ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Danger Lover [SuJu & TVXQ Fan Fiction YAOI]

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 : Back out

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 52



     

    เพราะชีวิตผมเป็นของผม
    ผมต้องการเลือกทางเดินของผมเอง..
    แม้นั่นจะทำให้ผมกลายเป็นลูกเนรคุณก็ตาม!
     
    Chapter 3
     
                งานเปิดตัวจิวเวอร์รี่คอเล็กชั่นใหม่ มีแขกมาเยือนไม่ขาดสายตั้งแต่งานยังไม่ทันเริ่มดี แต่ก็มีหลายคนที่กว่าจะมาถึง งานก็เริ่มไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และหนึ่งในนั้นก็คืออีทึก ร่างบางมาในชุดสูทสีดำสนิท รถยนต์คันหรูถูกจอดไว้ด้านข้างโรงแรมเป็นที่ๆคนไม่พลุกพล่านและเขาคำนวณทางหนีทีไล่ไว้เสร็จสรรพแล้วว่า ถ้าเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมา เขาจะหนีทันแน่นอน
                ร่างบางก้าวเข้ามาในงานแบบเงียบเชียบไม่เป็นที่สนใจของคนในงาน เพราะเขาไม่ใช่คนมีหน้ามีตาในสังคม จึงไม่มีใครใคร่สนใจเขา อีทึกยืนหลบในมุมหนึ่งของงาน แต่ก็ไม่ยืนนิ่ง เขาเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆเพื่อเก็บข้อมูลและเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของใครบางคน เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างของงานนี้ และความรู้สึกของเขาก็บอกว่า มีใครบางคนจับตาดูอยู่
                “อีทึก!” อีทึกสะดุ้งเล็กๆเมื่อถูกมือเล็กตะปบเข้าด้านหลัง
                “ตกใจหมด ทำไมมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?” ร่างบางนึกโทษตัวเองอยู่ในใจ ทำไมเขาถึงปล่อยให้คนอื่นเข้าใกล้ตัวโดยไม่ระวังแบบนี้
     
     ...ถ้าคนๆนั้นคือศัตรูเล่า? เขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่?...
     
                “ฉันต้องถามนายมากกว่า ว่ามาโผล่ในงานนี้ได้ยังไง?”
                “ก็..ได้บัตรเชิญมา นางแบบกำลังจะโชว์แล้วไม่ใช่เหรอ ดีไซเนอร์สุดหล่อจะมัวมายืนอยู่นี้ได้ไง ไม่ไปเตรียมตัวล่ะ?”
                “แหม ไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์ นี่ไล่กันแล้วเหรอ?” อีกฝ่ายทำท่างอน
                “เปล่าซะหน่อย! นายดูผอมลงนะเนี้ย! ทำงานหนักละสิ” อีทึกปฎิเสธก่อนจะสำรวจคนตรงหน้า
                “อืม ก็นิดหน่อย คิดคอเล็กชั่นนี้ล่ะ ก็เลยต้องอดหลับอดนอน อดข้าวอดน้ำ แต่ถ้างานนี้เรียบร้อยนะ ฉันก็คงได้พักอีกเป็นเดือนเลยล่ะ ว่าแต่นายเถอะ มางานราษฎรแบบนี้ ต้องมีงานหลวงให้ทำแน่ใช่ม่ะ?”
                “รู้ดีจริงนะ” อีทึกแซวยิ้มๆ แต่อีกฝ่ายทำหน้าจริงจังกว่า
                “นายน่าจะเลิกได้แล้ว นายไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ ทำอย่างอื่นจะไม่สบายใจกว่าเหรอ?”
                “นายก็รู้ ว่างานแบบนี้ มันถอนตัวยาก เอาไว้ถ้าฉัน*สิ้นไร้ไม้ตอกเมื่อไหร่นะ ฉันจะหอบผ้าไปนั่งกินนอนกินบ้านนายเลย โอเคมั๊ย?” อีทึกทำมือโอเค แต่อีกฝ่ายกับมุ่ยหน้าเล็กๆ
                “กว่าจะถึงวันนั้นนะ ฉันแก่ตายก่อนพอดี”
                “พี่จุนซู! มาอยู่นี้เอง ผมตามหาตั้งนาน จวนได้เวลาแล้วครับ เชิญพี่ไปเตรียมตัวด้านหลังเวทีด้วย อ้าว! พี่อีทึก สวัสดีครับ”
                “สวัสดีชางมิน โทษทีที่กักตัวจุนซูไว้นาน”
                “ไม่เป็นไรฮะ แต่ตอนนี้ผมต้องขอตัวพี่จุนซูไปก่อน เดี๋ยวโชว์เสร็จแล้ว ผมจะลงมาคุยด้วยนะครับ”
                “อืมๆ” อีทึกยิ้มให้เพื่อนและน้อง อันที่จริงแล้ว เขากับจุนซุเรียนที่มหาลัยโซลเหมือนกัน ต่างกันที่คนละคณะ แต่ก็มารู้จักกันได้ เพราะงาน แล้วก็สนิทสนมกันมากขึ้น ด้วยความที่สนิทสนมกับจุนซู ทำให้เขาได้รู้จักกับชางมิน หนุ่มน้อยผู้ซึ่งอายุน้อยกว่าเขาและจุนซุถึงสองปี แต่กลับมีความสามารถสูง มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบและยังสนใจด้านอัญมณีด้วย อาชีพของเขาในตอนนี้ คือ นักออกแบบและนักอัญมณี ประจำแบรนด์ Shine Jewelry
                เวลาที่เขามองเพื่อนและน้องทั้งสอง เขาก็อดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ ทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ย่อมมีพรสวรรค์เป็นของตัวเอง อย่างจุนซุ มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบ ชางมิน มีพรสวรรค์ด้านอัญมณี แล้วตัวเขาล่ะ มีพรสวรรค์อะไร?
                ...พรสวรรค์ด้านการ ฆ่า งั้นเหรอ?...
     
