ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Danger Lover [SuJu & TVXQ Fan Fiction YAOI]

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : Ambush

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 52



    เพราะชีวิตเรา ไม่ใช่ของเรา
     เมื่อถึงเวลา เราต้องคืนมันให้กับเจ้าของที่แท้จริง!
    แม้เราจะไม่ยินดีก็ตาม


    Chapter 2
     
                “ว่าไง?” ฮีชอลยิ้มรับปลายสายอย่างข้องใจ เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนโทรฯหา
                [อยู่ที่ร้านรึเปล่า?]
                “ใช่ มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
                [เปล่าหรอก พอดีว่าผ่านแถวนี้พอดี เดี๋ยวจะแวะเข้าไปหา]
                “จะดีเหรอ? ลูกค้าฉันเยอะนะ”
                [ไม่เป็นปัญหาหรอก ฉันอยู่หน้าร้านแล้ว]
                “งั้นเหรอ? โอเคๆ”
     
                กรุ๊ง กริ๊ง~
     
                เสียงซุบซิบของสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายดังขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานในชุดทำงานแต่ถอดเสื้อนอกออกก้าวเข้ามาในร้าน
                “มาเร็วชะมัด! ดูสิทำลูกค้ากรี๊ดกร๊าดใหญ่” ฮีชอลค้อนให้ขำ
                “ก็บอกแล้วไงว่าฉันมาถึงแล้ว”
                “โอเคๆ มาถึงนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่ใช่มั๊ย!?”
                “ก็นิดหน่อย”
                “งั้นรอเดี๋ยว ทงแฮ!” ฮีชอลร้องเรียกพนักงานรุ่นน้อง
                “คราบพี่ฮีชอล” ทงแฮขอตัวจากลูกค้าหญิง เดินตรงมาหาผู้เป็นใหญ่ภายในร้านอย่างขัดไม่ได้
                “อีทึกไปไหน?”
                “อ้อ! ผมลืมบอกพี่แหนะ พอดีพี่อีทึกบอกว่าจะเข้ามาที่นี้ช้าหน่อยครับ ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า”
                “งั้นเหรอ? มาช้าแล้วใครจะช่วยนายเสิร์ฟล่ะเนี้ย?”
                “อ้อ! พี่ฮีชอลครับ ยังมีอีกเรื่องครับ คือพี่อีทึกเขาเจ็บแขนเนื่องจากเมื่อคืนทำตัวเป็นฮีโร่ไปช่วยคุณป้าตากผ้าจนโดนไม้แขวนเกี่ยวเลือดไหลเป็นทาง แผลลึกน่ากลัวสุดๆ ผมต้องตื่นมาปฐมพยาบาลให้กลางดึกแหนะครับ บาดแผลสยองมาก!!” ทงแฮเล่าพร้อมทำแอกติ้งประกอบอย่างสมจริงสมจัง
                “เวอร์ไปแล้วทงแฮ แผลฉันไม่น่ากลัวขนาดนั้นซะหน่อย ขอโทษที่มาช้านะฮีชอล พอดีว่าไปธุระมาน่ะ” ผู้ถูกนินทาผลักประตูร้านเข้ามาพร้อมกับแก้ต่างให้ตัวเอง
                “มาพอดีเลย ฉันว่าแล้วว่าไอ้ทงแฮนี่มันเชื่อถือไม่ได้ อ้อ!! ลืมแนะนำ นี่ ฮันกยอก เป็นเพื่อนสนิทของฉัน” คิ้วเรียวของอีทึกกระตุกขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อ
                “สวัสดีครับ พี่ฮีชอล ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะ เดี๋ยวลูกค้าฆ่าผมตาย!” ทงแฮเอ่ยทักทายฮันกยอกอย่างร่าเริง แล้วรีบวิ่งไปเอาใจลูกค้าต่อ
                “สวัสดีครับ เอ่อ..เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกันนะ” อีทึกกล่าวทักทายแล้วรีบขอปลีกตัวไปหลังร้านทันที
                “อะไรฮัน? รสนิยมเดิมกำเริบเหรอ?” ฮีชอลกล่าวล้อขำๆ เมื่อเห็นเพื่อนซี้มองตามอีทึกไม่วางตา
                “เปล่า! ฉันแค่คุ้นหน้า ขอตัวเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ” ฮันกยอกปลีกตัวแล้วก้าวยาวหายเข้าหลังร้านไปอีกคน
                “มีลับลมคมในแหะ!”
     
