ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [Fic CB Kei X Hyde] The boy next door I
คุณเคยเชื่อเรื่องรักแรกพบรึเปล่า? คุณเคยเชื่อรึเปล่าว่าคนเราจะสามารถตกหลุมรักใครคนหนึ่งได้เพียงการเห็นเพียงครั้งเดียว
เมื่อก่อนผมว่ารักแรกพบของผมคือเพื่อนร่วมวงผู้แสนน่ารัก เรียวเฮย์- ผมว่าใครหลายคนก็คงจะคิดเหมือนผมแน่ๆ ก็เรียวน่ะเขาน่ารักออกขนาดนั้นนี่นะ ผมเองยังเคยแอบมองเขาบ่อยๆ เลย
แต่แล้วในค่ำคืนแห่งความทรงจำคืนนั้น เมื่อได้พบกับใครอีกคนหนึ่ง เขาคนนั้นทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเคยคิดไว้มันผิดทั้งหมด ความรู้สึกที่ผมมีให้กับเรียวกับที่มีให้คนคนนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็น แม้เพียงใบหน้าที่โศกเศร้าและหยาดน้ำตา แต่ภาพในวันนั้นกลับฝังแน่นอยู่ในหัวใจ ความงามที่แฝงกลิ่นอายแห่งความเศร้าสร้อยนั้นได้กระชากหัวใจของผมไป นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘รักแรกพบ’ สินะ
ค่ำคืนที่ได้พบเขาคนนั้นเป็นคืนอันเงียบสงบคืนหนึ่งในฤดูหนาว วันครบรอบ 3 ปีของการจากไปของผู้หญิงที่ผมรักที่สุด ซึ่งอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้พรากเธอไปจากผมตลอดกาล
“ขอโทษนะครับคุณแม่ที่ปีนี้ผมมาเยี่ยมช้าไป ช่วงนี้ยุ่งมากเลยล่ะครับ แถมยังมีเรื่องย้ายบ้านอีก ที่ย้ายไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่ที่บ้านหรอกนะครับแต่ย้ายเพราะว่ามันจะช่วยให้เดินทางมาทำงานได้สะดวกขึ้นน่ะครับ เพราะอย่างนี้ก็เลยทำให้มาเยี่ยมช้า ตอนนี้ผมจัดห้องเสร็จแล้วล่ะครับ ที่ห้องใหม่ทั้งกว้างแล้วก็วิวดีมากเลยล่ะครับ อยากให้คุณแม่มาเห็นจริงๆ คุณแม่คงชอบแน่ๆ ขอโทษนะครับที่ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเลย คุณแม่คงจะเหงาสินะครับ เอาเห็นว่าคราวหน้าผมจะมาเยี่ยมให้บ่อยกว่านี้นะครับ สำหรับวันนี้ผมเอาดอกกล้วยไม้ที่คุณแม่ชอบมาให้ด้วย ชอบรึเปล่าครับ?”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ดตัวยาวสีเข้มย่อตัวลงวางดอกกล้วยไม้สีขาวลงกับแท่นหินที่สลักชื่อผู้เป็นแม่เอาไว้ บนใบหน้าเรียวคมมีรอยยิ้มแสนอ่อนโยนระบายไว้บางๆ เมื่อมองไปที่แท่นหินนั้น
สายลมฤดูหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างสูงของชายหนุ่มราวกับจะตอบรับคำถามของเขา หูก็เหมือนได้ยินเสียงหวานอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ตอบกลับมา
‘กล้วยไม้สีขาวที่แม่ชอบที่สุด ขอบใจมากนะลูกเคตะ’
แม้จะรู้ว่าคงจะหูฝาดไปเพราะคิดแต่คิดเรื่องของแม่มากไปก็เลยคิดไปเองว่าได้ยินเสียงของแม่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เคตะอดยิ้มออกมาไปไม่ได้
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง นาฬิกาข้อมือตอนนี้บอกเวลาเที่ยงคืน สมควรกลับได้แล้ว ไม่งั้นคงจะตื่นขึ้นไปสู้รบกับตารางงานที่สุดแสนสาหัสของวันพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ พอคิดแบบนั้นเขาจึงเดินออกมาจากสุสานของคุณแม่ เพื่อเดินออกจากสุสานแห่งนี้