                “ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเจอพนักงานขายเค้กที่งานไฮโซด้วย ใครอนุญาตให้นายเข้างานหรูๆแบบนี้กัน ห๊ะ?” อีทึกเบนสายตาไปยังหนึ่งหนุ่มที่เข้ามาทัก
                “ฉันมีบัตรเชิญ” อีทึกชูการ์ดในมือให้อีกฝ่ายดู
                “มีบัตรเชิญ? เด็กกำพร้า ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างนาย รู้จักมักจีกับคนใหญ่คนโตขนาดถูกเชิญมางานสุดหรูด้วยเหรอ?” ฮันกยอกหรี่ตาอย่างจับผิด อีทึกยกยิ้มมุมปาก
                “บังเอิญว่า ฉันเป็นเพื่อนดีไซเนอร์ มีปัญหาอะไรมั๊ย?” ฮันกยอกทำหน้าบึ้ง เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทางมีพิรุธให้เขาเห็นอย่างที่ตั้งใจไว้
                “ฉันว่า นายไม่ได้ถูกเชิญให้มาดูการแสดงเพชรอย่างเดียวหรอก นายมีจุดประสงค์อะไรแน่ ถึงมาที่นี้” ฮันกยอกยังไม่ละความพยายาม
                “แล้วท่านประธานฮันจะลดตัวลงมายุ่งอะไรกับชีวิตส่วนตัวของผมมิทราบครับ?” อีทึกเอ่ยพร้อมทำท่าเหมือนนอบน้อม หากแต่ผู้ฟังก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายประชดประชันใส่
                “ฉันก็คงจะไม่ยุ่ง ถ้างานนี้ไม่ใช่งานของฉันด้วย”
                “งั้นก็ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่มีความลับอะไรให้นายล้วงหรอก”
                “ทำเป็นพูดดีไป อย่าให้ฉันจับนายได้คาหนังคาเขาล่ะ เดี๋ยวจะพูดไม่ออก”
                “ไม่มีวันนั้นหรอก ท่านประธาน” สงครามสายตาขนาดย่อมเกิดขึ้น เมื่อทั้งสองไม่สามารถกระโจนเข้าห้ำหั่นกันได้ทางร่างกาย ก็คงจะจำเป็นต้องใช้สายตาเท่านั้นล่ะ
               
                ไฟในห้องจัดเลี้ยงหรี่ลงจนมืดเหมือนทุกครั้ง ดึงสายตาแขกภายในงานไปบนเวทีที่ยื่นยาวออกมาเป็นแคทวอล์คสำหรับนายแบบนางแบบ รวมทั้งอีทึกและฮันกยอกด้วย ทั้งคู่ละจากสงครามสายตากันชั่วคราว และหันไปสนใจการแสดงบนเวทีแทน
                อีทึกเพิ่งจะสังเกตได้ว่า ผู้ติดตามของฮันกยอกทั้งสองไม่ได้อยู่ใกล้ๆตัวของเจ้านายเลย มันทำให้เขาสงสัย ทั้งๆที่ฮันกยอกเองก็รู้ตัวว่าโดนหมายเอาชีวิต ทำไมถึงปล่อยให้ระบบความปลอดภัยของตนเองเกิดช่องโหว่ ...หรือเขาประมาท ไม่คิดว่าจะโดนลอบทำร้ายในงานของเขาเอง
     
    ไม่ใช่หรอก ...เพื่อต้องการให้คนร้ายแสดงตัวแน่!
     
    “มองอะไรไม่ทราบ? คิดหาวิธีฆ่าฉันอยู่รึไง?” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆทำให้อีทึกละสายตา
    “เปล่า!...เฮ้ย!” อีทึกค้อนให้ร่างสูงเล็กๆ และจังหวะนั้น เขาก็มองเห็นบางสิ่งกำลังพุ่งผ่าอากาศตรงมายังฮันกยอก สีเงินวาววับสะท้อนแสงจากเวทีราวดวงดาวที่อยู่ท่ามกลางความมืดในท้องนภา
     
    ปึก!
     