     
     
     
     
                “เฮ้ยย!” อีทึกสะดุ้ง เมื่อสวมเสร็จแล้วหันกลับมาพบว่ามีบุคคลไม่ได้รับเชิญยืนจ้องเขาอยู่
     
                ‘เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย!’
     
                “นายคือคนที่เข้างานฉันโดยไม่ได้รับเชิญเมื่อวานใช่มั๊ย?” ดวงตาคมดำขลับมีแรงดึงดูดราวแม่เหล็กจับจ้องมาที่เขาอย่างคาดคั้น
                “เอ่อ..ใช่! มิน่าฉันถึงคุ้นหน้านาย” อีทึกแกล้งทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้
                “แล้วแผลนั่น! ได้มาได้ยังไง?” อีทึกมองตามสายตาฮันกยอกไปที่ต้นแขนของตน
                “อ้อ! ก็อย่างที่ทงแฮเล่า เพียงแต่มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเท่านั้นเอง” อีทึกตอบอย่างแนบเนียนพร้อมทั้งหยิบผ้ากันเปื้อนขึ้นมาสวม
                “เฮ้ย!” อีทึกเจอเรื่องระทึกอีกรอบ เมื่อร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ และค้ำยันร่างทั้งร่างเอาไว้กับผนัง โดยมีเขาอยู่ใต้อาณัติ มือหนาเปลี่ยนจากค้ำยันเลื่อนมาจับต้นแขนของเขาเบาๆ ร่างบางประมวลหนทางเอาตัวรอดไว้ในหัวเสร็จสรรพเรียบร้อย แต่เก็บไว้ในใจ รอเวลาเหมาะๆเสียก่อน
                “แผลนี้! นายคงไม่ได้มันมาจากกระสุนปืนหรอกใช่มั๊ย?”
                “อ่ะ..” อีทึกขบริมฝีปาก รับรู้ถึงแรงกดที่มากขึ้นบริเวณบาดแผล
                “ว่าไง?” ผู้เหนือกว่ายังคงไม่ยอมปล่อยมือออกจากบาดแผล ซ้ำยังออกแรงกดเพิ่มมากขึ้น
                “ไม่ใช่ นายต้องการอะไรกันแน่!” ฮันกยอกหรี่ตาเล็กเมื่อเห็นแววตาที่คนตรงหน้าเผลอหลุดออกมาให้เห็น ...แววตาแข็งกร้าว สัญชาตญาณแห่งความเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้  
                “ต้องการจับตัวคนร้ายไง!”
                “คนร้าย? จับคนร้ายมันหน้าที่ตำรวจไม่ใช่รึไง? ไม่ทราบว่ามาเฟียอย่างนาย มีหน้าที่จับคนร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” อีทึกเลิกคิ้วถาม
                “รู้ลึกรู้จริงจังเลยนะชีวิตฉันเนี่ย ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ!” อีทึกรู้ตัวเองว่าตนพลาด เขาต้องแก้สถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็ว
                “แล้วเรื่องคนร้าย มันเรื่องอะไร? ฉันไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะ”
                “หึ เก่งจริงเชียว เรื่องเฉไฉ! ทำยังไงฉันถึงจะง้างความจริงออกจากปากผู้ร้ายอย่างนายได้นะ?” อีทึกผลักไหล่หนาออกห่างเมื่อถูกคุกคามมากขึ้น ฮันกยอกเซถอยไปด้านหลัง
                ‘แรงเยอะใช่ย่อย!’
                “ฉันก็เพิ่งจะรู้นะ ว่าท่านประธานใหญ่แห่งราชสีห์หาตัวคนร้ายเข้าคุกด้วยการจับแพะ!” อีทึกกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะก้าวเท้ายาวออกไปด้านหน้าร้าน ฮันกยอกทำได้เพียงมองตามและดึงชายเสื้อเชิ้ตลงอย่างหัวเสีย
     
                ‘แล้วนายจะได้รู้ ว่าใครมันจะแน่กว่ากัน!!’
     
