ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [Fic CB Kei X hyde] The boy next door II
คุณเชื่อเรื่องพรมลิขิตไหม? เชื่อรึเปล่าว่าชีวิตของคนเราถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว ผมเชื่อมันนะ ผมคิดว่าบางทีการที่เราได้พบหรือเลือกอะไรบางอย่างมันเป็นเพราะพรหมลิขิต ทุกสิ่งได้ถูกกำหนดไว้แล้ว สิ่งที่ผมเลือกได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีมันเท่าไหร่ สุดท้ายผลก็ยังคงเป็นแบบเดิมอยู่ดี
...แล้วกับเด็กคนนั้นล่ะ การได้พบกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาด้วยรึเปล่า จนบัดนี้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ...
ผมเจอเขาในคืนวันหนึ่งในฤดูหนาว ขณะที่ผมเอาดอกไม้ไปไหว้น้องชายอย่างเคย วันนั้นเป็นวันครอบรอบ 6 ปีพอดี นับตั้งแต่เขาจากไป ฮายาโตะ น้องชายฝาแฝดของผม- ซึ่งสุขภาพอ่อนแอลงเพราะโรคประหลาดที่ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นอะไร เพราะเหตุนั้นจึงต้องนอนอยู่โรงพยาบาลตลอด
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะป่วยเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาราวกับเป็นเงาของกันและกัน แต่พอเขาป่วยเราทั้ง 2 ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก ช่วงนั้นผมรู้สึกเหงามาก เพราะไม่เคยอยู่ตามลำพังมาก่อน ผมจึงแอบไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ ไปเล่าเรื่องต่างๆ ที่ผมได้เห็น หรือได้ทำมาให้เขาฟัง
ฮาโตะจังก็นั่งฟังพร้อมกับหัวเราะไปกับเรื่องที่ผมเล่า ผมก็รู้สึกมีความสุขเหมือนเราได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยกันอีกครั้ง ฮาโตะจังกับผม เรา 2 คนสัญญาว่าซักวันจะกลับไปปีนเขา ตกปลาที่แม่น้ำด้วยกันอีกครั้ง เป็นความหวังเล็กๆ ที่ผมหวังจะให้มันเป็นจริงมาโดยตลอด
แต่แล้วความฝันนั้นก็กลายเป็นความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงไปตลอดกาล เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่อาการของโรคกำเริบมากขึ้นจนหมอไม่สามารถจะรั้งชีวิตน้อยๆ ของน้องผมเอาไว้ได้อีก พวกเราจึงจำใจต้องเสียเขาไปในวันที่อากาศสดใสในฤดูใบไม้ผลินั้นเอง ฮาโตะจังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เนื้อตัวเย็นเฉียบ หากแต่บนใบหน้าของเขาอิ่มเอมด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังหลับฝันดี
ภาพนั้นยังคงติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ ฮายาโตะคงกำลังรอผมอยู่ รอว่าซักวันผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างที่เคยเป็น
ผมเองก็คิดถึงเขามากไม่แพ้กัน ดังนั้นทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมเขาที่สุสานก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึง วันนั้นก็เช่นเดียวกันผมพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ แต่สุดท้ายมันก็ยังไหลออกมาอยู่ดี ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่ามีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ จนเด็กคนนั้นเตรียมตัวจะเดินจากไปนั้นแหละผมจึงได้รู้
จากใบหน้าด้านข้างของเขา ผมก็รู้สึกว่ามันคุ้นๆ หน้าอยู่เหมือนกันแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน จนกระทั่งมาพบจ้าของใบหน้านั้นอีกครั้ง ผมจึงได้รู้.....
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นข้างตัว ทำให้ชายหนุ่มร่างบางที่นั่งอยู่ก่อนต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่
เบื้องหน้าของไฮด์เป็นชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อสเวสเตอร์คอเต่าสีฟ้าสีหม่นกับกางเกงยีนส์ขายาว เขานั่งลงบนเก้าอี้เบาะกลมหน้าเคาเตอร์ข้างๆ ไฮด์ โดยไม่รอคำอนุญาต บนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มระดับไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน ดวงตาเรียวคมสีดำขลับจ้องมองร่างบางด้วยสายตาที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้
“คิก บังเอิญจังเลยนะ” ไฮด์มองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็นึกได้ว่าคนที่เจอที่สุสานเมื่อกว่า 2 อาทิตย์ก่อนคือชายหนุ่มคนนี้เอง พอคิดได้แบบนั้นก็อดนึกขำไม่ได้ว่าโลกมันกลมเสียจริง ที่ทำให้เกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดซ้ำกันอีกครั้ง
“ อะ.... อะไรนะครับ?” เคตะ ถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เมื่อกี้เขาได้ยินว่า ‘บังเอิญ’ ใช่ไหมนะ? ทำไมถึงพูดว่าบังเอิญล่ะ ก็ทั้งเขากับไฮโดะซังคนนี้น่ะ เพิ่งจะเคยพบกันจริงๆ ครั้งนี้เท่านั้นนี่นา ไฮโดะซังกำลังหมายถึงอะไรอยู่นะ?