ขณะที่เดินไปก็เหลียวมองไปรอบข้าง ไม่มีอะไรอยู่เลย นอกจากแท่นหินสลักชื่อคนตายที่ตั้งเรียงรายอยู่เป็นแถว เป็นแนว รอบตัวเขา ตอนที่มาครั้งที่แล้วเป็นตอนกลางวันก็ว่าเงียบมากแล้ว พอคราวนี้มาดึกดึ่นเที่ยงคืนแบบนี้ ยิ่งได้สัมผัสถึงความเงียบนิ่งของสุสาน ช่างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงัดเสียจนได้กลิ่นของความอ้างว้างของความตาย เป็นความรู้สึกที่ชวนหดหู่เสียจริง ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ
สองขาเรียวยาวพาร่างสูงของเจ้าของเดินไปเรื่อยๆ ขณะที่กำลังเดินออกจากสุสานที่แสนว้าเหว่แห่งนี้ สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าแท่นหิน
เคตะเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เขาหยุดยืนมองร่างบางที่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นเพราะบังเอิญได้เห็นคนรู้จัก หรือว่า.....ความงามของใบหน้านั้นกันแน่
คนซึ่งยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้ เป็นนักร้องนำของ L’arc~en~Ciel ไม่ผิดแน่ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่เพราะความที่เป็นคนในวงการเดียว อีกทั้งวงร๊อควงนี้ยังเป็นวงที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแนวหน้า พวกเขาจึงได้รู้จักหน้าตากันโดยผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนังสือ นิตยสาร รายการทีวีอีกมากมาย ดังนั้นความรู้สึกแรกที่ได้เห็นไฮโดะซังคนนั้นจึงรู้สึกตกใจนิดหน่อย ที่บังเอิญมาพบกันที่นี่ แต่ความรู้สึกที่ตามมาหลังเนี่ยสิ ที่มันติดแน่นอยู่ในใจอยู่จนทุกวันนี้
ชายหนุ่มร่างเล็กในชุดสีดำสนิทที่เหมือนจะกลืนหายไปกับความมืดยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนดังเวลาของเขาถูกทำให้หยุดลงชั่วคราว ใบหน้าสวยงามราวกับหญิงสาวนั้นแสนเศร้าโศก ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องเขม็งอยู่ที่แท่นหิน ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อนๆ กัดเม้นแน่นเหมือนพยายามสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แต่สุดท้ายความรู้สึกที่พยายามกดเอาไว้นั้นก็กลั้นตัวออกมาเป็นหยาดน้ำใสบริสุทธิ์ไหลร่วงลงมาอาบแก้มขาวเนียน....
“...ตะ...เคตะ...เฮ้ย! เคตะโว้ยยย ตื่นสิวะ!” เสียงทุ้มต่ำของเพื่อนซี้ดังโวกเวกอยู่ข้างหู น่ารำคาญเสียจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตาเรียวคมเหล่มองเพื่อนร่างท้วม (ที่ตอนนี้ไม่ค่อยท้วมเท่าไหร่แล้ว กำลังสวยเสียมากกว่า ก๊ากกกกกกกกกก) เหมือนกับจะถามว่า ‘มีอะไร’
“เรียวให้มาตามไปกินข้าว เที่ยงแล้วไม่หิวรึไง?” ริวอิจิกล่าวอย่างร่าเริง ขณะที่เดินมาเก็บของลงกระเป๋า เตรียมตัวไปกินข้าว กิจกรรมที่เจ้าตัวโปรดปรานเป็นที่สุด
