ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตื้อ
การประชุมงานในเช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องการทำเวบไซต์ของบริษัทวันเวิร์ลโลจิสติก เอริกาสรุปเนื้อหาและความต้องการของอีกฝ่ายให้ทีมงานฟัง เพื่อทุกคนจะได้สามารถทำแบบร่างเสนอส่งเข้าประมูลงาน จากนั้นก็เป็นการรายงานความคืบหน้างานอื่นๆ ของแต่ละฝ่าย เมื่อเลิกประชุมแล้วเอริกาก็เรียกธนากรไว้ก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป
"พี่ฮัทคะ ริกขอรบกวนอะไรหน่อยได้มั้ยคะ" เอริกาเอ่ยในขณะที่ทุกคนออกไปเกือบหมดแล้ว
"ได้สิ ว่ามาเลย" ธนากรรับคำอย่างยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง
"เรื่องการเสนองานกับวันเวิร์ลน่ะค่ะ ริกจะให้น้องในทีมเป็นตัวแทนไปเสนองานฝ่ายโปรแกรม ยังไงริกฝากพี่ฮัทช่วยดูน้องด้วยนะคะ" ธนากรมองเอริกาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
"ริกหมายถึง...จะให้น้องเค้าไปพรีเซนต์งานเองน่ะเหรอ"
"ใช่ค่ะ คือที่ผ่านมาฝ้ายก็ตามริกออกไปคุยงานกับลูกค้าหลายครั้งแล้ว ริกเห็นว่าน้องก็ทำงานได้ดี เลยอยากจะให้โอกาสน้องได้แสดงความสามารถมากขึ้นน่ะค่ะ" เอริกาให้เหตุผลที่ฟังดูดีจนน่าคล้อยตาม แต่ธนากรก็ยังคิดว่ามันผิดวิสัยของเธอที่จะไม่ตามไปดูพรีเซนต์ด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละเธอก็อาจจะหมายความตามนั้นจริงๆ ก็ได้
"ได้จ้ะ พี่จะช่วยดูแลฝ้ายให้ แต่พี่กังวลว่าถ้าฝ้ายพูดอะไรผิดพี่ก็จะช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ"
"ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ฮัท ริกจะเตรียมฝ้ายให้พร้อมก่อนออกสนามจริง ที่เลี่ยงไม่ได้อาจจะเป็นความตื่นเต้นจนพูดติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง แต่เรื่องแบบนี้มันก็ต้องลงสนามบ่อยๆ ถึงจะชินใช่มั้ยคะ" เอริกาให้ความมั่นใจ พลางส่งยิ้มหวานให้เขา
"จ้ะ ถ้าริกว่าตามนั้น พี่ก็ไม่มีปัญหา" ธนากรเป็นต้องยอมให้เธออีกเหมือนทุกที
สามอาทิตย์ต่อมา ก็ถึงวันที่ทุกบริษัทที่เข้าประมูลงานต้องส่งตัวแทนมานำเสนอรูปแบบเวบไซต์ เมื่อจวนจะได้เวลา คีตะและเวทินก็เข้ามารอที่ห้องประชุมเพื่อร่วมเป็นคณะกรรมการในการตัดสินใจเลือกบริษัทที่จะได้รับงานนี้ไป คีตะมองหาร่างบางที่เขาเฝ้าคิดถึง เขาใช้เวลาตั้งหลักทำใจอยู่นานว่าจะเดินหน้าเข้าหาเอริกาอย่างไร แม้เขาจะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเธอชอบผู้หญิง แต่ถ้าเธอชอบจริง แล้วเขาจะจีบเลสเบี้ยนอย่างไรล่ะ