“ก็เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ?” ไฮด์กล่าวพลางยิ้มให้คู่สนทนาอย่างอ่อนหวาน ดวงตากลมโตดำขลับคู่นั้นจ้องตรงมา ด้วยสายตาเย้ายวนทำเอาคนมองใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไฮโดะซังตามปกติคงเป็นแบบนี้เองสินะ มีเสน่ห์ ลึกลับชวนให้ค้นหา ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ
“เหรอครับ? ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อน”
“ชั้นต่างหากที่ไม่รู้ว่ามีคนแอบมองอยู่ วันนั้นเลยทำให้ได้เห็นภาพที่ไม่น่าดู ต้องขอโทษด้วยนะทาจิบานะคุง” ไฮด์ตอบอย่างยิ้มๆ เช่นเดิม ช่างเป็นรอยยิ้มที่สวยงามนัก หากว่าครั้งแรกที่ได้เห็นเป็นใบหน้าที่ระดับด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ เห็นทีเขาคงจะยิ่งเป็นบ้าไปกว่านี้แน่ๆ
เพราะว่ากำลังเคลิ้มไปกับรอยยิ้มแสนยั่วยวนนั้น ทำให้เคตะปล่อยคำพูดลอยผ่านไปเฉยๆ พอมาคิดได้อีกที ถึงความหมายของคำพูดนั้น มันเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดกระชากตัวเขาจากความฝันอันแสนหวานให้กลับมาพบกับความจริงที่น่าอายอย่างกะทันหัน
“เอ๋!!!? อะไรนะฮะ” พอตีความข้อความที่ได้รับเสร็จศัพท์ เคตะก็รู้ตัวทันทีว่าคืนนั้นที่เขาคิดว่าตัวเองวิ่งหนีออกมาก่อนไฮด์จะเห็นนั้น มันผิดโดยสิ้นเชิง มิน่า ตอนพบกันเมื่อกี้ไฮด์จึงทักเขาว่า ‘บังเอิญจัง’ โอยย ตายแล้ว ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย เคตะร้องโอดครวญอยู่ในใจ
“เอ่อ.... ทางนี้ต่างหากล่ะครับ ที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่เสียมารยาท ผมไม่ควรแอบมองคุณอย่างนั้น ขอโทษนะครับ ทาคาราอิซัง” เคตะก้มหัวขอโทษไฮด์เป็นการใหญ่ ซึ่งร่างบางมองท่าทางเขินอายของชายหนุ่มเบื้องหน้าขณะขอโทษเขาแล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ แทนที่ทางเขาต่างหากที่ควรจะอายเพราะดันร้องไห้ออกมาให้อีกฝ่ายเห็น แม้จะไม่ได้ใจก็เถอะ แต่พ่อหนุ่มคนนั้นกลับก้มหัวขอโทษของเสียงยกใหญ่ จะทำยังไงดีนะเนี่ย ไฮด์นึกอยู่ในใจ
“เรียกไฮโดะก็ได้ ไม่ต้องเรียกนามสกุลหรอกมันยาว” ไฮด์กล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะหยิบเอาแก้วเหล้าที่วางอยู่บนเคาเตอร์ขึ้นมาจิบ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเคตะ ที่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวแล้วก็หายไปเหมือนกับเงาที่สะท้อนลงบนพื้นน้ำ
“ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้ครับ ไฮโดะซัง”
ตอนแรกเคตะก็กลัวแทบตายว่าไฮโดะซังจะโกรธเอาที่เขาเสียมารยาทขนาดนั้น ก็เลยรีบหนีออกมาก่อน แต่สุดท้ายไฮโดะซังก็ยังเห็นเขาอยู่ดี ร่างบางไม่เพียงไม่โกรธยังอนุญาตให้เขาได้เรียกชื่อด้วย เอ....แบบนี้จะเรียกว่าก้าวหน้าขึ้นได้ไหมเนี่ย
“ที่นี่บรรยากาศดีนะครับ ไฮโดะซังคงมาบ่อยสินะครับ” เคตะพยายามชวนคุย สายตาชายหนุ่มกวาดมองไปรออบร้าน ซึ่งใช้แสงเทียนแทนแสงไฟตั้งไว้ตามโตะต่างๆ บนเวทีนักดนตรีกำลังบรรเลงเพลง Classic ฟังสบายๆ ไม่ขัดหู ที่เปิดไฟสว่างมีเพียงเคาเตอร์ที่พวกเขานั่งอยู่เท่านั้น
“เปล่าหรอก วันนี้แค่ผ่านมาน่ะ เห็นว่ามันใกล้คอนโดที่พักอยู่พอดีเลยแวะมาน่ะ แล้วทาจิบานะคุงล่ะ?” ไฮด์ถามต่อตามมารยาท ขณะที่หันหน้าออกไปมองนักดนตรีที่เล่นอยู่บนเวที ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ค่อยชอบเพลงพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเกลียดมัน สำหรับเพลงพวกนี้ มันอยู่ในขั้นที่ ‘ฟังได้’ เท่านั้น ก็เพราะมีเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่งชอบฟังเพลงพวกนี้ เขาก็เลยเคยฟังผ่านหูมาบ้างก็เท่านั้นเอง
“เพิ่งเคยมาน่ะครับ ผมเองก็เพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้เหมือนกัน” เคตะตอบกลับไปขณะที่ยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นจิบบ้าง ช่างบังเอิญจริงๆ ที่คอนโดที่ไฮโดะซังพักอยู่มาอยู่เมืองเดียวกันกับเขา วันนี้เขาก็เลยโชคดีได้พบกับไฮโดะซัง อยากรู้จังเลยอยู่ที่ไหนนะ
“อ้อ” ไฮด์พยักหน้ารับ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดผนังที่อยู่หลังเคาเตอร์ซึ่งบอกเวลาจะเที่ยงคืนแล้ว ได้เวลากลับเสียที พรุ่งนี้มีซ้อมเช้าด้วยขืนไปสายโดนเทตจังสวดยับแน่ๆ เขาจึงรีบกระดกของเหลวสีอำพันในแก้วลงคอไปทั้งหมด วางแก้วลงบนที่รอง แล้วล้วงเอาเงินวางบนเคาเตอร์เตรียมตัวจะกลับ
เคตะเห็นอีกฝ่ายกำลังจะกลับจึงพยายามจะรั้งเอาไว้ ก็สำหรับเขาแล้ว เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง ยังอยากคุยกับไฮโดะซังมากกว่านี้ อยากรู้เรื่องทุกๆ อย่างของคนคนนี้ มือเรียวยาวจึงเอื้อมออกไปคว้าข้อมือเรียวเล็กของไฮด์เอาไว้
ไฮด์ที่ถูกคว้าข้อมือเอาไว้จึงหันมามองชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกครั้ง ด้วยสายตาที่แสดงความไม่เข้าใจ สงสัยต่อการกระทำของร่างสูง
“ความเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เลยนะครับ ผมรู้สึกตัวโชคดีมากที่ได้พบคุณวันนี้ บอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าเมื่อไหร่เราจะพบกันอีก?” เคตะยังยึดข้อมือเล็กไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ไฮด์เงยหน้าขึ้นสบดวงตาเรียวคมของชายหนุ่ม ทั้งดวงตา สีหน้าและคำพูดที่กล่าวออกมามันแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนว่า เคตะรู้สึกอย่างไรและกำลังคิดทำอะไรอยู่
แต่ว่านะเราเพิ่งพบกันไม่เท่าไหร่ ก็มาหว่านเสน่ห์ใส่ชั้นซะแล้ว มันจะมากไปหน่อยล่ะมั้ง ทาจิบานะคุง เอาเถอะ ถ้าอยากเล่นนักล่ะก็ ชั้นเล่นด้วยก็ได้ แล้วภาวนาให้เราอย่าได้เจอกันอีกเลย สำหรับชั้นตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์ รัก หรือ ตอบรับใครหรอกนะ แค่นี้ก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว ไม่อยากหาปัญหาใส่ตัวจนมันยุ่งไปกว่านี้หรอก
ไฮด์ใช้มือข้างที่เหลือดึงเอาดอกกุหลาบประดิษฐ์ซึ่งทำด้วยผ้าที่ใส่ไว้ในแจกันแก้วทรงสูงมายื่นให้เคตะ พอร่างสูงรับไป ไฮด์ก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“เมื่อกุหลาบดอกนั้นเหี่ยวเฉาน่ะสิ ดึกแล้ว ชั้นคงต้องขอตัวเสียทีล่ะ ลาก่อน ทาจิบานะคุง” ไฮด์กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนหวานแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้เคตะ นั่งมองตามหลังร่างบางจนลับจากสายตาไป
‘เมื่อกุหลาบดอกนี้เหี่ยว?’
