คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
“Gakuto
Gaku_chan
เดี๋ยวลูก
.กลับมาก่อน
” เสียงผู้เป็นแม่ตะโกนไล่ตาม เด็กชายวัย 9 ขวบ ที่วิ่งผลุนผลันออกจากบ้นพักตากอากาศที่ตั้งอยู่บนเขา ทันทีที่ได้รู้ข่าวการจากไปของ เจ้าของบ้านพักหลังนี้ ผู้ซึ่งเป็นญาติที่สนิทที่สุดของเขา เด็กน้อยวิ่งเข้าไปในป่าทั้งที่น้ำตานองหน้า
ป่าแห่งนี้ เขามาส่องดูนกกับคุณลุงผู้จากไปหลายครั้ง สถานที่แห่งเดียวที่มีความทรงจำเกี่ยวกับคุณลุงมากที่สุด เด็กน้อยวิ่งลึกเข้าไปในป่าเร็วเท่าที่เท้าเล็กๆและพื้นที่จะอำนวย จนตอนนี้ เขาเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณลุงแสนใจดีคนนั้นไม่มีวันกลับมาพาเขาไปดูนก หรือดูดาวกับเขาอย่างที่เคยอีกแล้ว
ป่าแห่งนี้ เขามาส่องดูนกกับคุณลุงผู้จากไปหลายครั้ง สถานที่แห่งเดียวที่มีความทรงจำเกี่ยวกับคุณลุงมากที่สุด เด็กน้อยวิ่งลึกเข้าไปในป่าเร็วเท่าที่เท้าเล็กๆและพื้นที่จะอำนวย จนตอนนี้ เขาเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่า คุณลุงแสนใจดีคนนั้นไม่มีวันกลับมาพาเขาไปดูนก หรือดูดาวกับเขาอย่างที่เคยอีกแล้ว
‘คุณลุงยังไม่ตายซักหน่อย พวกคุณแม่พูดอะไรก็ไม่รู้ คุณลุงต้องไปแอบดูดาวอยู่เดียวอยู่ในป่าแน่เลย ชั้นจะหาคุณลุงให้เจอ .คุณลุงต้องแอบอยู่ที่ไหนซักที่นี่แน่ๆ’ เด็กน้อยบอกกับตัวเอง ขณะที่เอาหลังมือปาดน้ำตาออกไป เพราะคุณลุงเคยบอกว่า
คุณลุงยังไม่ตายซักหน่อย พวกคุณแม่พูดอะไรก็ไม่รู้ คุณลุงต้องไปแอบดูดาวอยู่เดียวอยู่ในป่าแน่เลย ชั้นจะหาคุณลุงให้เจอ .คุณลุงต้องแอบอยู่ที่ไหนซักที่นี่แน่ๆ’ เด็กน้อยบอกกับตัวเอง ขณะที่เอาหลังมือปาดน้ำตาออกไป เพราะคุณลุงเคยบอกว่า‘Gac_kun เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้นะ รู้ไหม?’ คุณลุงพูดแล้วก็ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอามือที่ใหญ่โตมาขยี้ผมเขาด้วยความเอ็นดู
เขาไม่เชื่อหรอกว่า ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้วมือที่อบอุ่นที่มาจับหัวเขาด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มกับเสียงที่แสดงความใจดีนั้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดเลย!!! เด็กน้อยบอกกับตัวเอง ขณะที่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งลึกเข้าไปทุกที “แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” พอวิ่งมานานๆ เด็กน้อยก็เริ่มเหนื่อย เนื่องจากวิ่งมาไกลแล้วยังไม่ได้หยุดพักเลย เด็กน้อยใช้มือยันต้นไม้ต้นหนึ่งไว้แล้วหอบหายใจแรงเนื่องจากความเหนื่อยอ่อน วิ่งมาไกลขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่กำลังหา คุณลุงครับ
.คุณลุงอยู่ไหนครับ ออกมาเถอะครับคุณลุง ผมอยากเจอคุณลุง
.เด็กชายคิดในใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ดวงกลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่ปราศจากหมู่เมฆมาบดบังความงาม แสงสีเงินยวงแสดส่องไปทั่วป่า ยามค่ำคืนแม้จะอยู่ในป่าลึก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กน้อยเลิกล้มความตั้งใจ ความมืดมิดของป่านั้นไม่อาจกล้ำกรายมาทำอะไรเด็กน้อยได้เพราะเมื่อก่อนคุณลุงพาเขาก็ออกมาด้วยกันบ่อยๆ จนเด็กน้อยจำทางได้ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เท้าน้อยๆของเด็ก 9 ขวบ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เดินไปถึงทะเลสาปที่ที่เขาและคุณลุงมักจะใช้เป็นพักเหนื่อยก่อนจะเดินกลับบ้านอยู่เสมอ แม้ว่าจะเป็นทะเลสาปที่เดียวกันแต่ว่าเมื่อต่างเวลากัน