แต่ทว่าไม่มีวี่แววของคนที่เขามองหาเลย จนกระทั่งถึงคราวที่ทีมของธนากรต้องขึ้นไปนำเสนองาน เขากล่าวแนะนำตัวเองและบริษัท คีตะจึงได้รู้ว่าเอริกาไม่ได้มาร่วมในการนำเสนองานครั้งนี้ด้วย
เวทินลอบมองอากัปกิริยาของเพื่อนต่างวัย ด้วยเกรงว่าคราวนี้จะทำอะไรแปลกๆ เช่นคราวก่อนอีก แต่คีตะก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขานึกกลัว เมื่อการนำเสนอจบลงทุกบริษัทก็แยกย้ายกันกลับ และจะได้ทราบผลกันในอีกราว 3-7 วันหลังจากนี้ ส่วนคณะกรรมการก็ประชุมกันต่อ เพื่อเลือกแนวทางที่ตอบโจทย์ ตรงกับภาพลักษณ์ และตอบสนองความต้องการของบริษัทมากที่สุด ซึ่งคะแนนความนิยมก็ค่อนข้างขับเคี่ยว แต่ในท้ายที่สุด เมื่อหารือตามความเหมาะสมแล้ว บริษัท W.E.B. Design ก็ได้รับเลือก เวทินมอบหมายให้ฝ่ายการตลาดของคีตะเป็นคนติดตามงานนี้ต่อจนจบ
กว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นก็เกือบค่ำ คีตะที่พยายามจะแยกสติระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ได้มากที่สุดเมื่อตอนกลางวัน ก็ขับรถไปที่คอนโดของเอริกาทันที เพราะเขาแน่ใจว่าเธอตั้งใจหลบหน้า ดังนั้นถ้าหวังจะให้เจอกันด้วยเรื่องงานคงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เมื่อไปถึงชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้
บ้าจริงไอ้คีย์เอ้ย! ลืมคิดไปซะได้ว่าจะไปเจอเธอยังไงล่ะ ถ้าให้ทางตึกแจ้งขึ้นไปเธอก็คงไม่ยอมลงมาพบ จะขึ้นไปเองก็ไม่มีบัตรผ่านประตู แล้วเบอร์โทรศัพท์ก็ไม่รู้อีก คีตะได้แต่เดินวกกลับไปกลับมาอยู่ที่ล็อบบี้ พลางคิดว่าพอจะมีทางไหนที่จะทำได้อีก
"ตาบ้ากาม!" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปมอง แล้วก็พบสาวสวยชาวต่างชาติคนหนึ่งยืนอยู่ เขาไม่แน่ใจนักว่าเธอกำลังพูดกับเขาหรือเปล่า
"แหน่ะ ทำเป็นจำไม่ได้อีก แปลกนะ ปกติมีแต่ผู้ชายจะลืมฉันไม่ลง สงสัยต้องโดนฟาดอีกสักทีถึงจะนึกออก" แบลร์พึ่งกลับมาจากที่ทำงาน ระหว่างที่เดินผ่านล็อบบี้ เธอก็เห็นเขาเดินวกกลับไปกลับมาจึงหยุดมอง แล้วก็นึกออกว่าเป็นคนที่เคยตามเพื่อนเธอไปถึงบนห้องเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง
"อ่อ! คุณนั่นเอง มือคุณหนักเป็นบ้า ทำผมเจ็บไปหลายวันเลยนะคุณ" คีตะยอมรับว่าเธอสวยสะดุดตาแบบที่ยากจะลืมจริงๆ หากแต่วันนั้นเหตุการณ์มันชุลมุนจนเขาเองก็ไม่ได้สังเกตว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร
"หนอย! นี่นายมีหน้ามาว่าฉันอีกเหรอ ไล่ตามผู้หญิงไปเกือบถึงห้องแล้วยังจะจูบเขาอีก ที่ฉันทำมันยังน้อยไปนะ อีตาบ้ากาม!"