เคตะก้มลงมองดอกกุหลาบผ้าในมือ พร้อมกับคิดทบทวนถึงคำพูดของไฮด์ที่ทิ้งท้ายเอาไว้
ดอกไม้ที่ทำจากผ้าพวกนี้อยู่ทนนานเป็นปีๆ ไม่มีทางเหี่ยวอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นที่ไฮด์พูดถึงคงหมายความว่า ‘เราไม่มีวันได้พบกันอีก’ สินะ
“ฮึ... ฮะฮะฮะฮะ.... ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” พอรู้ความหมายของสิ่งที่ไฮด์ซ่อนไว้ในดอกกุหลาบดอกนั้น เคตะก็อดจะหัวเราะออกมาดังๆ ไม่ได้ นี่แสดงว่าเขาถูกปฏิเสธเสียแล้ว เป็นการปฏิเสธที่มีชั้นเชิงนัก ไฮด์ไม่อยากยุ่งกับเขา แต่ไม่อยากบอกเอง เลยใช้ดอกไม้นี่บอกแทน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์อะไรอย่างนี้นะ แต่เขาไม่ละความพยายามแค่นี้หรอก นี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเองไฮโดะซัง มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ซักวันผมจะทำให้คุณรักผมให้ได้!!
“เรียวๆ นายดูนั้นสิ” ริวอิจิสะกิดเรียกเรียวเฮย์ที่นั่งพักหลังจากซ้อมเต้นกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า
“หือ? อะไรเหรอริวจัง?” เรียวเฮย์หันมาตามที่ถูกเรียก แล้วสายตาของ 2 หนุ่มก็โฟกัสไปจุดเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ภาพของร้องร้องนำประจำวงนั่งมองดอกกุหลาบปลอมในแจกันที่ตั้งอยู่ที่มุมห้องแล้วยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ อยู่คนเดียว นับเป็นภาพที่แปลกประหลาดและชวนขนลุกไปพร้อมๆ กัน
“นายเห็นอย่างที่ชั้นเห็นรึเปล่าเรียว” ริวอิจิถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยที่สายตายังจ้องภาพชวนขนลุกอย่างไม่วางตา
“ชั้นคิดว่าชั้นเห็นอย่างที่นายเห็นนั้นแหละริว” เรียวเฮย์พยักหน้ารับกับคำถามของเพื่อนอย่างรวดเร็ว แล้วหนุ่มๆ ทั้ง 2 จึงเริ่มเปิดประชุมวิสามัญเป็นการด่วน
“ชั้นว่ามันแปลกๆ มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ” ริวอิจิเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นคนแรก
“นั้นสินะ เราว่าเช้านี้เคตะ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลย แถมตอนนี้มานั่งยิ้มกับดอกไม้คนเดียวแบบนี้ เราว่ามันเหมือน....” ส่วนเรียวเฮย์กล่าวสนับสนุนคู่สนทนาเต็มที่แถมมีการตั้งข้อสงสัยใหม่ขึ้นมาด้วย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าบุคคลที่เห็นหัวข้อของการสนทนาได้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยแล้ว
“เหมือนอะไรเหรอ?” เคตะถามด้วยความสงสัย เพราะพอหันมาอีกทีก็เห็นเพื่อนทั้ง 2 สุมหัวคุยอะไรบางอย่างอยู่ ท่าทางซีเรียสเชียว ด้วยความอยากรู้เขาจึงเข้าไปร่วมวงด้วย
“ก็เหมือนคนกำลังมีความรักน่ะสิ” เรียวเฮย์กล่าวต่อโดยไม่หันไปมองคนถามเพราะคิดว่าเป็นสมาชิกในองก์ประชุม แต่พอหันไปมองจะถามความเห็น ก็รู้สึกผิดปกติ เพราะริวก็อยู่ข้างๆ นี่นา แล้วเสียงเมื่อกี้มันมาจากข้างหลังได้ไงล่ะ พอคิดอย่างนั้นใบหน้าหวานสวยที่เริ่มซีดหน่อยๆ ของเรียวเฮย์ก็ค่อยๆ หันไปมองข้างหลัง ก็ไปเจอกับใบหน้าอันหล่อเหลาของนักร้องนำเข้าพอดี
“ฮะฮะฮะ ไง เคตะ” คอรัสคนสวยหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นหน้าเคตะยืนอยู่ข้างหลัง
“ไง พวกนายเอาชั้นมานินทากันสนุกเลยนะ” เคตะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมให้กับเพื่อนๆ ทั้ง 2
“ว๊ากกกกก เคตะ” ริวอิจิร้องออกมาด้วยความตกใจ แล้วการประชุมครั้งนี้ก็จบลงเพราะเหล่าผู้เข้าประชุมวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ทิ้งให้เคตะยืนอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับขำในท่าทางตื่นตกใจของเพื่อน นี่คิดว่าเขาจะทำอะไรรึไง ทำไมถึงได้ตกใจกันขนาดนั้น ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดี ใครจะนินทายังไงก็ไม่โกรธอยู่แล้ว (แสยะ)
เคตะหันไปมองกุหลาบปลอมที่ตั้งอยู่ในแจกันอีกครั้ง ริมฝีปากเรียวได้รูปเผลอคลี่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้
