คิวปิดกับไซคีฉบับแต่งเอง
เป็นเรื่องที่เราแล้ะเพื่อนๆกลุ่มchocoแต่งขึ้นใหม่จากตำนาน
ผู้เข้าชมรวม
595
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
::.. : :: คิวปิดกับไซคี :: (อันนี้ไม่ใช่แต่งเองค่ะเป็นตำนานแต่เอามาแต่งเพิ่มนิดหน่อย แต่อยากให้อ่านค่ะ)
กลีบกุหลาบหลากสีนับพันนับหมื่นกลีบโปรยปรายลงมาบนทางเดินหินอ่อนสีขาวของราชวังโดยคนแปลกหน้ามากมายและเจ้าชายจากดินแดนอันไกลโพ้นที่เดินทางมาเพื่อชมในความงามของไซคี ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณปราสาทหลังงามซึ่งเป็นที่พำนักอาศัยของไซคี เจ้าหญิงกรีกผู้งดงามและน่ารัก เธอมีดวงตาสีฟ้าใสราวกับดอกฟอร์เกตมีนอตที่บานออกในเวลาเช้าตรู่ ผมหยักเป็นลอนคลื่นสลวยนั้นดูสว่างสดใสราวกับดวงตะวันที่กำลังทอแสง ความงามของเธอช่างมากล้นหาที่เปรียบมิได้ ในยามที่รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ เหล่าทวยเทพทั้งหลายผู้เป็นอมตะซึ่งคอยเฝ้ามองเธอจากยอดเขาโอลิมปัสยังพลอยพากันตื่นเต้นยินดี
แต่ยังมีผู้หนึ่งผู้เดียวเท่านั้นที่รู้สึกขัดเคืองใจเป็นอย่างยิ่งในยามที่เจ้าหญิงกรีกองค์น้อยนี้ได้รับการยกย่องชื่นชม หล่อนจะเป็นใครไปเสียมิได้อีกนอกจากเทวีวีนัส ผู้เป็นเทวีแห่งความงดงามทั้งหลาย เทวีผู้งดงามองค์นี้มองลงมายังวิหารงดงามทั้งหลายของเธอที่ตั้งอยู่บนพื้นโลก และเธอรู้สึกแค้นใจและริษยาเป็นยิ่งนักเมื่อเธอได้พบว่าวิหารทั้งหมดของเธอล้วนว่างเปล่าไม่มีแม้เสียงใดๆดังขึ้นมาจากความเงียบสงัดนั้น ความโกรธโกรธาของเธอเพิ่มมากขึ้นทุกขณะด้วยเหตุที่บรรดาชายหนุ่มทั้งหลายที่เคยนำมาลัยดอกไม้ที่แสนจะงดงามและหอมอบอวลไปทั่วทั้งวิหารมาประดับบนแท่นบูชาทองคำและบนรูปปั้นที่งดงามหาที่ติมิได้ของเธอ ต่างกำลังโปรยกลีบกุหลาบลงแทบเท้าของไซคี เสียงขับลำนำสรรเสริญเยินยอในความงดงามของเธอฟังดูขัดหูและยั่วโมโหเทวีวีนัสยิ่งนัก ราวกับจะทำให้ระเบิดแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ เทวีทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงมีคำบัญชาแก่คิวปิดบุตรชายของนางที่ขณะนี้ได้เติบโตเป็นหนุ่มรูปงามแล้ว
ปากกาขนนกยูงถูกจุ่มลงในน้ำหมึกแล้วจารลงบนกระดาษสีครีมนวล มีใจความว่า
คิวปิดลูกน้อยแห่งข้า ...
