ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กาลครั้งหนึ่งของนักเล่านิทาน

    ลำดับตอนที่ #2 : ชายหนุ่มแปลกหน้า(100%)

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 51


          

    เดินไป.....

                      ........จงเดินไปสิ

                      เดินต่อไปเรื่อยๆ......จนกว่าแรงที่มีอยู่จะหมด...

                      จงเดินไป.....ชะตาของเจ้า..

                       .... กำหนดทางไว้ให้แล้ว    

    .........สิ่งเดียวที่เจ้าเลือกได้.....

                       ....คือ เดิน หรือ หยุด...เท่านั้น

    ......................................................................................................................................

         ชายหนุ่มนั่งลงบาเก้าอี้ฝุ่นเขรอะ ที่สภาพของมันไม่ได้ต่างไปต่างโต๊ะผุๆ กับหน้าต่างและเพดานที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแลหอยู่ภายในวันก็2วัน ส่วนผู้นำทางร่างเล็กก็เดินหายเข้าไปในประตูเก่าๆใกล้พังเช่นกัน สัณนิฐานได้ว่าคงเป็นห้องครัว เพราะมันเป็นประตู2บานที่แบบที่เปิด-ปิดเข้าหากัน

     

         เค้าเพิ่งเดินทางมาจากเมืองท่าที่ เอยูซิล ความจริงเค้าน้าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปแล้ว ถ้าไม่เกิดฝนตกหนัก จนรถลากประจำทางที่จะเข้าเมืองหลวงเกิดอุบัติเหตุ  ทำให้เค้าต้องเดินเท้ามาหาที่พักถูกๆซักคืนในเมืองเล็กแห่งนี้  อันที่จริงเค้าก็ไม่คิดว่าจะได้ที่พักฟรีในที่ๆไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยได้เลย

          ซักพักเด็กสาวก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับฟืนกองย่อมๆในอ้อมแขน ดวงตาสีนิลมองมาที่เค้ายังคงเฉยชาเช่นเดิม ชวนให้สงสัยว่าในแววตาที่ถือดีนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ มันไร้ความรู้สึกราวกับเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดใจรับกับสิ่งรอบตัว


       "ที่นี้ไม่มีอาหารเหลืออยู่หรอกนะ ถ้าไม่อยากอดมื้อเย็น ท่านก็ควรไปหาเสบียงมา"วาจาถือดีถูกเอ่ยขึ้นจากเด็กสาว แล้วเดินออกจากประตูบ้าน ตรงไปยังลานกว้างซึ่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน
         ชายหนุ่มยังคงงงๆอยู่ซักพักก็ลุกตามออกไป ตอนเค้าถามหาที่พักกับเด็กสาว เธอเพียงตอบตกลงและพาเค้าเดินมาเรื่อยๆก็พบบ้านหลังนี้ เค้าก็นึกว่าเธออยู่ที่นี่หรือเธอก็คงรู้จักเจ้าของบ้านเสียอีก ถึงให้เค้ามาพักที่นี่  

                       ...แต่นี่... เค้ายังคงหาคำอธิบายอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังพบเจออยู่ดี จนกระทั่งเมื่อครู่เด็กสาวพูดให้เค้าหาอาหาร...

            เขาเดินไปยังที่ๆเด็กสาวกำลังลงมือจุดกองไฟ  แล้วเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัยบ้าง บางทีมันน่าจะช่วยลดช่องว่างระหว่างเข้ากับเธอ

                   "นิ อยู่คนเดียวเหรอเรา.."

                   "....." ความเงียบคือคำตอบ ในขณะที่เด็กสาวเพียงเงยหน้า ส่งสายตาเหมือนรำคาญ แล้วก้มหน้าก้มตาจุดไฟต่อ นั้นพอจะเป็นสัญญาณได้ว่าเขาควรไปหาอาหารได้แล้ว  ก่อนคนรู้หน้าที่อย่างเค้าทำเพียงยิ้มรับแล้วลุกไป พร้อมกับความน่าสงสัยในตัวเด็กสาวก็ทวีความอยากรู้ให้คนอย่างเขา

                  ..................................................................................................................................