                ฮันกยอกเล่าเรื่องที่ตนถูกลอบฆ่าให้ฮีชอลฟังตั้งแต่ต้น รวมทั้งเรื่องที่เขาแอบสงสัยอีทึกด้วย
                “ไม่จริงหรอกฮัน อีทึกเขาไม่ใช่แน่” ฮีชอลแก้ต่างแทนลูกน้องที่สนิทกันเหมือนเพื่อน
                “แล้วเขาทำงานกับนายมานานเท่าไหร่แล้ว?”
                “ก็หลายเดือนแล้วนะ ทีแรกทงแฮเป็นคนแนะนำให้ บอกว่าอีทึกอย่างทำงานพิเศษเพื่อส่งเงินไปช่วยทางบ้านแล้วก็ใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ก็เลยรับไว้ ทำงานขยันขันแข็งดีจะตาย ทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน จะมีบ้างที่ติดธุระมาช้าหรือขาดงานบ้างแต่ก็ไม่บ่อย” ฮีชอลเล่าข้อมูลบางส่วนของอีทึกให้เพื่อนฟัง ส่วนฮันกยอกนั่งเก็บข้อมูลที่ได้ฟังเข้าสมองจัดเรียงเก็บไว้ได้ทุกคำพูด
                “ฉันจะสืบดูอีกที ถ้าเพื่อนนายสะอาดจริงก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก” ฮันกยอกตบบ่าฮีชอลเบาๆ
                “...นายก็รักษาตัวด้วยล่ะ ฉันจะช่วยหาข้อมูลคนบงการอีกแรง”
                “ขอบใจมาก นายคงจะมีความสุขดีกับร้านนี้นะ ถ้าพูดจากใจจริงแล้ว ฉันอยากให้นายกลับไปทำงานกับฉันเหมือนเดิมมากกว่า”
                “ฉันมีความสุขดี นายน่าจะเลิกทำได้แล้วนะ ไอ้งานพวกนั้น แค่ธุรกิจทั่วไปก็กำไรมหาศาลแล้ว”
                “ฉันหยุดไม่ได้หรอกฮีชอล มันคือหน้าที่ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว”
     
     
     
     
     
                เอี๊อด!!
     
                ล้อรถยนต์ครูดไปบนพื้นถนนก่อนจะหยุดลงอย่างรวดเร็ว
                “เกิดอะไรขึ้นเยซอง!?”
                “ถนนถูกโรยตะปู เอาไงดี?” เยซองตอบพร้อมกับถามผู้มีศักดิ์เป็นนายทางหน้าที่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาทั้งสองคือเพื่อนสนิทกัน
                “ให้ฉันลงไปดูมั๊ย?” คิบอมเอ่ยถามบ้าง
                “นายก็รู้ว่ามันไม่ปลอดภัย เผลอๆอาจเป็นกับดักก็ได้” ฮันกยอกเอ่ยตอบพร้อมสอดส่ายสายตาไปยังสองข้างถนนที่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นอกเสียจากว่า ไม่มีรถวิ่งสวนไปมาบนถนนเส้นนี้เลยแม้แต่คันเดียว นอกจากรถของเขา
                “งั้นเหยียบให้มิดเลยดีกว่า อีกไม่นานก็ถึงบ้านแล้ว เยซอง นายทำได้ใช่มั๊ย?” คิบอมเสนอความคิดพร้อมมองหน้าคู่หู
                “คิดว่าได้ ยางรถเป็นยางพิเศษ ถ้าเหยียบดีๆคงไม่ระคายเนื้อสักเท่าไหร่ นอกเสียจากตะปูพวกนี้จะทำมาพิเศษเหมือนกัน”
                “งั้นเอาตามนั้น ระวังตัวด้วย พวกมันต้องซุ่มอยู่แถวนี้แน่” ฮันกยอกเอ่ยตอบ อาวุธคู่กายของทุกคนเตรียมพร้อมตั้งแต่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น รถคันหรูเคลื่อนที่ถอยหลังอย่างช้าๆ
     
                เปรี้ยง!!
     