บัดนี้ได้มีหญิงสาวมนุษย์คนหนึ่งได้กระทำในสิ่งที่เป็นการดูถูกดูแคลน และหมิ่นในเกียรติ์และศักดิ์ศรีของเทวีแห่งความงามเช่นข้า นางหลอกล่อให้ชายหนุ่มชาวมนุษย์ทั้งหลายและไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าทวยเทพบนสวรรค์แห่งนี้ หลงใหลในความงามอันน้อยนิดของนางจนไม่เป็นอันทำอะไรและทำให้พวกเขาหลงลืมที่จะมาคอยดูแลวิหารทั้งหลายของข้า โอ้..คิวปิดลูกรักเจ้าจงไปทำร้ายไซคีให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสด้วยลูกศรทองคำของเจ้าที่ได้มาแต่เทพเจ้าวัลแคนด้วยเถิด เพื่อการกลับมาของเกียรติ์และศักดิ์ศรีของเทวีวีนัสเทพเจ้าแห่งความงดงามผู้เดียวบนโอลิมปัสแห่งนี้
... ด้วยรัก...Venus
จดหมายถูกปิดซองลงและส่งไปยังคิวปิด ณ บัดนั้น
และในทันทีที่จดหมายส่งถึงคิวปิด เขาก็ลับอาวุธที่ทรงแสนญานุภาพของตนเพื่อให้แหลมคมด้วยความทะนุถนอมอย่างยิ่ง
ม่านลินินสีขาวบริสุทธิ์ปลิวไสวตามสายลมที่พัดพาอากาศอันสดชื่นเข้ามาในห้อง บนเตียงสี่เสาที่ประดับประดาไปด้วยม่านสีขาวใส เจ้าหญิงผู้งดงามกำลังหลับสบายบนเตียงขนนกนุ่มของเธอ ผมบลอนด์สลวยของเธอสยายอยู่บนหมอนที่ยัดด้วยขนเป็ด ทันใดนั้นเองก็ปรากฎเงาของบุคคลผู้หนึ่งบินเข้ามาจากทางหน้าต่างและทันใดนั้นเองเงาก็หายไป เสียงฝีเท้าที่เบาเสียจนถูกกลบด้วยเสียงของสายลมนั้น ได้มาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของไซคี ผ้าห่มสีขาวนุ่มถูกดึงลงมาจากตัวของเจ้าหญิง ลูกศรทองคำปรากฎขึ้นและสัมผัสที่สีข้างของเธออย่างแผ่วเบา แต่ก็ทำให้ไซคีรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที เธอเบนสายตาไปยังตำแหน่งที่คิวปิดยืนอยู่ในทันทีที่เธอตื่นขึ้นแม้เธอจะมองไม่เห็นเขาก็ตาม
เธอช่างงดงามอย่างน่าพิศวง และทำให้หัวใจของคิวปิดเต้นรัวไม่เป็นจังหวะราวกับจะเต้นเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่ก้มตัวลงไปหาเธอ และทันใดนั้นเองความอ่อนเปลี้ยก็เข้ามาครอบครองร่างกายของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต มือเรียวงามของเขาถึงกับจับศรทองคำอาวุธคู่ใจของเขาไม่อยู่ ลูกศรนั้นหลุดจากมือและทำร้ายตัวเขาเอง ในบัดดลคิวปิดก็หลงรักไซคีหญิงสาวผู้เป็นมนุษย์โลก ซึ่งเป็นผู้ที่มารดาของเขาเกลียดชังเป็นที่สุด
คิวปิดเหาะกลับไปยังยอดเขาโอลิมปัสด้วยความสับสนและว้าวุ่นใจ ภาพของสาวงามในชุดนอนพลิ้วสีขาวกำลังหลับใหลยังติดตราตรึงใจของเขาอยู่ทุกวินาที ทุกๆส่วนที่รวมเป็นเธองดงามอย่างบรรยายไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากบางสีชมพูดั่งกลีบกุหลาบ นัยน์ตากลมโตสีฟ้าในยามที่เธอตื่นขึ้นและจ้องมองมาที่เขา แก้มที่เปล่งปลั่งเป็นสีชมพูอ่อนๆ หรือผิวที่ขาวเนียนทั่วเรือนร่างของเธอ คิวปิดไม่สามารถลืมเธอได้เลย
เขาคิด...คิด...แล้วก็คิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าเขาควรจะตัดสินใจอย่างไรดี เขาตัดสินใจเข้าไปหามารดาของเขา โดยหวังว่าแม่อันเป็นที่รักของเขาจะสามารถช่วยอะไรเขาได้บ้าง แต่คิวปิดกลับทำให้วีนีสแค้นเคืองไซคีทวีคูณขึ้นไปอีกเมื่อเขาเผลอสรรเสริญถึงความงดงามอันหาที่เปรียบมิได้ของไซคี
แต่แล้วด้วยเล่ห์กลและมารยาหลายร้อยหลายพันเล่มเกวียนของเทวีวีนัส เธอก็สามารถเบี่ยงเบนบรรดาผู้ที่รักใคร่และชื่นชมไซคีไปทางอื่นเสีย และยังสามารถห้ามมิให้คิวปิดเข้าไปพบเจ้าหญิงผู้มีนัยน์ตาที่พระราชวังของเธอหรือแม้แต่มองทะลุผ่านหมอกเมฆลงไปหาเธอได้อีก แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ความรักของคิวปิดที่มีต่อไซคีลดน้อยลงไปเลย