     อีทึกดึงตัวร่างสูงให้เอี้ยวหลบลูกดอกนั่นได้ทันเวลา แผ่นหลังของฮันกยอกกระทบกับเสาต้นใหญ่อย่างแรง ตามด้วยผู้ช่วยชีวิตที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ร่างสูงยังคงอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อีกคนดูสติยังมีเหลืออยู่มากกว่า
    อีทึกมองไปยังทิศทางที่ลูกดอกพุ่งมา มันพุ่งลงมาในทิศเฉียงลง แสดงว่าตนเหตุต้องอยู่บนนั้น เพดาน... แต่เขาก็หาใครไม่พบ ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ แม้แต่แขกในงานก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเหตุลอบฆ่าขึ้น ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปอย่างที่มันควรจะเป็น
    “อ่ะ!” ความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่เรียกความสนใจจากเจ้าของร่างกายได้เป็นอย่างดี มือบางแตะดูก็รู้ว่าถูกเจ้าลูกดอกเล็กนั่นเฉี่ยวเอาซะแล้ว ร่างบางเดินไปดึงลูกดอกเรียวเล็กที่ปักคาอยู่ที่ผนังบุผ้านุ่ม
    นิ้วเรียวลูบที่ปลายลูกดอกเบาๆ ร่างบางขมวดคิ้วเล็กๆ สุดจะคาดเดาว่าลูกดอกนี้อาบยาพิษหรือสิ่งแปลกปลอมอะไรไว้หรือไม่ ...กะให้ตายจริงๆหรือแค่ขู่?
    “นาย...ช่วยฉันไว้” ฮันกยอกพูดออกมาเป็นคำแรกเมื่ออีทึกเดินกลับมาพร้อมลูกดอกในมือ ร่างบางรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นเข้าสู่หัวใจ
     
    ‘ช่วย...ใช่ เขาช่วยฮันกยอก ช่วยเป้าหมายที่ตนต้องเป็นคนฆ่า!!’
     
    “คนของนายไปอยู่ไหนซะล่ะ?” อีทึกเอ่ยถาม ผ้าเช็ดหน้าผืนบางถูกหยิบออกมาพันลูกดอกต้นเหตุแล้วเก็บมันลงกระเป๋า
    “ฉันให้สำรวจรอบงาน แยกกันจับตาดูคนน่าสงสัย”
    “นายน่าจะหาคนประกบสักคนสองคน แล้วให้ที่เหลือตระเวนรอบงานแทน”
    “นี่..แขนนายโดนลูกดอก”ฮันกยอกเหลือบไปเห็นสูทสีดำของอีทึกขาดเป็นทางบริเวณหัวไหล่ จึงทักขึ้น
    “ฉันเห็นแล้ว”
    “...นายตาไวดี ฉันเป็นหนีชีวิตนายซะแล้ว” ฮันกยอกพูดพร้อมรอยยิ้มมุมปากตามเดิม
    “งั้นก็เลิกคิดว่าฉันเป็นนักฆ่าซะที ท่านประธาน”
    “ไม่มีวันซะหรอก ฉันไม่มีทางเชื่อว่านายไม่ใช่ ถึงแม้ว่านายจะช่วยชีวิตฉันหรือทำให้ฉันไว้ใจนายก็ตาม” ฮันกยอกพูดพร้อมยักคิ้วให้อีกฝ่าย
    “คิดว่าเมื่อกี้แผนฉันงั้นเหรอ? รู้งี้ฉันปล่อยให้นายโดนเสียบซะก็ดี”
    “เปล่า! แต่ยังไงฉันก็เชื่อสัญชาตญาณฉันอยู่ดี ว่านาย เป็น นักฆ่า”
    “นายคงต้องซ่อมสัญชาตญาณซะแล้วล่ะ เพราะมันทำงานบกพร่องจนเกือบทำให้นายตายไปแล้วเมื่อกี้นี้”
    “ท่านประธาน” ฮันกยอกหันมองตามเสียงเรียก คิบอมและเยซองยืนอยู่ด้านข้างของเขา
    “เรียบร้อยมั๊ย?”
    “ครับ” ทั้งคู่พยักหน้าตอบพร้อมกัน ฮันกยอกยกยิ้มน้อยๆ ที่เขาบอกว่าให้ลูกน้องไปลาดตระเวนนั้นก็ถูก แต่เพียงครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งนั้น ลูกน้องของเขายังมีหน้าที่เอาของที่ลูกค้าสั่งไปส่งด้วย
    “นั่นใครครับ?” คิบอมถามอย่างไม่วางใจบุคคลซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ที่ทำท่าไม่สนใจการสนทนาของพวกเขา แต่ทั้งหมดรู้ดีว่าทุกสิ่งอย่างที่พูดไป เข้าหูคนๆนี้ทั้งหมด
    “ปาร์ค จองซู”
    “ครับ” ทั้งคู่พยักหน้ารับ เยซองผู้รู้เรื่องมากกว่าคิบอม ทำหน้าที่อธิบายนอกรอบให้ฟังแบบส่วนตัวอีกที
    “คนที่ฮันกยอกสงสัยว่า เป็นนักฆ่า คนที่ฉันหาข้อมูลมาให้เมื่อเช้า” คิบอมพยักหน้ารับรู้ และเป็นอันจบการสนทนาสั้นๆลงเพียงเท่านั้น
    “นายน่าจะหาผ้าปิดบาดแผล” ฮันกยอกเอ่ยขึ้นลอยๆ อีทึกมองบาดแผลแล้วส่ายหัว
    “แค่นี้ไม่ทำให้ตายหรอก”
    “ต้องยังไงถึงตายล่ะ ปักอกงั้นเหรอ?”
    “อยากลองมั๊ย?” อีทึกทำท่าเป็นผู้เสียสละจะปักให้ เจอคำถามกลับแบบนี้ฮันกยอกถึงกับไปต่อไม่เป็น ร่างสูงปิดปากเงียบอีกครั้ง และปรบมือพร้อมๆกับแขกร่วมงานคนอื่นๆ เป็นอันว่าการเดินแบบบนเวทีได้สิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว
     