"โอ๊ยคุณ คำก็บ้ากาม สองคำก็บ้ากาม คนอื่นเค้าเข้าใจผิดหมด ถ้าคุณคิดว่าผมบ้ากามจิตวิตถารจริงคงไม่มาพูดกับผมแบบนี้หรอก ป่านนี้คุณคงจะเรียก รปภ. จับผมโยนออกไปแล้วล่ะ" คีตะกล่าวอย่างอ่อนใจต่อคำกล่าวหา และรู้ทันว่าเธอไม่ได้หมายความตามที่พูด
"งั้นก็บอกชื่อคุณมา ชั้นจะได้เรียกให้ถูก อ่อ และก็บอกด้วยว่ามาที่นี่อีกทำไม" แบลร์คิดว่าบังเอิญเจอกันอย่างนี้ก็ดี เธอจะได้สืบเรื่องราวจากเขาซะเลย
"ถ้าจะคุยกันยาวแบบนี้ เราไปคุยกันข้างบนเลยดีมั้ยครับ" คีตะหวังว่าแบลร์จะยอมให้เขาเข้าห้องเพื่อที่จะได้พบกับเอริกา
"คุณนี่จริงๆ เลยนะ ได้คืบจะเอากิโลเลยใช่มั้ย! คิดว่าฉันจะยอมไว้ใจผู้ชายบ้ากามอย่างคุณเหรอ ผู้ชายนี่มันสันดานงูพิษจริงๆ ไม่ทันไรก็ออกลาย ฝันไปเถอะย่ะ" หลังจากด่าจนพอใจเธอก็เชิดใส่ พร้อมกับทำท่าจะเดินแยกไป
"โอเคๆ งั้นเราไปคุยกันต้องโน้นก็ได้ครับ" คีตะชี้ไปทางโซฟาที่จัดไว้สำหรับรับรองแขกในล็อบบี้
"ผมชื่อคีตะ รู้จักกับริกา เอ่อ เอริกามาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องห่วงว่าผมจะมาไม่ดีหรอก เราไม่ได้พบกันมานาน พอตอนนี้ผมได้เจอเขาโดยบังเอิญก็เลยอยากมาทักทายน่ะ" คีตะเล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และคลายข้อสงสัยที่ถูกกล่าวหาว่าบ้ากาม
"เพื่อนสมัยเด็กยังงั้นเหรอ แต่ริกกี้ดูไม่เห็นจะอยากพบคุณเลยนะ ฉันว่าคุณกำลังทำให้เขาลำบากใจด้วยซ้ำ" แบลร์รู้สึกว่าเรื่องราวฟังเริ่มจะเข้าเค้า แต่เธอยังต้องการข้อมูลมากกว่านี้
"ผมรู้ ผมเองก็ยังไม่เข้าใจหลายอย่าง ผมถึงอยากจะปรับความเข้าใจ" คีตะตอบไปตามตรง
"คุณสงสัยอะไรล่ะ บางทีฉันอาจจะตอบได้ก็ได้นะ เพราะฉันกับริกกี้ เราสนิทกันมากเลยล่ะ" แบลร์พูดพลางตั้งใจทำน้ำเสียงให้ดูมีนัยยะบางอย่าง
คีตะเงยขึ้นมองเธออย่างสงสัยแวบหนึ่ง เขารับรู้ได้ถึงบางอย่างที่แบลร์พยายามจะบอก แต่ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องและตีหน้าเซ่อตอบไป "ผมเชื่อครับ ไม่งั้นก็คงไม่มาอยู่ด้วยกันหรอก แต่ว่าผมคงจะไม่ถาม เพราะว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผมกับริกา ผมขอเคลียร์โดยตรงจะดีกว่า และถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมอยากจะขอให้คุณบอกริกาให้เธอยอมลงมาพบกับผมด้วย"
มั่นขนาดนี้ คงคิดว่าตัวเองสำคัญกับริกพอตัวเลยสินะ แบลร์ผุดลุกขึ้นแล้วมองเขา "ฉันจะบอกริกกี้ให้ว่าคุณมาหา แต่ว่าเธอจะลงมาพบกับคุณหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องของฉัน ขอตัว" ว่าแล้วเธอก็สะบัดบ๊อบใส่ แล้วขึ้นตึกไป
คีตะมองตามหุ่นสวยๆ ที่เดินยักย้ายจากไป แล้วก็ถอนหายใจออกมา ท่าทางและสายตาที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเขาทำให้คีตะเริ่มจะเชื่อแล้วว่าสิ่งที่เขาได้ยินมามีมูลความจริง
เอริกานอนพลิกไปมาพยายามข่มตาหลับ แม้จะทำเป็นไม่ใส่ใจเมื่อแบลร์บอกกับเธอในตอนเย็นว่าคีตะมารอพบอยู่ด้านล่างและเข้านอนไปตามปกติ แต่เมื่อข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับ เอริกาจึงตัดสินใจลงไปดูสักที แม้เธอจะไม่แน่ใจว่าเขาจะยังอยู่หรือไม่ก็ตาม เพราะนี่ก็เป็นเวลาตีสามแล้ว