ภาพที่เห็นก็ต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อตอนกลางวันว่าที่นี่สวยมากๆแล้ว ครั้งมาเห็นยามค่ำคืนที่นี่กลับสวยกว่ายามกลางวันหลายเท่านัก เหล่าต้นไม้ใบไม้ที่ขึ้นกันครึ้ม แต่แหวกเป็นช่องเล็กๆพอให้เห็นทะเลสาปได้ พระจันทร์เต็มดวงกลมโตลอยอยู่เหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งราวกระจกบานใหญ่ แสงสีเงินทอดตัวลงบนผิวน้ำเป็นทางยาวดุจสะพานที่ทอดจากทะเลสาปขึ้นไปจนถึงดวงจันทร์ หนูน้อยยืนมองภาพเบื้องหน้าที่สวยงามจนเขาแทบลมหายใจ และเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ เขาจึงพบว่า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเขาอยู่คนเดียวอย่างที่เข้าใจ ที่ริมทะเลสาปยังมีใครบางคนนั่งอยู่ด้วย ด้วยร่างกายที่บอบบางและทั้งยังเยาว์วัยจึงทำให้เขาเลิกคิดว่า บางทีอาจจะเป็นคุณลุงของเขา แม้จะตระหนักเช่นนั้น แต่เขาก็ยังจ้องมองอย่างหลงใหล เพราะใครคนนั้นมีใบหน้าแสนสวยอย่างที่เขาไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้มาก่อน แต่ทว่าใบหน้าแสนสวยนั้นเหม่อมองเงาแสงจันทร์ที่ทอดบนผืนน้ำอย่างเศร้าสร้อย ภาพที่เห็นมันทำให้เขานึกนิทานที่เคยได้ยินนานมาแล้วเรื่องของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์ผู้งดงาม นาม “เจ้าหญิงคางูยะ” หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนั้นมันทำให้เขานึกสงสัยมาตลอดเลยว่า เจ้าหญิงจะมีความสุขรึเปล่าที่ต้องกลับไปดวงจันทร์ พอวันนี้ที่เขาได้มาเห็นภาพนี้ มันทำให้เขาคิดไปเองว่า คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคงจะต้องเป็น “เจ้าหญิงคางูยะ” ที่ไม่อยากกลับไปดวงจันทร์แน่ๆเลย เพราะไม่งั้นคงไม่มานั่งมอง ‘สะพานจันทรา’ อย่างเศร้าเช่นนี้ เด็กน้อยตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆกลัวๆ
“กรอบ..” เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยที่เหยียบใบไม้แห้งทำให้เกิดเสียงดังขึ้น เรียกความสนใจของ “เจ้าหญิงคางูยะ” ให้หันมามองหาผู้บุกรุก ดวงตากลมโตแสนเศร้าเธอจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ เด็กน้อยเดาเองว่า เธอคงตกใจที่จู่ๆ เขาก็โผล่มา เขาโค้งเป็นเชิงขอโทษเธอครั้งหนึ่ง แล้วค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ทางด้านเธอเองเมื่อเห็นชัดๆว่า ที่แท้แล้วต้นเสียงเมื่อกี้นี้เป็นเด็กผู้ชายผู้มีดวงตาสวยงามคนหนึ่ง สายตาที่เธอมองเขาก็อ่อนลง แล้วหันกลับไปนั่งมอง ‘สะพานจันทรา’ เช่นเดิม
“ขอโทษนะฮะ ผม
เอ่อ
ไม่รู้ว่ามีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้
.ขอโทษฮะที่ทำให้ตกใจ” เด็กน้อยกล่าวขึ้น แต่ใครคนนั้นหาได้หันมามองเขาอย่างตอนแรกไม่ สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำอย่างซึมเซา “ช่างเถอะ
..ว่าแต่เด็กอย่างเธอมาทำอะไรกลางป่าแบบนี้ หลงทางรึ?” เสียงทุ้มหวานหู หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อของคนคนนั้น เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเล่าสาเหตุของเขาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกสงสารเด็กน้อยขึ้นมากระหัน “เปล่าฮะ
ผมมาตามหาคุณลุง พวกคุณแม่พูดกับว่าคุณลุงตายแล้ว แต่ผมเชื่อเชื่อพวกเขาหรอก
..ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย!!! คุณจะตายได้ไงล่ะเมื่อตอนเช้าคุณลุงยังสัญญาว่าถ้าหายป่วยแล้วจะพาผมไปดูนกอย่างเคย
..ทั้งๆที่สัญญาแล้ว
ผมไม่เชื่อพวกนั้นหรอก
ฮึก