          เสียงปะทุในกองเพลิงดังเป็นจังหวะประกอบการรับประทานอาหารมื้อเย็น เด็กสาวนั่งเหม่อมอง.... ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสวาปามหนูนาตัวใหญ่ ที่เขาลงมือไปจับเองถึงท้องนาบริเวณใกล้เคียง
       
          ดวงตะวันส่งแสงสีส้มระเหรื่อที่ขอบหุบเขา ท้องฟ้าส่วนใหญ่ถูกรัตติกาลกลืนกินไปเกือบหมดแล้ว หมู่ดาราทอประการเป็นหย่อมๆด้วยเมฆฝนยังคงไปสร่างไปจากฟ้า ทั่วทั้งเมืองเล็กๆแห่งนี้กำลังตกอยู่ในความเงียบ หุบเขาแห่งนี้มีเพียงชนบทเล็กๆ มีผู้คนอาศัยไม่มากมายนัก  จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะปิดบ้านกันเร็วด้วยเมืองในหุบเขาย่อมมีสัตว์ป่าอยู่มากมายเป็นธรรมดา  

               ...... น่าแปลกที่เด็กสาวตัวคนเดียวสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ 

         ชายหนุ่มคิด นัตย์ตาสีถ่านพายหลังกรอบแว่นเพ่งพินิจมองเด็กสาวเจ้าของผมสีนิลยาวถึงกลางหลัง นัยตาสีเดียวกับผมกำลังจับจ้องหนูนาตัวเขื่องที่เสียบไม้ขนาดพอดีมือ ราวกับกำลังชังใจดูปริมาณความเสี่ยงในการกินเจ้าสัตว์ตัวน้อย 
               
               .......แปลกอีกที่เด็กสาวตัวคนเดียวขยาดที่จะกินหนูนาเพื่อเอาชีวิตรอด
           
             ถึงตอนนี้เด็กสาวเริ่มดมๆตัวหนูนาพลางเหลือบมองชายหนุ่มที่กินอย่างเอร็ดอร่อย  สุดท้ายจึงกัดเข้าไปคำหนึ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกินเข้าไปนานแล้วยังไม่เป็นอะไร แล้วรับรู้ว่ารสชาติพอทานได้ จึงลงมือจัดการหนูนาตรงหน้าต่อ

          ชายหนุ่มมองภาพนั้นเงียบๆพลางขยับยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ทำตอบซักเท่าไหรนัก ยังไงซะเด็กสาวคงไม่เปิดใจเร็วขนาดนั้น

          "นิ กินของเค้าแล้วเมื่อไหรจะตอบคำถามบ้างหละ "

          เด็กสาวแทบจะสะอึกเอาหนูนาออกมา บุญคุณของเค้าเหมือนค้ำคอเธออยู่กลายๆ  เด็กสาวจำใจกลืนหนูลงคอ แล้วมองหน้าชายหนุ่ม

        "ว่าไงหละ  เป็นคนที่ไหนฮะเรา"

         น้ำเสียงน่าฟังชวนนุ้นหู แต่เธอยังคงลังเล เด็กสาวชังใจซักพัก  ชายตรงหน้าดูเป็นคนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าระแวง แต่เพราะความธรรมดานี่แหละ อาจจะแฝงความน่ากลัวเอาไว้กลายๆก็เป็นได้

       "ข้าไม่ใช้คนแถวนี้  " น้ำเสียงเรียบตอบออกไปสั้นๆ

      

      "แล้วพ่อแม่เจ้าหละ " เขาถามต่อ ถึงจะรู้สึกว่าอาจไม่ใช่คำถามที่ดีนัก แต่ความสงสัยนั่นมีมากกว่า และถ้าหากเขารู้ บางทีอาจมีบางอย่างที่พอช่วยได้

        ดวงตาสีนิลหลุบต่ำลง ก้มหน้าก้มตามองกอไฟขนาดหย่อมๆฝีมือตัวเอง เงาไฟสีเพลิงพลิ้วไหวในคลองสายตานั้นดูสว่างไสวเป็นประกาย ถึงจะอยู่ในดวงตาที่มีเพียงหมองหม่น