“ เรียวเหรอ? อืมๆ ไปๆ เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย ฮ้าวววว” เคตะลุกขึ้นจากโต๊ะที่ฟุบหลับอยู่นานขึ้นมาบิดซ้ายที ขวาทีเพื่อไล่ความง่วงงุนและความเมื่อยขบให้หายไป เรียกความสดใสกระตือรือร้นให้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่กะว่าจะนั่งหลับตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะรอเพื่อนๆ ถ่ายเซตของตัวเองให้เสร็จ แต่กลายเป็นว่าเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ จะว่าเป็นคงเป็นเพราะช่วงนี้เมื่อหลับตาลงเมื่อไหร่ ก็มันจะฝันเห็นความฝันเดิม ภาพเดิมๆ ของค่ำคืนวันนั้นอยู่เสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์แล้วก็ตาม แต่ภาพไฮโดะซังคนนั้นที่กำลังร้องไห้ต่อหน้าสุสานของใครซักคน ทำไมถึงติดตาขนาดนี้นะ
ใช่ เขาไม่ปฏิเสธว่าไฮโดะคนนั้นถึงแม้ว่ากำลังร้องไห้อยู่ก็ตาม แต่ภาพนั้นก็สวยงามสะกดสายตาให้เขาจ้องมองอย่างลืมตัว ขนาดที่เคยคิดไปเรื่อยเปื่อยไปเองว่า นี่ขนาดกำลังทุกข์ใจ เศร้าโศกคนคนนี้ยังสวยขนาดนี้ แล้วถ้าเวลาปกติ เวลาที่หัวเราะ เวลายิ้มจะสวยแค่ไหนกันนะ และพอคิดแบบนั้น เขาก็ยิ่งอยากจะพบไฮโดะซังอีกครั้ง อยากเข้าใกล้ อยากรู้จักตัวตนของคนคนนั้นมากขึ้นทุกที นี่เขาเป็นอะไรไปนะ
“แปลกจัง ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนน่ะ ถึงมาแอบหลับอยู่ในห้องแต่งตัวแบบนี้ หรือว่า......เมื่อคืนแอบไปเที่ยวไหนมาจนไม่ได้นอนงั้นเหรอ?” เจ้าเพื่อนตัวดีเบียดตัวเข้ามาใกล้ พลางใช้สายตามองเหล่อย่างจับผิด
“พอเลยริว ก็เพราะแกนั้นแหละ ถ่ายเสร็จช้า ชั้นรอจนเบื่อก็เลยเผลอหลับไปเท่านั้นแหละ เลิกพูดดีกว่า ป่านนี้เรียวคงรอแย่แล้ว ชั้นไปดีกว่า” เคตะใช้มือดันหัวเพื่อนให้ออกห่าง ก่อนจะตั้งต้นออกไปวิ่งไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังโรงอาหาร
“เฮ้ย! เล่นที่เผลอนี่หว่า ไอ้เคย์ เดี๋ยวเด้! รอด้วย!” กว่าริวอิจิจะรู้ตัว ร่างสูงๆ ของเพื่อนสนิทก็ออกนำไปไกลโขแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่วิ่งไล่ตามไปด้วยความเร็วที่สุดที่ขาสั้นๆ ของเขาจะพาไปได้
“เคตะ!! ริวอิจิ!! ทางนี้ๆๆ” เสียงใสๆ ของคอรัสคนสวยของเพื่อนๆ ตะโกนโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้ 2 หนุ่มที่วิ่งเข้ามาในโรงอาหารรู้ตำแหน่งที่นั่งของเขา
“ขอโทษนะเรียว รอนานไหม?” เมื่อวิ่งกันมาถึงโต๊ะเคตะก็เอ่ยปากขอโทษเรียวเฮย์ก่อนทันที แต่คนถูกปล่อยให้รอส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับคู่สนทนา
มันอดทำให้คนเห็นอดคิดไม่ได้ว่า ‘น่ารัก’ เรียวมักมีรอยยิ้มแจกจ่ายให้กับทุกๆ คนอย่างเหลือเฟือ รอยยิ้มของเรียวทำให้คนที่พบเห็นมีความสุขไปด้วย เพราะรอยยิ้มนั้นช่างแสนจะสดใสเหมือนกับแสงแดดของฤดูใบไม้ผลิ แล้วไฮโดะซังคนนั้นล่ะ เวลายิ้มจะสวยอย่างนี้รึเปล่า หรือว่าจะยิ่งสวยกว่านี้กันนะ
“พอๆๆ พวกแกมัวแต่สวีทกันอยู่นั้นแหละ หิวจังเลยเรียววันนี้มีอะไรกินบ้าง” ริวอิจิเดินมานั่งแทรกกลางระหว่างชายหนุ่มทั้ง 2 ด้วยความหมั่นไส้ พอเรียวเฮย์เห็นท่าทางของริวอิจิก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ คงเพราะริวอิจิมักถูกเคตะแกล้งเอาบ่อยๆ ไม่บ่อยนักที่จะได้เอาคืน คราวนี้คงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะเอาคืนล่ะมั้ง
“แกงกระหรี่น่ะ” เรียวเฮย์ตอบยิ้มๆ แล้วก็เลื่อนเอากองอาหารไปให้กับเพื่อนทั้ง 2 แล้วหนุ่มๆ W-inds ทั้ง 3 คนก็เริ่มต้นจัดการกับมื้อเที่ยง
