คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : Special 3 เรื่องราวของมาริโอน่า 100%
แหมะ...
“หืม? ฝนจะตกแล้วเหรอ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ แย่จัง อุตสาห์คิดว่าจะไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะสักหน่อยแท้ๆเลย…
แปล็บบ!
“อึก! คงต้องรีบเข้าไปหลบฝนแล้วแฮะ”เด็กสาวเอามือข้างซ้ามมาจับแขนข้างขวาที่เกิดอาการปวดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้อยู่ เธอรู้สึกปวดแขนข้างขวาทุกครั้งที่ขยับมันเพราะยังไม่ชิน แล้วยิ่งมาโดนน้ำฝนที่ตกลงมาอีกมันจึงทวีคูณความเจ็บยิ่งกว่าเดิม
นี่ก็ผ่าตัดมาตั้งเกือบปีแล้วแท้ๆเรายังไม่ชินอีก... หรือว่าเราควรที่จะยอมแพ้แล้วกลับไปดีนะ? แต่ถึงกลับไปมันก็ไม่มีที่ของเราอีกแล้วนี่? เราสูญเสียทุกๆอย่างไปแล้ว นี่ฉัน...เลือกทางผิดงั้นเหรอคุโรยูกิ? ทั้งๆที่อยากจะถามเธอแต่เธอก็ไม่อยู่ที่นี่ ในตอนนี้… หรือว่าฉันควรกลับไปดีนะ?
เพียะะ...
“ไม่ๆๆ! เราจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว! อย่าทำให้ความพยายามของยูกิต้องสูญเปล่าสิมาริโอน่า!”เด็กสาวตบหน้าตัวเองด้วยมือข้างซ้ายเพื่อเรียกสติก่อนที่จะฟุ้งซ่านไป ซึ่งเธอก็รู้ดีว่ามันไม่ทันการเอาเสียแล้ว
“เกะกะขวางทางจริงยัยเด็กนี่!!”ฉันได้ยินเสียงทุ้มเย็นๆของผู้ชายเข้าที่ข้างหลังทำให้หันไปมองด้วยความไม่พอใจ
“หา?....!!!”เด็กสาวหันไปพูดเหมือนกับหาเรื่องก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้รู้ว่าใครคือคนที่พูด เส้นผมสีเงินยาวสวยที่มีมาตั้งแต่เกิดอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับผมสีเทาออกขาวของเธอที่ได้จากการแพ้ยา บุคคลอันตรายที่ฉันไม่น่าจะมีทางได้เจอ
หากอยู่ในสังคมที่อันตรายแบบนี้มานานก็ย่อมต้องเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าบุคคลอันตรายและไม่ควรเข้าใกล้มีใครบ้าง ไม่ว่าจะนักฆ่า มาเฟียหรือแม้แต่คนธรรมดายังต้องรู้จักและกลัวเกรงยามเห็น
แต่คิดเหรอว่าฉันจะกลัว?ไม่มีทางหรอก!!
“หลบไปยัยเปี๊ยก!!”เขาตะคอกด้วยเสียงที่ดังกว่าคนปกติทั่วไปจนต้องเอามือมาปิดหู ใบหน้าของเขาที่มาริโอน่าเห็นดูจะรำคาญเธอเอามาก เพราะเธอเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมหลบทางให้
ฉันไม่คิดหรอกนะว่าจะได้เจอกันกับเขา… นักฆ่าอัจฉริยะที่สังกัดหน่วยลอบสังหารของวองโกเล่ แก๊งมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการนี้ กลุ่มที่เต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จทุกครั้ง วาเรียควอริตี้อันโด่งดังและขึ้นชื่อเรื่องความโหด อันตราย ฉันในตอนนี้ที่มีตัวคนเดียว ไร้ซึ่งที่พึ่งและคนข้างหลังจึง...
“มีที่ตั้งกว้างก็ไปเดินทางอื่นสิไอ้ผมยาว!! ไอ้แก่สูงโย่ง!!”
อ่าห๊ะ... ฉันตะโกนใส่เขากลับอย่างโมโห ก็น้า~ คิดเหรอว่าอดีตว่าที่บอสของแก๊งมาเฟียที่ยึดถือในศักดิ์ศรีอย่างฉันจะยอมให้โดนหยามกันฝ่ายเดียวล่ะ ยั๊วมาก็ต้องยั๊วกลับ!!(เดี๋ยวๆมาริโอน่า! นี่เธอยั๊วเพราะถูกหาว่ายัยเปี๊ยกเรอะ!//ไรต์ แน่สิ! ดูถูกเรื่องอื่นได้แต่อย่ามาดูถูกเรื่องความสูงนะ!//มาริโอน่า)
“!? -ว่าไงนะ! จะเอารึไงยัยเปี๊ยกตาสองสีนี่!!”
อ๊ะ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะแปลกใจพอดูที่เห็นว่าฉันจะต่อปากต่อคำกลับแต่สุดท้ายก็ดันมาท้าเด็กต่อยกันเนี่ยนะ…? มาริโอน่ารู้สึกสงสารวาเรียขึ้นมาทันทีที่มารู้เอาว่ามีผู้บัญชาการแบบนี้
ฉึก!
“จะเอาเรอะไอ้หงอกนี่! ถึงแกจะเป็นพวกวาเรียแต่อย่ามาดูถูกกันนะ!”
เด็กสาวรู้สึกเหมือนถูกแทงใจดำเรื่องสีตาข้างใหม่ที่ได้รับมา ดวงตาสีเหลืองทองที่ไม่ใช่สีที่มีในมนุษย์แบบนี้ทำให้คนรอบข้างพากันหวาดกลัวทั้งๆที่ก็รู้กันดีแก่ใจว่านี่มันเป็นดวงตาเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาอยู่แล้วแท้ๆ… พอคิดแบบนั้นมันก็อดรู้สึกเจ็บไม่ได้ เจ็บที่หัวใจมากกว่าที่ร่างกายมากโขเลยล่ะ ทั้งพ่อทั้งแม่ก็พยายามออกห่างเพราะเจ้าดวงตานี่ ไม่อยากยอมรับหรอกนะว่าตั้งแต่ที่น้องเกิดมาที่บ้านก็ไม่มีที่อยู่สำหรับตัวเองอีกแล้ว
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงไป ไม่คิดกันบ้างเหรอว่าความจริงมันมักโหดร้ายเสมอหน่ะ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทิ-คุโรยูกิที่ถูกใส่ร้ายจนเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน หรือว่าจะความเป็นจริงของโลกใบนี้ที่ไม่ยอมรับคนอ่อนแอที่พิกลพิการแบบฉันก็ด้วย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ดันเกิดมาแบบนี้นี่นะ คนไร้ประโยชน์แบบเราถ้าเกิดไม่ได้เจอคุโรยูกิก็ไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นยังไงกัน...
แน่นอนว่าหลังจากถูกยั๊วพวกเราสองคนก็เข้าไปต่อยกันด้วยร่างกายโดยไม่ใช้อาวุธ แลกหมัดกันล้วนๆ! แต่ก็สมกับที่โตกว่าแล้วก็เป็นผบ.ของวาเรียจริงๆนั่นล่ะถึงจะบาดเจ็บอยู่ก็เถอะ... เล่นซะ…(เบนสายตาไปมองรอบข้างที่เละไปจากการแลกหมัดกันก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ)
“จำชื่อชั้นไว้ให้ดีล่ะไอ้ผมยาว! ชั้นมาริโอน่า รินโอริน จะกลับมาเอาชนะนายให้ได้คอยดูเถอะ!!”
ฉันจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้หรอกนะเฟ้ย! จนกว่าจะเอาชนะแกได้เตรียมตัวล้างคอรอได้เลย!! เด็กสาวเดินลากสังขารกลับไปห้องพักของตัวเองในสภาพสะบักสะบอมจากการต่อสู้ แขนกลข้างขวาก็ดันมาหักคงต้องโดนคุโรยูกิบ่นอีกยาวแน่ๆเลย ทั้งๆที่แขนกลนี่ควรจะเจ็บเหมือนตลอดมาแต่กลับรู้สึกว่าขยับได้ดีขึ้นแถมยังไม่เจ็บอีก เพราะอะไรกันนะ? แต่ก็ช่างมันเถอะ! ก็เพราะเราไม่ได้รู้สึกสนุกแบบนี้มานานมากแล้วนี่เนอะ แต่ว่า...