                กระสุนนัดแรกยิงเข้าที่หน้าต่างประตูหลังฝั่งซ้ายของรถ แต่เพราะเป็นกระจกนิรภัยชนิดหนาพิเศษ กระสุนลูกนั้นจะทำได้แค่ฝากรอยร้าวจุดเล็กไว้เท่านั้น
                เยซองตั้งหลักได้ไม่ไกลนัก เพราะกระสุนอีกหลายนัดจากฝั่งซ้ายของถนนพุ่งเข้าหาตัวรถติดต่อกันจนเกือบรัว รถยนต์คันหรูทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล้อทั้งสี่บดเข้ากับตะปูหลายดอกที่โรยเกลื่อนไว้บนผิวถนน
     
                “นายยิงกราดไปเลย เอาให้พรุน ฉันจะเล็งล้อกับถังน้ำมันเอง” ชายชุดดำทั้งสองพยักหน้าให้กันพร้อมตั้งท่าเล็งที่เป้าหมาย แต่เพราะตนเล็งพลาดหรือเป็นเพราะดวงของเป้าหมายช่วย รถยนต์คันนั้นถึงลอดไปได้หวุดหวิด
                “โถ่โว้ย! พลาดอีกแล้ว อุตส่าห์เตรียมการมาอย่างดีแล้วแท้ๆ!!”
                “ใจเย็นน่า เรายังมีแผนสอง”
     
     
     
                รถคันหรูจอดสนิทที่โรงจอดรถของคฤหาสน์ใหญ่แถวชานเมือง โดยมีเจ้าของรถและคนสนิทสำรวจความเสียหายอยู่ใกล้ๆ
                “พวกมันเล็งยิงที่นาย คือ เล็งเฉพาะด้านหลัง แต่พอเห็นว่าเรากำลังขับหนี พวกมันเลยเปลี่ยนเป้าหมายยิงกราดไปทั้งคัน กะให้ตายยกรถ” คิบอมสำรวจไปด้วย บอกรายละเอียดที่ตนคิดไปด้วย
                “ดูจากรอยถากนี่ กระสุนคงพลาดจากถังน้ำมัน แล้วก็ล้อด้วย ดีนะที่ยางนี่เป็นชนิดพิเศษ โดนแค่นัดสองนัดไม่ได้โดนซ้ำที่เดิม แค่ปริๆ เกือบแตกกลางทางไปแล้วเหมือนกัน แสดงว่าดวงนายยังไม่ถึงฆาตนะฮันกยอก”
                “พวกมันคงต้องทำงานให้สำเร็จในเร็วๆนี้ คงไม่เสียเวลายืดยาดให้มากความ เราต้องระวังตัวทุกฝีก้าว” ฮันกยอกยกมือขึ้นลูบคางสากอย่างครุ่นคิด
                “พี่ฮันครับ! เป็นยังไงบ้าง ผมรู้ข่าว แล้วผมก็รีบบึ่งรถมานี้เลยนะครับเนี้ย”
                “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เราเถอะ บึ่งรถมานี้ได้เอาคนคุ้มกันมาด้วยรึเปล่า?”
                “อยู่แล้วครับ ก็ขับตามผมมาไง”
                “คราวหลังระวังตัวด้วย เราน่ะไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ แล้วอีกอย่าง อย่าวางใจในเรื่องที่คิดว่าปลอดภัย เพราะมันอาจไม่ปลอดภัยเลย เข้าใจมั๊ย?”
                “ไม่ครับ” ฮันกยอกทำหน้ายุ่งเมื่อน้องชายต่างมารดาทำหน้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มร่าอารมณ์ดีนิสัยเด็กเหมือนเดิม
                “แล้วพี่ว่าใครเป็นคนทำครับ ดูสภาพรถสิ เยินซะ” เจ้าตัวเล็กเดินวนสำรวจไปรอบรถ กระจกด้านหลังฟ้องชัดๆว่าถูกโจมตีมากกว่าจุดอื่น รวมทั้งล้อบางล้อที่แบนจนทำเอารถเอียง
                “ยังไม่รู้ตัวบงการหรอก คู่แข่งทางการค้ามีไม่ใช่น้อยๆ”
                “แต่ผมว่า เจ้าเก่าชัวร์ คู่แข่งตลอดการของราชสีห์ ไอ้พวกหมาป่าล่าเนื้อ”
                “ฉันก็คิดแบบนั้นนะ” คิบอมพยักหน้าเห็นด้วย
                “แล้วพี่เยซองล่ะฮะ?”
                “อือ”
                “ผมว่า ถ้าฝ่ายนั้นใช้วิธีอย่างหมา เราก็ต้องใช้วิธีอย่างสิงห์ มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”
                “พอๆ นายไม่ต้องเข้ามายุ่งเลยนะ วงการนี้อันตรายมาก พี่ถึงไม่อยากให้นายเข้ามาเกี่ยว เพราะฉะนั้น เข้าบ้านไปได้แล้ว ลี ซองมิน” ฮันกยอกออกปากไล่ เมื่อน้องชายทำท่าอยากเสนอตัวเข้ามามีส่วนร่วมในงานนี้เหลือเกิน
                ลี ซองมินเคยขอทำงานในวงการนี้ รบเร้าเขามาหลายต่อหลายรอบ แต่เขาก็ใจแข็งมาตลอด จึงให้น้องดูแลงานทางด้านธุรกิจถูกกฎหมายของบริษัทแทน แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังตื้ออยากทำงานในวงการนี้อยู่ดี โดยให้เหตุผลว่า..
               