”เด็กน้อยพูดไปน้ำตาที่เหือดแห้งไปตอนแรกก็กลับไหลลงมาแอบแก้มยุ้ยของเด็กน้อยอีกครั้ง แม้ว่าจะพยายามเช็ดเท่าไหร่ น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที เด็กน้อยจึงได้แต่ให้หลังมือเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ “อ้อ
.อย่างนั้นรึ? คุณลุงคนนั้นคงเป็นคนสำคัญมากสำหรับเธอสินะ ถึงได้มาตามเขาถึงที่นี่ น่าสงสารจริง” เสียงหวานกังวาลกล่าวเบาๆขณะที่ดึงตัวเด็กน้อยมากอดไว้ เมื่อได้รับการปลอบอย่างอ่อนโยนน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็ถูกปล่อยออกมาให้เห็นอย่างไม่อาย แม้ว่าคนที่ปลอบโยนอยู่จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตามที
เขาไม่เชื่อหรอกว่า ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้วมือที่อบอุ่นที่มาจับหัวเขาด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มกับเสียงที่แสดงความใจดีนั้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดเลย!!! เด็กน้อยบอกกับตัวเอง ขณะที่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งลึกเข้าไปทุกที
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” พอวิ่งมานานๆ เด็กน้อยก็เริ่มเหนื่อย เนื่องจากวิ่งมาไกลแล้วยังไม่ได้หยุดพักเลย เด็กน้อยใช้มือยันต้นไม้ต้นหนึ่งไว้แล้วหอบหายใจแรงเนื่องจากความเหนื่อยอ่อน วิ่งมาไกลขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่กำลังหา คุณลุงครับ .คุณลุงอยู่ไหนครับ ออกมาเถอะครับคุณลุง ผมอยากเจอคุณลุง .เด็กชายคิดในใจ
เขาเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ดวงกลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่ปราศจากหมู่เมฆมาบดบังความงาม แสงสีเงินยวงแสดส่องไปทั่วป่า ยามค่ำคืนแม้จะอยู่ในป่าลึก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กน้อยเลิกล้มความตั้งใจ ความมืดมิดของป่านั้นไม่อาจกล้ำกรายมาทำอะไรเด็กน้อยได้เพราะเมื่อก่อนคุณลุงพาเขาก็ออกมาด้วยกันบ่อยๆ จนเด็กน้อยจำทางได้ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เท้าน้อยๆของเด็ก 9 ขวบ เดินต่อไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง เดินไปถึงทะเลสาปที่ที่เขาและคุณลุงมักจะใช้เป็นพักเหนื่อยก่อนจะเดินกลับบ้านอยู่เสมอ แม้ว่าจะเป็นทะเลสาปที่เดียวกันแต่ว่าเมื่อต่างเวลากัน ภาพที่เห็นก็ต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เมื่อตอนกลางวันว่าที่นี่สวยมากๆแล้ว ครั้งมาเห็นยามค่ำคืนที่นี่กลับสวยกว่ายามกลางวันหลายเท่านัก เหล่าต้นไม้ใบไม้ที่ขึ้นกันครึ้ม แต่แหวกเป็นช่องเล็กๆพอให้เห็นทะเลสาปได้ พระจันทร์เต็มดวงกลมโตลอยอยู่เหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งราวกระจกบานใหญ่ แสงสีเงินทอดตัวลงบนผิวน้ำเป็นทางยาวดุจสะพานที่ทอดจากทะเลสาปขึ้นไปจนถึงดวงจันทร์ หนูน้อยยืนมองภาพเบื้องหน้าที่สวยงามจนเขาแทบลมหายใจ และเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ เขาจึงพบว่า ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเขาอยู่คนเดียวอย่างที่เข้าใจ
ที่ริมทะเลสาปยังมีใครบางคนนั่งอยู่ด้วย ด้วยร่างกายที่บอบบางและทั้งยังเยาว์วัยจึงทำให้เขาเลิกคิดว่า บางทีอาจจะเป็นคุณลุงของเขา แม้จะตระหนักเช่นนั้น แต่เขาก็ยังจ้องมองอย่างหลงใหล เพราะใครคนนั้นมีใบหน้าแสนสวยอย่างที่เขาไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้มาก่อน แต่ทว่าใบหน้าแสนสวยนั้นเหม่อมองเงาแสงจันทร์ที่ทอดบนผืนน้ำอย่างเศร้าสร้อย
