คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9 : Suspect
เพราะความรัก ทำให้ผมต้องมีชีวิตแบบนี้
ชีวิตที่มี เหมือนไม่มี
ผมก็แค่อยากมีชีวิตธรรมดาๆเหมือนคนอื่นเขาเท่านั้นเอง!
Chapter 9
ที่บริษัทอัญมณีของตระกูลชอง พนักงานต้อนรับของบริษัทกำลังพยายามชี้แจงเหตุผลให้ชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างรักษามารยาท
“ขอโทษจริงๆค่ะ ตอนนี้บริษัทของเรายังไม่รับพนักงานเพิ่มนะคะ ถ้าคุณต้องการร่วมงานกับเราจริงๆ ดิฉันแนะนำให้ทิ้งใบสมัครเอาไว้ ถ้ามีตำแหน่งว่างเมื่อไหร่ทางเราจะติดต่อกลับไปทันทีค่ะ” พนักงานต้อนรับยิ้มหวานกล่าวปฏิเสธด้วยท่วงท่าสุภาพ แต่ชายหนุ่มตั้งท่าไม่ยอมท่าเดียว
“ผมต้องได้งานนี้จริงๆนะครับ ให้ผมทำงานที่บริษัทนี้เถอะ ผมพูดได้หลายภาษา ให้ผมเป็นผู้ช่วยเจรจาธุรกิจกับลูกค้าต่างชาติก็ได้ ผมอยากทำงานกับบริษัทนี้จริงๆนะครับ” ชายหนุ่มเถียงกลับ พนักงานสาวคนสวยยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ถึงแม้แววตาจะไม่พอใจและเหนื่อยหน่ายกับชายหนุ่มตรงหน้า รอยยิ้มและน้ำเสียงหวานใสก็ยังคงเส้นคงวาอยู่เช่นเดิม
“ไม่ได้จริงๆค่ะ ตำแหน่งล่ามของบริษัทเราไม่เคยมีมาก่อนนะคะ อีกอย่างส่วนมากแล้ว เราจะติดต่อธุรกิจกันด้วยภาษาอังกฤษค่ะ”
“โถ่! ผมต้องการงานนี้จริงๆนะครับ ให้ผมคุยกับฝ่ายบุคคลเถอะ ความรู้ผมก็แน่น ภาษาผมก็ดีนะครับ รับผมเถอะ” พนักงานสาวส่ายหน้า รอยยิ้มหวานยังคงฉาบอยู่เช่นเดิม หล่อนอ้าปากปฏิเสธอีกรอบ แต่เสียงทุ้มมีอำนาจกล่าวขึ้นขัดเสียก่อน
“มีเรื่องอะไรกัน?” พนักงานต้อนรับคนสวย โค้งให้ผู้เป็นนายใหญ่อย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ ท่านประธาน คือผู้ชายคนนี้มาสมัครงานค่ะ ดิฉันชี้แจงไปแล้วว่า บริษัทของเรายังไม่มีตำแหน่งว่าง แต่เขาก็ไม่ฟัง เขายืนยันคำเดิมว่าจะทำงานที่นี้ค่ะ” พนักงานสาวกล่าวตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงหวานจับใจเช่นเดิม ประธานบริษัทหนุ่มหันมองชายคนดังกล่าวทันที เป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มภายใต้เรือนผมสีทองสว่างตั้งท่าจะพูดอยู่แล้ว
“ประธานบริษัท...คุณชอง ยุนโฮใช่มั๊ยครับ? ได้โปรดรับผมไว้พิจารณาเถอะนะครับ” ประธานบริษัทหนุ่มชะงัก นัยน์ตาสีไม้มะฮอกกานีทอประกายบางอย่าง จนคนถูกมองร้อนๆหนาวๆ
“ตามมาที่ห้อง” ตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายยินดีวาววับอย่างปิดไม่มิด หยิบเอกสารแนบอกก้าวตามร่างสูงโปร่งกำยำไปทันที
ลิฟต์หรูหยุดนิ่งสนิทและเปิดออกที่ชั้นบริหาร ชายหนุ่มเดินตามประธานบริษัทออกจากลิฟต์อย่างสงบเสงี่ยม นัยน์ตาเรียวสวยมองไปรอบๆอย่างสนใจ รายละเอียดทุกอย่างถูกประมวลผลเก็บไว้ในสมองอย่างดี
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของบุคคลที่เดินสวนไป ความรู้สึกหนึ่งแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว แววตาแบบเดียวกันที่ทอประสานทำให้รู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด ทั้งคู่เหลียวมองกันและกันจนอีกฝ่ายที่สวนไปหายเข้าไปในลิฟต์ รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นน้อยๆ