30 นาทีผ่านไปหลังจากคุยกันไป เล่นกันไป กินกันไป ก็ถึงเวลาเดินทางไปทำงานกันต่อเสียที หลังจากอิ่มแล้วริวอิจิดูจะอารมณ์ดีที่สุด ชายหนุ่มเดินนำหน้าเรียวเฮย์กับเคตะที่ยังเดินทอดน่องเรื่อยๆ ตามอยู่ข้างหลัง
“นี่ๆ เคตะ ขอถามอะไรหน่อยสิ” จู่ๆ เรียวเฮย์ก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่ 2 คน
“อะไรล่ะ?” ใบหน้าหล่อเหลาของเคตะหันมารอฟังคำถามที่เรียวเฮย์จะถามอย่างตั้งใจ
“เราสงสัยมานานแล้ว วันนี้ ตอนทานข้าวน่ะ เคตะจ้องมองเราตลอดเลย ทำไมเหรอ?” ดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับตากวางจ้องมองคู่สนทนาของเขาด้วยความสงสัย ช่างดูไร้เดียงสาอะไรอย่างนี้นะ เคตะนึกอยู่ในใจ
“ทำไมล่ะ มองคนน่ารักต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ? จะว่าไปปกติเราก็มองนะ ทำไมนึกมาถามเอาวันนี้ล่ะ” เคตะตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ใช่ๆ วันนี้ไม่เหมือนกัน วันนี้เคตะมองเราเหมือนกำลังค้นหาอะไรซักอย่างอยู่ หาอะไรอยู่? มองหาอะไรจากเราอยู่เหรอ?” คิ้วเรียวสวยของเรียวเฮย์ขมวดเข้าหากันเหมือนเวลาใช้ความคิด คำพูดกับสีหน้านั้นทำให้เคตะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่
ถ้าเรียวเฮย์ไม่ทักเขาคงไม่รู้สึกตัว มื้อเที่ยงวันนี้เขาจ้องมองเพื่อนร่วมวงที่แสนน่ารักคนนี้แล้วนึกเปรียบเทียบกับไฮโดะซังคนนั้น ทั้งเรียวเฮย์และไฮโดะซังจะว่าไปแล้วก็เป็นคนสวยทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทำให้ต่างกันมันคืออะไรนะ ใช่....ระหว่างมองเรียวเฮย์ เขาคงกำลังคิดถ้าข้อแตกต่างของ ‘ความงาม’ ของคนทั้งคู่อยู่ และเรียวเฮย์ก็คงรู้ถึงสายตาของเขาที่เปลี่ยนไปจึงถามออกมา
“ขอโทษนะ ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี” เคตะรีบขอโทษก่อนเป็นสิ่งแรก แต่ดูท่าทางเจ้าของคำถามยังไม่พอใจ ใบหน้าหวานใสส่ายไปมาอย่างขัดใจ
“ไม่ใช่ซักหน่อย เราไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากเคตะนะ เพียงแต่กำลังคิดว่าถ้าเคตะมีปัญหาอะไรคุยกับเราก็ได้นะ คุยกับริวก็ได้ อย่าเก็บไว้กลุ้มใจคนเดียวนะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงความจริงจังออกให้เห็นทำให้เคตะต้องยอมแพ้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าเขาหรือริวอิจิมีปัญหา เรียวเฮย์มักดูพวกเขาออกเสมอ สมเป็นพี่ใหญ่จริงๆ
“คร้าบ คุณเรียวเฮย์ที่เคารพ ถ้าทาจิบานะ เคตะคนนี้มีปัญหาล่ะก็จะรีบปรึกษา คุณพี่เป็นคนแรกเลยคร้าบ” เคตะแกล้วลากเสียงล้อเลียนเรียวเฮย์เล่นอย่างสนุกสนาน เขายังไม่คิดจะบอกเรื่องไฮโดะซังกับเรียวเฮย์ตอนนี้หรอก เก็บไว้อีกซักก็แล้วกัน
“เอ๊ะ! เคตะนี่ ล้อเราเล่นอีกแล้วนะ นี่เราพูดจริงๆ นะ” ด้วยความลืมตัวเรียวเฮย์จึงเผลอต่อว่าเคตะที่ยังยิ้มน่าระเรื่ออยู่ได้ เสียงนั้นดังเสียจน ริวอิจิที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องหันมามองว่ามีเรื่องอะไรกัน
“หือ? เคตะนายแกล้งอะไรเรียวอีกล่ะเนี่ย” ริวอิจิเดินเข้ามาร่วมวงอีกคน แต่ตัวต้นเหตุกลับเดินพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีหนี 2 หนุ่มไปเสียอย่างนั้น....