    “นั่นนายจะไปไหน?” ฮันกยอกเอ่ยถามเมื่อร่างบางข้างๆขยับเท้าทำท่าจะกลับ
    “กลับบ้าน ฉันจะอยู่ทำไม?” ฮันกยอกไม่ได้กล่าวว่าอะไรตอบ ปล่อยให้อีทึกแยกตัวออกจากงานไปง่ายๆ ส่วนอีทึกนั้น พอออกจากงานมาได้เพียงก้าว เขาก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อความรู้สึกบอกเขาว่ามีบางอย่างตามเขามา
    อีทึกมองไปรอบๆอย่างระวัง ...ไม่มีใคร ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงไร้ผู้คนผ่านไปมา ...หรือเขาจะระแวงมากเกินไป
    อีทึกเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาพยายามเก็บรายละเอียดจากประสาทการรับรู้ของเขาให้มากที่สุด ร่างบางรับรู้จากเสียงฝีเท้าได้ว่า มีคนเดินตามมาแน่ๆ ถึงฝีเท้านั้นจะแผ่วเบาเหลือเกินก็เถอะ
    ร่างบางยังเดินหน้าต่อไป โดยไม่หันกลับมามองเจ้าของฝีเท้าปริศนาที่เดินตามหลัง แต่เขาก็เงี่ยหูฟังตลอดว่าฝีเท้านั่นเข้าใกล้เขาอย่างมุ่งร้ายหรือเปล่า แต่ก็ไม่...ฝีเท้านั้นยังคงรักษาระยะห่าง
    ...มันคือการ สะกดรอย...
     
    “หายไปไหนแล้ว? ไวอย่างกับแมว” อีทึกหลบอยู่ในมุมหนึ่งของทางเดิน เขาแอบหลบเข้ามาตอนที่เดินเลี้ยวไปกับมุมตึก ร่างบางมองเจ้าของฝีเท้าปริศนาที่ยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่
    ...ให้คนสะกดรอยเลยเหรอ ท่านประธาน คงจะสืบยากหน่อยนะ เพราะคนอย่างเขา ก็ไม่ได้ไก่กาเหมือนกัน!...
     
     
     
     
     
                “นี่มันยังไม่ตายอีกเหรอ!? ฉันอุตส่าห์ลงทุนจ้างมือดีที่สุดไปฆ่า แต่มันก็รอดมาได้ นี้ก็สามวันเข้าไปแล้ว!! เมื่อไหร่จะสำเร็จ!!?” เสียงห้าวตวาดลั่น ข่าวความโชคดีของคู่แข่งที่หนีรอดเงื้อมมือ พญามัจจุราชมาได้ทุกครั้ง ทำให้เขาโมโห
                “นายน่าจะใจเย็นๆนะครับ ฝั่งนั้นก็ไม่ได้กระจอก ตัวหัวหน้าก็มีฝีมือ แถมได้มือซ้ายมือขวาเก่งขนาดนั้น ก็ต้องจัดการยากเป็นธรรมดา” พูดจบมือหนาของผู้เป็นนายก็กุมอยู่ที่คอตนเรียบร้อยแล้ว โทสะคุกรุ่นทำให้แรงบีบนั้นมีพลังมหาศาลจนผู้ถูกกระทำต้องดิ้นรนเพื่อตักตวงอากาศ 
                “หุบปากสวะๆของแกไปเลยนะ!!! อย่ามาชื่นชมมันต่อหน้าฉัน! ถ้าไม่อยากตาย!!” มือหนาซัดอีกฝ่ายออกห่างตัว ผู้ถูกกระทำกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น
                “แค่กๆ” ผู้เป็นนายมองหน้าลูกน้องที่นั่งไอแค่กๆอย่างทรมานก่อนจะแสยะยิ้มเหี้ยม
                “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว! มันจะต้องไม่ตาย ถ้าฉันไม่ใช่คนฆ่า!!”
     