         ......เงียบนานไปแล้ว เด็กสาวคงไม่อยากตอบ แต่เค้าก็รู้ได้เองจากอาการที่เธอแสดงออกมา ถึงเจ้าตัวจะยังไม่เปิดใจให้เขาเท่าไหร แต่อย่างน้อยเค้าก็มีบางอย่างที่ช่วยเธอได้แล้วในตอนนี้

           ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นหลังจากเก็บหนูนาตัวใหญ่สองตัวลงท้องไปหมดแล้ว ก่อนไป เขาเหลือบมองหนูนาในมือเด็กสาว มันยังถูกกินไปไม่ถึงครึ่ง ไม่ใช่เสียดาย แต่ไม่รู้ว่าเธอจะอิ่มรึเปล่า บางทีเค้าคงจะหาอย่างอื่นมาให้เด็กสาวกิน ถ้าไม่ติดที่เค้ารู้สึกว่าเจ้าหนูนานั้นอร่อยอยู่แล้ว    

     

    ...มันคงไม่ถูกปากเจ้าหล่อน ...หรืออีกอย่างหนึ่ง คำถามบางอย่างคงทำให้อรรถรสในการกินมื้อค่ำลดลงไป

     


        ".....ข้าไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่นั้นแหละ"

     

                ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า หันกลับมามองที่เด็กสาวเจ้าของผมสีรัตติกาล ที่ยังคงก้มหน้ามองกองไฟต่อไป

     

       

      น้ำใสๆหยดน้อยซึมตามขอบตา ริมฝีปากที่พยายามบังคับให้หยุดสั่นกลับสั่งไม่ได้อย่างใจคิด ทำได้เพียงภาวนาให้ชายหนุ่มเดินจากไปเร็วๆ 

     

          ความจริง ก็คือความจริง  เธอไม่มีวันหลีกเหลี่ยงมันไปได้

     

    แต่เมื่อใดกัน.. ที่ใจจะยอมรับความจริงนั่น

     

       เสียงเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ถึงมันจะเบามากจนฟังแทบไม่ได้ แต่ก็ไปสัญญาณที่ดีที่เด็กสาวจะปล่อยหยาดน้ำลงมาโดยไม่ต้องอายใคร  แววตาหม่องหม่นไม่ได้เฉยชาเช่นเดิม มันฉายชัดถึงความเจ็บปวดของการสูญเสีย อาการเจ็บแปลบแล่นเข้าที่หัวใจอย่างช่วยไม่ได้ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าใจสลาย

     

        ทำไมถึงต้องคิดถึงมันอีกนะ ทุกครั้งที่คิดถึงมัน ก็ยิ่งจะปวดร้าวกว่าเดิม

     

    ทำไม  ทำไม

     

         

       สมองพลันหยุดชะงักเมื่อมีบางอย่างสัมผัสที่ศีรษะ พร้อมไออุ่นจากบริเวณข้างลำตัว ความอบอุ่นบางอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานแทรกซึมมาตามผ้าผืนหนาของคนที่เธอนึกดีใจว่าเดินจากไปแล้ว  แต่ความรู้สึกที่มีในตอนนี้นั้นมากกว่าความสมเพชตัวเองที่มีความเข้มแข็งไม่มากพอจะปิดกั้นความเจ็บปวดไว้  น้ำตาที่มักจะปล่อยออกมาทุกครั้งที่มีฝนตกจึงไหลออกมาไม่ขาดสาย

     

    ไม่เป็นไรนะ เราหนะ ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว จำไว้นะเด็กน้อย

      

        น้ำเสียงเสียงนุ่นทอดกระแสอ่อนโยน เช่นเดียวกับมือกร้านที่ลูบไปตามเส้นผมสีนิลมาถึงไหล่บางจนรู้สึกได้ถึงแรงสะอื้นของร่างข้างๆที่สั้นอย่างไม่อาจควบคุม

     

       ความทรงจำในวันฝนตกฉายชัดในมโนภาพ เพราะวันนั้นไม่ได้มีเพียงความหนาวเหน็บของความโดดเดียวเข้าเกาะกุมจิตใจ มีความอบอุ่นในอากาศหนาวเย็บ ที่มาพร้อมความรู้สึกของลางร้ายบางอย่างและความกลัวจับจิต

     

    ไม่เป็นไรๆ ข้าอยู่กับเจ้าอยู่แล้ว  ไม่ต้องกลัว

     

    …………………………………………………………………………..

