ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You are My prince

    ลำดับตอนที่ #9 : เมเปิ้ล

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 61


              เอริกาเอื้อมไปกุมมือของเพื่อนสาวที่เกาะแขนเธออยู่ พลางส่งยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกไป 

              "แบลร์ ทำไมมาเร็วจัง เค้ายังไม่เลิกงานเลย ตัวเองก็รู้เวลาเลิกงานเค้าไม่ใช่เหรอ"  เอริกาแน่ใจว่าตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยใช้คำว่าเค้ากับตัวเองเลยสักครั้งในชีวิต

              "เค้ารู้ แต่เค้าทนคิดถึงตัวเองไม่ไหวนี่นา เซอร์ไพรส์มั้ยล่ะคะ ริกกี้ขา!!"  แบลร์ประหลาดใจเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เอริกายอมเล่นตาม รับสมอ้างการเป็นคู่เลสเบี้ยนกับเธอด้วย สงสัยว่าคราวนี้เธอจะเข้ามาถูกเวลาจริงๆ

              "โธ่! ทำไมถึงได้น่ารักอย่างงี้ล่ะคะ ก็เป็นซะแบบนี้เค้าถึงหนีไปไหนไม่รอดไงล่ะตัวเอง" ว่าแล้วเอริกาก็ยื่นหน้าไปจนหน้าผากของทั้งสองแตะกัน แล้วก็ส่งสายตาหวานซึ้งให้แบลร์จนคนที่มองดูอยู่ทนไม่ไหว

              "อะแฮ่ม! แฮ่ม!"  คีตะแกล้งทำเป็นกระแอมกระไอขึ้นมาซะอย่างนั้น 

              "ขอโทษด้วยค่ะ แบลร์ลืมไปว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย แต่นี่คุยกันจบแล้วไม่ใช่หรอคะ แฟนคุณเองก็มารอแล้วนี่คะ"  คำพูดของแบลร์ทำให้เกิดผลลัพธ์สองอย่าง ทางเมเปิ้ลสาวใหญ่ยิ้มเชิดด้วยความพึงพอใจ แต่ทางคีตะกลับทำหน้างุนงง และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร แบลร์จึงเอ่ยต่อไป  "คือเผอิญว่าทีแรกแบลร์มารอริกกี้อยู่ที่นี่น่ะค่ะ แล้วก็เห็นคุณกับริกกี้เข้ามาก็เลยเข้าใจว่าคงจะมาคุยธุระกันน่ะค่ะ แบลร์ก็เลยไม่เข้ามารบกวน แต่แล้วคุณพี่คนนี้ก็เดินเข้ามา แบลร์ก็เลยคิดว่าคงจะคุยกันเสร็จแล้วคุณถึงนัดแฟนคุณเข้ามาน่ะค่ะ ...หรือว่า แบลร์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ"  แบลร์แสร้งถามหน้าซื่อ แต่เธอรู้ว่านี่คือคำถามที่เพื่อนรักคงอยากจะรู้

              เอริกาเหลือบมองหน้าแบลร์อย่างนึกขอบคุณที่ถามได้แทงใจเธอนัก แล้วหันไปมองสบตาคีตะ

              "อ่อ นี่คุณเมเปิ้ล คุณเมเปิ้ลเป็นลูกค้า..."  

              "คนสำคัญ"  เมเปิ้ลเอ่ยแทรกขึ้นมาในขณะที่คีตะยังพูดไม่ทันจบประโยค  "...ใช่มั้ยจ้ะ น้องคีย์"

              "...ครับ คุณเมเปิ้ลเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรา เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าวันนี้มาพบผมถึงนี่ มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ"  คีตะเอ่ยเข้าเรื่องงานตามวิสัย