     
     
     
     
                “สวัสดีครับ อ้าว! มาทำอะไรที่นี้?” ฮีชอลทำหน้าฉงน เมื่อลูกค้าหน้าใหม่ แต่ตนรู้จักดีก้าวเข้ามาในร้าน
                “มาร้านเค้ก ..ก็ต้องมากินเค้กสิ” ฮีชอลมองตามอย่างจับผิด ไอ้หน้าตาแบบนี้ ไม่ได้มากินเค้กอย่างเดียวชัวร์! ฮีชอลส่ายหัว บังเอิญสายตามองไปเห็นบางสิ่งบางอย่างนอกร้าน ...แล้วนั่น?...
                ร่างสูงเดินเข้าไปนั่งมุมในสุดของร้านอย่างต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ก็นั่นแหละ มุมในสุดของร้านก็ไม่ได้ช่วยอำพรางสายตาของผู้คนได้อย่างที่เขาต้องการ ลูกค้ายามบ่ายถึงจะไม่มาก แต่สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่เกรงใจ พร้อมรอยยิ้มอย่างมีไมตรี แต่เขาไม่คิดจะยิ้มตอบเพื่อแลกไมตรีด้วยแต่อย่างใด
                “สวัสดีครับ คุณลูกค้าสุดหล่อ รับอะไรดีครับ” พนักงานเสิร์ฟเอ่ยถามอย่างอามรณ์ดี “คุณลูกค้า” ที่ว่าใช้สายตาแสกนคนตรงหน้าทันที
                ‘ผิวขาว ผมซอยสั้น ตาเรียว จมูกรั้น ยิ้มง่าย อารมณ์ดี ประเภทเด็กไฮเปอร์’
                “แนะนำสิ”
                “อืม...” อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด
                “คุณลูกค้ามาคนเดียวแบบนี้ ต้องนัดแฟนมาเดทแน่ใช่มั๊ยครับ? งั้นผมขอแนะนำเมนู ‘เค้กแรกรัก’ครับ เค้กนี้นะครับ ชั้นนอกสุดจะเป็นช็อกโกแลต ให้รสหวานนิดๆ รสชาติเด่นๆคือความขมครับ ชั้นกลางเป็นไส้สตอรเบอรี่ครับ มีเนื้อสตอรเบอรี่ปนอยู่ด้วย ให้รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ส่วนที่อยู่ตรงกลางนะครับ คือเลมอน ให้รสเปรี้ยวจี๊ดแต่ก็มีความหวานละมุนอยู่ด้วยในตัว รับรองว่าอะไรถูกปากแน่นอนครับ!” ลี ทงแฮอธิบายยาวหากแต่ก็เต็มไปด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้*ยกเมฆขึ้นมาพูดลอยๆ
                “งั้นขอกาแฟปั่นสักแก้วก็พอ เพราะฉันมาคนเดียว” ทงแฮทำหน้าไม่เชื่อ ร่างบางหัวเราะขำๆ
                “คุณเป็นลูกค้าผู้ชายคนแรกของร้านเลยนะครับเนี้ย ที่มากินเค้กร้านนี้คนเดียว คงไม่ได้ถูกหักอกมาใช่มั๊ยครับ?” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆกับความสนใจใคร่รู้ไปเสียทุกเรื่องของพนักงานคนนี้
                “เปล่าหรอก ...ฉันขอขนมกินกับกาแฟด้วยก็แล้วกัน” ทงแฮเห็นอีกฝ่ายตัดบทเข้าเรื่องอาหารที่สั่ง ร่างบางก็จดรับอย่างรวดเร็ว
                “ได้คราบ! รอสักครู่” ทงแฮวิ่งไปที่เคาเตอร์ทันที เสียงเรียกใช้บริกรหนุ่มดังขึ้นมาเป็นระยะๆจนเจ้าตัวแทบไม่มีเวลาว่าง ทั้งๆที่ลูกค้าไม่มากแท้ๆ
                ชายหนุ่มนั่งดูดกาแฟปั่นในแก้วไป จ้องมองทุกกิริยาของพนักงานไฮเปอร์อย่างลี ทงแฮไป ไม่ว่าทงแฮจะก้าวเท้าซ้าย หรือยกแขนขวา ภาพทุกภาพก็เสมือนถูกอัดวิดีโอเอาไว้ด้วยดวงตาคมกริบของคุณลูกค้าชายนิรนามลึกลับคนนี้ทั้งสิ้น
     
     
     
     
     