                ‘ผมว่ามันน่าตื่นเต้นดี เวลาดูในหนังบู๊นะ เห็นพระเอกนางเอกเก่งเว่อร์ๆ ผมก็อยากทำแบบนั้นได้บ้าง เหมือน 007 ไง ทั้งหล่อทั้งเก่ง’
               
                แต่เด็กน้อยเอ่ย นี่คือชีวิตจริง
     
    โลกแห่งความจริงมันเลวร้ายยากหยั่งคิดยิ่งกว่าในหนังละครเป็นไหนๆ
     
    ชีวิตคนไม่ได้มีเก้าชีวิตอย่างแมว ถึงจะเอามาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างสนุกสนาน
     
     ไม่มีผู้กำกับ ไม่มีกล้อง ไม่มีกองถ่าย ไม่มีใครสั่งคัทและไม่มีใครสั่งเทก
     
    เป็นหรือตาย ง่ายๆ แค่กะพริบตาพลาด!
     
     
     
     
     
    อีทึกกดล็อกประตูรถหรู สาวเท้าเร็วตรงไปยังลิฟต์ลับที่ใช้สำหรับคนในวงการเดียวกันเท่านั้น นิ้วเรียวกดชั้นที่คุ้นเคยทันทีที่ก้าวเข้าไป
     
    ติ่ง!
     
    ลิฟต์ตัวเดิมเปิดออกช้าๆเมื่อมาถึงที่หมาย
    “อ้าว อีทึก! มาแต่เช้าเลย นายเรียกพบเหรอ?” อีทึกชะงักฝีเท้าเมื่อโดนทักจากอีกทาง
    “อืม นายก็มาเช้าเหมือนกันหนิ”
    “อ้อ พอดีว่าเพิ่งทำงานเสร็จน่ะ ก็เลยมารายงานผล ว่าแต่นายเถอะ ได้ยินว่าทำงานพลาด” อีกฝ่ายทำหน้าเยาะ เมื่อพูดถึงความล้มเหลวของคู่แข่งด้านการงาน
    “อือ บังเอิญว่า งานที่ฉันได้รับ ไม่ใช่งานเชือดหมูง่ายๆ แต่เป็นงานเชือดราชสีห์ คู่ต่อสู้มีฝีมือย่อมจัดการยาก โชคดี” อีทึกยิ้มมุมปาก เดินจากอีกฝ่ายที่ทำหน้าแค้นอยู่ด้านหลัง
     
    ‘ว่ากระทบเราชัดๆ!!’
     
    อีทึกถอนหายใจ คนที่เขาเพิ่งจะพบเมื่อครู่ คือ รุ่นพี่ในทางอาชีพ แต่เป็นรุ่นเพื่อนในทางอายุ อึนฮยอกมีประสบการณ์ในการทำงานมามากกว่าเขา เข้าวงการนี้มาก่อน เคยเป็นมือหนึ่ง แต่พอเขาก้าวเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าความรุ่งโรจน์รุ่งเรืองในอาชีพของอึนฮยอกจะลดลง เมื่องานสำคัญๆถูกส่งมอบให้เขาเป็นคนจัดการ งานของอึนฮยอกถึงจะมีมาก แต่ก็กระจิบกระจ้อยกว่า อึนฮยอกเลยตั้งตัวเป็นคู่แข่งเขากลายๆ ซ้ำยังเขม่นเขาบ่อยๆเสียด้วย
     