หลังจากแยกกับไฮโดะซังที่ร้านเหล้าแล้ว เขาก็รู้สึกหมดสนุกลงไปกะทันหัน เมื่อไม่มีไฮโดะซังอยู่แล้ว ร้านที่เคยดูว่าบรรยากาศดี ก็กลับดูน่าเบื่อไปถนัดใจ เขาจึงจ่ายเงินค่าเหล้าแล้วกลับไปที่คอนโด บนห้องชุดสุดแสนสะดวกสบายบนคอนโดหรูชั้นที่ 50 วันนี้เคตะเพิ่งสังเกตว่าห้องข้างๆ ที่ปิดไฟเงียบมาหลายวัน วันนี้ไฟหน้าห้องกลับถูกเปิดสว่างเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาของเจ้าของห้อง
เคตะได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจเล่นๆ ว่าคนข้างๆ ห้องจะเป็นอย่างไงกันน้า แต่ถึงยังไงคนที่จะมาซื้อคอนโดแบบนี้ได้ก็คงต้องเป็นคนที่มีร่ำรวยพอตัวอยู่ล่ะ เพราะลำพังแค่ค่าเช่าก็ต้องจ่ายเป็นล้านแล้ว แต่จะว่าไปแล้วไฮโดะซังคนนั้นก็ดังไม่ใช่น้อย เงินที่ได้การทำงานคงพอที่จะซื้อคอนโดแบบนี้ทั้งชั้นได้สบายๆ เลยล่ะมั้ง เห็นว่าอยู่แถวๆ นี้ด้วยนี่นา บางทีเจ้าของห้องข้างๆ อาจเป็นเขาก็ได้ เคตะคิดเรื่อยเปื่อยขณะใช้การ์ดรูดเปิดประตูห้อง แต่พอคิดแล้วก็ส่ายๆ หัวไล่ความคิดนั้นออกไป มันดูมันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว โชคคงไม่เข้าข้างเขาขนาดนั้น(มั้ง?)
เคตะรีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะวางกุหลาบผ้าไว้ที่หัวเตียงอย่างทะนุถนอม
“เฮ่อ!” เคตะทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่ที่อ่อนนุ่ม ชายหนุ่มหยิบเอากุหลาบผ้านั้นมามองอยู่นาน มองไปก็นึกถึงใบหน้าหวานสวยของคนให้ไปด้วย
ใบหน้าขาวเนียนที่มีริ้วรอยบ่งบอกให้อยู่ว่าเลยวัยเด็กหนุ่มมานานแล้ว แต่ถึงกระนั้นใบหน้านั้นก็คงอ่อนว่าอายุจริงหลายปีอยู่ดี ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยากจะเดาอายุที่แท้จริงออก แต่ถ้าคำนวณจากเวลาที่ทำงานอยู่ในวงการก็พอเดาได้ว่า ร่างบางคงมีอายุพอสมควรแล้ว พอคิดได้แบบนั้นเคตะก็ลุกขึ้นนั่งทันที
ชายหนุ่มนั่งมองนับตัวเองคำนวณอายุของไฮด์อย่างคราวๆ เคยได้ยินว่าตอนเข้าวงการมาใหม่ๆ อายุรุ่นเดียวกับเรียวเฮย์หรือกว่าจะแก่กว่านิดหน่อย เดี๋ยวนะ ถ้าเท่ากับเรียว ปีนี้เรียว 20 ก็หมายความว่า......
ตัวเลขที่ไม่เชื่อผุดขึ้นเต็มสมอง เคตะเหลือบมองกุหลาบดอกนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของไฮด์ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าคนคนนั้นจะขึ้นเลข 4 ในไม่กี่ปีนี้แล้ว อายุขนาดนั้นถ้าเทียบกับตัวเขาแล้ว คงเป็นรุ่นลูก ไม่ก็หลานซะล่ะมั้ง หรือเป็นเพราะสาเหตุที่ทำให้ไฮด์ปฏิเสธเขา? เพราะเขาอายุน้อยกว่าอย่างนั้นเหรอ?
คิดไปก็ยิ่งฟุ้งซ่านไม่อาจสงบใจให้หลับลงได้เลย ถึงจะรู้ดีว่าพรุ่งนี้จะมีตารางงานสุดโหดรอเขาอยู่ก็ตาม สุดท้ายเคตะก็หมดความอดทนในการข่มตานอน ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปที่ระเบียง บางทีรับลมเย็นๆ อาจช่วยให้สมองปลอดโปร่ง แล้วช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นกระมัง
แต่วินาทีที่ได้เห็นคนข้างห้องเต็มๆ ตา ไฟแห่งความหวังที่เคยทำให้ดับมอดลงไปกลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง
ชายหนุ่มร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวสะอาดตากับกางเกงทรงปล่อยสีเดียวกัน ถึงจะดูรุ่มร่ามไปหน่อย เพราะคนใส่เป็นคนตัวเล็ก แต่ก็เป็นภาพที่ชวนมองอยู่ไม่น้อย เรือนผมสีดำสนิทที่ซอยเข้ารูปยาวประบ่า ซึ่งยังมีละอองน้ำเกาะอยู่ตามเส้นผมบ้างเล็กน้อยบอกให้รู้ว่าเจ้าของเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวเนียนไร้ไฝฝ้าให้รำคาญสายตา ดวงตากลมโตแสนมีเสน่ห์และลึกลับคู่นั้นมองเหม่อออกไปวิวเบื้องหน้า จมูกโด่งเป็นสันราวกับมาคนมาวาดเอาไว้ ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มเหมือนสบใจกับอะไรบางอย่าง
ภาพอันสวยงามสะกดสายตาเบื้องหน้า เคตะไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง ตาฝาดแน่ๆ เขาขยี้ตาก็แล้ว ภาพนั้นก็ไม่หายไป ร่างบางเดินไปเท้าคางกับราวโลหะเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า....