เมื่อก่อนผมว่ารักแรกพบของผมคือเพื่อนร่วมวงผู้แสนน่ารัก เรียวเฮย์- ผมว่าใครหลายคนก็คงจะคิดเหมือนผมแน่ๆ ก็เรียวน่ะเขาน่ารักออกขนาดนั้นนี่นะ ผมเองยังเคยแอบมองเขาบ่อยๆ เลย
แต่แล้วในค่ำคืนแห่งความทรงจำคืนนั้น เมื่อได้พบกับใครอีกคนหนึ่ง เขาคนนั้นทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเคยคิดไว้มันผิดทั้งหมด ความรู้สึกที่ผมมีให้กับเรียวกับที่มีให้คนคนนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็น แม้เพียงใบหน้าที่โศกเศร้าและหยาดน้ำตา แต่ภาพในวันนั้นกลับฝังแน่นอยู่ในหัวใจ ความงามที่แฝงกลิ่นอายแห่งความเศร้าสร้อยนั้นได้กระชากหัวใจของผมไป นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘รักแรกพบ’ สินะ
ค่ำคืนที่ได้พบเขาคนนั้นเป็นคืนอันเงียบสงบคืนหนึ่งในฤดูหนาว วันครบรอบ 3 ปีของการจากไปของผู้หญิงที่ผมรักที่สุด ซึ่งอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้พรากเธอไปจากผมตลอดกาล
“ขอโทษนะครับคุณแม่ที่ปีนี้ผมมาเยี่ยมช้าไป ช่วงนี้ยุ่งมากเลยล่ะครับ แถมยังมีเรื่องย้ายบ้านอีก ที่ย้ายไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่ที่บ้านหรอกนะครับแต่ย้ายเพราะว่ามันจะช่วยให้เดินทางมาทำงานได้สะดวกขึ้นน่ะครับ เพราะอย่างนี้ก็เลยทำให้มาเยี่ยมช้า ตอนนี้ผมจัดห้องเสร็จแล้วล่ะครับ ที่ห้องใหม่ทั้งกว้างแล้วก็วิวดีมากเลยล่ะครับ อยากให้คุณแม่มาเห็นจริงๆ คุณแม่คงชอบแน่ๆ ขอโทษนะครับที่ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเลย คุณแม่คงจะเหงาสินะครับ เอาเห็นว่าคราวหน้าผมจะมาเยี่ยมให้บ่อยกว่านี้นะครับ สำหรับวันนี้ผมเอาดอกกล้วยไม้ที่คุณแม่ชอบมาให้ด้วย ชอบรึเปล่าครับ?”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ดตัวยาวสีเข้มย่อตัวลงวางดอกกล้วยไม้สีขาวลงกับแท่นหินที่สลักชื่อผู้เป็นแม่เอาไว้ บนใบหน้าเรียวคมมีรอยยิ้มแสนอ่อนโยนระบายไว้บางๆ เมื่อมองไปที่แท่นหินนั้น
สายลมฤดูหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างสูงของชายหนุ่มราวกับจะตอบรับคำถามของเขา หูก็เหมือนได้ยินเสียงหวานอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ตอบกลับมา
‘กล้วยไม้สีขาวที่แม่ชอบที่สุด ขอบใจมากนะลูกเคตะ’
แม้จะรู้ว่าคงจะหูฝาดไปเพราะคิดแต่คิดเรื่องของแม่มากไปก็เลยคิดไปเองว่าได้ยินเสียงของแม่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เคตะอดยิ้มออกมาไปไม่ได้
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง นาฬิกาข้อมือตอนนี้บอกเวลาเที่ยงคืน สมควรกลับได้แล้ว ไม่งั้นคงจะตื่นขึ้นไปสู้รบกับตารางงานที่สุดแสนสาหัสของวันพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ พอคิดแบบนั้นเขาจึงเดินออกมาจากสุสานของคุณแม่ เพื่อเดินออกจากสุสานแห่งนี้
ขณะที่เดินไปก็เหลียวมองไปรอบข้าง ไม่มีอะไรอยู่เลย นอกจากแท่นหินสลักชื่อคนตายที่ตั้งเรียงรายอยู่เป็นแถว เป็นแนว รอบตัวเขา ตอนที่มาครั้งที่แล้วเป็นตอนกลางวันก็ว่าเงียบมากแล้ว พอคราวนี้มาดึกดึ่นเที่ยงคืนแบบนี้ ยิ่งได้สัมผัสถึงความเงียบนิ่งของสุสาน ช่างเป็นบรรยากาศที่เงียบสงัดเสียจนได้กลิ่นของความอ้างว้างของความตาย เป็นความรู้สึกที่ชวนหดหู่เสียจริง ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ
สองขาเรียวยาวพาร่างสูงของเจ้าของเดินไปเรื่อยๆ ขณะที่กำลังเดินออกจากสุสานที่แสนว้าเหว่แห่งนี้ สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าแท่นหิน
เคตะเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เขาหยุดยืนมองร่างบางที่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นเพราะบังเอิญได้เห็นคนรู้จัก หรือว่า.....ความงามของใบหน้านั้นกันแน่
คนซึ่งยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้ เป็นนักร้องนำของ L’arc~en~Ciel ไม่ผิดแน่ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่เพราะความที่เป็นคนในวงการเดียว อีกทั้งวงร๊อควงนี้ยังเป็นวงที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแนวหน้า พวกเขาจึงได้รู้จักหน้าตากันโดยผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนังสือ นิตยสาร รายการทีวีอีกมากมาย ดังนั้นความรู้สึกแรกที่ได้เห็นไฮโดะซังคนนั้นจึงรู้สึกตกใจนิดหน่อย ที่บังเอิญมาพบกันที่นี่ แต่ความรู้สึกที่ตามมาหลังเนี่ยสิ ที่มันติดแน่นอยู่ในใจอยู่จนทุกวันนี้
ชายหนุ่มร่างเล็กในชุดสีดำสนิทที่เหมือนจะกลืนหายไปกับความมืดยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนดังเวลาของเขาถูกทำให้หยุดลงชั่วคราว ใบหน้าสวยงามราวกับหญิงสาวนั้นแสนเศร้าโศก ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องเขม็งอยู่ที่แท่นหิน ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูอ่อนๆ กัดเม้นแน่นเหมือนพยายามสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แต่สุดท้ายความรู้สึกที่พยายามกดเอาไว้นั้นก็กลั้นตัวออกมาเป็นหยาดน้ำใสบริสุทธิ์ไหลร่วงลงมาอาบแก้มขาวเนียน....
“...ตะ...เคตะ...เฮ้ย! เคตะโว้ยยย ตื่นสิวะ!” เสียงทุ้มต่ำของเพื่อนซี้ดังโวกเวกอยู่ข้างหู น่ารำคาญเสียจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตาเรียวคมเหล่มองเพื่อนร่างท้วม (ที่ตอนนี้ไม่ค่อยท้วมเท่าไหร่แล้ว กำลังสวยเสียมากกว่า ก๊ากกกกกกกกกก) เหมือนกับจะถามว่า ‘มีอะไร’
“เรียวให้มาตามไปกินข้าว เที่ยงแล้วไม่หิวรึไง?” ริวอิจิกล่าวอย่างร่าเริง ขณะที่เดินมาเก็บของลงกระเป๋า เตรียมตัวไปกินข้าว กิจกรรมที่เจ้าตัวโปรดปรานเป็นที่สุด
“ เรียวเหรอ? อืมๆ ไปๆ เที่ยงแล้วเหรอเนี่ย ฮ้าวววว” เคตะลุกขึ้นจากโต๊ะที่ฟุบหลับอยู่นานขึ้นมาบิดซ้ายที ขวาทีเพื่อไล่ความง่วงงุนและความเมื่อยขบให้หายไป เรียกความสดใสกระตือรือร้นให้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่กะว่าจะนั่งหลับตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะรอเพื่อนๆ ถ่ายเซตของตัวเองให้เสร็จ แต่กลายเป็นว่าเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ จะว่าเป็นคงเป็นเพราะช่วงนี้เมื่อหลับตาลงเมื่อไหร่ ก็มันจะฝันเห็นความฝันเดิม ภาพเดิมๆ ของค่ำคืนวันนั้นอยู่เสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์แล้วก็ตาม แต่ภาพไฮโดะซังคนนั้นที่กำลังร้องไห้ต่อหน้าสุสานของใครซักคน ทำไมถึงติดตาขนาดนี้นะ