ต่อมาไม่นานนักบรรดาพี่สาวของไซคีก็ได้เข้าสู่พิธีวิวาห์กับเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ในงานวิวาห์ของพี่สาวคนสุดท้ายของเธอประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาชนิด งานเลี้ยงฉลองยาวนานถึง 7 วัน 7 คืน ไซคีแสดงความยินดีกับพี่สาวของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลงพี่สาวของเธอก็ได้ย้ายออกไปจากปราสาทหลังงามจนหมด
กาลเวลาได้ผ่านพ้นไป เจ้าหญิงไซคีองค์น้อยๆ บัดนี้ได้เติบโตเป็นสาวงามที่สุดในปฐพีแห่งนี้ แม้เธอจะงดงามขึ้นทุกวันคืนที่ผ่านพ้นไป แต่ก็หามีผู้ใดเลือกนางไม่ ซึ่งก็สร้างความไม่สบายพระทัยแก่พระราชาและราชินีไม่น้อยทีเดียว
วันหนึ่งพระราชาและพระราชินีได้ปรึกษาหารือกันหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหานี้ แล้วก็ตัดสินใจให้เชิญผู้เฒ่าผู้แก่และผู้คงแก่เรียนทั้งหลายจากทั่วดินแดนมาประชุมหาทางแก้กัน ณ พระราชวังแห่งนี้
สองสัปดาห์ต่อ ทั่วทั้งวังหลวงก็วุ่นวายไปหมด ทุกแผนกทุกกองวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองทั้งหลายที่มารวมกันนี้ ห้องรับแขกทุกห้องในวังแน่นขนัดไปด้วยบรรดาหมอดู,แม่มดหมอผีและผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ต่างๆที่ได้รับเชิญมา
เจ้าหญิงผู้เลอโฉมบนระเบียงหินอ่อนสีขาวทอดสายตาลงมายังเบื้องล่างมองคนแปลกหน้าจากแดนไกลคนแล้วคนเล่าค่อยทยอยเดินทางหลั่งไหลเข้าสู่พระราชวัง ด้วยความเบื่อหน่ายยิ่งนัก
องค์หญิงเพคะ......พระราชาทรงรับสั่งให้ท่านแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อลงไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนทั้งหลายเพคะ... เสียงของนางกำนัลผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางเสียงดังเซ็งแซ่ของผู้คนด้านล่าง
ข้ารู้แล้ว.......เจ้าไปก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวข้าจะตามไปที่ห้องสรงเอง....อ้อ.แล้วก็จำไว้ด้วยนะข้าไม่ชอบกุหลาบสีเหลืองนักหรอก....อย่าโรยลงอ่างให้มันมากนักนะ
เพคะ สิ้นเสียงแล้วนางกำนัลร่างเล็กก็เดินจากไป
ภายในห้องสรงที่บัดนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้และพฤกษชาตินานาชนิด เจ้าหญิงนัยน์ตาสีฟ้ากำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่นที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบอย่างไม่ค่อยพออกพอใจนัก แต่ถึงแม้จะเป็นใบหน้ายามที่รู้สึกคับข้องใจก็ยังงดงามพาให้หลงใหล ผิวที่ขาวราวกับจะมองทะลุผ่านไปได้ของนางเริ่มกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆเนื่องจากน้ำร้อนที่ส่งกลิ่นหอมนั้น ภาพๆนี้คงจะทำให้ชายฉกรรจ์อกสามศอกแทบหลอมละลายได้ทีเดียว
นี่.....เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าเหตุใดจึงมีคนแปลกหน้ามากมายขนาดนี้เดินทางเข้าสู่พระราชวัง เสียงใสไพเราะดุจระฆังแก้วดังขึ้นท่ามกลางเสียงน้ำไหล
หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆเพคะ
เจ้าอย่าคิดที่จะโป้ปดเรานะ...เรารู้ดีว่าเจ้าและนางกำนัลคนอื่นๆถูกเสด็จพ่อห้ามมิให้กล่าวเรื่องนี้แก่เรา...เจ้าบอกเรามาเถอะเจ้าไม่คิดเวทนาเราบ้างหรือไรที่จำต้องเป็นเจ้าลาโง่ที่มิได้รู้สิ่งใดเลยแม้แต่ปัจจุบันกาลของตน...... เมื่อเสียงสะอื้นไห้กล่าวจบลงน้ำตาที่เริ่มคลอหน่วยก็ไหลรินอย่างท่วมท้นออกจากดวงตาคู่งามนั้น ทำให้นางกำนัลถึงกับมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกทีเดียว
องค์หญิงเพคะอย่าได้ทรงกรรแสงเลยนะเพคะเดี๋ยวพระเนตรจะบวม แลดูไม่งดงามนะเพคะ
เช่นนั้นแล้วเจ้าก็บอกเรามาสิ.....เราสัญญาว่าเราจะไม่ปริปากบอกใครเลยว่าเจ้าเป็นผู้กล่าวนะ ไซคีอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่ยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด
เรารู้นะว่าเราน่ะก็เป็นเช่นปีศาจอสูรกายที่ถูกสาป แต่ไหนแต่ไรมาเราก็ไม่เคยมีความสุขเฉกเช่นพี่สาวทั้งหลายของเรา....เจ้าก็รู้ว่าเราถูกบังคับให้อยู่แต่ในวังของเรามิได้ออกไปเที่ยวหาความสำราญใจแม้ในอุทยานเพียงเพราะเหตุว่าเกรงจะมีใครมาลักเอาตัวไป.....เราไม่มีแม้เพื่อนสักผู้เดียว....เมื่อก่อนเราก็ยังมีพี่สาวที่แวะเวียนมาหาเราอย่างไม่ขาดทำให้คลายความเหงานี้ลง.....แต่บัดนี้พี่สาวของเราก็ได้อภิเษกสมรสไปหมดแล้วทีนี้จะมีผู้ใดบ้างเล่าที่จักมาคอยพูดคุยกับเรา....ตอนนี้เราไม่เหลือผู้ใดแล้ว....แล้วเรื่องแค่นี้เจ้ายังช่วยเรามิได้อีกหรือไร
เพคะ......หม่อมฉันบอกแล้วเพคะ...พระองค์อย่าได้ทรงพระกรรแสงอีกเลย
ไซคียิ้มให้นางกำนัลอย่างอ่อนโยนพลางเช็ดน้ำตา
คือ...เรื่องมันก็มีอยู่ว่าบัดนี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระชันษาที่สมควรแก่การมีคู่ครองได้แล้วแต่ยังมิมีผู้ใด ทรงมีพระปรีชาชาญพอที่จะทราบได้ว่าท่านคือผู้เลอค่าที่สุดจึงยังมิมีผู้ใดเดินทางมาสู่ขอพระองค์ ทำให้พระราชาและพระราชินีทรงกลัดกลุ้ม จึงได้เชิญเหล่าผู้รู้ทั้งหลายมาเพื่อหารือเพคะ
แค่ไม่มีผู้ใดใส่ใจอยากได้เราเป็นคู่เสด็จพ่อก็ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยหรือ คงจะเป็นเพราะพระองค์ท่านทรงรงเกียจเดียดฉันท์เราเป็นแน่แท้จึงคิดที่จะขับไล่ไสส่งเราไปเสียให้พ้น หล่อนกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจแล้วก็ลุกจากอ่างน้ำมาแต่งตัวต้อนรับแขกที่ได้รับเชิญมา
ไซคีอยู่ในชุดผ้าไหมสีแดงมันวาวขลิบด้วยดิ้นทองที่เดียวกับผมสลวยของเธอ คอยาวระหงประดับด้วยทับทิมเม็ดโตที่ช่วยขับให้เธอดูเปล่งปลั่งสมวัยยิ่งนัก เธอกล่าวต้อนรับแขกทั้งหลายคนแล้วคนเล่าอย่างเหนื่อยอ่อนจนงานเลี้ยงต้อนรับจบลง
ภายในสัปดาห์ต่อมานั่นเอง ในที่สุดทุกๆคนก็ได้ให้ความเห็นตรงกันว่าที่ไซคีหาคู่มิได้คงเนื่องมาจากความแค้นเคืองของเทพเจ้า
นี่เป็นเหตุให้เช้าวันรุ่งขึ้นไซคีจะต้องตื่นก่อนฟ้าสางทั้งๆที่นอนไม่หลับ เพื่อเดินทางไปสู่วิหารของเทพเจ้าอพอลโลพร้อมด้วยบิดาและมารดาแห่งนางเพื่อไปขอคำแนะนำจากเทพพยากรณ์
วิหารหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาแลดูงดงามราวกับสรวงสวรรค์ขนาดย่อมๆเลยก็ว่าได้ ไซคีผู้ที่กล่าวได้ว่าแทบจะไม่เคยได้ย่างกรายออกจากพระราชวังเลยถึงกับตกตะลึงเมื่อได้มาพบเห็นสถานที่แห่งนี้
เมื่อได้พบปะและพูดคุยกันแล้วเทพพยากรณ์ก็ได้กล่าวคำนายไว้ว่า
หญิงสาวผู้นี้จะต้องเป็นคู่ครองของผู้เป็นอมตะ..
ใช่แล้ว.......เขาผู้นั้น อสูรซึ่งเปี่ยมล้นด้วยอำนาจที่แม้แต่ทวยเทพหรือมนุษย์หน้าไหนก็ไม่อาจขัดขืน เขา...........กำลังรอเธออยู่......อยู่บนยอดเขา
คำตอบจากเทพพยากรณ์นี้ทำให้ทั้งกษัตริย์ ราชินี และข้าราชบริพานต่างๆรู้สึกพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก แต่ด้วยความที่หวาดกลัวต่อคำบัญชาที่สวรรค์กำหนดมาแล้วนั้นจึงยอมทำตามที่เทพยากรณ์แนะนำ
ไซคีอยู่ในอาภรณ์ที่สวยงามที่สุดของเธอ และเป็นชุดที่เธอชอบมากที่สุด เธอสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเธอ
และเมื่อเธอพร้อมทั้งบิดามารดาและญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายเดินทางขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้ว ญาติมิตรทั้งหลายก็เริ่มกล่าวคำอำลา
อย่าได้เป็นห่วงนักเลย เสด็จพ่อเสด็จแม่ ข้ามิได้ไปออกรบหรือไปหาที่วายชีวาเช่นนั้นไม่ แต่ข้า...กำลังจะไปหาเขา........เขาผู้ซึ่งกำลังจะเป็นสามีแห่งข้า....เป็นเนื้อคู่แห่งข้า ........ เขากำลังจะมารับข้าไปอยู่กับเขาไปอยู่ในที่ของเขา.......ขอพวกท่านโปรดวางใจเสียเถิด......