              "อ่อ เอ่อ จ้ะ ด่วน! ด่วนมากๆ เลยจ้ะ เกี่ยวกับเรื่อง เอิ่ม ของล็อตใหญ่ที่พี่ให้ส่งไปเวียดนามครั้งล่าสุดน่ะ จำได้มั้ยจ้ะ พอดีมันมีปัญหานิดหน่อย แต่ว่าพี่รอได้นะ น้องคีย์คุยธุระไปก่อนก็ได้จ้ะ"  เมเปิ้ลเอ่ยตามมารยาท แม้ว่าเธอจะเป็นสาวมั่น โผงผาง แต่ก็ไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะที่จะฉกตัวชายหนุ่มไปในขณะที่กำลังทำงานอยู่

              "ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณคีตะเถอะค่ะ ดิฉันคิดว่าเราคุยกันจบแล้ว ขอบคุณมากนะคะสำหรับเวลา ขอตัวค่ะ"  เอริกายกมือไหว้แล้วเดินจากไป โดยมีแบลร์ควงคู่ไปด้วย
              


              หลังจากหาข้ออ้างเรื่องงานจนได้ออกไปรับประทานอาหารมื้อค่ำกับชายหนุ่มในดวงใจแล้ว เมเปิ้ลก็ขับรถเบนซ์สปอร์ตสีขาวกลับเข้าบ้านหรูใจกลางเมือง เธอเปิดเพลงแจ๊สคลอเบาๆ แล้วเข้าไปนอนแช่น้ำในอ่างที่มีฟองสบู่ลอยฟ่อง เมเปิ้ลนั้นจัดได้ว่าเป็นสาวสวยเพอร์เฟ็กต์คนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา ฐานะ การศึกษา แถมยังเป็นสาวเก่ง เมื่อจบมาเธอก็มาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัวที่ทำธุรกิจส่งออกได้อย่างดี แต่ต่อมาบริษัทที่เคยจัดการส่งสินค้าต่างๆ ให้เกิดมีปัญหา เธอจึงต้องมองหาเจ้าใหม่ ซึ่งก็พอดีกับที่เธอได้มาเจอกับเวทินที่พึ่งเปิดบริษัทโลจิสติกได้ไม่นาน นับเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงพอควรที่จะให้บริษัทหน้าใหม่จัดการกับออเดอร์ที่มีมูลค่าหลักล้าน เวทินเองก็พยายามเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้เธอเต็มที่ เพราะหากได้เธอมาเป็นลูกค้าประจำ บริษัทเขาเองก็จะมีรายได้ที่แน่นอนเช่นกัน ในระหว่างที่เมเปิ้ลกำลังลังเลอยู่นั้นเอง เวทินก็ส่งคีตะซึ่งพึ่งเข้ามาทำงานในฝ่ายการตลาดให้ไปคอยดูแล เอาใจเธอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจนเมเปิ่ลตัดสินใจร่วมทำธุรกิจด้วย

              คีตะจึงเป็นคนที่คอยดูแลและประสานงานกับเธอโดยตรงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความจริงแล้วหากจะว่ากันเพียงหน้าตา คีตะก็เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่ทว่าเมเปิ้ลเองก็เป็นสาวสวยเช่นกัน เธอจึงชินแล้วกับการมีคนหล่อๆ มาคอยเอาใจดูแล แต่สิ่งที่เธอประทับใจในตัวคีตะ คือนิสัยใจคอของเขามากกว่า จากการทำงานด้วยกันมาหลายปีก็ทำให้เห็นถึงความรับผิดชอบและใส่ใจ มีครั้งหนึ่งที่สินค้าบางส่วนเกิดตกหล่นไปผิดประเทศ ทำให้กว่าของจะไปถึงมือลูกค้าช้ากว่ากำหนด นับเป็นความเสียหายพอควร คีตะออกตัวรับผิดชอบ และคอยอยู่ประสานงานทั้งวันทั้งคืน เร่งติดตามจนของไปถึงที่หมาย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มสนใจเขาเป็นพิเศษ คนแบบนี้ล่ะ ที่เธออยากจะได้มาอยู่เคียงข้าง มาช่วยกันบริหารบริษัทของเธอให้ยิ่งก้าวไกลออกไป แต่ที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยจะเห็นเขาสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษเลยสักคน จนเธอคิดว่าเขาอาจเป็นเกย์เสียด้วยซ้ำ แต่แล้วพักนี้กลับมาวนเวียนอยู่กับบริษัทเวบไซต์นี่ เธอจึงคิดว่าเขาอาจจะมาติดพันใครเข้า แต่เท่าที่ดูๆ แล้วพอจะมีวี่แววก็มีแค่ยัยโปรแกรมเมอร์เลสเบี้ยนนั่นคนเดียว