ใช่ เขาไม่ปฏิเสธว่าไฮโดะคนนั้นถึงแม้ว่ากำลังร้องไห้อยู่ก็ตาม แต่ภาพนั้นก็สวยงามสะกดสายตาให้เขาจ้องมองอย่างลืมตัว ขนาดที่เคยคิดไปเรื่อยเปื่อยไปเองว่า นี่ขนาดกำลังทุกข์ใจ เศร้าโศกคนคนนี้ยังสวยขนาดนี้ แล้วถ้าเวลาปกติ เวลาที่หัวเราะ เวลายิ้มจะสวยแค่ไหนกันนะ และพอคิดแบบนั้น เขาก็ยิ่งอยากจะพบไฮโดะซังอีกครั้ง อยากเข้าใกล้ อยากรู้จักตัวตนของคนคนนั้นมากขึ้นทุกที นี่เขาเป็นอะไรไปนะ
“แปลกจัง ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนน่ะ ถึงมาแอบหลับอยู่ในห้องแต่งตัวแบบนี้ หรือว่า......เมื่อคืนแอบไปเที่ยวไหนมาจนไม่ได้นอนงั้นเหรอ?” เจ้าเพื่อนตัวดีเบียดตัวเข้ามาใกล้ พลางใช้สายตามองเหล่อย่างจับผิด
“พอเลยริว ก็เพราะแกนั้นแหละ ถ่ายเสร็จช้า ชั้นรอจนเบื่อก็เลยเผลอหลับไปเท่านั้นแหละ เลิกพูดดีกว่า ป่านนี้เรียวคงรอแย่แล้ว ชั้นไปดีกว่า” เคตะใช้มือดันหัวเพื่อนให้ออกห่าง ก่อนจะตั้งต้นออกไปวิ่งไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังโรงอาหาร
“เฮ้ย! เล่นที่เผลอนี่หว่า ไอ้เคย์ เดี๋ยวเด้! รอด้วย!” กว่าริวอิจิจะรู้ตัว ร่างสูงๆ ของเพื่อนสนิทก็ออกนำไปไกลโขแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่วิ่งไล่ตามไปด้วยความเร็วที่สุดที่ขาสั้นๆ ของเขาจะพาไปได้
“เคตะ!! ริวอิจิ!! ทางนี้ๆๆ” เสียงใสๆ ของคอรัสคนสวยของเพื่อนๆ ตะโกนโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้ 2 หนุ่มที่วิ่งเข้ามาในโรงอาหารรู้ตำแหน่งที่นั่งของเขา
“ขอโทษนะเรียว รอนานไหม?” เมื่อวิ่งกันมาถึงโต๊ะเคตะก็เอ่ยปากขอโทษเรียวเฮย์ก่อนทันที แต่คนถูกปล่อยให้รอส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับคู่สนทนา
มันอดทำให้คนเห็นอดคิดไม่ได้ว่า ‘น่ารัก’ เรียวมักมีรอยยิ้มแจกจ่ายให้กับทุกๆ คนอย่างเหลือเฟือ รอยยิ้มของเรียวทำให้คนที่พบเห็นมีความสุขไปด้วย เพราะรอยยิ้มนั้นช่างแสนจะสดใสเหมือนกับแสงแดดของฤดูใบไม้ผลิ แล้วไฮโดะซังคนนั้นล่ะ เวลายิ้มจะสวยอย่างนี้รึเปล่า หรือว่าจะยิ่งสวยกว่านี้กันนะ
“พอๆๆ พวกแกมัวแต่สวีทกันอยู่นั้นแหละ หิวจังเลยเรียววันนี้มีอะไรกินบ้าง” ริวอิจิเดินมานั่งแทรกกลางระหว่างชายหนุ่มทั้ง 2 ด้วยความหมั่นไส้ พอเรียวเฮย์เห็นท่าทางของริวอิจิก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ คงเพราะริวอิจิมักถูกเคตะแกล้งเอาบ่อยๆ ไม่บ่อยนักที่จะได้เอาคืน คราวนี้คงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะเอาคืนล่ะมั้ง
“แกงกระหรี่น่ะ” เรียวเฮย์ตอบยิ้มๆ แล้วก็เลื่อนเอากองอาหารไปให้กับเพื่อนทั้ง 2 แล้วหนุ่มๆ W-inds ทั้ง 3 คนก็เริ่มต้นจัดการกับมื้อเที่ยง
30 นาทีผ่านไปหลังจากคุยกันไป เล่นกันไป กินกันไป ก็ถึงเวลาเดินทางไปทำงานกันต่อเสียที หลังจากอิ่มแล้วริวอิจิดูจะอารมณ์ดีที่สุด ชายหนุ่มเดินนำหน้าเรียวเฮย์กับเคตะที่ยังเดินทอดน่องเรื่อยๆ ตามอยู่ข้างหลัง