แล้วนางก็กล่าวต่ออย่างไม่เต็มปากเต็มคำและไม่มั่นใจในสิ่งที่พูดนัก
แล้วพวกเรา...............................คงจะได้พบกันอีกลาก่อน.........
เมื่อได้ร่ำลากันเสร็จสิ้นแล้วบรรดาญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายก็พากันทยอยลงไปจากยอดเขา........แล้วปล่อยเหลือนางไว้เพียงลำพังผู้เดียว
บัดนี้เจ้าหญิงผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าใสกำลังยืนร้องไห้ เนื้อตัวสั่นเทา ความรู้สึกหวาดกลัวที่ซ่อนไว้เมื่อครู่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาหมดสิ้นแล้ว ลับหลังญาติมิตรของเธอ.....ลับหลังบิดามารดาของเธอ......เธอกล่าวคำพูดที่ได้กล่าวปลอบใจบิดามารดาของตนกับตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเลย..............
เธอกำลังยืนอยู่เพียงลำพัง.............ผู้เดียว...................ไร้ผู้ที่จะพึ่งพิง..........เงียบเหงายิ่งกว่าครั้งใดๆ.............อยู่ห่างจากสถานที่ที่เป็นที่ของเธอไกลแสนไกล..................
ทันใดนั้นเองเซเฟอร์ สายลมแห่งตะวันตก ก็ได้โอบอุ้มเธอเอาไว้ในวงแขนอันนุ่มนวลดุจปุยเมฆของเขาพาเธอผ่านดินแดนมากมายเบื้องล่าง ไซคีตื่นกลัวเกินกว่าที่จะลืมตาดูอยู่ได้ เธอปิดตาสนิทกำมือแน่น ไม่ไหวติง
และเมื่อความรู้สึกของเธอได้บอกเธอว่าการเคลื่อนที่ได้หยุดลงแล้ว ภาพแรกที่เธอเห็น..........ช่างเป็นภาพที่ประทับใจยากที่จะลืมเลือน............. หุบเขากว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา ดอกไม้หลากชนิดแข่งกันเบ่งบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ แสงแดดอ่อนๆยามเช้าทอลงมาจากท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยเมฆสีขาว ใกล้ๆป่าละเมาะเขียวชอุ่ม เธอพบพระราชวังสีขาวที่สูง....ตระหง่าน......และมั่นคงตั้งอยู่ แลดูน่าพิศวงเป็นยิ่งนัก เธอทอดสายตามองไปรอบๆอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตนเอง ทั้งกระพริบตาและหยิกขาตนเองดูเพื่อความแน่ใจว่าตนเองมิได้ฝันไป เธอเปิดเปลือกตาของเธอขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าใสทอประกายออกมา ภาพเหล่านี้มิใช่ภาพลวงตา ไซคียิ้มออกมาอย่างยินดี เธอออกวิ่งเต็มฝีเท้าไปยังพระราชวังหลังงามนั้น ในใจพลุ่งพล่าน ยินดีเป็นที่สุด ราวกับว่าดวงใจดวงน้อยของเธอจะหลุดออกมาจากทรวงอก
แล้วเธอก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วของพระราชวังหลังงาม และเธอก็ชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในพระราชวังอย่างลังเล ทันใดนั้นเองประตูรั้วเล็กดัดอ่อนช้อยนั้นก็เปิดออก ไซคีจึงเดินเข้าไปในพระราชวัง มีสวนขนาบสองข้างทางเดิน เธอหยุดชะงักตกตะลึงในความงดงามของสถานที่ที่เธอได้พบเห็น ตรงกลางแจ้งมีสายน้ำพุพวยพุ่งขึ้นท่ามกลางแมกไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาและออกดอกสะพรั่ง ละอองฝอยของน้ำที่ใสเหมือนคริสตอลกระเซ็นล่องลอยไปในอากาศ เมื่อต้องกับใบหน้าก็ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นยิ่งนัก เธอเพลิดเพลินกับความงดงามที่น่าพิศวงของสวนแห่งนี้ จนเมื่อเธอเข้าไปใกล้กับตัวพระราชวังเธอก็แนน่ใจเป็นอย่างยิ่งแล้วว่า ณ ที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่พำนักของผู้เป็นอมตะเป็นแน่แท้
ช่างเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ตั้งแต่เพดานจรดพื้น แลดูเหมือนของทุกสิ่งจะเปล่งประกายแห่งความล้ำค่าของมันออกมา เสาทองคำส่องแสงสีเหลืองทองตั้งตระหง่านรองรับหลังคาซึ่งสูงโค้งพื้นหินอ่อนสีขาวเป็นมันวาววับราวกับมีน้ำเคลือบอยู่ ตามกำแพงหินสีขาวก็เต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมอันวิจิตรงดงามและภาพแกะสลักที่ประดับประดาอยู่บนผนังก็ดูจะงดงามยิ่งกว่าความเป็นจริง
ขณะที่ไซคีเดินเข้าไปในห้องอันสวยงามและปลอดโปร่งสบายนี้ ก็มีเสียงที่อ่อนหวานและนุ่มนวลกล่าวกับเธอว่า
เจ้าหญิงผู้งดงาม......เจ้าหญิงผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเอ๋ย.....สิ่งทั้งหลายที่ท่านได้พบเห็นนั้น.....ล้วนเป็นของท่านทั้งสิ้น...เชิญบัญชามาเถิด.....เรา...ข้ารับใช้ของพระองค์....จะปรนนิบัติดูแลท่าน..นายแห่งข้า......เชิญบัญชามา....