อยากเจออีกจังเลยนะ…
และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของมาริโอน่าในวัยสิบเอ็ดปีกับสควอโล่ในวัยสิบเก้าปี
ซึ่งเป็นเวลาก่อนจะเริ่มศึกชิงแหวนในอีกสามปีต่อมา...
3ปีหลังจากวันนั้น
“เอ๋? ผู้พิทักษ์หิมะของวองโกเล่?อะไรล่ะนั่นยูกิ?”มาริโอน่ามองแหวนฮาฟวองโกเล่ในมืออย่างสงสัยพร้อมกับที่ถามเพื่อนสาวอย่างคุโรยูกิที่ตีหน้านิ่งไม่บอกอารมณ์“ชั้นเลือกเธอเป็นผู้พิทักษ์หิมะ...เก็บของ...เราจะไปญี่ปุ่น....”ว่าจบคุโรยูกิก็เดินออกไปจากห้องนั้นเพื่อปล่อยให้เด็กสาวอีกคนได้มีเวลาส่วนตัวและเก็บของทันที
“ให้ตายเถอะ... ยังเหมือนเดิมเลยนะยูกิ”
มาริโอน่าบ่นกับตัวเองพลางส่ายหน้าให้กับท่าทางแบบนั้นของเพื่อนสาว แม้จะถูกพูดใส่ด้วยท่าทางที่คล้ายกับสั่งของยูกิที่มันผิดแปลกจากนิสัยของเธอแต่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไม อะไรทำให้ยูกิร้อนรนได้ถึงขนาดนี้กัน?
เอาไปแค่นี้ก็น่าจะพอล่ะมั้ง? ไว้ค่อยไปซื้อใหม่เอาที่นู่นก็ได้ เด็กสาวมองกระเป๋าเป้ใบสีน้ำตาลเข้มของตัวเองขึ้นมาสะพายพลางสวมผ้าปิดตาสีดำมาปกปิดดวงตาข้างซ้ายที่มีสีอันโดดเด่น
“เสร็จแล้ว...?”ยูกิถามมาริโอน่าด้วยน้ำเสียงสงสัยหลังจากที่เห็นว่าสิ่งที่เธอพกไปญี่ปุ่นมีเพียงกระเป๋าเป้ใบเล็กๆกับดาบประจำตัวที่ห่อไว้
“ไว้ค่อยไปซื้อที่นั่นเอา ไปกันเถอะยูกิ”
มาริโอน่าตอบยูกิพร้อมๆกับที่จับมือ(ลาก)ไปยังสนามบินโดยที่เหลือบมองคนข้างหลังเป็นระยะๆด้วยความเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็เป็นเธอเองที่ดันทำสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา
อารมณ์ภายในปั่นป่วนเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งความโกรธ ความเศร้า
ความรู้สึกผิด...
ฝ่ามือเย็นเฉียบเหมือนกับว่าอยู่ในห้องแอร์มานานหรือว่าในวันที่มีอากาศหนาวทั้งๆที่ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อน(มั่วเอานะ)ของอิตาลีแต่มือของยูกิกลับเย็นไม่สิ ทั้งตัวของยูกิหน่ะเย็นหมดเลยนั่นล่ะ
ถึงปกติจะใช้วิธีสวมถุงมือหรือว่าใช้พลังของจุกนมเร่งความร้อนในร่างกายให้เท่ากับคนธรรมดาแต่วันนี้คงจะรีบจนเผลอล่ะมั้ง? มันเป็นมาตั้งแต่วันนั้นรึเปล่าเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป
แปะ...
“เอ้า ลูบๆ
เลิกทำหน้าตาแบบนั้นซักทีน่า...”ยูกิลูบหัวมาริโอน่าไม่กี่ครั้งพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นสบายน่าฟังพร้อมกับยกยิ้มบางๆอันหาได้ยาก
“น่าหมั่นไส้”พอฉันพูดจบก็เข้าไปยืดแก้มของยูกิเล่นทันที
“อือ ~ ...อันเอ็บอะอาอิน....”
น่ารักจริงๆนั่นล่ะนะยูกิเนี่ย คนที่เห็นด้านแบบนี้ก็คงมีแค่คนที่สนิทกันจริงๆอย่างพวกเราเท่านั้นล่ะ คนที่จะแกล้งเล่นได้โดยไม่ถูกคว่ำไปซะก่อนในโลกนี้คงมีไม่ถึงสิบคนด้วยมั้ง? ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงจะมีเยอะมากกว่านี้แท้ๆ
“มาแล้วสินะมาริโอน่า รินโอริน”
เสียงเล็กแหลมของเด็กดังขึ้นทันทีที่มาริโอน่ามาถึงทางออกของสนามบิน ร่างเล็กจิ๋วของทารกวัยสามขวบปีในชุดสูทสีดำ เขานั้นสวมหมวกแถบสีส้ม จอนม้วนอันเป็นเอกลักษณ์และกิ้งก่าคาเมลอนสีเขียวรวมถึงจุกนมสีเหลืองเหมือนกับของคุโรยูกิที่คออันเป็นจุดที่บ่งบอกถึงตัวตน
อัลโกบาเลโน่จุกนมสีเหลือง นักฆ่าสังกัดวองโกเล่ รีบอร์น...
ชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาในหมู่มาเฟียและนักฆ่าใครๆก็ต้องรู้ ตัวของฉันได้พบกับเขาอยู่ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงวันเกิดของน้องชายในวันเดียวกับที่ได้เจอกับคุโรยูกิอีกครั้ง วันนั้นก็คงถือได้ว่าเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในรอบปีได้ด้วยซ้ำ
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะท่านรีบอร์น เป็นเกียรติอย่างสูงจริงๆที่ได้พบกับท่านอีกครั้ง”
แม้ว่าจะตกใจอยู่บ้างกับการที่ได้พบกับนักฆ่าอันดับหนึ่งอย่างรีบอร์นที่นี่ แต่มาริโอน่าก็ยังคงรักษาท่าทีสงบเยือกเย็นและย่อตัวลงถอนสายบัวทำความเคารพอย่างนอบน้อมต่อร่างเล็กตรงหน้าโดยไม่อายต่อสายตาของคนรอบข้างที่มองมาอย่างสนใจ
“สมกับที่คุโระเลือกมา ชั้นจะพาไปแนะนำตัวกับสึนะไว้ก่อนแล้วกัน”รีบอร์นมองท่าทางแบบนั้นก่อนจะยกยิ้มที่แสดงออกถึงความพึงพอใจออกมาแล้วจึงเดินนำไปยังสถานที่ฝึกของว่าที่บอสของมาริโอน่า
สมกับที่คุโระเลือกมาเอง... ไม่ว่าจะทักษะ
ความสามารถหรือแม้กระทั้งความมารยาทและความสงบเยือกเย็นก็มีครบ
ขึ้นอยู่กับแกแล้วล่ะนะว่าจะทำให้เธอคนนี้ยอมรับได้รึเปล่า สึนะ...
รีบอร์นคิดพลางจับปีกหมวกที่ตัวเองสวมอยู่พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปกับรีบอร์นเอง...มีธุระ...”คุโรยูกิมาบอกกับมาริโอน่าก่อนจะได้รับคำตอบเป็นพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจจึงค่อยเดินไปอีกทางหนึ่ง
ฉันลองมองดูรอบข้างระหว่างที่เดินตามทางที่ท่านรีบอร์นนำไป ที่นี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบชวนให้ผ่อนคลายได้ไม่ใช่น้อยๆ
มันทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่าว่าที่บอสมาเฟียที่เติบโตมาในสถานที่อันสงบแบบนี้จะเป็นคนแบบไหน?