“อ่ะ!” ชายหนุ่มร้องเบาๆ เมื่อประธานบริษัทตัวโตผลักประตูห้องเข้าไป แต่เขาดันเดินชนเข้าเต็มๆ มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าผากเบาๆอัตโนมัติ ก่อนจะผลักประตูไม้สีสวยตามเข้าไป
ห้องสีเทามีผนังด้านข้างด้านหนึ่งเป็นกระจกใส มองเห็นวิวสูงของกรุงโซลได้สวยงาม ภายในตกแต่งอย่างมีระดับ เรียบๆแต่ดูหรูหรา ทั้งๆที่ห้องก็ธรรมดาๆ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าน่าเกรงขามเหลือเกิน
“นั่งสิ” เจ้าของห้องผายมือไปทางเก้าอี้ตรงกันข้าม โดยมีโต๊ะทำงานไม้เนื้อดีตัวใหญ่ตั้งขั้นกลาง อีกฝ่ายโค้งอย่างสุภาพ แล้วทรุดนั่ง ยื่นเอกสารที่เตรียมมาให้ ยุนโฮรับมาเปิดอ่านอย่างไม่รีบร้อน
“สัญชาติ ญี่ปุ่น แต่พูดเกาหลีชัดแจ๋วเลย” ยุนโฮเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“เอ่อ...แม่ผมเป็นคนเกาหลี พ่อผมเป็นคนญี่ปุ่น ผมไปอยู่ญี่ปุ่นกับครอบครัวตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วก็เพิ่งจะพาแม่กลับมาอยู่ที่นี้เมื่อไม่นานนี่เอง” ยุนโฮเลิกคิ้ว ไม่ว่างอย่างไร ก้มอ่านประวัติอีกฝ่ายต่อ มือหนาวางเอกสารลงบนโต๊ะเมื่อเปิดอ่านครบถ้วนดีแล้ว จากนั้นเลื่อนมาประสานกันที่ตัก มองอีกฝ่ายตรงๆอย่างเคร่งขรึม
“ทำไมคุณถึงต้องการให้ผมรับคุณเข้าทำงาน?”
“เพราะว่า ผมกำลังต้องการเงิน แม่ของผม...ท่านป่วยเป็นมะเร็ง ผมต้องการเงินไปรักษาท่าน” เจ้าของแววตาสีน้ำตาลตอบอย่างหนักแน่น คิ้วหนาของอีกฝ่ายเลิกขึ้นสูง แล้วเอ่ยถามต่อ
“แล้วคุณมีดีกว่าคนอื่นที่ต้องการงานนี้ตรงไหน?”
“ผมรู้เรื่องอัญมณีบ้าง ผมพอดูออกว่าเพชรเม็ดไหนจริง เพชรเม็ดไหนปลอม ผมพูด อ่านและเขียนได้หลายภาษา ทั้งอังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน แล้วก็ยังมีภาษาฝรั่งเศสกับเยอรมัน ที่ผมพูดได้นิดหน่อยด้วย ข้อสำคัญที่สุด คือ คุณไว้ใจผมได้” ยุนโฮพยักหน้ารับ ปากหยักยกยิ้มนิดๆ
“คุณมีเงินทองมากมายขนาดที่จะเรียนภาษาต่างประเทศได้เพียบขนาดนั้น แล้วคุณยังต้องการเงินอีกเหรอ?” อีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ
“เมื่อก่อน ครอบครัวเราค่อนข้างจะมีฐานะ เราอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น พ่อเป็นคนส่งเสียทุกอย่าง ทั้งการเรียนของผม การรักษาพยาบาลของแม่ แต่ตอนนี้ ทุกอย่างไม่เป็นอย่างนั้น พ่อหย่าขาดกับแม่ ท่านมีภรรยาคนใหม่ แม่อยากกลับมาเกาหลี บ้านเกิดของท่าน ผมจึงพาท่านมา ...ตั้งแต่พ่อแต่งงานใหม่ พ่อก็ไม่เคยมาสนใจอะไรเราอีกเลย ผมจึงต้องหาเงิน ไปเป็นค่ารักษาพยาบาลของแม่เอง” ยุนโฮรับฟังอย่างเงียบๆ สีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มตรงหน้าดูหมองลงชัดเจน แต่ประกายเล็กๆในตานั่น ทำให้ยุนโฮนึกสงสัย
“แม่คุณป่วยเป็นอะไร?”
“...มะเร็งเม็ดเลือดขาว” ยุนโฮนิ่งไปครู่
“...คุณต้องการเงินมหาศาลเป็นค่ารักษาพยาบาล คุณว่าคุณเลือกงานเกินไปมั๊ย?”