เมื่อลงมาถึงล็อบบี้ที่ไร้ผู้คนในเวลานี้แล้ว เอริกาก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งกำลังหลับอยู่บนโซฟา เธอจึงเดินเข้าไปหาเพื่อดูว่าใช่หรือไม่ แล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตึกก็เดินเข้ามาทักเธอ
"สวัสดีครับคุณเอริกา คุณรู้จักคุณผู้ชายคนนี้หรือเปล่าครับ ผมเห็นเขามาตั้งแต่เย็นแล้ว คิดว่าคงจะมารอพบใคร จนมาเห็นอีกทีก็หลับไปซะแล้ว ไอ้ผมก็ไม่กล้าไล่ไป เกรงว่าจะเป็นคนรู้จักของใครในตึก แต่ผมก็คิดอยู่ว่าถ้าใกล้เช้าเขายังอยู่ตรงนี้ ผมก็คงต้องขอเชิญเขาออกไปล่ะครับ" เจ้าหน้าที่อธิบายเหตุผลอย่างสุภาพ ด้วยเกรงว่าเอริกาอาจตำหนิเขาได้ ที่ปล่อยให้ชายแปลกหน้าเข้ามาในคอนโด
"อ่อ... เอ่อ เขาเป็นคนรู้จักของริกเองค่ะ" เอริกาตอบหลังจากเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เธออึกอักอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ "แต่เผอิญว่า...ริกกลับมาดึกน่ะค่ะเขาก็เลยหลับไปแล้ว เอ่อ...ยังไง ริกรบกวนพี่พลปล่อยเขานอนไปก่อนนะคะ ถ้าใกล้เช้าแล้วเขายังไม่ไป ก็ทำตามที่พี่พลบอกได้เลยค่ะ" เจ้าหน้าที่หนุ่มมองหน้าเธออย่างนึกสงสัย แต่เมื่อไม่ใช่เรื่องของตัว เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงแต่ตอบรับแล้วเดินจากไป
เอริกาทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาใกล้ๆ แล้วมองคนที่กำลังหลับสนิท นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เพ่งมองหน้าเขาอย่างชัดๆ โดยไม่ต้องคอยหลบสายตา ใบหน้าของชายในฝันที่ยังคงสะกดเธอไว้ไม่เสื่อมคลาย พลางคิดว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เด็กหญิงเอริกานั่งน้ำตาซึมอยู่คนเดียวบนชิงช้าในสวนใกล้บ้าน วันนี้วันพ่อ แต่เธอไม่มีพ่อให้ได้ไหว้อย่างคนอื่นเขา พ่อกับแม่แยกทางกันมาได้สองปีแล้ว แต่มันยังคงเป็นความจริงที่เจ็บปวดสำหรับเด็กอายุสิบสองอย่างเธอ เอริกาสนิทกับพ่อมากแต่เธอก็ไม่อยากจากแม่ หากเป็นไปได้เธอไม่อยากต้องเลือกเลยว่าจะอยู่กับใคร แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เอริกาจึงอยู่กับแม่ที่เมืองไทย ส่วนพ่อก็กลับไปอยู่อังกฤษ แม้พ่อจะส่งโปสการ์ดหรือโทรมาหาเธอบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผูกพันใกล้ชิดก็ค่อยๆ ลดลงไปตามกาลเวลา เธอไม่ได้นึกโกรธพ่อเพียงแต่น้อยใจในโชคชะตาของตัวเองเสียมากกว่า ในขณะนั้นเอง เธอก็รู้สึกได้ถึงมือหนึ่งที่สัมผัสลงบนศีรษะอย่างแผ่วเบา
"ทำอะไรอยู่คะ" เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น เอริกาเงยขึ้นมอง พลันน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ก็หยดลงมา
"ริกาเป็นอะไร ใครทำอะไรริกาคะ" ชายหนุ่มวัยสิบสี่ปีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"เปล่าค่ะ ริกา... ริกาแค่..." หญิงสาวไม่อยากจะเอ่ยว่าเธอคิดถึงพ่อ เธอกลัวว่าถ้าแม่รู้ แม่จะเสียใจ