“หึหึหึหึ...”เด็กสาวเผลอตัวจับแขนข้างขวาเมื่อนึกถึงเรื่องการต่อสู้ที่เพื่อนสาวบอกมาก่อนคร่าวๆ ริมฝีปากบางยกขึ้นจนเป็นการแสยะยิ้ม ดวงตาฉายแววความกระหายและอาฆาต ออร่าสีม่วงๆแผ่ออกมาบางๆแต่ไม่น่าเข้าใกล้
จะเป็นศึกชิงว่าที่บอสวองโกเล่หรืออะไนก็ช่างประไร! จะแสดงผลของการฝึกฝนตลอดสามปีให้แกดูเองสเปลบี สควอโล่!! จะเอาให้ไม่มีวันลืมชื่อเลยคอยดูเถอะ!
มาดูทางฝั่งวาเรียกันบ้าง.....
“ฮัดชิ้ว!!”จู่ๆสควอโล่ก็จามออกมาเหมือนกับว่าถูกใครคิดถึงอยู่(ก็มารินไงจะใครล่ะ เจ้าตัวท่าจะชอบสควอโล่มากถึงขนาดแทบอยากจะฆ่าเลยเชียว//ไรต์ มาริน? มันใครล่ะโว้ยยย!?//ฉลามขาว(?)สควอโล่ ฆ่ามันให้ตายไปเลยนะมารินจัง!! (=_=***)(โทษฐานที่กล้าลืม(ว่าที่)คนรัก)//ไรต์)
“ชิชิชิชิชิ เป็นหวัดเหรอสควอโล่?”เบลเฟกอลส่งเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์(ที่ไม่มีใครเหมือน) เขาถามสควอโล่ด้วยความเป็นห่วงในหลายๆฐานะ
“ไม่ได้เป็นโว้ยยยยย!!!”สควอโล่ตะโกนตอบกลับเบลเฟกอลด้วยเสียงที่ดังลั่น
“งั้นก็ดีแล้ว ถ้าขืนป่วยก็ต้องเสียเงินค่ายาอีก...”ปล่อยมาม่อน(จอมงก)ไปเถอะเนอะ
“กินยาซักหน่อยเถอะนะคะปะป๋า ถ้าเกิดเป็นหวัดขึ้นมาจริงๆจะแย่เอานะ....”เดลฟีโน่หรือเดลเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง
“ปะป๋าไม่เป็นไรหรอกนะเดล นอนต่อไปเถอะนะ”สควอโล่บอกลูกสาว(บุญธรรม)สุดรักสุดหวงด้วยเสียงที่เบาลงจากปกติจนเท่ากับคนธรรมดาเวลาพูดกัน
“เข้าใจแล้วคะ ราตรีสวัสดิ์อีกครั้งนะคะทุกคน”เดลบอกกับทุกคนก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ(ใส่ที่อุดหู+ที่ปิดหูแล้ว)
“ชิชิชิ สองมาตรฐานเหมือนเลวี่ชะมัดสควอโล่ เดลฟี่ดูคุณปะป๋าสิ ~ ”เบลพูดพร้อมกับเข้าไปนัวเนียกอดเดล(เนียนเนอะ//ไรต์)
“อย่ามาพาดพิงกับชั้นสิ! บอสครับ...บอสอยากทานอะไรรึเปล่าครับ?”เลวี่ตะโกนใส่เบลเฟกอลที่พาดพิงถึงตัวเองก่อนจะเข้าไปเอาอกเอาใจบอสของตัวเอง(จนน่ารำคาญ)ต่อ
“ใครมันจะไปเหมือนไอ้หน้าปลาดุกนี่ล่ะฟร่ะ!! อย่ามาเรียกชั้นว่าปะป๋านะไอ้เจ้าเบลเฟกอล! มือหน่ะปล่อยด้วย!!”สควอโล่ทนไม่ไหวตะโกนใส่เบลเฟกอลด้วยความไม่ชอบใจ
“หุบปากไอ้สวะ!! อยู่เงียบๆไปซะ!”เมื่อทุกคนได้ยินบอสสั่งก็จึงกลับมาเงียบเช่นเดิม
##50%##
“ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ ดิชั้นมาริโอน่า
รินโอรินตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะมาเป็นผู้พิทักษ์ให้กับคุณคะ”ทันทีที่มาถึงฉันก็เริ่มแนะนำตัวต่อคนที่จะเป็นบอสของฉันทันที
“อะ-เอ่อ...ผมซาวาดะ
สึนะโยชิครับ จะเรียกว่าสึนะก็ได้นะมาริโอน่าซัง”สึนะโยชิทำท่าทางลนลานก่อนจะแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่ยังติดความงงงวยอยู่ไม่ใช่น้อยๆ
แม้ว่ามันจะเป็นการเสียมารยาทไปบ้างกับการที่ไม่ตอบรับอะไรแต่สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือการพิจารณาดูในหลายๆด้านของ(ว่าที่)บอสคนนี้ว่าเหมาะสมกับการที่จะรับใช้หรือไม่เสียก่อน
เพราะเขาจะเป็นคนที่เธอต้องฝากฝังชีวิตและปกป้องจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก
“ขอประทานโทษด้วยจริงๆนะคะท่านสึนะโยชิ...”
ปังงง! เคร้ง...
ในช่วงเวลาที่มาริโอน่ากำลังพุ่งเข้าใส่สึนะโยชิก็ถูกยิงโดยรีบอร์นจนล้มลงไป แต่มาริโอน่าก็ไม่ได้ชะงักค้างเพราะตกใจแต่พุ่งตรงเข้าไปฟาดดาบเข้าใส่ร่างนั้น
ก่อนที่จะถูกสะกัดกั้นไว้ด้วยมือที่สวมถุงมือทั้งสองที่ยกขึ้นมาป้องกันไว้ตามสัญชาตญาณ
“อ๊ะ!”มาริโอน่ามองสภาพที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนของสึนะโยชิด้วยความรู้สึกตกใจพร้อมกับกระโดดม้วนตัวถอยหลังออกไปแล้วตั้งการ์ดเตรียมรับการโจมตีที่ใส่เข้ามาอย่างไม่ยั้งมือของสึนะโยชิ
ท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ถุงมือที่มีตราวองโกเล่รุ่นที่สิบอย่างชัดเจน เปลวไฟสีส้มนั่น เป็นอย่างนี้นี่เอง... นี่คือสิ่งที่ยูกิบอกไว้สินะ
“นี่คือโหมดดับเครื่องชนกับกระสุนดับเครื่องชนที่ว่าสินะคะท่านรีบอร์น?”
“ใช่แล้ว เธอตรวจดูความเหมาะสมให้ดีๆล่ะ”
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาในครั้งนี้นะคะท่านรีบอร์น”
ระหว่างที่คุยกับรีบอร์นอยู่มาริโอน่าก็สู้กับสึนะในโหมดดับเครื่องชนด้วยท่าทางสบายๆไม่ได้แสดงความลำบากอะไร
เอาแต่ตั้งรับการโจมตีอย่างเดียวด้วยดาบที่ชักออกมาพร้อมๆกับที่วิเคราะห์ความเหมาะสมของการเป็นบอสในตัว
ฟู่ ~ ....