“ผมจำเป็น ผมเลือกงานที่นี้ เพราะบริษัทของคุณมั่นคง เงินเดือนที่ผมได้ที่นี้ คงจะมากกว่าเงินเดือนที่อื่นๆ และอีกอย่าง ที่นี้เหมาะกับผมที่สุดแล้ว” ยุนโฮนิ่งไปอึดใจ นัยน์ตาสีมะฮอกกานีสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอย่างพินิจ คนถูกจ้องลุ้นคำตอบจากปากหนาอย่างใจจดใจจ่อ
“ตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัว ผมรับคุณเข้าทำงานตั้งแต่วันนี้ ยินดีด้วยคุณ คิม แจจุง”
ภายในห้องนั่งเล่นขนาดกลางของห้องพัก สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ร่างโปร่งของทงแฮ ที่กำลังขีดๆเขียนๆลายเส้นลงบนแผ่นกระดาษด้วยใบหน้ายุ่งๆ
“เสร็จรึยังทงแฮ?” อีทึกเอ่ยถาม นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเจ้าตัวยุ่งใช้เวลาวาดภาพนานเกินไปแล้ว
“เอ่อ..อีกแป๊บนึงฮะ” ทงแฮกล่าวตอบ ตั้งใจวาดต่อไปอีกไม่นาน ก็วางดินสอ ใบหน้าหวานส่งยิ้มไม่สู้ดีให้ผู้ที่รอคอยอยู่
“เสร็จแล้วฮะ”
“เปิดสิ” อีทึกกล่าวบอก เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมโชว์ภาพ ทงแฮหมุนภาพให้ทุกคนดูช้าๆ
“นั่นรูปลูกฉันเหรอทงแฮ?” อีทึกเอ่ยถามทันทีที่พิจารณารูปอย่างคร่าวๆไปเรียบร้อยแล้ว คนถูกถามยิ้มแห้งๆให้
“ไหนนายบอกจำได้ขึ้นใจไง?” อีทึกเอ่ยถามต่อ
. “ผมจำได้ขึ้นใจจริงๆนะฮะ...แต่ว่า...ตอนผมเห็นหน้าคนร้ายผมก็ถูกสันมือมันแล้ว ภาพที่ผมจำได้มันก็เลยเบลอๆ ผมเลยเดาเติมลงไปบ้างให้มันชัดขึ้น” ทงแฮสารภาพ อีทึกถอนหายใจ ...จะได้เรื่องเหรออย่างนี้?
“ผมจำได้ ตาหมอนั่นเล็ก ตาชั้นเดียว แล้วก็สีน้ำตาล” คิบอมชี้แจงรูปพรรณคนร้ายตามที่เขาเห็นมา
“นายเห็นหน้าคนร้ายด้วยเหรอ?” คนถูกถามสั่นศีรษะ
“ไม่หรอกครับ ผมเห็นแค่เสี้ยวหน้านิดเดียว มันหันมามองผมด้วยหางตา แล้วรีบวิ่งหนีไปเลย” คิบอมตอบ ตาคมจับจ้องอยู่ที่ทงแฮ ร่างบางกำลังแต่งเติมภาพให้ตรงกับคำพูดของคิบอม
“แล้วปากที่นายวาดยิ้มเยาะ ริมฝีปากน่าจะหนากว่านี้หน่อย” คิบอมแก้ต่อ เมื่อทงแฮแก้รูปตาให้เรียบร้อยแล้ว
“เป็นไง” หลังจากแต่งเติมใส่ความคิดของตนเองกับคิบอมลงไป ทงแฮก็เริ่มจะจับเค้าได้รางๆ เขาลบแล้วแก้ใหม่หลายครั้ง จนในที่สุดก็ถึงเวลาโชว์ภาพอีกหน
“...” ทั้งห้องพินิจภาพที่แตกต่างไปจากเมื่อครู่ ทุกคนต่างใช้ความคิดของตนนึกว่าเคยรู้จักคับคลายคับคลาบุคคลในรูปนี้บ้างหรือเปล่า?
“นาย
“พอจะบอกได้มั๊ย ว่าเขาตาสีอะไร ผมด้วย” อีทึกเบนสายตาไปที่คิบอม ร่างสูงพยักหน้า
“ตานี่ผมไม่แน่ใจ น่าจะสีน้ำตาลนะ ส่วนผมก็สีดำออกน้ำตาล” อีทึกพยักหน้ารับ พอจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ตงิดๆ
“รู้จักเขาเหรอครับ พี่อีทึก?” ทงแฮถามอย่างสนใจเมื่อเห็นพี่ชายนิ่งไป คนถูกถามหลุดจากความคิด หันมาสั่นศีรษะให้คนถาม พร้อมทำหน้าเคร่ง
“เอาเถอะ ยังไงฉันต้องหาตัวมันมาให้ได้ ระหว่างนี้นายดูแลตัวเองดีๆล่ะ” ทงแฮพยักหน้ารับ
“ครับผม! ระดับลี ทงแฮ ต่อให้มาสิบคน ก็เสร็จ!” ทงแฮยืดตัวทำท่ามาดมั่น