“นี่ๆ เคตะ ขอถามอะไรหน่อยสิ” จู่ๆ เรียวเฮย์ก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่ 2 คน
“อะไรล่ะ?” ใบหน้าหล่อเหลาของเคตะหันมารอฟังคำถามที่เรียวเฮย์จะถามอย่างตั้งใจ
“เราสงสัยมานานแล้ว วันนี้ ตอนทานข้าวน่ะ เคตะจ้องมองเราตลอดเลย ทำไมเหรอ?” ดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับตากวางจ้องมองคู่สนทนาของเขาด้วยความสงสัย ช่างดูไร้เดียงสาอะไรอย่างนี้นะ เคตะนึกอยู่ในใจ
“ทำไมล่ะ มองคนน่ารักต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ? จะว่าไปปกติเราก็มองนะ ทำไมนึกมาถามเอาวันนี้ล่ะ” เคตะตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ใช่ๆ วันนี้ไม่เหมือนกัน วันนี้เคตะมองเราเหมือนกำลังค้นหาอะไรซักอย่างอยู่ หาอะไรอยู่? มองหาอะไรจากเราอยู่เหรอ?” คิ้วเรียวสวยของเรียวเฮย์ขมวดเข้าหากันเหมือนเวลาใช้ความคิด คำพูดกับสีหน้านั้นทำให้เคตะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่
ถ้าเรียวเฮย์ไม่ทักเขาคงไม่รู้สึกตัว มื้อเที่ยงวันนี้เขาจ้องมองเพื่อนร่วมวงที่แสนน่ารักคนนี้แล้วนึกเปรียบเทียบกับไฮโดะซังคนนั้น ทั้งเรียวเฮย์และไฮโดะซังจะว่าไปแล้วก็เป็นคนสวยทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทำให้ต่างกันมันคืออะไรนะ ใช่....ระหว่างมองเรียวเฮย์ เขาคงกำลังคิดถ้าข้อแตกต่างของ ‘ความงาม’ ของคนทั้งคู่อยู่ และเรียวเฮย์ก็คงรู้ถึงสายตาของเขาที่เปลี่ยนไปจึงถามออกมา
“ขอโทษนะ ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี” เคตะรีบขอโทษก่อนเป็นสิ่งแรก แต่ดูท่าทางเจ้าของคำถามยังไม่พอใจ ใบหน้าหวานใสส่ายไปมาอย่างขัดใจ
“ไม่ใช่ซักหน่อย เราไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากเคตะนะ เพียงแต่กำลังคิดว่าถ้าเคตะมีปัญหาอะไรคุยกับเราก็ได้นะ คุยกับริวก็ได้ อย่าเก็บไว้กลุ้มใจคนเดียวนะ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงความจริงจังออกให้เห็นทำให้เคตะต้องยอมแพ้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่าเขาหรือริวอิจิมีปัญหา เรียวเฮย์มักดูพวกเขาออกเสมอ สมเป็นพี่ใหญ่จริงๆ
“คร้าบ คุณเรียวเฮย์ที่เคารพ ถ้าทาจิบานะ เคตะคนนี้มีปัญหาล่ะก็จะรีบปรึกษา คุณพี่เป็นคนแรกเลยคร้าบ” เคตะแกล้วลากเสียงล้อเลียนเรียวเฮย์เล่นอย่างสนุกสนาน เขายังไม่คิดจะบอกเรื่องไฮโดะซังกับเรียวเฮย์ตอนนี้หรอก เก็บไว้อีกซักก็แล้วกัน
“เอ๊ะ! เคตะนี่ ล้อเราเล่นอีกแล้วนะ นี่เราพูดจริงๆ นะ” ด้วยความลืมตัวเรียวเฮย์จึงเผลอต่อว่าเคตะที่ยังยิ้มน่าระเรื่ออยู่ได้ เสียงนั้นดังเสียจน ริวอิจิที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องหันมามองว่ามีเรื่องอะไรกัน
“หือ? เคตะนายแกล้งอะไรเรียวอีกล่ะเนี่ย” ริวอิจิเดินเข้ามาร่วมวงอีกคน แต่ตัวต้นเหตุกลับเดินพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีหนี 2 หนุ่มไปเสียอย่างนั้น....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น