    ก๊อกๆๆ
     
    อีทึกเคาะหลังมือเข้ากับบานประตูไม้สีเข้มบานใหญ่สุดทางเดิน เสียงตอบรับดังจากข้างในบอกอนุญาต มือเรียวผลักบานประตูใหญ่เข้าไปอย่างเคยชิน
    “มีอะไรเร่งด่วนรึเปล่าครับ ถึงเรียกผมมาแต่เช้า” อีทึกเปิดประเด็น ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญหรือพูดก่อน ร่างบางก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าและเป็นฝ่ายเริ่มอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ
    “นี่” อีทึกรับซองสีขาวที่อีกฝ่ายยื่นให้มาถือไว้ในมือ
    “อะไรครับ?”
    “บัตรเชิญงานเปิดตัวคอเล็กชั่นล่าสุดของ Shine Jewelry จัดขึ้นพรุ่งนี้ที่โรงแรม...อยู่แถวชานเมือง นี่เป็นโอกาสให้นายเคลียร์งานให้สำเร็จ” อีทึกเปิดซองออกดูการ์ดเชิญสีสวย แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋า
    “ครับ...ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั๊ย?”
    “ว่ามาสิ”
    “พี่ไม่ลำบากใจบ้างเลยรึไง? ที่ต้องรับงานฆ่าหุ้นส่วนตัวเองแบบนี้”
    “...นายก็รู้ว่ามันคืองาน สิ่งที่ลูกค้าต้องการ คืองานของเรา สักวันหนึ่ง นายอาจจะต้องฆ่าเพื่อนนายเองก็ได้”
     
     
     
     
     
     
                “ประวัติปาร์ค จองซู”
                ฮันกยอกหยิบแฟ้มข้อมูลที่สั่งให้คนไปสืบมาให้ ออกมาดู ร่างสูงไล่สายตาอ่านข้อมูลที่มีไม่มากอย่างละเอียด
                “เป็นเด็กกำพร้า...”
     
                ‘ทีแรกทงแฮเป็นคนแนะนำให้ บอกว่าอีทึกอย่างทำงานพิเศษเพื่อส่งเงินไปช่วยทางบ้านแล้วก็ใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว’
     
                “โกหกกันชัดๆ!”
                “เคยทำงานพิเศษหลายที่ แต่ไม่นานก็ลาออก ปัจจุบันทำงานที่ร้าน Cool cake...ทำงานแค่นี้จะพอกินที่ไหน นายต้องมีอาชีพอื่นอยู่เบื้องหลังแน่ๆ”
                “...ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายผิดกฎหมาย ไม่เคยถูกจับ ไม่มีรายชื่อว่าเป็นลูกน้องของแกงค์ใดๆทั้งสิ้น...ประวัตินายลึกลับขนาดนี้ นายต้องเป็นนักฆ่าแน่!”
     
    “รถเป็นยังไงบ้าง?”
                “ก็ กำลังซ่อมอยู่ วันนี้เราคงต้องใช้อีกคัน” เยซองเอ่ยตอบ ผายมือไปยังรถอีกคันที่ว่าให้ร่างสูงดู
                “คงไม่ต่างกับคันที่ใช้ประจำมากนักหรอก ใช่มั๊ย?”
                “อืม แค่เครื่องยนต์ไม่ดีเท่า แล้วก็รูปทรงไม่เหมือนกัน กระจกนี่ก็เปราะง่ายกว่าคันนั้นหน่อย แต่ก็ดีกว่าทุกคัน” คิบอมเคาะกระจกเบาๆ
                “วันนี้นายจะเอาคนของเราไปด้วยกี่คนดีล่ะ พวกมันต้องใช้โอกาสงานคืนนี้กำจัดนายแน่” เยซองเอ่ยถาม
                “แค่นายสองคนก็พอ นักฆ่ามันไม่แห่กันมาเหมือนฝูงผึ้งหรอก”
     