...แล้วกับเด็กคนนั้นล่ะ การได้พบกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาด้วยรึเปล่า จนบัดนี้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ...
ผมเจอเขาในคืนวันหนึ่งในฤดูหนาว ขณะที่ผมเอาดอกไม้ไปไหว้น้องชายอย่างเคย วันนั้นเป็นวันครอบรอบ 6 ปีพอดี นับตั้งแต่เขาจากไป ฮายาโตะ น้องชายฝาแฝดของผม- ซึ่งสุขภาพอ่อนแอลงเพราะโรคประหลาดที่ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นอะไร เพราะเหตุนั้นจึงต้องนอนอยู่โรงพยาบาลตลอด
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะป่วยเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาราวกับเป็นเงาของกันและกัน แต่พอเขาป่วยเราทั้ง 2 ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก ช่วงนั้นผมรู้สึกเหงามาก เพราะไม่เคยอยู่ตามลำพังมาก่อน ผมจึงแอบไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ ไปเล่าเรื่องต่างๆ ที่ผมได้เห็น หรือได้ทำมาให้เขาฟัง
ฮาโตะจังก็นั่งฟังพร้อมกับหัวเราะไปกับเรื่องที่ผมเล่า ผมก็รู้สึกมีความสุขเหมือนเราได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยกันอีกครั้ง ฮาโตะจังกับผม เรา 2 คนสัญญาว่าซักวันจะกลับไปปีนเขา ตกปลาที่แม่น้ำด้วยกันอีกครั้ง เป็นความหวังเล็กๆ ที่ผมหวังจะให้มันเป็นจริงมาโดยตลอด
แต่แล้วความฝันนั้นก็กลายเป็นความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงไปตลอดกาล เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่อาการของโรคกำเริบมากขึ้นจนหมอไม่สามารถจะรั้งชีวิตน้อยๆ ของน้องผมเอาไว้ได้อีก พวกเราจึงจำใจต้องเสียเขาไปในวันที่อากาศสดใสในฤดูใบไม้ผลินั้นเอง ฮาโตะจังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เนื้อตัวเย็นเฉียบ หากแต่บนใบหน้าของเขาอิ่มเอมด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังหลับฝันดี
ภาพนั้นยังคงติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ ฮายาโตะคงกำลังรอผมอยู่ รอว่าซักวันผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างที่เคยเป็น
ผมเองก็คิดถึงเขามากไม่แพ้กัน ดังนั้นทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมเขาที่สุสานก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึง วันนั้นก็เช่นเดียวกันผมพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ แต่สุดท้ายมันก็ยังไหลออกมาอยู่ดี ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่ามีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ จนเด็กคนนั้นเตรียมตัวจะเดินจากไปนั้นแหละผมจึงได้รู้
จากใบหน้าด้านข้างของเขา ผมก็รู้สึกว่ามันคุ้นๆ หน้าอยู่เหมือนกันแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน จนกระทั่งมาพบจ้าของใบหน้านั้นอีกครั้ง ผมจึงได้รู้.....
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นข้างตัว ทำให้ชายหนุ่มร่างบางที่นั่งอยู่ก่อนต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่
เบื้องหน้าของไฮด์เป็นชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อสเวสเตอร์คอเต่าสีฟ้าสีหม่นกับกางเกงยีนส์ขายาว เขานั่งลงบนเก้าอี้เบาะกลมหน้าเคาเตอร์ข้างๆ ไฮด์ โดยไม่รอคำอนุญาต บนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มระดับไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน ดวงตาเรียวคมสีดำขลับจ้องมองร่างบางด้วยสายตาที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้
“คิก บังเอิญจังเลยนะ” ไฮด์มองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็นึกได้ว่าคนที่เจอที่สุสานเมื่อกว่า 2 อาทิตย์ก่อนคือชายหนุ่มคนนี้เอง พอคิดได้แบบนั้นก็อดนึกขำไม่ได้ว่าโลกมันกลมเสียจริง ที่ทำให้เกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดซ้ำกันอีกครั้ง
“ อะ.... อะไรนะครับ?” เคตะ ถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เมื่อกี้เขาได้ยินว่า ‘บังเอิญ’ ใช่ไหมนะ? ทำไมถึงพูดว่าบังเอิญล่ะ ก็ทั้งเขากับไฮโดะซังคนนี้น่ะ เพิ่งจะเคยพบกันจริงๆ ครั้งนี้เท่านั้นนี่นา ไฮโดะซังกำลังหมายถึงอะไรอยู่นะ?
