คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชายหนุ่มแปลกหน้า(100%)
เดินไป.....
........จงเดินไปสิ
เดินต่อไปเรื่อยๆ......จนกว่าแรงที่มีอยู่จะหมด...
จงเดินไป.....ชะตาของเจ้า..
.... กำหนดทางไว้ให้แล้ว
.........สิ่งเดียวที่เจ้าเลือกได้.....
....คือ เดิน หรือ หยุด...เท่านั้น
......................................................................................................................................
ชายหนุ่มนั่งลงบาเก้าอี้ฝุ่นเขรอะ ที่สภาพของมันไม่ได้ต่างไปต่างโต๊ะผุๆ กับหน้าต่างและเพดานที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแลหอยู่ภายในวันก็2วัน ส่วนผู้นำทางร่างเล็กก็เดินหายเข้าไปในประตูเก่าๆใกล้พังเช่นกัน สัณนิฐานได้ว่าคงเป็นห้องครัว เพราะมันเป็นประตู2บานที่แบบที่เปิด-ปิดเข้าหากัน
เค้าเพิ่งเดินทางมาจากเมืองท่าที่ เอยูซิล ความจริงเค้าน้าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปแล้ว ถ้าไม่เกิดฝนตกหนัก จนรถลากประจำทางที่จะเข้าเมืองหลวงเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เค้าต้องเดินเท้ามาหาที่พักถูกๆซักคืนในเมืองเล็กแห่งนี้ อันที่จริงเค้าก็ไม่คิดว่าจะได้ที่พักฟรีในที่ๆไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยได้เลย
ซักพักเด็กสาวก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับฟืนกองย่อมๆในอ้อมแขน ดวงตาสีนิลมองมาที่เค้ายังคงเฉยชาเช่นเดิม ชวนให้สงสัยว่าในแววตาที่ถือดีนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ มันไร้ความรู้สึกราวกับเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดใจรับกับสิ่งรอบตัว
"ที่นี้ไม่มีอาหารเหลืออยู่หรอกนะ ถ้าไม่อยากอดมื้อเย็น ท่านก็ควรไปหาเสบียงมา"วาจาถือดีถูกเอ่ยขึ้นจากเด็กสาว แล้วเดินออกจากประตูบ้าน ตรงไปยังลานกว้างซึ่งอยู่บริเวณหน้าบ้าน
ชายหนุ่มยังคงงงๆอยู่ซักพักก็ลุกตามออกไป ตอนเค้าถามหาที่พักกับเด็กสาว เธอเพียงตอบตกลงและพาเค้าเดินมาเรื่อยๆก็พบบ้านหลังนี้ เค้าก็นึกว่าเธออยู่ที่นี่หรือเธอก็คงรู้จักเจ้าของบ้านเสียอีก ถึงให้เค้ามาพักที่นี่
...แต่นี่... เค้ายังคงหาคำอธิบายอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังพบเจออยู่ดี จนกระทั่งเมื่อครู่เด็กสาวพูดให้เค้าหาอาหาร...
เขาเดินไปยังที่ๆเด็กสาวกำลังลงมือจุดกองไฟ แล้วเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัยบ้าง บางทีมันน่าจะช่วยลดช่องว่างระหว่างเข้ากับเธอ
"นิ อยู่คนเดียวเหรอเรา.."
"....." ความเงียบคือคำตอบ ในขณะที่เด็กสาวเพียงเงยหน้า ส่งสายตาเหมือนรำคาญ แล้วก้มหน้าก้มตาจุดไฟต่อ นั้นพอจะเป็นสัญญาณได้ว่าเขาควรไปหาอาหารได้แล้ว ก่อนคนรู้หน้าที่อย่างเค้าทำเพียงยิ้มรับแล้วลุกไป พร้อมกับความน่าสงสัยในตัวเด็กสาวก็ทวีความอยากรู้ให้คนอย่างเขา
..................................................................................................................................