“เสร็จพวกมันล่ะสิไม่ว่า” อีทึกตอบกลับ ทำเอาทงแฮหน้ามุ่ย
“คิบอม ช่วงนี้นายมาดูแลทงแฮด้วยแล้วกัน” ทุกคนหันขวับ มองนายใหญ่แห่งราชสีห์ทันที
“...อืม” คิบอมพยักหน้ารับ
“ขอบคุณครับคุณคิบอม แต่ผมไม่รบกวนดีกว่า แค่นี้ก็มากพอแล้ว” อีทึกกล่าวขัดความประสงค์ของนายใหญ่ จนคนถูกขัดใจขมวดคิ้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยินดี” อีทึกเห็นแววตาที่คิบอมสื่อออกมาก็ไม่กล้าเอ่ยขัด ส่วนทงแฮนั่น ทำท่ายินดีปรีดาเสียเหลือเกิน
“ดีมากๆเลยฮะ ถ้ามีคุณคิบอมนะ ผมก็โล่งใจขึ้นเป็นกองเลย แถมผมยังมีเพื่อนคุยด้วย พี่อีทึกไม่อยู่ผมเหงาปากจะตาย” ทงแฮยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ซองมินยกข้อมือดูนาฬิกา
“เอ่อ..งั้นผมขอตัวนะฮะ มีประชุมตอนห้าโมง เดี๋ยวไม่ทัน... ไว้เดียวฉันแวะมาเยี่ยมใหม่นะทงแฮ” ซองมินลาทุกคนแล้วหันมาลาทงแฮเป็นคนสุดท้าย ทงแฮพยักหน้ารับรอยยิ้มสดใสกว้างกว่าเดิม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด
“ตายล่ะ ห้าโมงงั้นเหรอ!? พี่ฮีชอลต้องฆ่าผมแหง!” ทงแฮตั้งท่าจะลุกไปเปลี่ยนชุดเพื่อไปทำงาน แต่ถูกมือบางของอีทึกดึงไว้เสียก่อน
“ไม่ต้อง! ฉันลาฮีชอลให้เรียบร้อยแล้ว” ทงแฮทำตาโตกว่าเดิม
“จริงเหรอฮะ!?”
“อืม ฮีชอลฝากมาบอกด้วยว่า ขอให้หายไวๆ” ทงแฮยิ้มกว้าง เอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายใจ แล้วเด้งตัวกลับมานั่งตัวตรงอีกรอบ เล่นเอาคนอื่นๆพลอยประหลาดใจในความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต่อเนื่องของเขา
“อ่ะ!...แผล ใครพันให้ฮะ?” อีทึกซ่อนมือไว้ในอุ้งมือของอีกมือหนึ่งทันที
“พันเอง” อีทึกเอ่ยตอบเสียงห้วน เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้นทันทีที่พูดจบ อีทึกส่งสายตาขุ่นๆให้นายใหญ่ของตนทันที
“อย่ามาโกหกเลยฮะ พี่เคยพันแผลตึงซะทีไหน พันสวยแบบนี้ ไม่ใช่ฝีมือพี่แน่นอน!” อีทึกขบริมฝีปากล่างอย่างอายๆ ที่ถูกประจานฝีมือการพันแผลซึ่งๆหน้า
“ถามมากจริง นายน่าจะสลบต่ออีกสักวันสองวันนะ!” อีทึกตั้งท่าจะสับสันมือใส่คอทงแฮอีกรอบ แต่เจ้าตัวไม่ยอมง่ายๆ
“อายแล้วอย่าพาลสิครับพี่ชาย! ยอมรับเถอะน่า ว่าฝีมือพี่มันแย่จริงๆ!” ทงแฮลุกจากโซฟาเดี่ยว ก้าวสั้นบ้างยาวบ้างไปรอบห้องนั่งเล่น เพื่อหนีคนถูกประจานที่ไล่ตามมา จนในสุดก็ไปนั่งแทรกกลางระหว่างฮันกยอกและคิบอม อีทึกส่งสายตาแค้นๆให้ทงแฮ ถลาเข้ามาหวังตะครุบตัวไอ้จอมยุ่ง แต่ตัวเองกลับโดนตะครุบเสียเอง
“เฮ้ย!” อีทึกร้องอย่างขัดใจ เมื่อถูกวงขนแกร่งรวบตัวเอาไว้ได้ก่อนถึงตัวทงแฮ ร่างโปร่งเสียหลักเล็กน้อย เป็นผลให้เซลงบนตักของต้นเหตุทันที
“โอ้ว!!” ทงแฮกระเถิบเข้าใกล้คิบอม มองภาพชวนคิดของพี่ชายแล้วหัวเราะคิกคัก ส่วนคิบอมหันไปสบตากับเยซองอัตโนมัติ
“ปล่อยฉันเซ่!!” อีทึกสะบัดตัวให้หลุด แต่ไม่เป็นผล แขนแกร่งยังคงโอบรอบลำตัวอยู่เช่นเดิม ฮันกยอกยังคงสีหน้าเรียบดั่งเดิม มีเพียงรอยยิ้มขันบนใบหน้า กับแววตาขบขัน ยียวน