              "...หรือว่าคีย์จะชอบของแปลก ผู้หญิงธรรมดาไม่ชอบ ชอบเลสเบี้ยน!"  เมเปิ้ลพึมพำกับตัวเองขณะยืนอยู่หน้ากระจกในห้องแต่งตัว  "ไม่หรอกมั้ง น้องคีย์ก็ดูไม่น่าเป็นพวกมีรสนิยมแบบนั้นนะ ...แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เผลอใจให้เราซะทีนะ เราก็ออกจะสวย หุ่นดีขนาดนี้"  เมเปิ้ลมองหุ่นอวบอัดของตัวเอง ผิวทีเนียนนุ่ม หน้าอกคัพซี หน้าท้องแบนราบ สะโพกกลมกลึง แล้วก็รำพึงกับตัวเอง  "ถ้าเราจะต้องถูกแขวนไว้บนคานจริงๆ ไม่น่าเสียดายแย่หรือไง ...หรือว่าเราควรจะตัดใจจากน้องคีย์ซะทีนะ เพียรจีบมาหลายปีนางก็ไม่ใจอ่อนเลย" เมเปิ้ลใส่ชุดนอนเสร็จเรียบร้อย เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเตรียมประทินผิวต่อไป  "...แต่มันก็ไม่มีใครที่เข้าตามากกว่านี้เลยนี่นา น้องคีย์นี่แหละ รถไฟขบวนสุดท้ายของเจ้ ยังไงเจ้ก็ไม่ยอมพลาดเด็ดขาด ต่อให้ต้องกระโดดขึ้นรถไฟก็เถอะ!"



              ทางด้านเอริกากับแบลร์เองก็กลับถึงห้องพักแล้วเช่นกัน ทันทีที่เดินพ้นไปจากรัศมีร้านกาแฟ แบลร์ก็คลายมือออกจากแขนของเอริกาทันที และเกือบจะเค้นถามเพื่อนสาวเสียเดี๋ยวนั้นว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่อีกใจก็คิดว่ารอให้เพื่อนเป็นคนพร้อมที่จะเล่าดีกว่า แบลร์จึงเพียงแต่เงียบและเดินเคียงข้างเพื่อนไปตลอดทาง ขณะที่แบลร์ปิดโทรทัศน์และกำลังจะเข้านอน เอริกาก็เอ่ยชวนให้มานอนด้วยกันที่ห้อง แบลร์จึงไปหยิบหมอนจากในห้องตัวเองแล้วตามไป เอริกาดับไฟห้องลง เหลือเพียงแสงไฟสลัวๆ ที่หัวเตียง ส่วนแบลร์ก็เอนตัวพิงหมอนกอดอกเตรียมพร้อมเรียบร้อย นี่เป็นสิ่งที่ทั้งคู่มักจะทำเสมอเมื่อฝ่ายใดอยากจะปรึกษาเรื่องสำคัญ 

              เอริกาก้าวขึ้นมานั่งอีกข้างของเตียงแล้วสบตาเพื่อนสาว 

                "ยังไง ว่ามา บอกเลยว่าฉันพร้อมจะฟังมาก ห้ามเฉไฉเด็ดขาด"  แบลร์ขยับตัวมาหาเพื่อนด้วยหน้าตาเอาเรื่อง