"ริกา..." ชายหนุ่มคิดว่าเขาพอจะเดาสาเหตุได้ จึงไม่ซักถามต่อ "เอาล่ะ ถ้าริกาไม่อยากเล่า พี่ก็จะไม่ถาม แต่รู้ไว้นะ ไม่ว่าเรื่องอะไร ริกาพึ่งพาพี่คีย์คนนี้ได้เสมอนะคะ" คีตะ พี่ชายแถวบ้านที่เคยเล่นกันมาแต่เด็ก เมื่อรู้ว่าพ่อกับแม่ของเอริกาแยกทางกัน เขาก็ยิ่งเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เพราะเห็นใจเธอที่ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่รู้หรอกว่าการกระทำนั้นได้ละลายหัวใจที่อ่อนเดียงสาให้ตกอยู่ในห้วงรักเสียแล้ว ตั้งแต่นั้นมา คีตะก็ไม่ได้เป็นเพียงพี่ชายในสายตาของเธออีกต่อไป
คีตะรู้สึกตัวก็เกือบเช้าเสียแล้ว เขาจึงรีบกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปทำงานทันที เอริกาใจแข็งกว่าที่เขาคิดมาก เขาอยู่รอเธอทั้งคืนจนเผลอหลับไปแต่เธอก็ไม่ยอมลงมาพบเขาเลย นั่นยิ่งทำให้คีตะคิดว่าเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรที่ทำให้เธอเกลียดเขามากขนาดนี้ ไม่กี่วันต่อมา คีตะก็เดินทางไปยังบริษัทที่เอริกาทำงาน เพื่อแจ้งข่าวดีให้ทราบ แต่คนที่ออกมาพบเขาก็เป็นธนากรอีกเช่นเคย
"ขอบคุณมากครับคุณคีตะ ทางเราจะทำงานให้ดีที่สุดให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจ จากนี้ไปคงต้องขอรบกวนด้วยนะครับ เพราะว่าทางเราคงต้องขอข้อมูลหลายอย่างของบริษัทวันเวิร์ล ไม่ว่าจะเรื่องความเป็นมาของบริษัท รูปแบบการให้บริการ การติดต่อ หรือข้อมูลอะไรก็ตามที่ทางคุณต้องการสื่อสารให้ลูกค้ารับทราบ โดยที่ผมจะให้เอกภพเป็นคนประสานงานนะครับ แต่ถ้ามีอะไรคุณคีตะจะติดต่อผมโดยตรงก็ได้นะครับ" ธนากรแนะนำลูกน้องคนสนิท และยื่นนามบัตรของเขาให้
"ยินดีครับ แล้ว... ไม่ทราบว่าคุณเอริกา..." คีตะสงสัยว่าเขาจะมีโอกาสได้เจอเธออีกหรือไม่
"ริกเขาอยู่ส่วนโปรแกรมน่ะครับ หลังจากที่เราเสนองานจนได้แบบที่คุณพอใจแล้ว ฝั่งโปรแกรมถึงจะเริ่มวางโครงสร้างระบบน่ะครับ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าสรุปแบบกันได้แล้ว ตอนทำโปรแกรมก็ไม่ค่อยมีปัญหานะครับ จะไปเสนอลูกค้าอีกทีก็ตอนตรวจเช็คระบบเลย หรือยกเว้นถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็จะสอบถามไประหว่างนั้นครับ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ" ธนากรอธิบายขั้นตอนการทำงานอย่างสุภาพ ในขณะที่เอกภพยิ้มกรุ้มกริ่ม สงสัยจะเกิดศึกชิงนางเสียแล้วสิ
ตกเย็น พนักงานทุกคนก็เตรียมตัวกลับบ้าน เอริกาที่กำลังจะเดินออกจากบริษัทก็ถูกพนักงานต้อนรับเรียกไว้
"พี่ริกคะ คุณคีตะจากวันเวิร์ลฝากของให้พี่ด้วยค่ะ พอดีเมื่อกลางวันเมย์ยุ่งๆ ก็เลยลืม" พนักงานยื่นถุงให้เธอพลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม แล้วก็มีเสียงแซวตามมาจากด้านหลัง
"สงสัยว่าของข้างในจะเป็นขนมจีบหรือเปล่าน้อ เจ้ริก" พูดจบ เอกภพก็หันไปหัวเราะคิกคักกับพนักงานต้อนรับสาว
