจแอบฟังเราคุยกันหรือเปล่าครับ  ถ้าทำเช่นนั้นผมว่ามัน . . ."

                    "กรุณาให้เกียรติกันด้วยค่ะ"  เธอตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน  "ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องยุ่งเรื่องของคนอื่น  และที่สำคัญปากกาฉันก็หายไปตั้งแต่ฉันเข้ามาในร้านนี้  ถ้าคุณจะช่วยกรุณาดูให้หน่อยว่าข้างใต้โต๊ะคุณมีปากกาฉันไปร่วงอยู่ตรงนั้นหรือไม่  คงจะเป็นน้ำใจที่ดียิ่งเลยค่ะ"

                    "แต่คุณเข้าร้านมาหลังพวกผมสามคน  ตอนนั้นคุณก็ไม่ได้พกปากกาแล้วมันจะมีของแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ"  ทั้งสามเริ่มหันมาทางโชว์ซานพร้อมกับชายเสื้อที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย  เธอมั่นใจว่าปืนทั้งสามกระบอกกำลังพุ่งเป้ามาที่เธอ  ไม่มีเวลาร้องขอความช่วยเหลือหรือวิ่งหนีออกไป  ถ้าพวกมันจะฆ่าเธอก็ง่ายมาก  ปืนที่เตรียมมาน่าจะเป็นปืนเก็บเสียง  แม้จะมีเสียงดังบ้างก็ไม่มีคนสนใจเพราะช่วงเทศกาลอย่างนี้  เสียงอึกทึกครึกโครมเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะได้ยินกัน

                    "ฉันบอกไปตอนแรกแล้วนิว่า  ปากกาหายไปตั้งแต่ฉันเข้ามาในร้านนี้  ถ้าคุณเห็นมันก็แปลก  อีกอย่างถ้าคุณไม่ลองก้มดู  คุณจะรู้ได้ยังไงว่าอาจจะมีปากกาฉันอยู่ใต้โต๊ะพวกคุณก็ได้"

                    ไอซ์เซอร์ลองก้มดูใต้โต๊ะในขณะที่ทั้งสองกำลังเล็งปืนไปที่เธอ  มีเสียงขลุกขลักสักสองสามครั้งก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมา  เขาแกล้งแกว่งมือแรง ๆ ให้เกิดเสียงที่ดูเหมือนกำลังหาบางสิ่งอยู่

                    "เสียใจด้วยครับคุณผู้หญิง  ผมไม่พบอะไรเลยที่เป็นของคุณ  และนั่นหมายความว่าคุณตั้งใจที่จะโกหกพวกผมว่าของคุณหาย"  เขาลุกขึ้นก้าวไปหาเธออย่างช้า ๆ  "เพราะคุณบังเอิญ  ไม่ใช่สิ  ต้องพูดว่าเพราะคุณตั้งใจแอบฟังเราสามคนคุยกัน"

                    ใบหน้าของเธอเริ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด  เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเลวร้ายที่สุดในชีวิตเช่นนี้มาก่อน  สมองของเธอกำลังทำงานอย่างเต็มความสามารถแม้ว่าภายนอกเธอจะหวาดหลัวถึงขีดสุด  เธอคิดไปพลางฟังคำพูดของชายแปลกหน้าที่กำลังเดินตรงมาหาเธอ  'ฉันต้องการผู้ช่วย  ได้โปรดเถอะอาธานด์  เธอช่วยรีบเข้ามาในร้านนี้ที'

                    "จะให้ฉันบอกกี่ครั้งว่าปากกาฉันหาย  พวกคุณพูดเรื่องอะไรกันฉันจะไปได้ยินได้ยังไงในเมื่อเสียงรอบข้างดังขนาดนี้  ฉันถามคุณหน่อยเถอะ  คุณได้ยินเสียงฉันตอนมาหาของแถวโต๊ะคุณหรือไง  ถ้าคุณไม่ได้สังเกตฉันมาก่อน"

                    "คุณเป็นผู้หญิงที่สวยและฉลาดมาก"  โนทรัสต์ยิ้มออกมา  "แต่ถ้าคุณสังเกตให้ดีนะว่าตรงที่คุณนั่งมันอยู่ต่ำกว่าผม  ไม่มีทางที่ปากกาคุณจะไหลมาอยู่ใต้โต๊ะพวกผมได้  ยกเว้นแต่คุณจะปามันมาเท่านั้น"

                    'นี่มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย'  เธอคิด  'ที่ฉันต้องมารับรู้เรื่องบ้า ๆ และยังต้องมาเจอกับคนบ้า ๆ พวกนี้'

                    "ฉันถามคุณหน่อยนะ  คุณเด็กน้อย  ถ้าหากว่าปากกาของฉันมันหายไป  ฉันจะรู้ไหมว่ามันหายไปโดยวิธีไหน  ใช่เธอพูดถูกที่ว่าปากกามันไม่มีทางไปอยู่ใต้โต๊ะเธอได้  ถ้าฉันไม่ได้ปามันไปเอง  แต่ถ้ามันเป็นโชคร้ายของฉันเองล่ะ  เธอก็จะได้คำตอบที่ว่ามันไปอยู่ใต้โต๊ะเธอได้อย่างไร"

                    "จัดการยัยบ้านี้เลย  เสียเวลาคุยกับมันอยู่ได้"  ไฟล์เลอร์แทรกขึ้น

                    "นั่นไงปากกาฉัน"  โชว์ซานชี้ไปที่ใต้โต๊ะ

                    ปากกาสแตนเลสเคลือบสีเขียวทองตกอยู่ที่ซอกโต๊ะ  ที่ด้ามมีตัวอักษรย่อเอสลักอยู่  เป็นตัวอักษรสีดำ  หมึกไหลเยิ้มออกมาล้นปลอก  ที่ปลายมีรอยบิ่นถลอกเป็นทางยาวปรากฎอยู่