                อีทึกก้าวเข้ามายืนอยู่ในห้องทำงานที่ตนคุ้นเคยอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ใช่ห้องของเขา แต่เขาก็เข้าออกที่นี้บ่อยจนไม่รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่น่าเกรงขามของห้องสไตล์หรูนี้เลย
                “มีอะไรเหรอครับ ถึงเรียกผมมาถึงนี้?” อีทึกเป็นฝ่ายเปิดประเด็นอีกตามเคย เจ้าของห้องละมือจากเอกสารที่เซ็นค้างไว้ พับแฟ้มเก็บเรียบร้อย เดินนำผู้มาเยือนไปนั่งที่ชุดโซฟารับแขก
                “มีเรื่องน่าปวดหัวมาให้ทำอีกแล้วล่ะ”
                “อะไรครับ?”
                “ผู้ว่าจ้างต้องการจับเป็นเป้าหมายที่ 18 ไปให้เขา พูดกันง่ายๆก็คือลักพาตัวนั่นแหละ”
                “เขาคิดอะไรของเขา แค่ฆ่าก็นับว่ายากพอตัวอยู่แล้วนะครับ นี่ลักพาตัว...ไม่เวิร์กแน่” อีทึกตอบพร้อมส่ายหัว ...คนอย่างฮันกยอกนะเหรอ? จะยอมให้ลักพาตัวไปง่ายๆ
                “นั่นแหละ ถึงได้บอกว่าเรื่องนี้น่าปวดหัว นายต้องการทีมมั๊ย?”
                “เขาต้องการตัวเมื่อไหร่ครับ?” อีทึกไม่ตอบคำถาม ซ้ำยังตั้งคำถามให้อีกฝ่ายตอบ
                “เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ค่าตอบแทนยิ่งสูง”
                “...ผมคงต้องใช้เวลานานหน่อย งานนี้ไม่หมูเลย”
                “ฉันรู้ ฉันบอกเขาไปแล้ว ว่าเป้าหมายมีฝีมือ คงต้องใช้เวลา”
                “...อ้อ! ผมมีนี้มาให้พี่ดู” อีทึกหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ห่อของสำคัญไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นให้อีกฝ่าย
                “ลูกดอก?”
                “เป้าหมาย คือ ประธานฮัน พุ่งจากด้านบนเข้าสู่เป้าหมายในทิศเฉียงลง 2 นาฬิกา วันที่จัดงานเลี้ยงกัน” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว เพ่งพินิจดูอุปกรณ์สังหารในมือ
                “ฉันจะตรวจให้ก็แล้วกัน ว่ามาจากไหน ใช้ลูกดอกแบบนี้ ต้องมืออาชีพ คงจะตามยากหน่อย”
                “ฝากด้วยนะครับ แล้วเรื่องนั้น ผมจะพยายาม”
     
     
     
     
     
                “คุณลูกค้าครับ ร้านของเราจะปิดแล้ว เชิญเช็คบิลดีกว่าครับ”
                “อืม” ร่างสูงลุกไปจ่ายเงินอย่างว่าง่าย แล้วเดินออกจากร้านไปเป็นลูกค้าคนสุดท้าย ทงแฮเดินตามออกไปพร้อมกลับป้าย ’open’ ที่หน้าร้านเป็น ’close’ เจ้าตัวเดินกลับเข้ามาเก็บโต๊ะด้านในต่อ
                “ผู้ชายคนนั้นแปลกๆนะฮะพี่ฮีชอล ดูลึกลับ พูดน้อยชอบกล ซัดกาแฟไปสารพัดสายพันธ์ขนาดนี้ คืนนี้จะหลับรึเปล่าก็ไม่รู้?” ทงแฮเก็บแก้วกาแฟปั่นบนโต๊ะใส่ถาด
                “นายคุยกับเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ? เขาว่าไงมั้งล่ะ?” ฮีชอลถามเนียนๆ พยายามไม่แสดงความอยากรู้จนผิดสังเกต
                “ก็...ไม่ว่าไงฮะ ดูเงียบๆ จะว่าอกหักมา ก็ไม่ใช่...มารอใครสักคน ก็ไม่ใช่อีก ลึกลับชะมัด” ทงแฮยักไหล่ เหมือนไม่ใส่ใจ ฮีชอลร้องอ้อเบาๆ
                ชายลึกลับเดินจากไปแล้ว แต่เขาจะรู้ตัวบ้างรึเปล่า ว่าเขาปล่อยระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้คนเก็บกู้ว้าวุ่นหัวใจเล่น!
     
                “ผมกลับนะครับ” ทงแฮโค้งให้ฮีชอล หลังจากช่วยเก็บกวาดร้านและเปลีย่นเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินทอดน่องกลับบ้านไปเรื่อยๆ ไม่ชักช้า แตก็ไม่รีบร้อน
                ภาพลูกค้าลึกลับผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ดวงตาคมกริบกับนัยน์ตาพราวระยับของผู้ชายคนนั้น ถึงดึงดูดใจทงแฮเสียเหลือเกิน
                ตา...ที่บ่งบอกถึงความลึกลับ เงื่อนงำที่ปกปิด รับกับมุมปากที่ยิ้มน้อยๆ ลึกลับ! จนน่าค้นหา!!
     
     
     
     
     