ในดวงใจของไซคีตอนนี้เปี่ยมล้นด้วยความพิศวงและยินดี เธอพยายามเหลียวมองไปรอบๆเพื่อค้นหาเจ้าของเสียงนั้น แต่เธอก็ไม่พบเห็นผู้ใด
ไซคีออกเดินต่อไป เธอมาหยุดอยู่หน้าประตูทองคำบานในสุด แล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูออก
ภายในห้องนอนสีขาวสะอาด มีเตียงสี่เสาตั้งอยู่กลางห้อง ผ้าคลุมเตียงสีเหลืองทองอ่อนเฉกเช่นรวงข้าวยามถึงฤดูเก็บเกี่ยวตัดกับสีของดิ้นทองและชายระบายที่เป็นสีทองเข้มเจิดจ้าดังแสงของดวงอาทิตย์ ข้างๆเตียงมีเสาหินอ่อนสีขาวเตี้ยๆวางอยู่เพื่อใช้เป็นที่วางอ่างล้างหน้าคริสตอลของเธอ น้ำจากเหยือกที่ลอยอยู่ในอากาศไหลรินลงอย่างไม่ขาดสาย ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจนักสำหรับเธอ ไซคีเปิดหน้าต่างออกลมเย็นๆยามเช้าพัดโชยเข้ามา ผ้าม่านลินินสีขาวระกับใบหน้างดงามของเธอ
นี่คือห้องพักของท่าน และนี่ก็คือที่นอนรุ่งอรุณของท่าน เสียงนั้นดังขึ้นอีก
เมื่อความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกหายไปความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าก็เข้ามาแทนที่ หญิงสาวล้มตัวลงนอนบนเตียง ดูเหมือนว่าที่นอนและหมอนขนเป็ดที่อ่อนนุ่มจะทำให้เธอหลับไปในทันที แล้วม่านก็ถูกดึงปิดลงโดยข้ารับใช้ที่มองไม่เห็นนั้น...................
เราได้เตรียมอาภรณ์ที่งดงามที่สุดไว้ให้ท่านแล้ว โปรดตามเรามา เสียงนั้นดังขึ้นปลุกไซคีจากความงัวเงียหลังจากที่หลับมาเป็นเวลานาน
ไซคีมองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม บ่งบอกว่าขณะนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะตกนี้ทอแสงสีแดงไปทั่วฟ้า
หญิงสาวเดินตามเสียงนั้นไปจนถึงประตูถัดมาสองบาน แล้วประตูก็เปิดออก
นี่คือห้องชำระกายาของท่าน
ไซคีเดินผ่านม่านที่ทำมาจากเถาวัลย์และดอกไม้เข้าไปยังที่สรง ชำระกายาของเธอด้วยน้ำอุ่นๆที่โรยด้วยกลีบดอกไม้กลิ่นหอมอบอวล
ช่างเป็นกลิ่นที่แปลกมาก กลิ่นดูจะหอม หวาน และยังทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก เธอรำพึงรำพันกับตัวเอง
เมื่อเธออาบน้ำชำรำกายเสร็จแล้ว เธอก็สวมใส่อาภรณ์ที่ได้ตระเตรียมไว้สำหรับเธอโดยเฉพาะ แน่นอนว่ามันพอดีกับตัวเธอราวกับให้ช่างฝีมือดีที่สุดในอาณาจักรของเธอมาวัดตัวเธอ และตัดเย็บอย่างปราณีตที่สุด
เมื่อเธอแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งสลักเสลามาจากงาช้าง ในทันใดนั้นเอง ก็มีโต๊ะตัวหนึ่ง ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยอาหารชั้นเลิศในจานทองคำ ก็ลอยมาอยู่ ณ เบื้องหน้าของเธอ แม้ว่าไซคีจะมองไม่เห็นผู้ใดเลยแต่มือที่มองไม่เห็นนั้นก็คอยปรนนิบัติเธออยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และนักดนตรีที่เธอมองไม่เห็นนั้นก็คอยบรรเลงลู้ตและขับร้องกล่อมเธออยู่ทุกเวลา ซึ่งก็ช่วยให้เธอคลายเหงาลงได้บ้างในบางครั้ง
ไซคีไม่เคยได้เห็นหน้าเจ้าของพระราชวังแห่งนี้หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือสามีของเธอนั่นแหละ เขามักจะมาหาเธอเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้นเช่นเดียวกันกับคืนนี้
ยอดรักแห่งข้า ข้าอยากจะให้ท่านสามารถอยู่ในสถานพระราชวังแห่งนี้กับข้าด้วยตลอดทุกเวลานาทีไม่เว้นเวลากลางวันเหลือเกิน เหตุใดท่านจักมาพบข้าเฉพาะในยามรัตติกาลเท่านั้นเล่า หญิงสาวนัยน์ตาสีฟ้ากล่าวอย่างออดอ้อนแกมตัดพ้อ