“หวะ-เหวออ!!? ข-ขะ-ขอโทษจริงๆนะครับมาริโอน่าซัง!!”ทันทีที่กลับมาจากโหมดดับเครื่องชน
สึนะก็ก้มหัวขอโทษด้วยความจริงใจทันทีแม้จะอยู่ในสภาพที่ใส่เพียงกางเกงในบ๊อกเซอร์ตัวเดียวก็ตาม
“ไม่เป็นไรหรอกคะท่านสึนะโยชิ
เพราะชั้นวู่วามเผลอตัวอยากทดสอบความสามารถของคุณมากไปหน่อยทำให้ไม่ได้ถามความเห็น.... ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ!!”พอเห็นท่าทางแบบนั้นของว่าที่บอสวองโกเล่แล้วมาริโอน่าก็อดโบกมือไปมาพร้อมเหงื่อตกด้วยความร้อนรนไม่ได้ ก่อนที่สุดท้ายจะก้มหัวขอโทษสุดชีวิตด้วยความรู้สึกผิด
ภายในใจของเธอถือว่ายอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นบอสไปได้เกือบหมดแล้วหลังจากที่เห็นท่าทางลนลานและความจริงใจของอีกฝ่าย
ตอนแรกที่มาริโอน่ายอมมาก็เพราะเพื่อนสาวคนสนิทอย่างยูกิที่ลากมาโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรแต่พอได้เห็นว่าเพื่อนสนิทดูร่าเริงขึ้นมาได้เพราะภารกิจครั้งนี้ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะตอบรับไป
‘ถ้าหากเป็นคนที่ทำให้ยูกิร่าเริงขึ้นได้ก็น่าลองเสี่ยงดู’
นั่นเป็นความคิดในหัวที่ทำให้ยอมรับอีกฝ่ายเป็นบอสไปเพียงเสี้ยวหนึ่งก่อนที่จะได้เห็นท่าทางจริงใจผสมกับความลนลานนั่นก็อดทำให้เธอเห็นภาพซ้อนทับกับใครซักคนไม่ได้
ถึงแม้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งเดียวที่ไดเห็นภาพซ้อนทับนี้จากคนตรงหน้าก็ตามแต่เธอก็ยอมรับเขาไปเกินครึ่งแล้ว
ความเหมาะสมในการเป็นบอสของวองโกเล่เธอก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าเป็นคนๆนี้คงจะเป็นบอสที่ดีได้แน่นอน
“ยูกิ...คุโรยูกิสำหรับบอสแล้วเธอเป็นคนยังไงงั้นเหรอค่ะ?”เธอถามออกไปหลังจากปรับความเข้าใจและพูดคุยเล็กๆน้อยๆกับบอสของตัวเอง
สึนะเลิกพยายามที่จะให้มาริโอน่าเลิกเรียกว่าบอสแล้วเหมือนกับโกคุเดระเพราะทั้งคู่หัวดื้อเหมือนกันไม่มีผิด
ถึงมาริโอน่าจะดูท่าทางเป็นมิตรกับคนรอบข้างแต่มันก็น่าอายเกินไปอยู่ดี.... สึนะคิดพลางถอนหายใจกับนิสัยของแต่ละคนก่อนจะเอ่ยปากตอบคำถามของเพื่อนคนใหม่
“คุโระจังหน่ะเหรอ? ก็ดูเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดนะ
ถึงจะเหมือนเย็นชาแต่ก็ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผล ชอบเป็นห่วงคนอื่นแล้วก็เป็นคนอ่อนโยนล่ะมั้ง? แต่ยังไงช่วงนี้ก็ดูเหมือนจะร่าเริงขึ้นบ้างแล้ว”
มาริโอน่าเผลอมองรอยยิ้มนั้นอย่างคิดถึงด้วยความเหม่อลอย
ถึงจะเหมือนกับเธอคนนั้นแค่บองส่วนแต่ถ้าเทียบในหลายๆด้านแล้วคล้ายกันไม่ใช่น้อย รอยยิ้มจริงใจและท่าทางแบบนั้นของสึนะโยชิทำให้มาริโอน่าอดคิดไม่ได้เลยว่ามันจะดีแค่ไหนที่คุโรยูกิจะกลับมาเป็นแบบนั้นบ้าง
“ยังไงก็ไว้พบกันใหม่แล้วกันนะคะบอส”หลังจากบอกลาสึนะแล้วมาริโอน่าก็เดินไปยังที่พักของยูกิที่บอกให้ไปอยู่
ณ เวลานี้มาริโอน่ากำลังสิ้นหวังคะ... ฉันกำลังสิ้นหวังสุดๆเลยด้วย...
อุตส่าห์ฝึกมาตลอดสามปีเพื่อเอาชนะหมอนั่นแต่มันก็ดันลืม ก็เคยได้ยินมาจากปากของเดลอยู่หรอกนะว่ามันดันลืมไปแล้วแต่พอมาได้ยินเองนี่ช็อคสุดๆ
บอกตามตรงว่าแทบจะเข้าไปขอท้าประลองกับไอ้หมอนั่นเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ติดที่ว่ามันยังนั่งรถเข็นอยู่แบบนั้น จะว่าไปยังไม่ได้บอกเลยสินะ
ตอนนี้ศึกชิงแหวนจบแล้วโดยที่มีพวกเราเป็นฝ่ายชนะ แต่ทุกคนก็ต้องเข้าโรงพยาบาลกันระนาวเลยล่ะ
“เฮ้อ ~
....สุดท้ายก็ยังต้องมาพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกสินะ”
มาริโอน่ามองแขนข้างขวาของตัวเองที่ได้ยูกิมาผ่าตัดติดตั้งแขนเทียมให้ใหม่ การผ่าตัดพึ่งเสร็จไปไม่กี่วันทำให้ยังมีเจ็บๆอยู่บ้างเวลาขยับ เธอเดินไปที่ห้องพักของเดลฟีโน่ที่อยู่ไม่ไกลมากเพื่อไปดูอาการด้วยความเป็นห่วงตามประสาเพื่อน
“แผลเป็นไงบ้างเดล?”
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องมาริโอน่าก็ถามเดลทันที
สภาพของมาริโอน่าหากเทียบกับเดลฟีโน่แล้วดูดีกว่ามาก
เดลยังลุกออกจากห้องไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะแผลยังหายไม่หมดแต่เอาจริงๆก็เพราะหมอสั่งห้าม(เห็นพยาบาลกับหมอน้ำตาแทบไหลที่เห็นว่าเดลเชื่อฟังอย่างดี)
“สบายๆน่ามาริน แต่ว่าไม่มีของฝากหน่อยเหรอ?”จู่มาริโอน่าก็รู้สึกอยากจะต่อยเดลซักทีที่ได้ยินคำถามแบบนั้นก่อนจะยื่นอะไรออกไปให้
“ว่าจะให้ตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสซักที เจ้านี่หายากมากๆเลยนะ”ว่าพร้อมกับยื่นกล่องให้กับเดลที่ทำหน้าสงสัย แต่พอเปิดดูเท่านั้นแหละ
“นะ-นะ-นะ-นี่มัน....!!”เดลมองของในกล่องด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง อ้าปากเหวอดูน่าขำดีนะ แต่ว่าหน้าดูอึ้งสุดๆเลยแฮะ...
“ก็ชอบมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วไม่ใช่รึไง? ถือเป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังไปเลยก็แล้วกัน”
“กรี้ดดดด ~ !”หวาๆ...หน้าดูฟินสุดๆเลยนี่หว่า
ปังงง!!
“เดลเป็นอะไรรึเปล่า!? / เกิดอะไรขึ้นเดล!!? แกมาทำอะไรที่นี่!?”
ดูเหมือนเสียงกรี้ดของเดลที่ได้ขอเก่าของโบราณจะดังไปหน่อยจนเรียกเจ้าสองตัว(คน)นี้มา คนแรกคือเบลเฟกอลที่เข้ามาถามทั้งๆที่สภาพร่อแร่แต่มีดนี่มาพร้อมเชียว
ส่วนคนที่สองก็สควอโล่ที่มาพร้อมเสียงดังลั่นและดาบที่แขนท่าทางก็ดูร้อนรนสุดๆแถมยังมาตวาดใส่ฉันที่นั่งมองเดลด้วยสีหน้าอึ้งๆอีก
ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!
ก็อยากจะพูดตอบอยู่หรอกแต่พอหันไปมองท่าทางแบบนั้นมันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยัยคลั่งของเก่านี้เป็นแบบนี้ แถมดูเหมือนความเป็นห่วงมันจะไม่จำเป็นแล้วด้วย เพราะภาพตรงหน้าของทั้งสองคนมันคือเดลที่มีสายตาเคลิบเคลิ้ม น้ำลายไหลจ้องของในมืออย่างไม่สนใจอะไร แต่นี่มันก็น่าละเหี่ยใจจริงๆเลยล่ะนะ...(=_=)
ส่วนที่ว่าทำไมเจ้าสควอโล่ถึงถามว่าฉันมาทำอะไรที่นี่?