              "ฉันรู้ว่าแกคงอยากฟังตั้งแต่วันที่เขาโผล่มาหน้าบ้านแล้ว" เอริกาหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ "แกจำเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้มั้ย เรื่อง...พี่ชายแถวบ้านสมัยเด็กๆ..."  เอริกาเริ่มเกริ่นเรื่อง

              "ไม่มีวันลืม"  แบลร์เอ่ยหนักแน่น  "ฉันจะลืมได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคนที่แกเคยรักและเป็นเอามากขนาดนั้นมันมีอยู่คนเดียวน่ะ ส่วนนอกนั้น...ก็ผ่านด่านฉันไปไม่ได้สักคน" แบลร์นึกอย่างพึงพอใจในผลงานของตัวเอง ที่คอยกันท่าคนที่เข้ามาจีบเอริกาได้ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม

              "อืม เขาคือคนๆ นั้นแหละ เขาคือพี่คีย์" เอริกากล่าวด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย พลางทอดสายตาไปไกล

              "ฉันว่าแล้วไง คนที่ทำให้แกไปไม่เป็นได้ขนาดนี้มีตานี่คนเดียวจริงๆ"  แบลร์ตบเบาะที่นอนอย่างถูกใจที่ตัวเองคาดการณ์ได้แม่นยำจริงๆ ก่อนจะสำรวมอาการเมื่อเห็นเพื่อนยังคงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม  

              "แล้วแกจะเอาไงต่อไปล่ะ"  

              "..."  ไม่มีเสียงตอบรับ เอริกาเพียงแค่ถอนหายใจแทนคำตอบ  

              "ฉันถามแกจริงๆ นะริก แกคิดยังไงกับเขา ฉันหมายถึง ณ ตอนนี้เลยนะ"  

              "..." 

              ทั้งสองต่างเงียบไปหลายอีดใจ ก่อนที่แบลร์จะเอ่ยต่อไปว่า

              "ริก ฉันไม่อยากจะดราม่านะ แต่แกก็รู้ว่าฉันรักแกมาก นอกจากพ่อกับแม่แล้ว แกก็เป็นคนเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน ดังนั้นแค่แกบอกมาคำเดียว ฉันก็พร้อมจะไปฆ่ามัน"  แบลร์เอ่ยประโยคหลังด้วยเสียงเยียบเย็น

              "บ้า! พูดอะไรบ้าๆ น่ะแบลร์"  เอริกาหลุดจากอาการเหม่อลอยทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

              "ก็บ้าน่ะสิ ใครจะไปทำจริงๆ เล่า"  แบลร์เอ่ยพลางหัวเราะร่า

              "บ้า! เล่นอะไรก็ไม่รู้แกเนี่ย ฉันตกใจหมดเลย"  เอริกาค่อยเริ่มพอจะหัวเราะตามได้บ้าง

              "แหน่ะ ออกอาการขนาดนี้ ไม่ต้องถามแล้วมั้ง ว่าคิดยังไงน่ะ"

              "ก็ได้ๆ ฉันยอมรับว่าพอได้กลับมาพบกัน มันก็ยังมีหวั่นไหว แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องลบความรู้สึกนี้ไปให้ได้ ในเมื่อเขาก็ยืนยันชัดเจน ว่าเขารักฉันเหมือนน้องสาวเท่านั้น" คนพูดดูจะซึมลงไปทันตากับคำนิยามที่ได้รับ

              แบลร์แตะไหล่เพื่อนอย่างนึกสงสาร ทำไมกันนะ คนที่สวยเลือกได้อย่างเพื่อนของเธอจะต้องมาผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกให้กับคนที่ไม่เห็นคุณค่า ถ้าการที่เขามาคอยตามเฝ้าห่วงใยเพื่อนเธอนั้นเป็นเพียงความรักแบบพี่น้องล่ะก็ ยิ่งเขาดีมากเท่าไร คนที่เจ็บก็คือเพื่อนของเธอเอง ที่ต้องทนกับความรู้สึกจะรักก็ไม่ได้ เลิกรักก็ไม่ได้