"พอเลยทั้งคู่ เลอะเทอะกันไปใหญ่แล้วเจ้าภพ เจ้ไปล่ะนะ สวัสดีจ้ะ" เอริกาทำหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่ใส่ใจ เมื่อเดินห่างออกมาจนเกือบจะถึงรถไฟฟ้าแล้ว เธอจึงแง้มถุงดูก็พบขนมกล้วย ซึ่งเป็นของโปรดของเธอเมื่อตอนเด็กๆ คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเอริกาคงจะชอบขนมหรืออาหารฝรั่ง เนื่องจากอยู่เมืองนอกเมืองนามาเกือบสิบปี แต่ที่จริงแล้วเธอชอบขนมไทยและอาหารไทยที่กินมาแต่เด็กเสียมากกว่า โดยเฉพาะขนมไทยที่แม่ทำ
"เอาขนมมาล่อ เห็นเราเป็นเด็กหรือไงนะ" เอริกาบ่นอุบ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมาตลอดทางกลับบ้าน
ตั้งแต่วันนั้น ขนมกล้วยหรือขนมไทยชนิดอื่นๆ ก็จะผลัดเปลี่ยนกันมารอคอยให้เธอรับประทานทุกวัน บางวันก็มาที่ทำงาน บางวันก็มาที่คอนโด จนเอริกาต้องคอยแจกจ่ายให้คนอื่นด้วย เพราะหากให้ทานทุกวันก็คงจะเอียนหรืออ้วนกันไปก่อนพอดี แต่ก็มีเพียงขนมเท่านั้นที่แวะมาทักทาย ไม่มีวี่แววของเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งใกล้ถึงวันที่ต้องนำเสนอแบบเวบไซต์ครั้งแรก คีตะจึงมาดูแบบเวบไซต์อย่างไม่เป็นทางการก่อนว่ามีจุดใดที่เขาอยากให้เพิ่มเติมหรือแก้ไข ก่อนที่จะให้เข้าไปพรีเซนต์จริงกับคณะกรรมการท่านอื่นๆ เมื่อพูดคุยกันจบแล้ว คีตะที่กำลังจะกลับก็พบเอริกายืนรออยู่ใกล้ทางออก
"ถ้าคุณพอมีเวลา ดิฉันขอรบกวนสักครู่ได้มั้ยคะ" เอริกาพูดคุยกับเขาอย่างเป็นทางการ
"ครับ... ได้เลย" ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงขื่นเล็กน้อยที่เธอพูดจาห่างเหินกับเขาเช่นนี้ แต่เขาก็ดีใจที่เธอยอมพบเขาเสียที เอริกาพาเขาไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ด้านล่างของตึก
"ดิฉันขอพูดตรงๆ เลยนะคะ คุณต้องการอะไรกันแน่ บอกความต้องการของคุณมาเลยดีกว่า" เอริกาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไว้ตัวเช่นเดิม
"พี่ว่าก่อนอื่น เรามาคุยกันแบบเดิมดีมั้ย ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้" คีตะรู้สึกหงุดหงิดกับสรรพนามและท่าทีของเธอเหลือทน
"คงไม่ดีมั้งคะ ถ้าจะให้ดิฉันพูดจากับลูกค้าแบบนั้น อีกอย่างถึงแม้ว่าเราจะเคยรู้จักกันจริง แต่นั่นก็นานมากแล้ว นานเสียจนดิฉันไม่แน่ใจว่าเราควรจะคุยกันด้วยท่าทีแบบไหนถึงจะเหมาะสม" เอริกายังคงพูดจารักษาระยะห่างเช่นเดิม ด้วยเธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในเวลานี้เธอควรจะวางตัวกับเขาเช่นไร
"เอาเถอะ ถ้างั้นริกาพอใจแบบไหนก็เรียกแบบนั้น พี่ก็จะทำตามที่ตัวเองพอใจเหมือนกัน" เมื่อไม่เห็นเธอตอบอะไร เขาจึงพูดต่อ "ถามว่าต้องการอะไร พี่ก็ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เราเป็นเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่ริกาจะหายไป ได้ไหม" คีตะพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