“ก็เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ?” ไฮด์กล่าวพลางยิ้มให้คู่สนทนาอย่างอ่อนหวาน ดวงตากลมโตดำขลับคู่นั้นจ้องตรงมา ด้วยสายตาเย้ายวนทำเอาคนมองใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไฮโดะซังตามปกติคงเป็นแบบนี้เองสินะ มีเสน่ห์ ลึกลับชวนให้ค้นหา ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ
“เหรอครับ? ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อน”
“ชั้นต่างหากที่ไม่รู้ว่ามีคนแอบมองอยู่ วันนั้นเลยทำให้ได้เห็นภาพที่ไม่น่าดู ต้องขอโทษด้วยนะทาจิบานะคุง” ไฮด์ตอบอย่างยิ้มๆ เช่นเดิม ช่างเป็นรอยยิ้มที่สวยงามนัก หากว่าครั้งแรกที่ได้เห็นเป็นใบหน้าที่ระดับด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ เห็นทีเขาคงจะยิ่งเป็นบ้าไปกว่านี้แน่ๆ
เพราะว่ากำลังเคลิ้มไปกับรอยยิ้มแสนยั่วยวนนั้น ทำให้เคตะปล่อยคำพูดลอยผ่านไปเฉยๆ พอมาคิดได้อีกที ถึงความหมายของคำพูดนั้น มันเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดกระชากตัวเขาจากความฝันอันแสนหวานให้กลับมาพบกับความจริงที่น่าอายอย่างกะทันหัน
“เอ๋!!!? อะไรนะฮะ” พอตีความข้อความที่ได้รับเสร็จศัพท์ เคตะก็รู้ตัวทันทีว่าคืนนั้นที่เขาคิดว่าตัวเองวิ่งหนีออกมาก่อนไฮด์จะเห็นนั้น มันผิดโดยสิ้นเชิง มิน่า ตอนพบกันเมื่อกี้ไฮด์จึงทักเขาว่า ‘บังเอิญจัง’ โอยย ตายแล้ว ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย เคตะร้องโอดครวญอยู่ในใจ
“เอ่อ.... ทางนี้ต่างหากล่ะครับ ที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่เสียมารยาท ผมไม่ควรแอบมองคุณอย่างนั้น ขอโทษนะครับ ทาคาราอิซัง” เคตะก้มหัวขอโทษไฮด์เป็นการใหญ่ ซึ่งร่างบางมองท่าทางเขินอายของชายหนุ่มเบื้องหน้าขณะขอโทษเขาแล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ แทนที่ทางเขาต่างหากที่ควรจะอายเพราะดันร้องไห้ออกมาให้อีกฝ่ายเห็น แม้จะไม่ได้ใจก็เถอะ แต่พ่อหนุ่มคนนั้นกลับก้มหัวขอโทษของเสียงยกใหญ่ จะทำยังไงดีนะเนี่ย ไฮด์นึกอยู่ในใจ
“เรียกไฮโดะก็ได้ ไม่ต้องเรียกนามสกุลหรอกมันยาว” ไฮด์กล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะหยิบเอาแก้วเหล้าที่วางอยู่บนเคาเตอร์ขึ้นมาจิบ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเคตะ ที่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวแล้วก็หายไปเหมือนกับเงาที่สะท้อนลงบนพื้นน้ำ
“ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้ครับ ไฮโดะซัง”
ตอนแรกเคตะก็กลัวแทบตายว่าไฮโดะซังจะโกรธเอาที่เขาเสียมารยาทขนาดนั้น ก็เลยรีบหนีออกมาก่อน แต่สุดท้ายไฮโดะซังก็ยังเห็นเขาอยู่ดี ร่างบางไม่เพียงไม่โกรธยังอนุญาตให้เขาได้เรียกชื่อด้วย เอ....แบบนี้จะเรียกว่าก้าวหน้าขึ้นได้ไหมเนี่ย
“ที่นี่บรรยากาศดีนะครับ ไฮโดะซังคงมาบ่อยสินะครับ” เคตะพยายามชวนคุย สายตาชายหนุ่มกวาดมองไปรออบร้าน ซึ่งใช้แสงเทียนแทนแสงไฟตั้งไว้ตามโตะต่างๆ บนเวทีนักดนตรีกำลังบรรเลงเพลง Classic ฟังสบายๆ ไม่ขัดหู ที่เปิดไฟสว่างมีเพียงเคาเตอร์ที่พวกเขานั่งอยู่เท่านั้น
“เปล่าหรอก วันนี้แค่ผ่านมาน่ะ เห็นว่ามันใกล้คอนโดที่พักอยู่พอดีเลยแวะมาน่ะ แล้วทาจิบานะคุงล่ะ?” ไฮด์ถามต่อตามมารยาท ขณะที่หันหน้าออกไปมองนักดนตรีที่เล่นอยู่บนเวที ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ค่อยชอบเพลงพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเกลียดมัน สำหรับเพลงพวกนี้ มันอยู่ในขั้นที่ ‘ฟังได้’ เท่านั้น ก็เพราะมีเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่งชอบฟังเพลงพวกนี้ เขาก็เลยเคยฟังผ่านหูมาบ้างก็เท่านั้นเอง
“เพิ่งเคยมาน่ะครับ ผมเองก็เพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้เหมือนกัน” เคตะตอบกลับไปขณะที่ยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นจิบบ้าง ช่างบังเอิญจริงๆ ที่คอนโดที่ไฮโดะซังพักอยู่มาอยู่เมืองเดียวกันกับเขา วันนี้เขาก็เลยโชคดีได้พบกับไฮโดะซัง อยากรู้จังเลยอยู่ที่ไหนนะ
“อ้อ” ไฮด์พยักหน้ารับ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดผนังที่อยู่หลังเคาเตอร์ซึ่งบอกเวลาจะเที่ยงคืนแล้ว ได้เวลากลับเสียที พรุ่งนี้มีซ้อมเช้าด้วยขืนไปสายโดนเทตจังสวดยับแน่ๆ เขาจึงรีบกระดกของเหลวสีอำพันในแก้วลงคอไปทั้งหมด วางแก้วลงบนที่รอง แล้วล้วงเอาเงินวางบนเคาเตอร์เตรียมตัวจะกลับ
เคตะเห็นอีกฝ่ายกำลังจะกลับจึงพยายามจะรั้งเอาไว้ ก็สำหรับเขาแล้ว เวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง ยังอยากคุยกับไฮโดะซังมากกว่านี้ อยากรู้เรื่องทุกๆ อย่างของคนคนนี้ มือเรียวยาวจึงเอื้อมออกไปคว้าข้อมือเรียวเล็กของไฮด์เอาไว้
ไฮด์ที่ถูกคว้าข้อมือเอาไว้จึงหันมามองชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกครั้ง ด้วยสายตาที่แสดงความไม่เข้าใจ สงสัยต่อการกระทำของร่างสูง
“ความเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เลยนะครับ ผมรู้สึกตัวโชคดีมากที่ได้พบคุณวันนี้ บอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าเมื่อไหร่เราจะพบกันอีก?” เคตะยังยึดข้อมือเล็กไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ไฮด์เงยหน้าขึ้นสบดวงตาเรียวคมของชายหนุ่ม ทั้งดวงตา สีหน้าและคำพูดที่กล่าวออกมามันแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนว่า เคตะรู้สึกอย่างไรและกำลังคิดทำอะไรอยู่
แต่ว่านะเราเพิ่งพบกันไม่เท่าไหร่ ก็มาหว่านเสน่ห์ใส่ชั้นซะแล้ว มันจะมากไปหน่อยล่ะมั้ง ทาจิบานะคุง เอาเถอะ ถ้าอยากเล่นนักล่ะก็ ชั้นเล่นด้วยก็ได้ แล้วภาวนาให้เราอย่าได้เจอกันอีกเลย สำหรับชั้นตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์ รัก หรือ ตอบรับใครหรอกนะ แค่นี้ก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว ไม่อยากหาปัญหาใส่ตัวจนมันยุ่งไปกว่านี้หรอก
ไฮด์ใช้มือข้างที่เหลือดึงเอาดอกกุหลาบประดิษฐ์ซึ่งทำด้วยผ้าที่ใส่ไว้ในแจกันแก้วทรงสูงมายื่นให้เคตะ พอร่างสูงรับไป ไฮด์ก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“เมื่อกุหลาบดอกนั้นเหี่ยวเฉาน่ะสิ ดึกแล้ว ชั้นคงต้องขอตัวเสียทีล่ะ ลาก่อน ทาจิบานะคุง” ไฮด์กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนหวานแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้เคตะ นั่งมองตามหลังร่างบางจนลับจากสายตาไป
‘เมื่อกุหลาบดอกนี้เหี่ยว?’