ก็เพราะฉันดันถูกเดลฟันแขนเทียมขาดเลยต้องกลับมารักษาตัวที่อิตาลีที่โรงพยาบาลในเครือของวองโกเล่โดยมียูกิเป็นคนรักษา แต่ยูกิก็มาดูอาการไม่นานก็กลับไปทำหน้าที่ต่อที่ญี่ปุ่น
“ว่าแต่เธอมาทำอะไรห๊ะ!?! ตอบมาเลยนะยัยเปี๊ยกนี่!!!”สควอโล่กระชากคอเสื้อของมาริโอน่าขึ้นมาเขย่ารัวๆเพื่อเค้นเอาคำตอบ แต่แค่ตะโกนมาหูก็แทบแตกแล้วด้วย
ผั๊วะะะ!
“มาหาเพื่อนนี่มันผิดใช่มั้ยไอ้แก่สูงโย่งเอ้ย!! ผ่านมาสามปีแล้วแกก็ยังมาบอกว่าชั้นเปี๊ยกอีกเรอะ!?
อีกอย่างชั้นสูงพอๆกับเดลนั่นแหล่ะโว้ยยย! ถึงจะจำไม่ได้แต่ยังไงก็มาต่อยกันต่ออีกซักรอบมั้ยห๊ะ!!”หลังจากที่ต่อยสควอโล่ไปซักหมัดมาริโอน่าก็คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายที่นอนราบอยู่กับพื้นแล้วตะโกนใส่ด้วยความหงุดหงิด
(ท่ามันดูส่อๆนะ ว่างั้นป่ะ?//ไรต์)
เอาอีกแล้วๆพอถูกเรียกว่าเปี๊ยกแล้วมันก็ดันมาฟิลขาดตลอดเลยแฮะ... แต่มันก็ยอมไม่ได้อีกนั่นล่ะที่ถูกหาว่าเปี๊ยก แต่แสบคอแล้วอ่ะ
ไอ้หมอนี่มันทำยังไงถึงตะโกนได้ทั้งวันเลยเนี่ย? มาริโอน่าได้คิดสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในใจ
“ห๊าาา!!?
แล้วใครมันบอกว่าจำแกไม่ได้ล่ะยัยตาสองสี!?”สควอโล่โวยวายทันทีที่ได้ยินที่มาริโอน่าบอกว่าตัวเองจำไม่ได้
“ก็แกไง!....เอ๊ะ?เดี๋ยวนะ? งั้นก็แปลว่าจำได้??”มาริโอน่าเผลอตะโกนตอบกลับไปก่อนจะนิ่งค้างไปแล้วจึงทวนคำถามอีกครั้งในใจ จนเผลอทำหน้าเหลอหลาออกไป
“ก็เออสิว่ะ!! คิดว่ามันมีซักกี่คนที่มาท้านักฆ่ามีชื่อเสียงอย่างชั้นมาต่อยเพราะถูกเรียกว่าเปี๊ยกนอกจากแกล่ะว่ะ!
คิดว่ารอแกมาล้างแค้นตอนนั้นมากี่ปีล่ะฮะ!!?”
แปร๊ดดดดด!
พอได้ยินคำตอบกลับแบบนั้นหน้าของมาริโอน่าก็แดงขึ้นทั้งหน้าเลยทันที
เธอค่อยๆลุกแล้วเดินไปเกาะเดลฟิโน่ที่เลิกสนใจของในมือมาจ้องพวกเธอที่ตะโกนแข่งกัน(?) มาริโอน่าซุกหน้าลงไปที่ผ้าห่มด้วยความรู้สึกหลากหลายแบบที่มีทั้งอับอายและดีใจ
“ฮึก...กะ-ก็ไหนเดลบอกว่าสควอโล่จำไม่ได้ไง... มันก็เลย....โฮฮฮฮ ~ !”พอมารินอายมากๆเข้าก็เริ่มหลุดมาด(หรือเรียกง่ายๆก็เก๊กแตกนั่นล่ะ//ไรต์ หุบปากไปเถอะยัยไรต์!//มาริน)เข้าไปกอดเดลทั้งน้ำตา
เอาจริงๆก็คือไอ้ท่าทางสง่างาม
มีมารยาทและสุขุมเยือกเย็นพวกนั้นหน่ะเก๊กนะ นิสัยจริงๆก็โผล่ออกมาตอนถูกยั่วโมโหหรือว่าร้องไห้เนี่ยล่ะ
ซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะออกมาเพราะเธอดันเก๊กจนเป็นนิสัย(ที่แยกไม่ออกว่าอันไหนคือนิสัยจริงๆกันแน่)
“ก็ตอนนั้นปะป๋าตอบมาว่าไม่รู้จักจริงๆนี่ หนูก็เลยบอกมารินไปว่าปะป๋าดูเหมือนจะจำไม่ได้แล้วว่าไปต่อยกับใคร”เดลโบ้ยความผิดไปให้สควอโล่ที่ทำหน้าอึ้งๆกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของมาริโอน่า
“กะ-ก็ตอนนั้นใครมันจะไปบอกกันล่ะว่าไปต่อยกับเด็กผู้หญิงมา แถมยังมารอเอาคืนอีก....”สควอโล่ตอบพร้อมกับหันหน้าหนีด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีนิดๆ ประโยคสุดท้ายสควอโล่พูดเบาๆไม่ให้ใครได้ยิน แต่เพราะทั้งห้องเงียบมากจึงได้ยินกันหมด
มาริโอน่าเผลอยิ้มกว้างด้วยท่าทางดีใจออกไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมาดหลุดรึเปล่าสควอโล่ถึงเห็นว่ารอบๆตัวของเด็กสาวปรากฏออร่าวิ้งๆเป็นประกาย แต่พอขยี้ตาดูซักสองสามทีมันก็หายไปซะแล้ว
สงสัยจะตาฝาดไปเอง...