                    "คุณบอกว่านี่เป็นปากกาของคุณหรือ  ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็คงจะบอกได้สินะว่าปากกาด้ามนี้เป็นอย่างไร  และทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้"

                    "ฉันว่าฉันคงไม่ต้องตอบคำถามคุณหรอกนะ"  เธอเดินเข้าไปหาชายทั้งสามคน  "และฉันคิดว่าฉันควรได้ปากกานี้คืน  ถ้าคุณต้องการพิสูจน์  ก็ขอเชิญไปที่สถานีตำรวจด้วยกันไปตรวจดูว่ามีรอยนิ้วมือของฉันไหม  แต่ฉันว่าคุณคงไม่อยากไปสินะ  เพราะมันคงจะเสียเวลาของพวกคุณ"

                    "เอาล่ะ  ผมจะคืนปากกาให้คุณก็ได้"  โนทรัสต์คว้าปากกามาจากมือไอซ์เซอร์และยื่นมันให้กับเธอ  "หากได้ยินจงลืมมันซะ  เพราะคุณคงไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องของตนเอง  จำไว้นะว่าโชคคงไม่เข้าข้างคุณเสมอไป"

                    ทั้งสามเดิมออกจากร้านไป  ทิ้งเงิน  30 G  ไว้บนโต๊ะและฝากความหวาดกลัวไว้บนใบหน้าของโชว์ซาน  เธอขอบคุณพระเจ้าและอาธานด์ที่มาช่วยเธอไว้ทัน  เธอรู้ทันทีที่เห็นปากกาว่ามันเป็นของเขาเพราะมันเป็นของขวัญวันที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นตากล้องมืออาชีพ  หมึกที่ไหลเยิ้มกับรอยบิ่นถลอกคงเป็นจากรอยกระแทกกับขอนไม้ที่เป็นที่นั่งของชายสามคนนั้น  แต่ที่เธอสงสัยคือเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอตกอยู่ในอันตราย  และสิ่งที่จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้คือปากกาเท่านั้น

                    "เธอเป็นอย่างไรบ้าง"  อาธานด์ถาม  "ฉันว่าเธอนั่งพักสักครู่แล้วกัน  แล้วนี่เธอไม่ได้กินกาแฟสูตรใหม่  1  เลยเหรอเนี่ย  ไอศกรีมก็ละลายหมดแล้ว  และ . . ."

                    "เรื่องนั้นช่างมันเถอะ  ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าเธอรู้ได้ไงว่าฉันต้องการให้มีปากกาอยู่ใต้โต๊ะ"

                    "เธอคงกลัวจนลืมไปซินะว่า  ไมโครโฟนของเธอต่อถึงหูฟังของฉันโดยตรง  ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอก  กำลังเก็บอุปกรณ์ในรถอยู่พอดี  ก็ได้ยินเสียงเธอบ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียว  เสียงบรรยากาศโดยรอบก็ดังมาก  ฉันจึงตัดสินใจว่าจะปิดเครื่อง  จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้ชายสามคนพูดเรื่องฆ่า ๆ อะไรเนี่ยแหละถึงได้แอบฟังมาตลอด  พอมาถึงหน้าร้านก็เห็นว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับพวกเขาและต้องการปากกา  ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีเจ้าแท่งนี้แหละที่เธอเคยซื้อให้"

                    "แล้วเธอเขวี้ยงมันมาใต้โต๊ะเนี่ยนะ"

                    "เปล่าเลย"  เขายิ้มหัวเราะ  "ฉันปลอมเป็นบริกรเอาน้ำไปบริการที่โต๊ะด้านซ้ายมือ  เจ้าสามคนนั้นกำลังเพ่งเล็งไปที่เธอ  แล้วฉันก็ฉวยจังหวะที่เจ้าตัวใหญ่ ๆ มันตะโกนขึ้นมาแหละค่อยปล่อยปากกาลงไป  ที่หมึกมันเยิ้มกับรอยบิ่นฉันก็ทำเตรียมไว้แต่แรก  เพราะให้คิดว่าเป็นการปามาจากที่อื่นหรือไม่ก็กระเด็นมาจากอีกทีหนึ่ง  ถ้าสภาพปากกายังดีอยู่มันก็คงดูเป็นการจงใจมาวางเสียมากกว่า  แต่วิธีนี้ก็ถือว่าเสี่ยง  เพราะอย่างที่เจ้าเด็กนั่นมันพูดก็ถูกที่ว่าปากกาจะมาอยู่ใต้โต๊ะได้ถ้าไม่ได้ปามา  ก็ต้องเป็นเพราะความโชคร้ายของเธอ"

                    "ซึ่งฉันก็แกล้งใช้ความโชคร้ายนั่น  ทำให้มีชีวิตรอดมาได้"

                    "ถูกต้อง"

                    "แต่เธอก็เก่งมากเลยนะ  เพราะฉันเองยังคิดเลยว่าเธอเขวี้ยงปากกามาให้  เจ้าพวกนั้นมันก็คงตรวจดูแล้วแหละว่าฉันมาคนเดียว  เลยคิดว่าคงเป็นความโชคร้ายของฉันจริง ๆ ที่ทำปากกาหายมากกว่าแกล้งทำ"

                    "ช่างเถอะอย่างน้อยเรื่องร้าย ๆ ก็ผ่านไปแล้ว  เธอก็พักกินกาแฟก่อนดีกว่า  เพราะฉันมั่นใจว่าเรื่องร้ายแรงกว่ากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแน่"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×