                “สวัสดีครับประธานฮัน”
                “สวัสดีประธานชอง เลือกโรงแรมชานเมืองแบบนี้ ระบบความปลอดภัยคงต้องแน่นหนามาก ใช่มั๊ยครับ?” ฮันกยอกมองไปรอบห้องจัดเลี้ยง เขาเดินทางมาก่อนเวลางานเริ่มหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากคอเล็กชั่นจิวเวอร์รี่ในวันนี้เป็นคอเล็กชั่นแรกที่ทำขึ้นหลังจากร่วมหุ้นกัน
                “ครับ ผมว่าถ้าจัดที่โรงแรมใหญ่ในเมือง เวลาฉุกละหุกขึ้นมา จะตามล่าหัวขโมยยาก อยู่แถบชานเมืองรถน้อย ถนนโล่งแบบนี้ล่ะครับ เวลาล่า จะได้สนุกหน่อย”
                “พูดเหมือนกับรู้ว่าจะมีเหตุเลยนะครับ”
                “อ้อ ก็แค่คิดไว้น่ะครับ” ยุนโฮกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเชื้อเชิญแขกคนสำคัญทั้งสามไปที่ห้องที่มีระบบความคุ้มกันแน่นหนา เพราะเป็นห้องเก็บเครื่องเพชรก่อนขึ้นโชว์
                “นี่คือเครื่องประดับคอเล็กชั่นนี้ เชิญดูเพลินๆก่อนนะครับ ไว้อีกครึ่งชั่วโมง ผมจะพาไปดูห้องจัดเลี้ยงที่สมบูรณ์ แล้วก็ดูนายแบบนางแบบซ้อมใหญ่ด้วย” 




    +++++++++++++++++++++++++

     
    ^^ ผ่านไปสองตอน เนื้อเรื่องเริ่มเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมานิสหน่อยแล้ว 55+ สังเกตดูจะรู้ว่าเรื่องนี้ ทงแฮเด่น 55+ มันเป็นความเห็นใจนู๋ด้งของไรเตอร์เอง เรื่องเดสแดนทงแฮด้อยมาก เรื่องนี้เลยจับมาเป็นตัวเด่นแทนนังมิน ฮ่าฮ่า (ถึงจะเด่นกว่านิดหน่อยก็เถอะนะ)
     
    ทงแฮ >> ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าประเทศไทยยังมีความเป็นธรรมอยู่บ้าง T-T (ซึ้งจนน้ำตาไหล)
     
    ไรเตอร์ >> เอ่อ...ทงแฮ...ที่พูดไปไม่เกี่ยวกับการเมืองใช่มั๊ย? 55+
     
     
    วันนี้เกรดไรเตอร์ออก โอ้! แอบทำใจไว้นิดๆ ไม่กล้าโผล่หน้าไปดูเกรดที่โรงเรียน อายคร่ะ >///<  เลยใช้เพื่อนไปดูแทน 55+
     
    เอาล่ะ ชดเชยความผิดที่เคยทำไว้จากฟิคเรื่องแรก ...เรื่องคอมเม้น 55+ ไรเตอร์ไม่เคยตอบเล้ยย ตอนนี้จะตอบทั้งหมดก่อน (เพราะว่าง) ต่อไปเลือกตอบเฉพาะเม้นแล้วกันเน้ออ!
     
    คห.1,10,11,12 > ขอบคุณค่ะ ^^ ติดตามกันต่อปายย!
    คห. 2 > มันต้องน่าลุ้นกว่าอยู่แล้ว! ไรเตอร์นั่งคิดพล๊อตจนปวดเศียร 55+
    คห. 3 > ^^ แน่นอนค่ะ ไม่ได้มาแค่เฮียมิคหรอก ฟันเฟิร์ม!
    คห. 4 > เลข 31 นี้แม่นหยั่งน้อ?? เอิ๊กๆ
    คห. 5,6 > แหมๆ สนับสนุนให้นายเอกเสียบริสุทธิ์ตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยนะเนี้ย! ^[]^
    คห. 7 > ขอบคุณที่ยังรอค่ะ ^^
    คห. 8 > แหม สามีเก็บไรเตอร์ทั้งคน จะไม่โผล่มาได้อย่างไร (อ๊ากก! จุนซูบีบคอช้านน!!)
    คห. 9 > ผุได๋น๋อ?? ถ้าบอกชื่อมาไรเตอร์จาจำได้ยุ ^^ บอกใบ้นิดนึง ...สิ่งที่อ่านไปอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณเข้าใจก็ได้ ระวัง(ตัวละคร)มันจะ(โผล่)มาโดยไม่รู้ตัว 55+
    คห. 13 > คุงเพื่อนปิ๊ง! ฮันอาจเป็นผีมารักกับทึกก็ได้ใครจารู้? โฮะๆ ^o^ ต้องติดตาม!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×