“โอ้ย!” อีทึกสะบัดตัวสุดแรงเกิด แต่เพราะวงแขนแกร่งนั่นไม่ได้เหนียวหนึบดั่งคราวแรก แรงสะบัดจึงไม่ได้ส่งผลให้เขาหลุดจากพันธนาการนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้เจ้าตัวหล่นลงไปกองอยู่ที่พื้นอีกด้วย
อีทึกส่งสายตาขุ่นให้ฮันกยอก แต่อีกฝ่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รอยยิ้มขันบนใบหน้าคมกว้างกว่าเดิม แววตาขบขันสุดๆนั้น ทำให้อีทึกแค้น ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนมองหน้าฮันกยอกที่พยายามกลั้นหัวเราะสลับกับทงแฮที่เอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สองข้างสั่น อีทึกทำปากขมุบขมิบอย่างขัดใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศสงบร่มรื่นด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์ที่จัดสรรไว้อย่างลงตัว โต๊ะอาหารแต่ละโต๊ะถูกจัดแยกออกเป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัวสูง ชายหนุ่มสองคนกำลังพูดคุยกันเงียบๆอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน
“จะเวิร์คแน่เหรอแผนเนี้ย?” ยูชอนเอ่ยถามเพื่อนรักทันทีที่ฟังแผนการคร่าวๆของคนตรงหน้าเรียบร้อย
“แน่ไม่แน่ไม่รู้ แต่ตอนนี้นะ ฉันก็ขยับใกล้เป้าหมายทุกทีแล้ว” ยูชอนลอบมองใบหน้าหวาน ประกายตามาดมั่นทำให้เขาแอบหวั่นอยู่ไม่น้อย
“แล้วทำไมนายไม่บุกตรงๆ จำเป็นต้องใช้ตัวกลางด้วยเหรอ?”
“นายก็รู้ บุกตรงๆมันเสี่ยงน้อยอยู่เมื่อไหร่?”
“แล้วใช้ตัวกลางนี้มันเสี่ยงต่างกันตรงไหน?” ยูชอนเงียบทันทีที่อีกฝ่ายทำตาขุ่นใส่
“...นี่ยูชอน แผนนี้อาจใช้เวลานาน ฉันไม่อยากให้นายเสียเวลานะ”
“หมายความว่า...อยากให้ฉันรับงาน?”
“...ใช่” ยูชอนส่ายหน้า
“ไม่เอาหรอก งานนายมันเสี่ยงจะตาย ฉันจะปล่อยให้นายเสี่ยงคนเดียวได้ไง?”
“แต่ตอนนี้ฉันบุกเดี่ยวเพื่อปูทาง นายยังช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก”
“หมดประโยชน์แล้วทิ้งกันเลยนะ” อีกฝ่ายค้อนขวับ
“ไม่ได้ทิ้งซะหน่อย! ฉันแค่เป็นห่วงสถานภาพทางการเงินของนาย” ยูชอนยกยิ้มวางมาด
“ลืมไปแล้วรึไง ว่าฉันลูกใคร?” อีกฝ่ายเบ้ปากทำหน้าหมั่นไส้
“คราบ~ กระผมลืมขอรับ ว่าคุณชายปาร์ค รวย!” ยูชอนหัวเราะ
“งั้นฉันจะรับงานเล็กๆก็แล้วกัน จะได้มีอะไรทำแก้เบื่อ”
“ดีมาก! แล้วอย่าลืมข้อมูลที่ฉันให้สืบล่ะ” อีกฝ่ายยกยิ้มกว้าง ยูชอนพยักหน้ารับ
“ไม่ลืมอยู่แล้ว”
“หลังๆนี้ฉันอาจจะไม่ได้ติดต่อมานะยูชอน พวกเขาจับตาดูฉันอยู่”
“ฉันรู้”
“งั้น..ฉันไปล่ะ” ยูชอนยิ้มให้เพื่อนรัก มองตามแผ่นหลังบางที่เดินลับสายตาไป
...แค่เห็นแววตา เขาก็นึกกลัวแล้ว เพื่อนเขาไม่เหมือนคนอื่นตรงที่ เชื่อเหลือเกินว่าความรักเป็นสิ่งต้องห้าม มันไม่เคยมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้น เพื่อนเขาจึงไม่เคยไว้ชีวิตเหยื่อแม้แต่คนเดียว แม้ว่าเหยื่อคนนั้นจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่สำคัญหรือต่ำต้อยไร้ค่าแค่ไหน ก็ไม่รอดเงื้อมือ ...เครื่องมือสังหารของพระยามัจจุราช ไปได้!