                อีกด้านหนึ่งของกรุงโซล
     
                “คำสั่งเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ?” ยูชอนเลิกคิ้วถาม ในมือกำลังเช็ดถูปืนขนาด ๙ มม. ซึ่งเป็นปืนคู่กายของเขา
                “ใช่! ไม่รู้จะให้เก็บไว้ทำไม ฆ่าทิ้งไปซะก็ดีอยู่แล้ว!”
                “ฝ่ายนั้นก็ไม่ใช่ลูกหมูที่อยู่ในเล้า ใช่ว่าจะลักพาตัวมาง่ายๆ ค่าตัวต้องแพงลิบใช่มั๊ย?”
                “ใช่! จ่ายไม่อั้น ขอแค่พาตัวเป็นๆไปให้”
                “นายน่าจะชอบนะ เสร็จงานนี้ก็ได้พักยาว”
                “ทีแรกก็ชอบอยู่หรอกนะ ตอนนี้ชักอยากถอนตัวตงิดๆแล้ว! ถึงค่าตอบแทนจะสูง แต่งานทั้งเสี่ยงทั้งยาก สู้รับงานเล็กๆหลายๆงานยังจะดีกว่าเลย” อีกฝ่ายบ่นอย่างหัวเสีย ยูชอนละมือจากการเช็ดปืน *หยิบถุงมือขึ้นมาสวม ก่อนจะนำกระสุนปืนใส่รังเพลิงทีละนัดอย่างชำนาญ
                “เอาหน่า ช่วงนี้ฉันจะงดรับงาน เอาเวลามาช่วยนายโอเคมั๊ย?”
                “ได้ ฉันต้องการนายอยู่แล้ว เสร็จงานเมื่อไหร่ ฉันจะแบ่งให้อย่างงาม!”
                “ไม่เป็นไร ฉันขอแค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ ฉันมันตัวคนเดียว แต่นายไม่...นายจำเป็นต้องใช้มันมากกว่าฉัน”
                “ขอบใจยูชอน นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันมี”
                “ดูพูดเข้า ยังกับว่านายมีเพื่อนคนอื่นนอกจากฉัน”
                “ก็ไม่มีน่ะสิ! ถึงได้ชมนายได้”
                “เอาเถอะ นายรีบๆคิดแผนเข้า วางแผนให้รัดกุม เราจะได้ไม่เสียเวลามาก”
                “ตกลง ฉันจะไปดูลาดเลา ลงสำรวจพื้นที่จริง นายไปสำรวจระบบความปลอดภัย หาช่องโหว่มาให้ได้ แล้วก็ประเมินกำลังพวกนั้นด้วย โอเคมั๊ย?”
                “ตกลง!”
     
     
     
     
     
                “โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคราบ!” ทงแฮจัดการเปลี่ยนป้ายหน้าร้านอีกครั้ง วันนี้เป็นวังอังคาร ร้านเปิดตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสามทุ่มตรง ลูกค่ายังเยอะเหมือนทุกวัน ทงแฮเองก็วิ่งเสิร์ฟกับอีทึกมือเป็นระวิง แต่สิ่งที่แปลกไปคือ วันนี้ ลี ทงแฮคอยจับจ้องไปที่ประตูร้านตลอดเวลาที่มีโอกาส แต่ตั้งแต่ร้านเปิดจนกระทั่งร้านปิดในตอนนี้ ทงแฮก็ยังไม่เจอคนที่เขารอคอย
                “เป็นอะไร ทงแฮ ดูหงอยๆนะเรา?” อีทึกเอ่ยถาม เมื่อสังเกตเห็นว่าน้องร่วมบ้านดูเงียบกว่าปติ
                “เปล่าฮะ แค่วันนี้เหนื่อย เลยไม่อยากพูดมาก” ทงแฮตอบพร้อมทำหน้าเหนื่อยประกอบ
                “งั้นเหรอ? ไปพักดีกว่าไป เดี๋ยวพี่เก็บร้านเอง” อีทึกอาสา ทงแฮยิ้มกว้างรับ
                “พี่อีทึก พี่ใจดีสุดเลยครับ! ไม่เหมือนใครบางคน เอาแต่สั่งๆ จนลูกน้องจะตายอยู่แล้วยังไม่เห็นรับผิดชอบอะไรเลย” ทงแฮว่ากระทบเจ้าของร้าน และเมื่อผู้ถูกว่ากระทบจะรู้ตัว
                “อะไรๆ ไอ้ทงแฮ! แกอย่ามาทำเป็นบ่นเลยนะ อีทึก อย่าไปช่วยนะ ไอ้นี่มันโกหกเพราะไม่อยากทำงานชัวร์!” ฮีชอลหน้าเหี้ยม
                “โหยย~ ดูสิครับพี่อีทึก ว่าผมโกหกอ่ะ พี่ก็เห็นว่าผู้ชายบอบบางอย่างผมทำงานทั้งวันไม่ได้พักเลย พี่ฮีชอลยังมาใส่ร้ายผมอีก โอ๊ะๆ! ดูมืดๆนะครับ เหมือนๆว่าผมจะเป็นลมเลย” ทงแฮทำหน้าเศร้าแล้วยกมือขึ้นแตะศีรษะแกล้งทำท่าเซไปมาเหมือนคนจะเป็นลม จึงไม่ทันเห็นขวดน้ำพลาสติกใสที่ไม่มีน้ำ พุ่งแหวกอากาศจากมือเจ้าของร้านมายังศีรษะของตน อีทึกจะร้องห้ามก็ไม่ทัน
               
                โป้ก!!
     