เหมือนเดิม เหมือนตอนที่ฉันรักพี่อยู่ข้างเดียวน่ะเหรอ ริกาคิดในใจ แต่สิ่งที่เธอพูดออกไปก็คือ "ตอนนั้นดิฉันยังเด็ก ก็พูดจาอะไรไปตามประสาเด็กที่ขาดความอบอุ่นนั่นล่ะค่ะ คุณก็เป็นเหมือนพี่ชายของดิฉันคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันคงจะรบกวนอะไรๆ คุณไว้มาก" เอริกาพนมมือขึ้นไหว้เขาทีหนึ่งอย่างนอบน้อมแล้วพูดต่อไป "ดิฉันขอบคุณทุกอย่างที่คุณได้เคยช่วยฉันไว้ในตอนนั้นจริงๆ ถ้าไม่มีคุณ ดิฉันก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ดิฉันโตพอที่จะพึ่งพาตัวเองแล้ว คงไม่ต้องรบกวนอะไรให้คุณลำบากใจอีก ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง" เอริการู้สึกขอบคุณเขาจากใจ แต่เธอจะไม่เป็นภาระให้เขาอีก
"พูดอะไรน่ะ พี่ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลยนะ ตอนนั้นพี่รักริกา..." หัวใจคนฟังกระตุกเต้นผิดจังหวะ เงยสบตามองคนตรงหน้าด้วยดวงตาไหววูบ ก่อนที่เขาจะพูดต่อ "...เหมือนน้องสาวแท้ๆของพี่ แต่พอ..." คำพูดนั้นเหมือนตะปูตอกใจของเอริกาลงไปอีก ทำไมเธอจะต้องมาฟังเขาตอกย้ำในเรื่องที่เธอก็รู้ดีแก่ใจด้วยนะ เธอไม่อยากจะได้ยินคำใดๆ ของคีตะอีกแล้ว แต่ก่อนที่คีตะจะได้เอ่ยอะไรต่อไป ก็ถูกเสียงหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน
"น้องคีย์!" เสียงเรียกสดใสทำให้เธอและเขาหันไปมองเป็นตาเดียวกัน แล้วทั้งคู่ก็พบเจ้าของเสียงสาวสวยที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าพวกเขา 5-6 ปี แต่ก็ยังคงดูสวยเซ็กซี่ไม่แพ้สาวรุ่นๆ แล้วยังหน้าอกอิ่มๆ นั่นที่เอริกาเห็นแล้วถึงกับสะท้อนใจกับอกแบนๆ ของตัวเอง
"คุณเมเปิ้ล! มาได้ยังไงครับเนี่ย" คีตะหันไปมองลูกค้าคนสวยที่มาเกาะแกะเขาได้หลายเดือนแล้ว
"ก็พี่แวะไปหาน้องคีย์ที่ออฟฟิศหลายทีแล้ว แต่เค้าก็บอกว่าน้องคีย์กลับไปแล้วทุกทีเลย พี่ก็เลยลองเปลี่ยนไปหาตอนกลางวันบ้าง เขาบอกว่าวันนี้น้องคีย์ออกมาพบลูกค้าที่นี่ พี่ก็เลยตามมาน่ะจ้ะ" เมเปิ้ลได้แอบติดสินบนพนักงานบางคนให้คอยรายงานความคืบหน้าของคีตะให้เธอฟังเสมอ และหมู่นี้เธอก็ได้ข่าวว่าเขาอยู่ไม่ติดออฟฟิศเท่าไรนัก หญิงสาวสังหรณ์ใจจึงได้ตามมาดู
คนที่ตกใจยิ่งกว่าคีตะก็คงไม่พ้นเอริกานั่นเอง เธอมองคนทั้งสองตรงหน้า ดูจากท่าทางและคำพูด เธอก็ผูกเรื่องราวได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่ธรรมดา ขณะที่เอริกากำลังสับสนอยู่นั่นเอง ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
"ริกกี้ขา! มาอยู่นี่เอง แบลร์หาเสียตั้งนานน่ะ เค้ามารับตัวเองกลับบ้านละนะ จะไปกันยัง" แบลร์ที่ไม่รู้ว่าพุ่งมาจากทางไหนก็ส่งยิ้มหวาน พลางคล้องแขนเอริกาอย่างรักใคร่
เอริกาเหลือบมองคีตะด้วยสายตาตัดพ้อ เธอยังไม่แน่ใจหรอกว่าคนทั้งคู่มีความสัมพันธ์แบบไหน แต่สมองของเธอบอกว่าหากอยากจะหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้า แบลร์นี่แหล่ะที่จะพาเธอพ้นจากสถานการณ์ยุ่งๆ นี้ไปได้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น