ภายในห้องพักห้องเดิม แขกผู้มีเกียรติรวมทั้งเจ้าของบ้านทั้งห้าคน ตัดสินใจจะรับประทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะเล็ก โดยเจ้าบ้านคนพี่ปาร์ค จองซู เป็นคนออกไปซื้ออาหารเที่ยงมือนี้เอง
“มาแล้ว!” อีทึกจัดการวางถุงอาหารที่ตนเพิ่งซื้อมาลงบนโต๊ะ ทงแฮวิ่งฉิวเข้ามาช่วยหยิบจับอย่างรู้หน้าที่
“ว้าว! พี่อีทึกไปซื้อที่ไหนฮะเนี้ย? น่ากินจังเลย” ทงแฮมองอาหารในถุงที่ตนกำลังเทลงบนจาน
“ก็ร้านแถวนี้แหละ” อีทึกตอบเรียบๆ จัดแจงถ้วยชามออกจากตู้มาวางบนโต๊ะ
“พี่ไม่เห็นต้องออกไปซื้อไกลเลย อาหารตามสั่งข้างล่างก็มี”
“ไม่ได้หรอก ลิ้นคนรวยกินอาหารตามสั่งแถวนี้ไม่อร่อย เดี๋ยวจะพาลอารมณ์เสีย” ปากพูดกับทงแฮ แต่นัยน์ตาสีนิลสบกับผู้เป็นนาย ทงแฮทำหน้าสงสัย แต่ไม่ถามอะไรต่อ จัดวางอาหารที่อีทึกซื้อมาลงบนโต๊ะพร้อมกับตักข้าวใส่จานให้ทุกคน
ทุกคนลงมือกินข้าวกันเงียบๆ มีการสนทนากันสั้นๆบ้างระหว่างบุคคล บรรยากาศจึงน่าอึดอัดอยู่สักหน่อย
“คุณซองมินไม่น่ามีประชุมเลยนะฮะ ผมจะได้มีเพื่อนคุย” ทงแฮว่าพร้อมทำหน้าเสียดาย
“ฉันก็เห็นนายจ้อได้กับทุกคน ยังจะเสียดายอะไรอีกล่ะ?” อีทึกเอ่ยท้วงขึ้น ทงแฮหน้ามุ่ยอีกรอบ
“เหมือนกันที่ไหนล่ะฮะ คุณซองมินคุยสนุกจะตาย” ทงแฮยิ้มอารมณ์ดี
“เรียกว่า ซองมิน เฉยๆก็ได้ อายุเท่ากันไม่ใช่เหรอ?” ฮันกยอกเอ่ยแทรกขึ้นมา ใบหน้าคมระบายยิ้มบางๆให้ทงแฮ
“จะดีเหรอฮะ? คุณซองมินเขาเป็นถึงผู้บริหาร แต่ผมเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ” ทงแฮพูดทำหน้าเศร้าแบบติดตลก ดูออกง่ายๆว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร ฮันกยอกกระตุกยิ้มเล็กๆที่ริมฝีปาก
“...ค่าของคน ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่งหน้าที่หรอกนะทงแฮ จะคบกัน มันต้องใช้ใจ”
การรับประทานอาหารเที่ยงมื้อนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ย้ายจากโต๊ะเล็กในส่วนครัว มาตั้งวงสนทนาคุยกันที่ห้องนั่งเล่นด้วยเรื่องสัพเพเหระ โดยที่เจ้าของบ้านอีกคนนั่งพินิจพิจารณารูปวาดอยู่คนเดียว
สักพักใหญ่ ทั้งหมดก็เอ่ยลาทงแฮ คิบอมทำท่าจะกลับด้วย เพื่อไปเก็บข้าวของ แต่โดนมือเรียวคว้าเอาไว้ก่อน
“อ่า...คุณจะไม่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนเหรอครับ” ทงแฮทำหน้าอ้อนใส่คิบอม คนถูกอ้อนเลิกคิ้วสูง อีทึกกระแอมเบาๆ
“ทงแฮ มารยาท” ทงแฮทำหน้ามุ่ย ปล่อยแขนคิบอมให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย
“ผมไม่อยากอยู่คนเดียวนี้ครับ ถ้าเกิดมันปีนหน้าต่างเข้ามาทำไง?”