              "เอาล่ะ ฉันจะช่วยแกเอง ริก ฉันขอรับรองด้วยเกียรติของแบลร์ ไลฟ์ลี่ว่าจะคอยกันนายขี้ตาให้ออกไปจากชีวิตของแกให้ได้"  แบลร์กล่าวหนักแน่น พร้อมชูกำปั้นขึ้นฟ้าราวกับจะปฏิญาณอะไรสักอย่าง ส่วนเอริกาก็ระเบิดหัวเราะออกมา 

              "ว่าไงนะ ขี้ตา หมายถึงพี่คีย์น่ะเหรอ"  เอริกาขำกับความช่างคิดของเพื่อน 

              "ก็ใช่น่ะสิ นายนั่นชื่อ 'คีตะ' ใช่มั้ย ฟังดูก็คล้ายๆ 'ขี้ตา' นั่นแหละ"  แบลร์กล่าวอย่างภูมิใจในความสามารถทางภาษาไทยของตัวเอง

              "เก่งใหญ่แล้วนะเราเนี่ย ไม่เสียแรงที่ฉันเป็นครูสอนภาษาไทยให้มาตั้งหลายปี"  เอริกากล่าวพลางลูบหัวแบลร์ราวกับเวลาเอ่ยชมเด็กน้อย แล้วทั้งคู่ก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กัน พูดคุยเล่นกันอีกสักพัก ก่อนจะผล็อยหลับไป



              การนำเสนอรูปแบบเวบไซต์ครั้งที่หนึ่งเริ่มขึ้นวันนี้ ธนากรและเอกภพจึงมาที่บริษัทวันเวิร์ลโลจิสติกเพื่อนำเสนอผลงานกับทางคณะกรรมการทั้งหมดหลังจากที่เขาได้แก้ไขในจุดที่คีตะเคยบอกไว้ก่อนหน้าแล้ว เมื่อทั้งสองมาถึง พนักงานต้อนรับก็นำพวกเขาไปยังห้องประชุมเพื่อเตรียมตัว ระหว่างนั้นคณะกรรมการคนอื่นก็ทยอยเดินเข้ามา คีตะมองหาร่างบางโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ธนากรจะเคยบอกตั้งแต่ต้นว่าส่วนของโปรแกรมจะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อส่วนของการออกแบบเสร็จสิ้นแล้วก็ตาม เมื่อได้เวลา ธนากรก็นำเสนอรูปแบบเวบไซต์มา 3 แนวทาง โดยทั้งหมดใช้โทนสีขาวและสีฟ้าน้ำทะเลเป็นหลัก ตัดด้วยสีน้ำเงินครามเล็กน้อย ซึ่งเป็นสีประจำของบริษัท การออกแบบเน้นความเรียบหรู ดูสบายตา เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่รูปแบบการใช้งานจะต่างกันไปในแต่ละแนวทาง เมื่อได้รับคำวิจารณ์ ติชม และจุดที่ต้องการให้ปรับปรุงแล้วก็พอจะได้ทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งทางทีมงานก็จะนำไปปรับปรุงเพื่อมานำเสนอในครั้งต่อไปในอีกสองสัปดาห์ คีตะเดินไปส่งธนากรและเอกภพถึงหน้าประตู

              "ขอบคุณมากเลยนะครับ เพราะคำแนะนำของคุณ วันนี้ทางคณะกรรมการดูจะพอใจมาก"  ธนากรกล่าว

              "ไม่หรอกครับ ผมเพียงแต่บอกให้คุณเห็นภาพบริษัทเราชัดขึ้น เป็นหน้าที่น่ะครับ ถ้าผมที่อยู่ตรงนี้มานานยังบอกไม่ได้ คงจะหวังให้คนอื่นมาเข้าใจเราได้ยากนะครับ"  คีตะเอ่ยอย่างเข้าใจเรื่องการตลาดดี