ภาพที่เห็นมันทำให้เขานึกนิทานที่เคยได้ยินนานมาแล้วเรื่องของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์ผู้งดงาม นาม “เจ้าหญิงคางูยะ” หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนั้นมันทำให้เขานึกสงสัยมาตลอดเลยว่า เจ้าหญิงจะมีความสุขรึเปล่าที่ต้องกลับไปดวงจันทร์ พอวันนี้ที่เขาได้มาเห็นภาพนี้ มันทำให้เขาคิดไปเองว่า คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคงจะต้องเป็น “เจ้าหญิงคางูยะ” ที่ไม่อยากกลับไปดวงจันทร์แน่ๆเลย เพราะไม่งั้นคงไม่มานั่งมอง ‘สะพานจันทรา’ อย่างเศร้าเช่นนี้ เด็กน้อยตัดสินใจสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆกลัวๆ
“กรอบ..” เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยที่เหยียบใบไม้แห้งทำให้เกิดเสียงดังขึ้น เรียกความสนใจของ “เจ้าหญิงคางูยะ” ให้หันมามองหาผู้บุกรุก ดวงตากลมโตแสนเศร้าเธอจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ เด็กน้อยเดาเองว่า เธอคงตกใจที่จู่ๆ เขาก็โผล่มา เขาโค้งเป็นเชิงขอโทษเธอครั้งหนึ่ง แล้วค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ทางด้านเธอเองเมื่อเห็นชัดๆว่า ที่แท้แล้วต้นเสียงเมื่อกี้นี้เป็นเด็กผู้ชายผู้มีดวงตาสวยงามคนหนึ่ง สายตาที่เธอมองเขาก็อ่อนลง แล้วหันกลับไปนั่งมอง ‘สะพานจันทรา’ เช่นเดิม
“ขอโทษนะฮะ ผม
เอ่อ
ไม่รู้ว่ามีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้
.ขอโทษฮะที่ทำให้ตกใจ” เด็กน้อยกล่าวขึ้น แต่ใครคนนั้นหาได้หันมามองเขาอย่างตอนแรกไม่ สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำอย่างซึมเซา “ช่างเถอะ
..ว่าแต่เด็กอย่างเธอมาทำอะไรกลางป่าแบบนี้ หลงทางรึ?” เสียงทุ้มหวานหู หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อของคนคนนั้น เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเล่าสาเหตุของเขาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกสงสารเด็กน้อยขึ้นมากระหัน “เปล่าฮะ
ผมมาตามหาคุณลุง พวกคุณแม่พูดกับว่าคุณลุงตายแล้ว แต่ผมเชื่อเชื่อพวกเขาหรอก
..ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย!!! คุณจะตายได้ไงล่ะเมื่อตอนเช้าคุณลุงยังสัญญาว่าถ้าหายป่วยแล้วจะพาผมไปดูนกอย่างเคย
..ทั้งๆที่สัญญาแล้ว
ผมไม่เชื่อพวกนั้นหรอก
ฮึก
”เด็กน้อยพูดไปน้ำตาที่เหือดแห้งไปตอนแรกก็กลับไหลลงมาแอบแก้มยุ้ยของเด็กน้อยอีกครั้ง แม้ว่าจะพยายามเช็ดเท่าไหร่ น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที เด็กน้อยจึงได้แต่ให้หลังมือเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ “อ้อ
.อย่างนั้นรึ? คุณลุงคนนั้นคงเป็นคนสำคัญมากสำหรับเธอสินะ ถึงได้มาตามเขาถึงที่นี่ น่าสงสารจริง” เสียงหวานกังวาลกล่าวเบาๆขณะที่ดึงตัวเด็กน้อยมากอดไว้ เมื่อได้รับการปลอบอย่างอ่อนโยนน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็ถูกปล่อยออกมาให้เห็นอย่างไม่อาย แม้ว่าคนที่ปลอบโยนอยู่จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตามที
“กรอบ..” เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยที่เหยียบใบไม้แห้งทำให้เกิดเสียงดังขึ้น เรียกความสนใจของ “เจ้าหญิงคางูยะ” ให้หันมามองหาผู้บุกรุก ดวงตากลมโตแสนเศร้าเธอจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ เด็กน้อยเดาเองว่า เธอคงตกใจที่จู่ๆ เขาก็โผล่มา เขาโค้งเป็นเชิงขอโทษเธอครั้งหนึ่ง แล้วค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ทางด้านเธอเองเมื่อเห็นชัดๆว่า ที่แท้แล้วต้นเสียงเมื่อกี้นี้เป็นเด็กผู้ชายผู้มีดวงตาสวยงามคนหนึ่ง สายตาที่เธอมองเขาก็อ่อนลง แล้วหันกลับไปนั่งมอง ‘สะพานจันทรา’ เช่นเดิม