เคตะก้มลงมองดอกกุหลาบผ้าในมือ พร้อมกับคิดทบทวนถึงคำพูดของไฮด์ที่ทิ้งท้ายเอาไว้
ดอกไม้ที่ทำจากผ้าพวกนี้อยู่ทนนานเป็นปีๆ ไม่มีทางเหี่ยวอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นที่ไฮด์พูดถึงคงหมายความว่า ‘เราไม่มีวันได้พบกันอีก’ สินะ
“ฮึ... ฮะฮะฮะฮะ.... ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” พอรู้ความหมายของสิ่งที่ไฮด์ซ่อนไว้ในดอกกุหลาบดอกนั้น เคตะก็อดจะหัวเราะออกมาดังๆ ไม่ได้ นี่แสดงว่าเขาถูกปฏิเสธเสียแล้ว เป็นการปฏิเสธที่มีชั้นเชิงนัก ไฮด์ไม่อยากยุ่งกับเขา แต่ไม่อยากบอกเอง เลยใช้ดอกไม้นี่บอกแทน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์อะไรอย่างนี้นะ แต่เขาไม่ละความพยายามแค่นี้หรอก นี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเองไฮโดะซัง มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ซักวันผมจะทำให้คุณรักผมให้ได้!!
“เรียวๆ นายดูนั้นสิ” ริวอิจิสะกิดเรียกเรียวเฮย์ที่นั่งพักหลังจากซ้อมเต้นกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า
“หือ? อะไรเหรอริวจัง?” เรียวเฮย์หันมาตามที่ถูกเรียก แล้วสายตาของ 2 หนุ่มก็โฟกัสไปจุดเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ภาพของร้องร้องนำประจำวงนั่งมองดอกกุหลาบปลอมในแจกันที่ตั้งอยู่ที่มุมห้องแล้วยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ อยู่คนเดียว นับเป็นภาพที่แปลกประหลาดและชวนขนลุกไปพร้อมๆ กัน
“นายเห็นอย่างที่ชั้นเห็นรึเปล่าเรียว” ริวอิจิถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยที่สายตายังจ้องภาพชวนขนลุกอย่างไม่วางตา
“ชั้นคิดว่าชั้นเห็นอย่างที่นายเห็นนั้นแหละริว” เรียวเฮย์พยักหน้ารับกับคำถามของเพื่อนอย่างรวดเร็ว แล้วหนุ่มๆ ทั้ง 2 จึงเริ่มเปิดประชุมวิสามัญเป็นการด่วน
“ชั้นว่ามันแปลกๆ มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ” ริวอิจิเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นคนแรก
“นั้นสินะ เราว่าเช้านี้เคตะ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลย แถมตอนนี้มานั่งยิ้มกับดอกไม้คนเดียวแบบนี้ เราว่ามันเหมือน....” ส่วนเรียวเฮย์กล่าวสนับสนุนคู่สนทนาเต็มที่แถมมีการตั้งข้อสงสัยใหม่ขึ้นมาด้วย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าบุคคลที่เห็นหัวข้อของการสนทนาได้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยแล้ว
“เหมือนอะไรเหรอ?” เคตะถามด้วยความสงสัย เพราะพอหันมาอีกทีก็เห็นเพื่อนทั้ง 2 สุมหัวคุยอะไรบางอย่างอยู่ ท่าทางซีเรียสเชียว ด้วยความอยากรู้เขาจึงเข้าไปร่วมวงด้วย
“ก็เหมือนคนกำลังมีความรักน่ะสิ” เรียวเฮย์กล่าวต่อโดยไม่หันไปมองคนถามเพราะคิดว่าเป็นสมาชิกในองก์ประชุม แต่พอหันไปมองจะถามความเห็น ก็รู้สึกผิดปกติ เพราะริวก็อยู่ข้างๆ นี่นา แล้วเสียงเมื่อกี้มันมาจากข้างหลังได้ไงล่ะ พอคิดอย่างนั้นใบหน้าหวานสวยที่เริ่มซีดหน่อยๆ ของเรียวเฮย์ก็ค่อยๆ หันไปมองข้างหลัง ก็ไปเจอกับใบหน้าอันหล่อเหลาของนักร้องนำเข้าพอดี
“ฮะฮะฮะ ไง เคตะ” คอรัสคนสวยหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นหน้าเคตะยืนอยู่ข้างหลัง
“ไง พวกนายเอาชั้นมานินทากันสนุกเลยนะ” เคตะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมให้กับเพื่อนๆ ทั้ง 2
“ว๊ากกกกก เคตะ” ริวอิจิร้องออกมาด้วยความตกใจ แล้วการประชุมครั้งนี้ก็จบลงเพราะเหล่าผู้เข้าประชุมวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ทิ้งให้เคตะยืนอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับขำในท่าทางตื่นตกใจของเพื่อน นี่คิดว่าเขาจะทำอะไรรึไง ทำไมถึงได้ตกใจกันขนาดนั้น ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดี ใครจะนินทายังไงก็ไม่โกรธอยู่แล้ว (แสยะ)
เคตะหันไปมองกุหลาบปลอมที่ตั้งอยู่ในแจกันอีกครั้ง ริมฝีปากเรียวได้รูปเผลอคลี่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้