              "นั่นล่ะครับ เจอคนที่เข้าใจเนื้องาน ทางผมก็ทำงานง่ายขึ้นเยอะเลย ไม่อย่างนั้นกว่าจะจูนกันติดคงเสียเวลาพอดู"  ธนากรรู้สึกโล่งใจที่เขาได้ร่วมงานกับคนที่ทำงานเป็นและมีน้ำใจแบบนี้  "คุณคีตะชอบทำอะไรเวลาว่างเหรอครับ"

              "ปกติผมชอบดูหนังนะครับ แต่ถ้าหมายถึงกิจกรรมออกแรงหน่อยล่ะก็ ผมชอบไปปีนหน้าผาครับ แต่เป็นหน้าผาปลอมนะครับ เพิ่งเริ่มเล่นน่ะครับ"  คีตะพูดอย่างอารมณ์ดี

              "ปีนหน้าผาเหรอครับ น่าสนุกจัง คราวหลังผมขอไปด้วยนะครับ"  ธนากรคิดอยากจะลองเล่นกีฬาแบบนี้มานานแล้วแต่ไม่มีคนร่วมวงด้วย 

              "ยินดีเลยครับ ปกติพวกผมมักจะไปเล่นกันคืนวันพุธ ถ้าคุณธนากรสะดวกก็เชิญนะครับ"  หลังจากพูดคุยกันเสร็จ พวกเขาก็ลากลับไป 



              เย็นวันนั้นเวทินชวนคีตะทานข้าวเย็นหลังเลิกงาน เพราะสังเกตเห็นว่าพักนี้หนุ่มรุ่นน้องดูมีท่าทีไม่ค่อยสบายใจนัก

              "มีไรเปล่าวะไอ้คีย์ ช่วงนี้ดูแกเครียดๆ นะ"  หลังจากเริ่มทานไปสักพัก รุ่นพี่ก็เปิดประเด็น

              "ขอโทษครับพี่"  คีตะชั่งใจว่าจะพูดไปดีหรือไม่ แต่ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว บางทีลองปรึกษาผู้มากประสบการณ์กว่าอาจเป็นทางออกที่ดี  "พี่เคยชอบเลสเบี้ยนมั้ยครับ"

              คำถามที่เกินความคาดหมายทำเอาคนฟังข้าวเกือบจะพุ่งออกจากปาก ต้องรีบกลืนกลับแทบไม่ทันจนข้าวเกือบจะติดคอ หลังจากส่งน้ำตามลงไป หายใจหายคอได้ตามปกติแล้ว เวทินจึงกลับมาตอบคำถามที่ค้างเอาไว้

              "เลสเบี้ยน! เอ่อ พูดตามตรงว่าไม่เคยหว่ะ หรือฉันควรจะลองสักทีวะ"  เวทินหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทำท่าราวกับนึกอะไรขึ้นได้  "เดี๋ยวก่อนนะ ฉันรู้แล้ว แม่สาวคนนั้นใช่มั้ย ริกาน้อยอะไรของแกน่ะ สรุปว่าเธอเป็นจริงเหรอวะ"  แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาเองเป็นคนบอกให้คีตะรับรู้ถึงข่าวลือที่ได้ฟังมา แต่เวทินก็แทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง 

              "จริงพี่ ทีแรกผมก็ยังไม่เชื่อ ถึงมันจะมีหลายท่าทีที่ทำให้เอะใจก็ตาม แต่เมื่อวานนี้ผมเจอเธอทั้งคู่จังๆ พวกเธอแทบจะพลอดรักกันต่อหน้าผมเลย แบบนี้คงจะไม่เชื่อไม่ได้อีกแล้วล่ะครับ"  คีตะนึกไปถึงภาพสองสาวยืนควงแขน สบตาหวานซึ้ง หน้าผากแนบชิด นี่ถ้าเขาไม่ขัดจังหวะขึ้นมาก่อนก็ไม่รู้ว่ามันจะเลยไปไกลกว่านี้หรือเปล่าด้วยซ้ำ