“ชั้น 4 เนี้ยนะ” อีทึกสวนกลับ
“ก็...ถ้าบุกมาทางประตูทำไงฮะ?” ทงแฮเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ก็ดีสิ นายจะได้เห็นหน้ามันชัดๆไง แล้วนายก็บอกเอง ว่าต่อให้มาเป็นสิบ นายก็สู้ได้” ทงแฮทำหน้าง้ำ
“พี่อีทึกอ่ะ!” อีทึกยกยิ้มอย่างผู้ชนะ สีสันอย่างหนึ่งของชีวิต คือการแกล้งทงแฮ
“เดี๋ยวนายอยู่นี้ก็ได้ ฉันจะกลับไปเอาของมาให้” เยซองอมยิ้ม แล้วเอ่ยบอกคิบอม ร่างสูงหันไปสบตานายใหญ่เป็นเชิงขอความเห็น ฮันกยอกพยักหน้ารับ
“ฝากด้วยแล้วกัน” คิบอมหันไปตอบเยซอง ทงแฮยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ ยักคิ้วให้พี่ชายต่างสายเลือดอย่างลิงโลด อีทึกฝากสายตาขุ่นๆไว้ เดินตามหลังฮันกยอกที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนเยซองคุยกับคิบอมเกี่ยวกับข้าวของที่ตนจะนำมาให้อีกสองสามประโยค แล้วจึงเร่งฝีเท้าตามไป
ตลอดทาง ฮันกยอกสังเกตเห็นว่าคนที่นั่งคู่กับเขานั่งเงียบไม่พูดไม่จา จมอยู่กับความคิดของตนเอง ฮันกยอกเดาเอาว่ามันคงจะเป็นเรื่องของทงแฮ เขาเห็นสีหน้าของอีทึกตอนที่อีกฝ่ายเห็นภาพคนร้ายที่ทงแฮแก้ใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าอีทึกน่าจะรู้จักคนร้ายนั่นแน่นอน
“นายรู้จักคนในรูปนั่นใช่รึเปล่า?” อีทึกหันมองคนข้างกายทันที
...เขาลืมนึกไปว่าอีกฝ่ายจับตาดูเขาอยู่ การที่เขาจะแสดงสีหน้าแววตา หรือท่าทางอะไรต้องรัดกุมกว่านี้
“ไม่รู้จัก แต่กำลังคิดอยู่ว่าเขาเป็นใคร” ดวงตาคมสะกดนิ่งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิล อีทึกเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ฮันกยอกยกยิ้มเยาะ
“กำลังคิดว่าหมอนั่นเป็นใคร หรือคิดว่าจะจัดการหมอนั่นยังไงกันแน่?” อีทึกสะบัดหน้ากลับมาจ้องอีกฝ่าย สายตาขุ่นๆของอีทึกทำให้ฮันกยอกหัวเราะออกมาเบาๆ
“สายตาแบบนี้ ฉันเดาถูกล่ะสิ” อีทึกพ่นลมหายใจ
...อยู่กับหมอนี้ทีไร เป็นต้องได้โมโหทุกทีสิหน่า!...
ฮันกยอกขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งใหม่ แผ่นหลังกว้างเอนพิงกับเบาะหลังสบายๆ พร้อมยกแขนหนาทั้งสองข้างขึ้นพาดบนเบาะ ริมฝีปากเข้ารูปคลี่ยิ้มนิดๆ
“...สงสัยจะเป็นญาติคนที่นายเคยฆ่า เขาคงกลับมาแก้เแค้นนายแทนคนตายล่ะมั้ง?” อีทึกทำหน้าดุอีกหน แต่ไม่โต้ตอบอะไร พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างที่เขาเคยทำ (แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ)
ฮันกยอกเอียงตัวลงมาใกล้อีกฝ่าย ที่นั่งตัวตรง คอแข็งไม่สนใจใคร
“หรือว่าไปทำให้คู่แข่งเขาหมั่นไส้เอา?” อีทึกหันขวับ พอดีกับที่ฮันกยอกยืดตัวขึ้นนั่งปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แววตายียวน วาววับทำให้อีกฝ่ายอย่างเอานิ้วจิ้มนัก!
“นั่นพูดเรื่องของตัวเองอยู่เหรอ?” ฮันกยอกคลายยิ้มหันมองอีกคนที่ยกยิ้มเยาะน้อยๆ
“...คงใช่มั้ง ฉันยังนึกสงสัยอยู่เลยนะ ไอ้พวกนักฆ่าพวกนั้นน่ะ มันต้องกลัวนายแน่ๆเลย ดูสิ ตั้งแต่รับนายเข้าทำงาน พวกมันก็หายต๋อมไปเลย” ฮันกยอกกล่าวน้ำเสียงเหลือเชื่อ อีทึกฟังออกว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะบอกว่า มั่นใจเหลือเกินว่าเขาต้องเป็นนักฆ่า
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? พวกมันอาจเปลี่ยนใจไม่ฆ่านายแล้วก็ได้” อีทึกตอบเรียบๆ ฮันกยอกหัวเราะ หึๆ ในลำคอ
“เงียบไปแบบนี้ มันต้องมีแผนแน่” ฮันกยอกลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าหวานยังรายเรียบติดจะขุ่นเคืองเสียด้วยซ้ำ
...อ่า บทจะเดาความคิดยากก็ยากแหะ...
“...ไหนๆนายก็เดาถูกแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะออกคุยกับเขา” ฮันกยอกเอียงคอ เลิกคิ้วสูง
“แสดงว่านายรู้จัก?...เขาเป็นใคร?”
“ฉันขอไม่ตอบ”
“ต้องใช่อย่างที่ฉันสันนิษฐานไว้ใช่มั๊ยล่ะ?” ฮันกยอกเอ่ยถามเสียงยียวน แต่อีกฝ่ายไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา ฮันกยอกขมวดคิ้ว ...กะจะยั่วให้อีกฝ่ายโกรธแล้วเผลอพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จแฮะ...
“นายไปพบหมอนั่นได้ แต่ฉันจะไปด้วย”
“เสียใจ ฉันให้นายไปด้วยไม่ได้ อย่าลืม นายกำลังตกอยู่ในอันตราย” อีทึกปฎิเสธแบบไม่ต้องคิด พร้อมยกเหตุผลขึ้นอ้าง ร่างสูงเริ่มอารมณ์เสีย
“ฟังจากที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว หมอนั่นไม่ธรรมดา”
“
แล้วนายคิดว่าฉันธรรมดารึไง?”