หลังจากแยกกับไฮโดะซังที่ร้านเหล้าแล้ว เขาก็รู้สึกหมดสนุกลงไปกะทันหัน เมื่อไม่มีไฮโดะซังอยู่แล้ว ร้านที่เคยดูว่าบรรยากาศดี ก็กลับดูน่าเบื่อไปถนัดใจ เขาจึงจ่ายเงินค่าเหล้าแล้วกลับไปที่คอนโด บนห้องชุดสุดแสนสะดวกสบายบนคอนโดหรูชั้นที่ 50 วันนี้เคตะเพิ่งสังเกตว่าห้องข้างๆ ที่ปิดไฟเงียบมาหลายวัน วันนี้ไฟหน้าห้องกลับถูกเปิดสว่างเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาของเจ้าของห้อง
เคตะได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจเล่นๆ ว่าคนข้างๆ ห้องจะเป็นอย่างไงกันน้า แต่ถึงยังไงคนที่จะมาซื้อคอนโดแบบนี้ได้ก็คงต้องเป็นคนที่มีร่ำรวยพอตัวอยู่ล่ะ เพราะลำพังแค่ค่าเช่าก็ต้องจ่ายเป็นล้านแล้ว แต่จะว่าไปแล้วไฮโดะซังคนนั้นก็ดังไม่ใช่น้อย เงินที่ได้การทำงานคงพอที่จะซื้อคอนโดแบบนี้ทั้งชั้นได้สบายๆ เลยล่ะมั้ง เห็นว่าอยู่แถวๆ นี้ด้วยนี่นา บางทีเจ้าของห้องข้างๆ อาจเป็นเขาก็ได้ เคตะคิดเรื่อยเปื่อยขณะใช้การ์ดรูดเปิดประตูห้อง แต่พอคิดแล้วก็ส่ายๆ หัวไล่ความคิดนั้นออกไป มันดูมันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว โชคคงไม่เข้าข้างเขาขนาดนั้น(มั้ง?)
เคตะรีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะวางกุหลาบผ้าไว้ที่หัวเตียงอย่างทะนุถนอม
“เฮ่อ!” เคตะทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่ที่อ่อนนุ่ม ชายหนุ่มหยิบเอากุหลาบผ้านั้นมามองอยู่นาน มองไปก็นึกถึงใบหน้าหวานสวยของคนให้ไปด้วย
ใบหน้าขาวเนียนที่มีริ้วรอยบ่งบอกให้อยู่ว่าเลยวัยเด็กหนุ่มมานานแล้ว แต่ถึงกระนั้นใบหน้านั้นก็คงอ่อนว่าอายุจริงหลายปีอยู่ดี ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยากจะเดาอายุที่แท้จริงออก แต่ถ้าคำนวณจากเวลาที่ทำงานอยู่ในวงการก็พอเดาได้ว่า ร่างบางคงมีอายุพอสมควรแล้ว พอคิดได้แบบนั้นเคตะก็ลุกขึ้นนั่งทันที
ชายหนุ่มนั่งมองนับตัวเองคำนวณอายุของไฮด์อย่างคราวๆ เคยได้ยินว่าตอนเข้าวงการมาใหม่ๆ อายุรุ่นเดียวกับเรียวเฮย์หรือกว่าจะแก่กว่านิดหน่อย เดี๋ยวนะ ถ้าเท่ากับเรียว ปีนี้เรียว 20 ก็หมายความว่า......
ตัวเลขที่ไม่เชื่อผุดขึ้นเต็มสมอง เคตะเหลือบมองกุหลาบดอกนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของไฮด์ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าคนคนนั้นจะขึ้นเลข 4 ในไม่กี่ปีนี้แล้ว อายุขนาดนั้นถ้าเทียบกับตัวเขาแล้ว คงเป็นรุ่นลูก ไม่ก็หลานซะล่ะมั้ง หรือเป็นเพราะสาเหตุที่ทำให้ไฮด์ปฏิเสธเขา? เพราะเขาอายุน้อยกว่าอย่างนั้นเหรอ?
คิดไปก็ยิ่งฟุ้งซ่านไม่อาจสงบใจให้หลับลงได้เลย ถึงจะรู้ดีว่าพรุ่งนี้จะมีตารางงานสุดโหดรอเขาอยู่ก็ตาม สุดท้ายเคตะก็หมดความอดทนในการข่มตานอน ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปที่ระเบียง บางทีรับลมเย็นๆ อาจช่วยให้สมองปลอดโปร่ง แล้วช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นกระมัง
แต่วินาทีที่ได้เห็นคนข้างห้องเต็มๆ ตา ไฟแห่งความหวังที่เคยทำให้ดับมอดลงไปกลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง
ชายหนุ่มร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวสะอาดตากับกางเกงทรงปล่อยสีเดียวกัน ถึงจะดูรุ่มร่ามไปหน่อย เพราะคนใส่เป็นคนตัวเล็ก แต่ก็เป็นภาพที่ชวนมองอยู่ไม่น้อย เรือนผมสีดำสนิทที่ซอยเข้ารูปยาวประบ่า ซึ่งยังมีละอองน้ำเกาะอยู่ตามเส้นผมบ้างเล็กน้อยบอกให้รู้ว่าเจ้าของเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวเนียนไร้ไฝฝ้าให้รำคาญสายตา ดวงตากลมโตแสนมีเสน่ห์และลึกลับคู่นั้นมองเหม่อออกไปวิวเบื้องหน้า จมูกโด่งเป็นสันราวกับมาคนมาวาดเอาไว้ ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มเหมือนสบใจกับอะไรบางอย่าง
ภาพอันสวยงามสะกดสายตาเบื้องหน้า เคตะไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง ตาฝาดแน่ๆ เขาขยี้ตาก็แล้ว ภาพนั้นก็ไม่หายไป ร่างบางเดินไปเท้าคางกับราวโลหะเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น