เสียงปะทุในกองเพลิงดังเป็นจังหวะประกอบการรับประทานอาหารมื้อเย็น เด็กสาวนั่งเหม่อมอง.... ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสวาปามหนูนาตัวใหญ่ ที่เขาลงมือไปจับเองถึงท้องนาบริเวณใกล้เคียง
ดวงตะวันส่งแสงสีส้มระเหรื่อที่ขอบหุบเขา ท้องฟ้าส่วนใหญ่ถูกรัตติกาลกลืนกินไปเกือบหมดแล้ว หมู่ดาราทอประการเป็นหย่อมๆด้วยเมฆฝนยังคงไปสร่างไปจากฟ้า ทั่วทั้งเมืองเล็กๆแห่งนี้กำลังตกอยู่ในความเงียบ หุบเขาแห่งนี้มีเพียงชนบทเล็กๆ มีผู้คนอาศัยไม่มากมายนัก จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะปิดบ้านกันเร็วด้วยเมืองในหุบเขาย่อมมีสัตว์ป่าอยู่มากมายเป็นธรรมดา
...... น่าแปลกที่เด็กสาวตัวคนเดียวสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ
ชายหนุ่มคิด นัตย์ตาสีถ่านพายหลังกรอบแว่นเพ่งพินิจมองเด็กสาวเจ้าของผมสีนิลยาวถึงกลางหลัง นัยตาสีเดียวกับผมกำลังจับจ้องหนูนาตัวเขื่องที่เสียบไม้ขนาดพอดีมือ ราวกับกำลังชังใจดูปริมาณความเสี่ยงในการกินเจ้าสัตว์ตัวน้อย
.......แปลกอีกที่เด็กสาวตัวคนเดียวขยาดที่จะกินหนูนาเพื่อเอาชีวิตรอด
ถึงตอนนี้เด็กสาวเริ่มดมๆตัวหนูนาพลางเหลือบมองชายหนุ่มที่กินอย่างเอร็ดอร่อย สุดท้ายจึงกัดเข้าไปคำหนึ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกินเข้าไปนานแล้วยังไม่เป็นอะไร แล้วรับรู้ว่ารสชาติพอทานได้ จึงลงมือจัดการหนูนาตรงหน้าต่อ
ชายหนุ่มมองภาพนั้นเงียบๆพลางขยับยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ทำตอบซักเท่าไหรนัก ยังไงซะเด็กสาวคงไม่เปิดใจเร็วขนาดนั้น
"นิ กินของเค้าแล้วเมื่อไหรจะตอบคำถามบ้างหละ "
เด็กสาวแทบจะสะอึกเอาหนูนาออกมา บุญคุณของเค้าเหมือนค้ำคอเธออยู่กลายๆ เด็กสาวจำใจกลืนหนูลงคอ แล้วมองหน้าชายหนุ่ม
น้ำเสียงน่าฟังชวนนุ้นหู แต่เธอยังคงลังเล เด็กสาวชังใจซักพัก ชายตรงหน้าดูเป็นคนธรรมดา ไม่มีอะไรน่าระแวง แต่เพราะความธรรมดานี่แหละ อาจจะแฝงความน่ากลัวเอาไว้กลายๆก็เป็นได้
"ข้าไม่ใช้คนแถวนี้ " น้ำเสียงเรียบตอบออกไปสั้นๆ
"แล้วพ่อแม่เจ้าหละ " เขาถามต่อ ถึงจะรู้สึกว่าอาจไม่ใช่คำถามที่ดีนัก แต่ความสงสัยนั่นมีมากกว่า และถ้าหากเขารู้ บางทีอาจมีบางอย่างที่พอช่วยได้
ดวงตาสีนิลหลุบต่ำลง ก้มหน้าก้มตามองกอไฟขนาดหย่อมๆฝีมือตัวเอง เงาไฟสีเพลิงพลิ้วไหวในคลองสายตานั้นดูสว่างไสวเป็นประกาย ถึงจะอยู่ในดวงตาที่มีเพียงหมองหม่น
......เงียบนานไปแล้ว เด็กสาวคงไม่อยากตอบ แต่เค้าก็รู้ได้เองจากอาการที่เธอแสดงออกมา ถึงเจ้าตัวจะยังไม่เปิดใจให้เขาเท่าไหร แต่อย่างน้อยเค้าก็มีบางอย่างที่ช่วยเธอได้แล้วในตอนนี้
ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นหลังจากเก็บหนูนาตัวใหญ่สองตัวลงท้องไปหมดแล้ว ก่อนไป เขาเหลือบมองหนูนาในมือเด็กสาว มันยังถูกกินไปไม่ถึงครึ่ง ไม่ใช่เสียดาย แต่ไม่รู้ว่าเธอจะอิ่มรึเปล่า บางทีเค้าคงจะหาอย่างอื่นมาให้เด็กสาวกิน ถ้าไม่ติดที่เค้ารู้สึกว่าเจ้าหนูนานั้นอร่อยอยู่แล้ว
...มันคงไม่ถูกปากเจ้าหล่อน ...หรืออีกอย่างหนึ่ง คำถามบางอย่างคงทำให้อรรถรสในการกินมื้อค่ำลดลงไป
".....ข้าไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่นั้นแหละ"
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า หันกลับมามองที่เด็กสาวเจ้าของผมสีรัตติกาล ที่ยังคงก้มหน้ามองกองไฟต่อไป
น้ำใสๆหยดน้อยซึมตามขอบตา ริมฝีปากที่พยายามบังคับให้หยุดสั่นกลับสั่งไม่ได้อย่างใจคิด ทำได้เพียงภาวนาให้ชายหนุ่มเดินจากไปเร็วๆ
ความจริง ก็คือความจริง
เธอไม่มีวันหลีกเหลี่ยงมันไปได้
แต่เมื่อใดกัน.. ที่ใจจะยอมรับความจริงนั่น
เสียงเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ถึงมันจะเบามากจนฟังแทบไม่ได้ แต่ก็ไปสัญญาณที่ดีที่เด็กสาวจะปล่อยหยาดน้ำลงมาโดยไม่ต้องอายใคร แววตาหม่องหม่นไม่ได้เฉยชาเช่นเดิม มันฉายชัดถึงความเจ็บปวดของการสูญเสีย อาการเจ็บแปลบแล่นเข้าที่หัวใจอย่างช่วยไม่ได้ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าใจสลาย
ทำไมถึงต้องคิดถึงมันอีกนะ
ทุกครั้งที่คิดถึงมัน ก็ยิ่งจะปวดร้าวกว่าเดิม
ทำไม
ทำไม
สมองพลันหยุดชะงักเมื่อมีบางอย่างสัมผัสที่ศีรษะ พร้อมไออุ่นจากบริเวณข้างลำตัว ความอบอุ่นบางอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานแทรกซึมมาตามผ้าผืนหนาของคนที่เธอนึกดีใจว่าเดินจากไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่มีในตอนนี้นั้นมากกว่าความสมเพชตัวเองที่มีความเข้มแข็งไม่มากพอจะปิดกั้นความเจ็บปวดไว้ น้ำตาที่มักจะปล่อยออกมาทุกครั้งที่มีฝนตกจึงไหลออกมาไม่ขาดสาย
“ไม่เป็นไรนะ
เราหนะ ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว จำไว้นะเด็กน้อย”
น้ำเสียงเสียงนุ่นทอดกระแสอ่อนโยน เช่นเดียวกับมือกร้านที่ลูบไปตามเส้นผมสีนิลมาถึงไหล่บางจนรู้สึกได้ถึงแรงสะอื้นของร่างข้างๆที่สั้นอย่างไม่อาจควบคุม
ความทรงจำในวันฝนตกฉายชัดในมโนภาพ เพราะวันนั้นไม่ได้มีเพียงความหนาวเหน็บของความโดดเดียวเข้าเกาะกุมจิตใจ มีความอบอุ่นในอากาศหนาวเย็บ ที่มาพร้อมความรู้สึกของลางร้ายบางอย่างและความกลัวจับจิต
“ไม่เป็นไรๆ ข้าอยู่กับเจ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว
..