++++++++++++++++++++++
^^ มาแล้วว พาสนี้รู้สึกเรื่องไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่เลย T^T ไรเตอร์กราบขออภัยถ้ามันไม่กินใจรีดเดอร์เท่าที่ควร ...
...ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่เม้น+โหวต เห็นมีคนโหวตว้อยซ์ให้ด้วยง่ะ ^^ เอาแค่โหวตธรรมดาไรเตอร์ก็ปลื้มแล้วค่า~
^o^ สงกรานต์เล่นน้ำกันให้ฉ่ำปอดกันไปเรย! ขอให้มีความสุขในวันสงกรานต์นะคราบ! แล้วก็อย่าลืมแวะมาอ่านฟิคด้วยล้า~
แจจุงโผล่มาแล้ว! ฮ่าฮ่า พร้อมกับชอง ยุนโฮ ...ขอกระซิบว่าคู่นี้ไม่ธรรมดา ^o^ ฮัน-ทึกวี๊ดวิ๊วกันอีกหน ต่อหน้าคนอีก 3 คนแบบไม่เกรงใจใครเลย -O-
ตอนต่อไป!...เอิ่มม ตอนต่อไป ฮัน-ทึกถูกพักยก มีโผล่แค่ชื่อ! กับความหลังอิป๋าที่ยังมีเงื่อนงำอยู่..คิ-เฮจะสวีททกันได้อีก!...คยู-มินจะหวนกลับมาปะทะคารม รื้อฟื้นความหลังกันอีกครั้ง รับรองแรงง!! ...โปรดติดตาม! ^[]^
ตอบเม้นกันนิสนึง!
คห.108 > ^^ สรุปแล้ว พาสนี้ก็ยังไม่ได้รู้อยู่ดีว่าคนที่ทำร้ายนู๋ด๊องมานเป็นใคร!? ^^ ติดตามต่อไปเน้ออ!~
คห. 109 > ฮ่าฮ่า ป๋า,คยู-มินมีความหลังยังไง ได้รู้กันแน่นอนค่ะ (แต่มิใช่ตอนนี้!) ^O^ สรุปว่าตอนนี้ก็ยังไม่กระจ่างเรื่องคนร้ายอยู่ดี -_-^ ติดตามต่อไปค่า รีดเดอร์คุง!!
คห. 110 > o_o เจอตบเรยรึ!?? แรงง! ฮ่าฮ่า ด๊องวาดรูปใคร??...ยังไม่เฉลย ฮี่ฮี่ ส่วนน็โจวทำไมไม่ร่วมวง นู๋โจวมันนักธุรกิจค่ะ รีบออกจากบ้านไปทำงานทำการ เหมาะกับการเป็นศรีสามีที่ดี ^o^ (รู้สึกเคยได้ยินแต่ศรีภรรยานะ --^)
คห. 111 > ^^ แม่นาง
คห. 112 > ^^ อัพแร้ววจร้า~ ขอบคุงที่ติดตาม ^o^
คห. 113 > ฮ่าฮ่า ติดตามต่อไปค่ะ ^^
คห. 114 > ^o^ ขอบคุงคร่า~ ดีใจที่มีแฟนฟิคDesDan ตามมาอ่าน DL ^-^
คห. 115 > ยังมิเลิกล้มความตั้งใจใน NC เอิ๊กๆ อยากรู้ต้องติดตามกันต่อไป ยัย ยัย ยัย (เอ็กโค่ๆ 55+)
คห. 116 > ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^o^ ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วย ฮี่ๆ
คห. 117 > ^[]^ กรี๊ด! (55+) ดีใจค่ะที่ตามมาอ่าน DL ขอบคุณที่ติดตามแล้วก็ที่ติชมเรื่องการเขียนด้วย ขอบคุงคราบบ ^o^
คห. 118 > ใครเชอรี่?? 55+ ล้อเล่น!!! เจ๊เองล้า..ทามมัยจาจำน้องลิสาไม่ได้ล้า~ จามได้อยู่แร้ว ^o^ ดีใจที่ชอบ ติดตามกันต่อไปเน้ออ! ^-^
คห. 119+120+121+122 > ว้าว! เม้นเกือบทุกตอนเรย ^^ ขอบคุณที่ติตดามนะค่า~ ต้องลุ้นค่ะต้องลุ้น ^o^
คห. 123 > ถึงกับร้อง “ป๊าดด!” เรยทีเดียว ฮ่าฮ่า ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^o^
ป.ลิง. ไรเตอร์ขอฝากไอดีหน่อยน้า แบบว่าเพิ่งจาสมัครอันใหม่สดๆร้อนๆ แอดไรเตอร์เป็นเพื่อนกันหน่อยเน้ออ! จาขอบพระคุณอย่างสูงง! ^^
To be Continue..
ความคิดเห็น