     เด็กสาวหลับไปแล้ว ท่ามกลางความเสียดายหนูนาที่ตกลงไปในกองเพลิงตอนที่มือของหล่อนคลายออก  ก่อนที่เขาจะอุ้มร่างเล็กไปนอนในบ้าน  ไม่นานหลังจากจัดแจงที่นอนให้ร่างบางด้วยเสื้อคลุ่มที่มีเพียงตัวเดียวของเขา สายฝนก็เทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีของเขาที่ถึงบ้านจะโสรมแสนโสรม แต่มันยังคงทนแดทนฝนได้ดี 

        เสียฝนตกดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียคำรามของท้องฟ้าในอากาศดังก้องกังวาน เด็กสาวที่หลับไปแล้วไม่ได้รู้สึกตัวตื่น จนกระทั้งแสงที่วาบไปทั่วฟ้าสาดผ่านหน้าต่างมายังในบ้านหลังโสรม ชายหนุ่มเห็นบางอย่างแปล่งประการทอแสงเด่นขึ้นมาในความมืด 
         บนคอของเด็กสาวจี้พลอยสีใสแขวนออกมานอกคอเสื้อ ชายหนุ่มเพ่งมองจี้ก่อนจะหยิบมาพินิจดู  ลักษณะของจี้ทำเอาเขาตอ้งขมวดคิ้งเป็นปม  มือหนาขยับแว่นบางอยู่หลายรอบ ก่อนจะวางจี้ไว้ในที่ๆมันควรอยู่

           "ไม่ม่ม่ม่ม่ม่~~.............."

        เสียงของเด็กสาวดังขึ้นจนเขาสดุ้งโหยง  ก่อนเสียงจะเงียบไป  เป็นอันเข้าใจว่าหล่อนคงละเมอเพราะฝันร้าย ดูจากคิ้วบางที่ขมวดลง กับท่าทางกระสับกระส่ายของหล่อนคงเป็นฝันดีไปไม่ได้  

       ชายหนุ่มถอยออกมา กระแสบางอย่างกระจายอยู่ในอากาศบอกให้เขาถอยออกมา บางอย่างที่กระจายมาจากร่างเล็กที่กำลังฝันร้าย

        พลันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดต่อหน้าชายหนุ่ม ไม่ถึงกับแปลกสำหรับเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกับเด็กสาวตรงหน้า ...

                    .......กลุ่มควันสีขุ่นขาวฟุ้งกระจายจากร่างที่กำลังกระสับกระส่าย ก่อนมัยจะรวมเป็นเส้นสาย พัวพันอยู่กายรอบของเด็กสาว....

              หากมองในแง่ดีสำหรับชายหนุ่มที่กำลังตะลึงค้าง...มันคือพรสววค์...

             ...แต่หากมองให้ดีอีกสักหน่อย ...

              
              ...มัน คือ...

                                                      .........คำสาป.........

    ....................................................................................................
    อะโย่~~ จบแล้วค่ะบทที่2 ข้าน้อยทำด่าย~~~~
    มีอะไรติชช่วยบอกด้วยนะค่ะ
    ของคำติอย่างเดียวดีกว่า
    ข้าน้อยว่า สำนวนข้าน้อยยังใช่ไม่ค่อยได้
    หากเรื่องราว ดูน่าเบื่อ น่าสนใจน้อยต้องของโทษด้วยนะเจ้าค่ะ
    ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าแต่งยึดไปรึเปล่า(แถมช้าอีกตะหาก)
    ขอบคุณด้วยค่ะ ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้  ขอบคุณมากๆเลยเจ้าค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×