เด็กสาวหลับไปแล้ว ท่ามกลางความเสียดายหนูนาที่ตกลงไปในกองเพลิงตอนที่มือของหล่อนคลายออก ก่อนที่เขาจะอุ้มร่างเล็กไปนอนในบ้าน ไม่นานหลังจากจัดแจงที่นอนให้ร่างบางด้วยเสื้อคลุ่มที่มีเพียงตัวเดียวของเขา สายฝนก็เทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีของเขาที่ถึงบ้านจะโสรมแสนโสรม แต่มันยังคงทนแดทนฝนได้ดี
เสียฝนตกดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียคำรามของท้องฟ้าในอากาศดังก้องกังวาน เด็กสาวที่หลับไปแล้วไม่ได้รู้สึกตัวตื่น จนกระทั้งแสงที่วาบไปทั่วฟ้าสาดผ่านหน้าต่างมายังในบ้านหลังโสรม ชายหนุ่มเห็นบางอย่างแปล่งประการทอแสงเด่นขึ้นมาในความมืด
บนคอของเด็กสาวจี้พลอยสีใสแขวนออกมานอกคอเสื้อ ชายหนุ่มเพ่งมองจี้ก่อนจะหยิบมาพินิจดู ลักษณะของจี้ทำเอาเขาตอ้งขมวดคิ้งเป็นปม มือหนาขยับแว่นบางอยู่หลายรอบ ก่อนจะวางจี้ไว้ในที่ๆมันควรอยู่
"ไม่ม่ม่ม่ม่ม่~~.............."
เสียงของเด็กสาวดังขึ้นจนเขาสดุ้งโหยง ก่อนเสียงจะเงียบไป เป็นอันเข้าใจว่าหล่อนคงละเมอเพราะฝันร้าย ดูจากคิ้วบางที่ขมวดลง กับท่าทางกระสับกระส่ายของหล่อนคงเป็นฝันดีไปไม่ได้
ชายหนุ่มถอยออกมา กระแสบางอย่างกระจายอยู่ในอากาศบอกให้เขาถอยออกมา บางอย่างที่กระจายมาจากร่างเล็กที่กำลังฝันร้าย
พลันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดต่อหน้าชายหนุ่ม ไม่ถึงกับแปลกสำหรับเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกับเด็กสาวตรงหน้า ...
.......กลุ่มควันสีขุ่นขาวฟุ้งกระจายจากร่างที่กำลังกระสับกระส่าย ก่อนมัยจะรวมเป็นเส้นสาย พัวพันอยู่กายรอบของเด็กสาว....
หากมองในแง่ดีสำหรับชายหนุ่มที่กำลังตะลึงค้าง...มันคือพรสววค์...
...แต่หากมองให้ดีอีกสักหน่อย ...
...มัน คือ...
.........คำสาป.........
....................................................................................................
อะโย่~~ จบแล้วค่ะบทที่2 ข้าน้อยทำด่าย~~~~
มีอะไรติชช่วยบอกด้วยนะค่ะ
ของคำติอย่างเดียวดีกว่า
ข้าน้อยว่า สำนวนข้าน้อยยังใช่ไม่ค่อยได้
หากเรื่องราว ดูน่าเบื่อ น่าสนใจน้อยต้องของโทษด้วยนะเจ้าค่ะ
ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าแต่งยึดไปรึเปล่า(แถมช้าอีกตะหาก)
ขอบคุณด้วยค่ะ ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอบคุณมากๆเลยเจ้าค่ะ
ความคิดเห็น