(ตั้งแต่ช่วงนี้ไปอีกซักพักจะเป็นความคิดของมาริโอน่าซักส่วนใหญ่ เล่าถึงความรู้สึกและอดีตนะคะ
เอาจริงๆก็จะเขียนความรู้สึกไปจนถึงตอนเจอกับฉลามเลยเพราะงั้นจะยาวพอดู//ไรต์)
หลังจากจบศึกชิงแหวนมาได้ไม่นานฉัน มาริโอน่ารวมถึงอีกหลายๆคนก็ได้ความทรงจำจากอนาคตมาคะ
ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีที่ไม่ได้ไปร่วมสู้กับพวกบอสแต่ไม่ว่ายังไงแหวนธาตุหิมะก็ถูกพัฒนาเช่นเดียวกับพวกผู้พิทักษ์คนอื่นๆเพราะยูกิเป็นผู้รักษาการแทนฉันที่แยกตัวมาจัดการภาระหน้าที่ที่คั่งค้างไว้ แต่เพราะดูเหมือนจะจบเรื่องทั้งหมดแล้วถึงได้ส่งแหวนกลับมาให้ที่วาเรีย
เอ๊ะ? อ่า...ใช่แล้วล่ะคะอ่านไม่ผิดหรอกที่วาเรียหน่ะ
เพราะว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาก็ได้รับหน้าที่ควบคุม
ดูแลรวมถึงจับตามองพวกวาเรียจากรุ่นที่เก้าจึงได้มาอยู่ที่นี่มาได้ซักพักแล้วล่ะ ถึงตอนแรกๆจะไม่ชินกับนิสัยของแต่ละคนที่สุดโต่งกันจริงๆแต่ก็ยังดีที่ได้ผู้ช่วยมา(ไม่ขอบอกหรอกนะคะว่าใคร
แต่หลายๆคนต้องน่าจะพอเดาได้//มาริน)
ส่วนในช่วงที่มาจับตามองวาเรียมาริโอน่าก็ไม่มีอะไรทำอย่างอื่นนอกจากขอท้าดวลสควอโล่ในเวลาที่เจ้าตัวว่างเว้นจากภารกิจ เดิมทีแล้วหน้าที่ของเธอกีแค่เขียนรายงานเรื่องต่างๆส่งไปในรุ่นที่เก้านอกนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
แต่เพราะเดิมทีเธอก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดาอยู่แล้วถึงได้ทำเรื่องนอกเหนือจากหน้าที่ไป(แน่นอนว่าขออนุญาตไปก่อนแล้ว)
มาริโอน่าเคยอยู่ในตำแหน่งว่าที่บอสคนต่อไปจึงเคยทำงานของแฟมิลี่ในหลายๆตำแหน่ง แม้แต่การดูแลแฟมิลี่ในตอนที่บอสป่วยก็ยังเคยด้วยซ้ำไป
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็แตกต่างจากว่าที่บอสคนอื่นๆที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่ได้มีนิสัยหยิ่งยโส เอาแต่ใจหรือว่าชอบโวยวาย มารินเป็นตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำไป นิสัยของเธอดูห่ามๆคล้ายกับผู้ชาย เคารพต่อผู้อาวุโสกว่าและเคารพในการตัดสินใจของคนอื่นๆที่ด้อยกว่า
นอบน้อมแต่ก็ไม่ได้ดูตกต่ำเกินไปอยู่ในความพอดี
เคร่งครัดในกฏระเบียบและนอกเหนือจากนันคือตั้งใจฝึกฝนในการเป็นว่าที่บอส
แม้จะถูกเลี้ยงดูมาเหนือคนอื่นแต่เด็กสาวก็ไม่เคยเหยียดหยามใครที่มองจากภายนอก
แต่เพราะตำแหน่งที่สูงจนน่ารังเกียจนั่นทำให้มาริโอน่าโดดเดี่ยวและรู้สึกด้อยค่า
คนอื่นต่างก็เข้าหาเธอด้วยผลประโยชน์ไม่ใช่ที่ตัวเองทำให้ต้องสวมหน้ากากไว้จนเคยชินเสียจนแทบจะลืมเลือนไปด้วยซ้ำว่านิสัยจริงๆเป็นยังไง
เด็กสาวไม่เคยมีอะไรที่ได้มาด้วยตัวเองเลยซักนิดเดียว
เธอมีแต่เดินตามรอยที่ผู้ใหญ่วางไว้จนกลายเป็นมาริโอน่าที่เป็นว่าที่บอสที่น่ายกย่องและชื่นชม
ไม่ว่าจะฝึกมากเท่าไหร่หรือเรียนเก่งมากเท่าไหร่ก็ถูกบอกเสมอว่าสมกับที่เป็นว่าที่บอส
หรือไม่ก็มาบอกว่าเป็นเพราะแขนเทียมนั่นถึงได้ทำให้เก่งขนาดนี้บ้างล่ะ พอลับหลังก็มานินทาเรื่องปมของคนอื่นเขาไปทั่ว ฉันพิการแล้วมันผิดรึไง? ใส่แขนเทียมกับตาบอดแค่นี้แล้วมันยังไง? ฉันก็เป็นมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่รึไง?
เธอไม่เคยเอ่ยความคิดพวกนี้ออกไปและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าถึงจะเป็นแบบนี้แต่ก็เหนือกว่าคนอื่นๆได้
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิมอยู่ดี...
ทุกๆคนเอาแต่มองด้วยสายตาที่ชื่นชมปนสงสารและก็ยังมีความเคลือบแคลงใจ
ไม่มีใครที่มองความสามารถจริงๆเอาแต่มองไปที่เรื่องนี้
เอาแต่พูดกันอยู่ได้ว่าทั้งๆที่ไม่มีแขนหรือว่าพิการ
โง่กันนักรึไงถึงได้คิดกันอยู่ได้ว่าที่เรียนเก่งหรือว่าทำอะไรก็ดีไปหมดมันเป็นเพราะแขนนี่
คิดว่าสมัยนีมันจะมีเรื่องบ้าๆแบบนั้นรึไง? ถึงมีฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นหรอก แล้วอย่ามามองด้วยสายตาสงสารแบบนั้นสิ สมเพชเหรอ?
ถ้าจะทำแบบนั้นก็ไปทำสายตาเหยียดหยามยังให้ความรู้สึกดีมากกว่าอีก!
ไม่ว่าจะที่ไหนๆก็เหมือนกันหมด...ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ลาฟลอร่า....ก็ไม่เห็นจะมีใครมองฉันด้วยความสามารถเลย... แต่เพราะเจอแบบนี้มาตลอดถึงได้ชิน
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีใครเข้าใจเลยเลิกฝึกและเลิกตั้งใจเรียน
พอรู้ตัวอีกทีก็ได้มาอยู่ที่คลาสCซะแล้ว?
ถึงที่บ้านจะไม่ว่าอะไรแต่ก็รู้ว่าพ่อกับแม่ผิดหวังกับเรื่องนี้มาก
ก็สายตาพวกนั้นเล่นมองกันแบบเย็นชาซะขนาดนั้นนี่
แต่พอเข้าคลาสนี้ได้ซักพักถึงรู้สึกเลยว่าดีจัง เพราะในที่สุดก็ได้เจอคนที่มองฉันเองจริงๆ ชื่นชมฉันด้วยสายตาที่ไม่ใช่ใจในเรื่องปมด้อย เป็นสายตาที่ทำให้อดร้องไห้ไม่ได้ เพราะว่ามันทั้งซื่อตรงเสียเหลือเกิน
แต่ในวันที่ได้เจอกันอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์นั้นเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ตัวฉันที่รู้สึกโดดเดี่ยวได้ถูกเธอช่วยเหลืออีกครั้งแต่เศษเสี้ยวตะกอนในใจพวกนั้นก็ยังไม่หายไปอยู่ดี
แต่ว่า...
หลังจากที่ได้พบกับหมอนั่น
สควอโล่กลับแตกต่างออกไป...
ตอนที่ได้ยินเรื่องของหมอนั่นจากยูกิถึงกับทำหน้าแปลกๆออกไปเลย ประมาณว่ามีคนแบบนี้จริงๆเหรอ?
ถึงขนาดที่ว่ายอมตัดแขนออกเพื่อเข้าใจถึงเพลงดาบ ทั้งๆที่เป็นร่างกายแต่กลับตัดมันทิ้ง? ในตอนนั้นสเปลบี สควอโล่ในสายตาของฉันก็เป็นเหมือนกับคนที่แปลกๆที่ไม่มีทางหาได้จากที่ไหนและเผลอคิดไปว่าไม่ชอบคนๆนี้เลยจริงๆ
ก็เป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์พร้อมแต่ก็ตัดแขนของตัวเองออกไปนี่?
เป็นคนน่าอิจฉาที่ไม่เหมือนกับคนพิการแบบฉัน ไม่ต้องพยายามให้คนเห็นค่าอะไรเหมือนฉัน
ทั้งๆที่คิดไว้แบบนั้น...แต่พอได้เจอกันจริงๆถึงได้รู้ถึงความจริง สควอโล่คนนั้นแข็งแกร่ง
แข็งแกร่งกว่าใครๆเป็นเหมือนกับฉลามที่บ้าเลือดสมฉายา ทั้งๆที่คิดว่าเป็นคนที่ไม่ชอบมากแท้ๆแต่ว่าพอได้เห็นมือนั่นแล้วก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้
ถึงจะอยู่ในสภาพไร้แขนอีกข้างแต่กลับแข็งแกร่ง ถึงจะไม่มีดาบอยู่ในมือแต่ก็ยังต่อสู้ได้ดี ถึงจะบอกว่าตัวเองฝึกมาอย่างหนักแต่พอได้จับมือนั้นก็ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายฝึกมามากกว่า ฝึกหนักกว่าไม่รู้กี่เท่า
เพราะเป็นเด็กและยังเป็นผู้หญิงคนอื่นถึงโอนอ่อนให้
พอเป็นแผลก็ถูกรักษาทันทีจนมันหยาบกระด้างกว่ามือของผู้หญิงคนอื่นนิดเดียว
ทำไมถึงมีแต่คนกลัวทั้งๆที่มีแขนเพียงข้างเดียว? ทำไมถึงยอมตัดแขนเพื่อดาบ?