หากเจ้าได้เห็นใบหน้าของข้าแล้วล่ะก็เจ้าอาจจะกลัวข้า.................. เขากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ไม่มีแววอสูรกายแฝงอยู่แม้แต่น้อย
*--* ข้าอยากจะให้เจ้ารักข้ามากกว่าที่จะให้เจ้าบูชาข้าเยี่ยงเทพเจ้า
ไซคีรับรู้ได้จากน้ำเสียงเศร้าสร้อยนั้น เธอจึงเลิกคิดที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้อีก แต่แล้วต่อมาไม่นานนักไซคีก็วิงวอนผู้เป็นสามีด้วยเรื่องอื่นอีก
สามีแห่งข้า ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่านสักอย่างได้หรือไม่ ไซคีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงันในยามรัตติกาล
หากสิ่งนั้นข้าสามารถกระทำได้แล้วล่ะก็ ข้ายินดีจะทำให้เจ้าเสมอ สามีของเธอตอบกลับมาอย่างเอาอกเอาใจ
คือ..........ข้าก็ได้จากบ้าจากเมือง ญาติพี่น้อง โดยเฉพาะพี่สาวทั้งหลายแห่งข้ามานานมากแล้ว แล้วข้าก็ไม่เคยแจ้งข่าวเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของข้า ไม่เคยแม้แต่บอกแก่พวกเขาทั้งหลายเลยว่าข้านั้นยังมีชีวิตอยู่......ในที่แสนไกลที่พวกเขามาไม่ถึง.............ข้าคิดว่าเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และพี่สาวของข้าคงจะว้าวุ่นใจและเป็นห่วงข้าเป็นอย่างมาก ข้าจึง...............อยากขอร้องท่านให้บรรดาพี่สาวทั้งหลายแห่งข้านี้ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนข้าบ้าง.............จะได้หรือไม่ น้ำเสียงเศร้าสร้อยเป็นห่วงและอาลัยของไซคีทำให้สามีของนางใจอ่อนยอมให้พาบรรดาหญิงสาวเหล่านั้นมาได้ แม้ตัวเขาเองจะรู้ว่าหากพวกนางมา..............เรื่องยุ่งยากมากมายจะต้องบังเกิดขึ้น...แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ไซคีมีชีวิตอยู่อย่างเหงาหงอยและเศร้าหมองได้
ได้สิ....ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถพาพี่น้องของเจ้ามาเยี่ยมเยียนได้เป็นครั้งคราว แล้วข้าจะบอกกับเซเฟอร์ให้ สามีของนางกล่าวตกลงแม้ในใจจะสับสนอย่างยิ่ง
และเช้าวันรุ่งขึ้นไซคีก็ตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจที่จะได้พบกับพี่สาวทั้งหลายที่จากไปนานของตน เธอแทบจะวิ่งเข้าไปในห้องสรงด้วยซ้ำ วันนี้เธอชำระร่างน้อยๆของเธอนานเป็นพิเศษ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเธอก็นั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้งสีนวลผ่องที่ทำจากงาช้าสลักเสลามาเป็นอย่างดีเธอมองเข้าไปในกระจกพลางคิดว่าวันนี้เหตุใดเธอจึ่งดูสวยงามเปล่งปลั่งกว่าทุกวันที่ผ่านมาอย่างน่าประหลาด แล้วเธอก็กล่าวกับผู้ปรนนิบัติล่องหนของเธอ
เจ้าว่าวันนี้ข้าจักสวมอาภรณ์สีใดดี อืม............สีชมพูดีกว่า สิ้นเสียงของเธออาภรณ์ก็ลอยมาตรงหน้า
แล้วเธอก็เริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยความบรรจงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอบรรจงสวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนนั้นอย่างระมัดระวังราวกับว่ามันเป็นกระดาษบางที่จักขาดจักยับได้ง่ายดาย แล้วเธอก็สวมเครื่องประดับมุกสีชมพูของเธอหลังจากที่คิดแล้วคิดอีกเพราะเลือกไม่ถูก วันนี้เธอไม่รวบผมบรอนซ์สลวยดังเส้นไหมของเธอแต่เธอกลับแปรงแล้วแปรงอีกด้วยความบรรจง แล้วก็แซมด้วยหวีอันเล็กๆที่ประดับด้วยไข่มุกสีเดียวกับสร้อยคอของเธอ เป็นระยะๆจนจรดปลายผมของเธอ สีชมพูช่างเป็นสีที่เป็นของเธอโดยแท้จริง ทั้งเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่เข้ากันอย่างเหมาะเจาะพอดีของเธอขับให้เธอดูสวยงามเปล่งปลั่งและเยาว์วัยยิ่งกว่าใครๆ ในวันนี้เธอดูงดงามยิ่งกว่านางไม้ตนใดในป่า งามยิ่งกว่านางฟ้าองค์ใดในสรวงสวรรค์และงามกว่าเทวีแห่งความงาม........