“ขอโทษนะฮะ ผม
เอ่อ
ไม่รู้ว่ามีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้
.ขอโทษฮะที่ทำให้ตกใจ” เด็กน้อยกล่าวขึ้น แต่ใครคนนั้นหาได้หันมามองเขาอย่างตอนแรกไม่ สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำอย่างซึมเซา “ช่างเถอะ
..ว่าแต่เด็กอย่างเธอมาทำอะไรกลางป่าแบบนี้ หลงทางรึ?” เสียงทุ้มหวานหู หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อของคนคนนั้น เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเล่าสาเหตุของเขาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกสงสารเด็กน้อยขึ้นมากระหัน “เปล่าฮะ
ผมมาตามหาคุณลุง พวกคุณแม่พูดกับว่าคุณลุงตายแล้ว แต่ผมเชื่อเชื่อพวกเขาหรอก
..ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย!!! คุณจะตายได้ไงล่ะเมื่อตอนเช้าคุณลุงยังสัญญาว่าถ้าหายป่วยแล้วจะพาผมไปดูนกอย่างเคย
..ทั้งๆที่สัญญาแล้ว
ผมไม่เชื่อพวกนั้นหรอก
ฮึก
”เด็กน้อยพูดไปน้ำตาที่เหือดแห้งไปตอนแรกก็กลับไหลลงมาแอบแก้มยุ้ยของเด็กน้อยอีกครั้ง แม้ว่าจะพยายามเช็ดเท่าไหร่ น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที เด็กน้อยจึงได้แต่ให้หลังมือเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ “อ้อ
.อย่างนั้นรึ? คุณลุงคนนั้นคงเป็นคนสำคัญมากสำหรับเธอสินะ ถึงได้มาตามเขาถึงที่นี่ น่าสงสารจริง” เสียงหวานกังวาลกล่าวเบาๆขณะที่ดึงตัวเด็กน้อยมากอดไว้ เมื่อได้รับการปลอบอย่างอ่อนโยนน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็ถูกปล่อยออกมาให้เห็นอย่างไม่อาย แม้ว่าคนที่ปลอบโยนอยู่จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตามที
“ขอโทษนะฮะ ผม เอ่อ ไม่รู้ว่ามีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้ .ขอโทษฮะที่ทำให้ตกใจ” เด็กน้อยกล่าวขึ้น แต่ใครคนนั้นหาได้หันมามองเขาอย่างตอนแรกไม่ สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำอย่างซึมเซา
“ช่างเถอะ ..ว่าแต่เด็กอย่างเธอมาทำอะไรกลางป่าแบบนี้ หลงทางรึ?” เสียงทุ้มหวานหู หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อของคนคนนั้น เด็กน้อยจึงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ แล้วเล่าสาเหตุของเขาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกสงสารเด็กน้อยขึ้นมากระหัน
“เปล่าฮะ ผมมาตามหาคุณลุง พวกคุณแม่พูดกับว่าคุณลุงตายแล้ว แต่ผมเชื่อเชื่อพวกเขาหรอก ..ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย!!! คุณจะตายได้ไงล่ะเมื่อตอนเช้าคุณลุงยังสัญญาว่าถ้าหายป่วยแล้วจะพาผมไปดูนกอย่างเคย ..ทั้งๆที่สัญญาแล้ว ผมไม่เชื่อพวกนั้นหรอก ฮึก ”เด็กน้อยพูดไปน้ำตาที่เหือดแห้งไปตอนแรกก็กลับไหลลงมาแอบแก้มยุ้ยของเด็กน้อยอีกครั้ง แม้ว่าจะพยายามเช็ดเท่าไหร่ น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที เด็กน้อยจึงได้แต่ให้หลังมือเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ
“อ้อ .อย่างนั้นรึ? คุณลุงคนนั้นคงเป็นคนสำคัญมากสำหรับเธอสินะ ถึงได้มาตามเขาถึงที่นี่ น่าสงสารจริง” เสียงหวานกังวาลกล่าวเบาๆขณะที่ดึงตัวเด็กน้อยมากอดไว้ เมื่อได้รับการปลอบอย่างอ่อนโยนน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็ถูกปล่อยออกมาให้เห็นอย่างไม่อาย แม้ว่าคนที่ปลอบโยนอยู่จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตามที
ความคิดเห็น