ความสงสัยทั้งหมดหายไปทันทีที่ได้พบกันจริงๆ เพราะแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครถึงได้ถูกกลัวเกรง
เพราะใฝ่หาความแข็งแกร่งถึงเลือกทิ้งแขนเพื่อให้เก่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายอย่างซื่อตรงและจริงจัง
ราวกับได้ถูกเติมเต็มในการต่อสู้ครั้งนั้น....
จากความโกรธที่ต้องการกลับมาเอาคืนจากที่แพ้ไปก็เปลี่ยนไปเป็นความชื่นชมและกลายเป็นเป้าหมาย
แต่พอได้ยินจากเดลมาว่าถูกลืมก็ถึงกับทำให้โกรธและไม่พอใจจนกลบทับความรู้สึกพวกนั้น พอนึกย้อนไปดูก็อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้ ก็เพราะตอนนั้นเล่นเอาฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนจนยูกิลากไปทำงานของนักฆ่าไว้ฝึกสู้กับคนจริงๆในช่วงที่หยุดจากลาฟลอร่า แล้วนานๆทีก็ถึงจะได้ฝึกกับยูกิ
ก็รู้ล่ะนะว่ายูกิเก่ง
แต่ว่ายังไงๆเป้าหมายของเธอก็คือสควอโล่อยู่ดี
ยูกิหน่ะเก่งเกินไปเลยไม่คิดจะเอาเป็นเป้าหมายหรอก เพราะคิดว่ายังไงๆก็ไม่น่าจะตามทันแถมยังไม่ได้ว่างตลอดเพราะติดเรียนอีก
อีกอย่างการที่มาจับตามองวาเรียได้แบบนี้ก็เพราะที่โรงเรียนปิดเทอมอยู่
(มาริโอน่ายังเรียนอยู่ที่ลาฟลอร่าแต่เพราะแยกตัวจากบ้านมาช่วงแรกๆเลยได้ยูกิช่วยเหลือเรื่องเงิน มารินเลยรู้สึกว่ายูกิเป็นเหมือนผู้มีพระคุณมากกว่าเพื่อน....//ไรต์ มันผิดรึไงที่คิดแบบนั้น!? ลองเจอแบบชั้นบ้างมั้ยล่ะ!?//มาริน ม่ายเอาหรอก ~ ถ้าขืนติดหนี้บุญคุณกับยูกิจังเข้ามีหวังชาตินี้ก็ไม่มีวันลืม//ไรต์ เฮอะ!
ถ้ารู้แบบนั้นก็อย่าพูดงั้นสิ//มาริน)
“ชนะแล้ว!! ในที่สุดก็ชนะนายได้แล้ว!!”
มาริโอน่าตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสุขพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างร่าเริง มันก็น่าดีใจสุดๆอยู่หรอกนะ ก็หลังจากที่มาอยู่วาเรียได้ราวๆสามเดือน ท้าสู้กับสควอโล่ไปสี่สิบเก้าครั้ง แพ้ไปยี่สิบเอ็ดครั้ง เสมอไปสิบแปดครั้ง ในที่สุดครั้งที่ห้าสิบก็ชนะ ได้ซักทีนี่
ชิ้ง....
“โว้ยยย!!!
อย่าคิดว่าเอาชนะแค่ครั้งเดียวแล้วจะชนะครั้งต่อไปได้อีกนะยัยมาริน!!?”สควอโล่ชี้ดาบใส่มารินพร้อมโวยวายเสียงดังลั่น
ซึ่งไม่มีใครคิดจะสนใจเท่าไหร่เพราะมันเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับวาเรียที่มีลำโพงเดินได้อย่างสควอโล่
“หยุดแหกปากซักทีเหอะ มันปวดหูนะสควอโล่”มารินบ่นด้วยความรำคาญก่อนจะเอามือที่ยกขึ้นมาปิดหูลงแล้วก้มลงไปหยิบดาบที่วางแหมะอยู่ที่พื้น
“ช่างเถอะ... เท่านี้ชั้นก็คงจะไปได้โดยไม่ค้างคาอะไรอีกแล้ว”มารินคว้ากระเป๋าสะพายแบบแฟชั่นใบเล็กๆสีขาวเหลือบดำขึ้นมาใส่ก่อนจะเอาดาบเก็บเข้าฝักแล้วใส่มันลงไปในซองผ้าสำหรับใส่ดาบสีดำ(ที่เป็นแบบสะพาย)
(แต่ว่านะ...ทำไมพูดเหมือนจะไปตายงั้นล่ะมาริน//ไรต์ เธอเขียนบทเองนี่!//มาริน ....//ไรต์
อย่ามาทำเงียบนะ!!//มาริน)
กึก!
“!?”จู่ๆก็ถูกจับแขนทำให้มารินชะงักค้างก่อนจะหันกลับไปมองทางสควอโล่อย่าสงสัยและงงงวย
“เธอ...จะไปไหน...?”สควอโล่กัดฟันพูดด้วยระดับเสียงปกติที่คนธรรมดาพูดกัน
แต่ดูจากน้ำเสียงที่เย็นผิดปกติแล้วเหมือนกำลังจะโกรธอยู่ยังไงอย่างงั้น
“ห๊ะ?
ชั้นขออนุญาตรุ่นที่เก้าว่าขอยกเลิกภารกิจจับตามองพวกนายแล้วนะ? อีกอย่างเพราะรุ่นที่เก้าก็เห็นว่าพวกนายสงบกันดีเลยยอมรับเรื่องนี้แล้ว วันนี้เลยเป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ที่นี่... แล้วก็ปล่อยซักที!? ชั้นต้องรีบไปตามนัดดูตัวก่อนแล้วนะ!”เด็กสาวมองสควอโล่อย่างไม่เข้าใจและรีบร้อนก่อนจะสะบัดมือไปมาให้อีกฝ่ายปล่อยมือที่กำซะแน่น ฉันว่าฉันก็บอกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ! หมอนี่เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย!?
“เธอนัดกับใครไว้!? ตอบมาสิ!!”สควอโล่ตะโกนใส่มารินด้วยความไม่พอใจแล้วกระชากมารินให้เข้ามาใกล้เพื่อเค้นเอาคำตอบ
“แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วยล่ะเนี่ย!? โอ้ย!
ชั้นต้องรี-อุ๊บ!”
เธอตะโกนใส่สควอโล่ด้วยความไม่พอใจเมื่อถูกขัดเวลารีบ
เธอต้องรีบไปหาคนที่ถูกคุณพ่อคุณแม่บังเกิดเกล้าที่อุตส่าห์ตัดความสัมพันธ์ด้วยไปแล้วพามาดูตัวที่ร้านอาหารใกล้ๆเพื่อตอบปฏิเสธและตัดความสัมพันธ์กันจริงๆแล้วรีบหนีขึ้นเครื่องบินมุ่งตรงไปลาฟลอร่าทันที
แต่ดูเหมือนว่าคำว่าดูตัวที่มารินพูดดูเหมือนจะกระตุ้นต่อมโมโหของสควอโล่ให้พุ่งทะลุจนเขาเผลอบีบมือของมารินให้แรงขึ้นก่อนจะทำอะไรไม่ยั้งคิดอย่างจูบออกไป
“)#$%@#$%^&*()_+_)(*&^%!?”ทันทีที่มาริโอน่าผละออกจากสควอโล่ เธอก็ชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายพร้อมพูดออกมาไม่เป็นภาษาด้วยใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความรู้สึกอาย
“ปละ...ปล่อยชั้นลงเดี๋ยวนี้นะสควอโล่! ไอ้ฉลามงี่เง่าปล่อยชั้นลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”เด็กสาวทั้งดิ้นทั้งโวยวายทั้งๆที่ใบหน้ายังแดงอยู่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกจับพาดบ่า
ระหว่างทางที่สควอโล่อุ้มมารินไปมันไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาเลย ไม่ว่าเด็กสาวจะพูดอะไรก็ได้คำตอบเป็นเงียบจนเธอต้องเป็นฝ่ายเลิกปล่อยให้อุ้มโดยไม่พูดอะไรหรือโวยวายอะไรออกมา
เธอได้แต่เพียงมองใบหน้าของสควอโล่ที่อุ้มเธอด้วยความไม่เข้าใจ
เด็กสาวไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เอาแต่โวยวายไม่ยอมเงียบ(นอกจากเวลานอน เวลาอยู่เฉยๆ)อย่างสควอโล่ถึงได้ไม่ยอมพูดอะไรออกมา? เธอไม่เข้าใจว่าทำไมสควอโล่ถึงโกรธ? ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ทำแววตาแบบนั้น?และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้จูบเธอกัน? ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งนั้น มาริโอน่าไม่เข้าใจถึงเหตุผลของทุกๆการกระทำของสควอโล่มีเกิดขึ้นเมื่อกี้เลย...