                “โอ๊ยย!!” มือขาวถูกยกขึ้นกุมศีรษะอย่างอัตโนมัติ
                “เลิกสำออยได้แล้ว! เก็บร้านต่อเร็วเข้า!”
                “คราบบบ~” ทงแฮรับคำอย่างว่าง่าย เมื่ออีกฝ่ายยืนทำหน้าเหมือนจะกระโดดมาขย้ำคอเขาหากไม่ทำตามคำสั่ง
     
                “อีทึก”
                “หืม?”
                “ช่วงนี้มีอะไรแปลกๆมั๊ย?” คนถูกถามเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจคำถาม ฮีชอลถอนหายใจ
                “ฉันแค่เป็นห่วงน่ะ ยังไงระวังๆตัวหน่อยแล้วกัน”
                “พูดอย่างกับว่า ฉันกำลังโดนลอบทำร้าย ยังไงยังงั้น”
                “ไม่ใช่หรอก แค่รู้สึกไม่ดี”
                “อย่าห่วงเลย ฮีชอล...ฉันดูแลตัวเองได้” อีทึกย้ำพร้อมรอยยิ้ม ฮีชอลมองไปยังทงแฮที่ฮัมเพลงเก็บโต๊ะอยู่อีกฟากของร้าน
                “ฉันเชื่อ ว่านายดูแลตัวเองได้ แต่ทงแฮ...” อีทึกขมวดคิ้ว...เกี่ยวอะไรกับทงแฮ?
                “มีอะไร ฮีชอล?”
     
     
     
     
     
     
     
    ++++++++++++++++++++++
     
     
    สิ้นไร้ไม้ตอก = ยากจน , ตกอับ
    ยกเมฆ = เดาเอา , นึกเอาเอง , กุเรื่องขึ้น
    การสวมถุงมือ ก่อนจะบรรจุกระสุนปืนใส่รังเพลิงนั้น เพื่อไม่ให้มีรอยนิ้วมือติดอยู่ที่กระสุนปืน เมื่อมีการผ่าพิสูจน์ศพ กระสุนจะไม่มีรอยนิ้วมือปรากฏ
     
     
    ++++++++++++++++++++++
     
     
                ^o^ มาอีกตอน สนุกมั๊ยหนอ?? หวังว่าไรเตอร์คงไม่ได้เขียนลึกลับจนงงหรอกชิมิ 55+
     
                No TalK…ไม่มีอะไรจะพูด เพราะวันๆเอาแต่นั่งปั่นฟิค -_-^^ แล้วก็...ทดลองเมนูพิศดาล ฮ่าฮ่า อันที่จริงมันไม่พิศดาลหรอก แต่ไรเตอร์ทำออกมาแล้วพิศดาลโครตๆอ่ะนะ อย่างเช่น วันนี้ไรเตอร์ลองต้มลูกเดือย ต้มไปนั่งปั่นฟิคไป โอ้ว! แต่งฟิคกำลังมันส์ “เอ๊ะ! กลิ่นอะไรไหม้ๆ” ฮ่าฮ่า สรุปว่าไหม้ทั้งหม้อ! แต่ไรเตอร์ก็บ่หยั่น เปลี่ยนหม้อใหม่ค่ะ! แต่ลูกเดือยเก่า(ที่ไหม้นั่นล่ะ) 55+ เอาเป็นว่า ไปตอบเม้นดีกว่า (เปลี่ยนเรื่องเฉย!)
     
    คห.14 > คึๆ ไรเตอร์พยายามอัพสองวันต่อหนึ่งตอน ปั่นกันลากเลือดมาก 55+ ขอบคุณค่ะ
    คห. 15,20,21 > อย่างนี้ต้องติดตาม ฮ่าฮ่า
    คห. 16,22 > ขอบคุงค่ะ ดีใจที่ชอบ ^^
    คห. 17,18 > คนเม้นคนเดียวก่ะคห.16 เจ้พอเดาออกว่าคุงน้องเป็นใคร โฮะๆ แต่เรื่อง 2 ปาร์คนี้...จะใช่รึเปล่า? ต้องติดตาม 55+ ฮัน-ทึกสุโค่ยยยเช่นกัน ^o^
    คห. 19 > โอ้วว! ไรเตอร์เขียน 9-10 หน้าA4 ต่อหนึ่งตอนเลยนะค่ะเนี้ย! แค่นี้ก็นิ้วระบม T.T ทึกต้องเด่นยุแล้วว! มันเรื่องฮัน-ทึกนี้น่า 55+ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^-^
    คห. 23 > ^-^ ธรรมดาที่พระเอกและนายเอกมันต้องเก่งเว่อร์ค่ะ
    คห. 24 > ขอบคุงค่ะ ^^
    คห. 25,26 > ถ้าคุงเพื่อนปิ๊งอยากรู้ คุงเพื่อนปิ๊งก็ต้องติดตามนะค่ะ 55+ โอ๊ย! อย่ามาตู่สามีอยู่แถวเน้น้า~ ฟิคช้าน ก็ต้องสามีช้านเซ่ เอิ๊กๆ
    คห. 27-33 > โอ้วว! ก๊อป-วางๆคอมเม้นกันเลยทีเดียว ^^ ขอบคุณที่ชอบนะค่ะ แต่...ม่ะต้องเม้นเยอะขนาดนั้นก็ได้ (แต่ไรเตอร์ก็ชอบนะ ^o^) 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×