เทวีวีนัส ก่อนที่เธอจะก้าวออกจากห้องสรงก็ยังหันกลับมาส่องคันฉ่องทองคำของเธออีกครั้ง เธอดูตื่นเต้นราวกับหญิงสาวที่กำลังจะออกเดทครั้งแรกกับชายหนุ่มที่เธอหลงรักมาแรมปี
และแล้วผู้ปรนณิบัติล่องหนของเธอก็กล่าวบางสิ่งกับเธอที่ทำให้เธอยอมออกจากห้องสรงเสียที
พระองค์ผู้งามยิ่งกว่าหญิงใดในปฐพี บัดนี้เซเฟอร์ สายลมแห่งตะวันตกผู้อ่อนโยน ได้นำพาหญิงสาวทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นพี่สาวของพระองค์มาถึงหน้าพระราชวังแล้วพระองค์ ยังไม่ทันสิ้นเสียงดีไซคีก็กล่าวขอบใจแล้วก็วิ่งถลาออกไปหน้าพระราชวังในทันใด
ทันทีที่ได้พบหน้าความปิติยินดีทั้งหลายก็เอ่อล้นขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาของเหล่าหญิงสาว ไซคีวิ่งเข้าไปหาและโอบกอดพี่ๆ เธออยู่ในวงล้อมของเหล่าพี่สาวทั้งหลายและพูดคุยกับราวกับว่าช่วงเวลาหลายเดือนที่จากกันมาได้หายไปจากความทรงจำ ไซคีก็เชื้อเชิญให้พี่สาวทั้งหลายรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
ที่โต๊ะอาหารอันหรูหราของพระราชวัง เช้านี้มิได้มีแต่หญิงสาวผู้เหงาหงอยคนเดียวอีกแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยหญิงสาวที่มีหน้าตาอันยิ้มแย้มชื่นบาน ร่างเริงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ในตอนแรกพี่สาวทั้งหลายของเธอต่างยินดีที่น้องสาวปลอดภัย แต่แล้วเมื่อพวกเธอมองเห็นว่าสรรพสิ่งต่างๆรอบกายของไซคีนั้นล้วนอัศจรรย์ยิ่งนัก ความรู้สึกอิจฉาริษยาก็บังเกิดขึ้นในใจของพวกเธอ พวกเธอจึงซักถามถึงสามีของน้องสาวต่างๆนาๆด้วยอาการหยาบคาย
ว่าอย่างไรนะ นี่เจ้ายังไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าสามีของเจ้าเลยหรือ จักเป็นไปได้อย่างไรกัน
เขาจะเป็นอสูรร้ายที่น่าสะพรึงกลัวหรือเปล่า จึ่งไม่ยอมให้เจ้าเห็น
เขาจะเป็นมังกรร้าย ซึ่งในที่สุดจะกลืนกินเจ้าหรือเปล่า เจ้ายังจำของเทพพยากรณ์ได้หรือไม่
พี่สาวของนางแต่ละคนก็ว่ากันไปต่างๆนานา ทำให้ไซคีเริ่มรู้สึกหวั่นใจว่าจะเป็นดังที่พวกนางกล่าวกัน และก่อนที่บรรดาพี่สาวทั้งหลายของนางจะกลับ ก็ยังหว่านล้อมให้ไซคีหาโอกาสได้เห็นหน้าสามีของเธอในขณะที่เขากำลังหลับใหลอยู่
จงอย่าลืม เจ้าจักต้องหาโอกาสเห็นหน้าสามีของเจ้าให้จงได้ แล้วจงอย่าลืมที่จะนำตะเกียงและมีดเล่มใหญ่ๆติดตัวไปด้วย หากว่าเขาเป็นมังกรจริงแล้ว เจ้าจะได้ตัดหัวของเขาเสีย แล้วหนีกลับไปอยู่กับเสด็จพ่อ เสด็จแม่เสีย เข้าใจหรือไม่ พี่สาวคนหนึ่งของนางกล่าวขึ้นแล้วก็ลากลับไป
ไซคีรับปากพี่สาวของเธอว่าเธอจักปฏิบัติตามที่พวกนางสั่ง เมื่อเซเฟอร์มารับพวกนางไปแล้ว ไซคีก็ซ่อนตะเกียงและมีดเอาไว้ข้างเตียงแห่งรุ่งอรุณของเธอในที่ที่เธอจักสามารถหยิบฉวยได้ทันที
ผลงานอื่นๆ ของ ๑PaDa๑ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ๑PaDa๑
ความคิดเห็น