ตุบ!
มาริโอน่าถูกโยนใส่เตียงขนาดคิงไซส์ในห้องของสควอโล่จนเกิดเสียง ยังดีที่มันไม่ได้แรงอะไรและเตียงมันนุ่มทำให้ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร
“เธอห้ามไปเด็ดขาด...”
นี่คือประโยคแรกที่เขาเอ่ยออกมาหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น
ฉันมองไปยังสควอโล่ที่ยืนอยู่ด้วยความสับสนไม่เข้าใจแต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกกลัวเขาในตอนนี้มากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
มันไม่ใช่ความกลัวแบบกลัวตายหรืออะไรพวกนั้นเพียงแต่พอจ้องมองสควอโล่ในตอนนี้ก็อดที่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้
“สควอโล่...นาย...เป็นอะไรไป...?”มารินเอ่ยถามอย่างยากลำบากขณะที่ยังคงจ้องไปยังสควอโล่ จิตสังหารที่ถูกปล่อยออกมาทำให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัด แต่มันก็มีได้ไม่นานเพราะอีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวจนหยุดปล่อยมันไปแล้วเปลี่ยนเข้ามากอดเธอไว้
“ขอร้องล่ะ...อย่าหายไปอีกเลย...”สควอโล่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะที่ยังคงกอดมาริโอน่าอยู่
“....”เด็กสาวพูดอะไรไม่ออกแต่ก็กอดตอบ
สัมผัสเปียกชื้นที่ไหล่ทำให้รู้ว่าเขาร้องไห้ ถึงเธอจะไม่เข้าใจเหตุผลแต่ก็ทำได้แค่กอดเท่านั้น
“ขอโทษ...ขอโทษเรื่องเมื่อกี้ด้วยจริงๆ...ถึงจะรู้ว่าเธออาจจะเกลียดชั้นไปแล้วที่ทำไปโดยไม่ยั้งคิด แต่อย่าหายไปเลย อย่าหายไปเหมือนกับเมื่อสามปีก่อนอีกเลย....”สควอโล่พูดขณะที่กำลังกอดมารินอยู่ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรู้สึกผิดและเว้นวอน
พอคิดไปว่าเธอจะต้องหายไปเป็นของคนอื่นมันก็รู้สึกแทบคลั่ง
เขาสลัดคราบของฉลามคลั่งแห่งวาเรียทิ้งไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอโทษและขอร้องมาริโอน่าโดยไม่สนใจว่าภาพลักษณ์ของตัวเองจะเป็นยังไง
สควอโล่ไม่เคยขอโทษใครหรือขอร้องใครมาก่อนแม้แต่กับบอสหรือว่าใครก็ตามแต่เขากลับมาทำมันกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยซักครั้งตั้งแต่ที่เกิดมา หัวใจเต้นแรงเวลาเข้าใกลเธอหรือจับมือกัน รู้สึกดีใจที่ได้คุยและได้ทำอะไรร่วมกับเธอ รู้สึกไม่พอใจที่เห็นเธอไปพูดจาสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นและรู้สึกโกรธที่ได้ยินคำว่าดูตัวจากปากของเธอ เขาเป็นพวกแสดงออกไม่เก่งเลยจบลงด้วยการทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้งแต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่อะไรแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่จนเจ้าลุสซูเรียมาบอก
“ชั้นรักเธอ...ชั้นรักเธอ...ชั้นรักเธอ....รักเธอ...มาริโอน่า”สควอโล่เอ่ยออกไปเพื่อบอกกับมารินซ้ำๆขณะที่ยังกอดเธออยู่ด้วยใบหน้าที่ขึ้นสี
“ช่วยเป็นคนรักให้กับชั้นด้วยเถอะ”เขาบอกกับมาริโอน่าด้วยสีหน้าจริงจังหลังจากที่ผละออกมา
พอมาริโอน่าได้ยินแบบนั้นใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นก่อนที่เธอจะก้มหน้างุดเอามือปิดหน้าเพื่อปกปิดความเขินของตัวเอง
เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงต่อดีเพราะจู่ๆก็พึ่งถูกสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตจึงได้แต่เงียบเท่านั้น
“จะ-จู่ๆก็มาพูดกันแบบนี้มัน... ตะ...แต่ว่าจะเป็นคนรักของนายให้ก็ได้นะ...”เด็กสาวพูดเสียงเบาก่อนจะหันหน้าหนีบอกคำตอบไปเมื่อถูกจ้องด้วยสายตาจริงจังของสควอโล่
“ถึงจะไม่ถึงกับเป็นคำว่ารักแต่ก็คิดว่าชอบหน่ะนะ...”มาริโอน่าพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหลับตายกยิ้มอย่างมีความสุขออกมาเมื่อถูกกอดเข้าอีกครั้งจากสควอโล่
ความรู้สึกอบอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาผ่านทางอ้อมกอด พอถูกกอดแบบนั้นแล้วมันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้วจนเผลอร้องไห้ออกมาจนสควอโล่ต้องมาปลอบแล้วสุดท้ายก็หัวเราะออกมากันทั้งคู่ สุดท้ายก็ไม่ได้ไปจริงๆสินะ แต่ว่ามันอาจจะดีแล้วก็ได้ล่ะมั้ง? เด็กสาวมองเวลาที่นาฬิกาในโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วยิ้มบางๆกับตัวเองเรื่องเกี่ยวกับนัดดูตัว
ณ สนามบิน(อิตาลี)
“ไว้เจอกันใหม่หลังปิดเทอมอีกรอบแล้วกันนะสควอโล่”มาริโอน่าโบกมือลาสควอโล่ที่มาส่งที่สนามบินก่อนจะขึ้นเครื่องไปหาคนที่ขึ้นไปรอบนเครื่องก่อนตั้งนานแล้ว
“ช้าคะ...”เจ้าของเสียงเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจทันทีที่มาริโอน่าขึ้นมานั่ง
“โทษทีๆ พอดีเกิดเรื่องอะไรนิดหน่อยหน่ะนะ”มารินรีบขอโทษขอโพยพร้อมบอกเหตุผลไปทันทีที่คนข้างๆล้วงกระเป๋าเหมือนจะหยิบอะไรบางอย่าง เธอล่ะกลัวจริงๆว่าคนตรงหน้าจะหยิบมีดมาแทงข้อหาที่ช้าแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่
“เอาชุดไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำได้แล้วค่ะ”ชุดนักเรียนลาฟลอร่าสีส้มที่บอกได้ว่าเธออยู่ในคลาสอะไร
“ขอบใจนะ”เด็กสาวกล่าวก่อนจะรีบหยิบชุดไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำของเครื่องบินทันทีอย่างเร่งรีบพร้อมหวีและหนังยางอีกนิดหน่อยเพื่อเปลี่ยนทรงผมจากปล่อยยาวมาเป็นทรงทวินเทลเหมือนปกติเวลากลับไปเรียน หลังกลับมานั่งที่ถึงสวมผ้าปิดตา
100%!!!
ความคิดเห็น