              เวทินเหลือบมองอาการของรุ่นน้องแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
              "แล้วยังไง แค่นี้แกก็จะยอมแพ้แล้วเหรอ เรามันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะมายอมเสียผู้หญิงที่รักไปง่ายๆ อย่างนี้เหรอวะ ห๊า!"  รุ่นพี่คนสนิทรีบกล่าวปลุกขวัญกำลังใจ  "เป็นฉันนะเว้ย ฉันไม่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มหรอก เบี้ยนก็เบี้ยนเถอะ ถ้ารักแล้ว มันก็ต้องสู้กันสักตั้งล่ะวะ เคยได้ยินมั้ย อกหักดีกว่ารักไม่เป็นน่ะ"  

              เมื่อได้รับกำลังใจขนาดนี้ คีตะก็รู้สึกเหมือนได้เติมเชื้อไฟขึ้นมาบ้าง 
              "ก็จริงนะพี่ ยังไงผมก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เธอเกลียดผมเพราะอะไรก็ไม่รู้ หรือเพราะเธอเป็นเลสเบี้ยนเธอถึงตีตัวออกห่าง ผมก็ไม่รู้อีก แต่ในเมื่อยังไงๆ เธอก็เกลียดผมอยู่แล้ว ให้เธอปฏิเสธผมให้เด็ดขาดไปเลยก็ดี ผมจะได้ตัดใจ ทำใจได้จริงๆ สักที"  คีตะเริ่มฮึดขึ้นมาบ้าง แต่แล้วก็กลับทำหน้าเศร้าลงไปอีก  "...แต่เขามีแฟนแล้วนะพี่ เราไปยุ่งกับคนมีแฟนแล้วมันจะดีเหรอ จะกลายเป็นบาปเสียเปล่าๆ นะ" 

              "รักแท้มันต้องข้ามผ่านอุปสรรคไปได้สิวะ พวกเราก็แค่... เป็นมารผจญเล็กๆ น้อยๆ คิดซะว่าเป็นพวกบททดสอบความรักให้พวกนางแล้วกัน ถ้าเค้ารักกันจริง ลำพังแค่แกกับฉัน ผู้ชายธรรมดาๆ สองคนจะไปทำอะไรได้ ถ้าสมมุติว่าเราเป็นสองสาวสวยล่ะก็ว่าไปอย่าง บางทีเจ้าหล่อนอาจจะมีหวั่นไหวกันบ้าง"  เวทินกล่าวติดตลก อย่างครึ้มอกครึ้มใจก่อนจะหันไปสั่งเบียร์กับเด็กเสิร์ฟ 

              "ผู้ชายธรรมดา 'สองคน' หมายความว่าไงพี่"  คีตะนึกเอะใจกับคำพูดของเวทิน เขาเริ่มสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้ชักจะเริ่มวุ่นวายกว่าที่เขาคิด

              "อ้าว! ก็ตอนนี้แกมีศัตรูหัวใจเป็นก้างขวางคออยู่ มันก็ต้องมีคนไปดึงก้างนั่นออกใช่มั้ยล่ะ และถ้าก้างนั่นคือแม่ฝรั่งสาวสวยคนนั้นล่ะก็ ฉันก็ยินดีอาสารับหน้าที่นี้ให้นะ"  เวทินนึกถึงหน้าสวยๆ ที่เขายังจดจำได้ตั้งแต่พบเธอครั้งแรกที่คอนโด เขายื่นแก้วเบียร์ที่เด็กเสิร์ฟพึ่งวางลงให้อีกฝ่าย พลางยกแก้วของตัวเองขึ้น  "แด่ภารกิจพิชิตใจสาวเบี้ยน"  
              "เดี๋ยวนะ หมายความว่าพี่จะไปจีบคุณแบลร์เหรอ"  คีตะที่ยังคงถือแก้วอย่างงงๆ ไม่ชนตอบ เวทินจึงยกแก้วของเขาไปชนเอง แล้วยกขึ้นดื่มอย่างชื่นใจจนเบียร์พร่องไปครึ่งค่อนแก้ว ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับหนุ่มรุ่นน้อง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×